กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 624 หลอมกระบี่
บทที่ 624 หลอมกระบี่
เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นบนสนามรบ เผ่าปีศาจเริ่มเก็บกองกำลังถอนทัพ
ศึกเปิดฉากครั้งนี้ยืดเยื้อกินเวลามายี่สิบวัน กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยังคงไม่สามารถโจมตีมาถึงกำแพงเมืองได้
เซียนกระบี่บนหัวกำแพงเมืองยังคงมีมาดงามสง่าเลิศล้า จำนวนครั้งที่ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างลงมือค่อนข้างน้อย ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานและขอบเขตเซียนเหรินที่ร่ายใช้วิชาอภินิหารก็มีแค่จำนวนสองมือนับ อีกทั้งยังไม่ได้เข้ามาติดกับค่ายกลอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าถูกกำแพงเมืองกระบี่กดหัวไว้ได้อย่างมั่นคง
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ศึกใหญ่สองครั้งที่ทุกคนให้การยอมรับว่าโดดเด่นสะดุดตาที่สุด ครั้งหนึ่งคือจั่วโย่วที่หนึ่งคนพกหนึ่งกระบี่บุกลึกเข้าไปในกองทัพศัตรูเพียงลำพัง เกือบจะทุบทำลายกระโจมทัพเกิงอู่ที่ตำแหน่งอยู่ค่อนมาด้านหน้าจนย่อยยับ ทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนพร้อมใจกันลงมือ แต่จั่วโย่วก็ยังไม่ถอยหนี ปณิธานกระบี่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร หากก้มหน้ามองจากหัวกำแพงเมืองไปยังพื้นดินที่ ห่างไปไกลก็เหมือนว่ามีฟ้าดินขนาดเล็กที่จับต้องได้จริงแห่งหนึ่งก่อตัวขึ้นมาจาก ความว่างเปล่า ปราณกระบี่สีขาวหิมะมากมายไร้ที่สิ้นสุดที่มีจั่วโย่วเป็นจุดศูนย์กลางก่อตัวเป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์บดบังฟ้าดิน ทุกที่ที่ปราณกระบี่พุ่งผ่าน เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเผ่าปีศาจล้วนแหลกสลาย มีจุดจบที่ต้องกลายเป็นผุยผง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มองไม่เห็นตัวของจั่วโย่วด้วยซ้า
เห็นแต่ปราณกระบี่และแสงกระบี่
เซียนกระบี่หมี่ฮู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินอย่างเงียบเชียบยืนอยู่ข้างกายหมี่อวี้น้องชายที่ยังเป็นขอบเขตหยกดิบ สองพี่น้องอารมณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หมี่ฮู่รู้สึกว่าหากปราณกระบี่ของจั่วโย่วมากกว่านี้อีกสักหน่อย นั่นถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ เซียนกระบี่ใต้หล้าก็ควรจะเป็นเช่นนี้
ส่วนหมี่อวี้มีสีหน้าขมขื่น รู้สึกว่าปราณกระบี่ของเจ้าชั่วจั่วโย่วผู้นี้มากเกินไปหน่อยไหม?
หากบอกว่าการลงมืออย่างเหี้ยมหาญของจั่วโย่วที่ยังคงชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง กับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนนั้นคือการเข่นฆ่าที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอย่างถึงที่สุด และสนามรบก็คือแผ่นดินของโลกมนุษย์
ถ้าอย่างนั้นสนามรบอีกแห่งหนึ่งก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้าจริงๆ การลงมือของเฉินฉุนอัน ถึงขั้นกระชากเอาดวงจันทร์ดวงหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่สูงสุดบนม่านฟ้าลงมายังโลกมนุษย์
คนทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความหวาดผวาพรั่นพรึงขีดสุด กังวลว่าดวงจันทร์กลมโตที่ยิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงนั้นจะหล่นลงมาในโลกมนุษย์จริงๆ
ผู้เฒ่าชุดเทาของภูเขาทัวเยว่ยังคงไม่ขัดขวาง กลับกันยังแหงนหน้ามองไปแล้วยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า บัณฑิตช่างมีฝีมือยอดเยี่ยม
ไม่เสียแรงที่เป็นเฉินฉุนอันซึ่งถูกขนานนามให้เป็นยอดเขาสูงอีกยอดหนึ่งของ สายหย่าเซิ่ง
แปดทวีปใหญ่นอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉินฉุนอันแห่ง ทักษินาตยทวีป ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เทพเจ้าแห่งโชคลาภนายท่านหลิวแห่งธวัลทวีป ต่างคนต่างก็มีความพิเศษเป็นของตัวเอง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครก็ยังไม่กล้าพูดว่าบุคคลที่เป็นดั่งเสาหลักของสามทวีปเหล่านี้ไม่มีน้าหนักมากพอ
ผู้เฒ่าชุดเทาปล่อยให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่เรียกตัวเองว่า เจ้าอารามดอกบัวลงมืออย่างเต็มที่ งัดข้อกับเฉินฉุนอันไป
ปีศาจใหญ่นักพรตเต๋าขอบเขตบินทะยานที่หลอมแก่นดวงจันทร์ได้ถึงครึ่งหนึ่ง ได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร
แต่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งฝีมืออันเลิศล้าค้าฟ้าของเฉินฉุนอันเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้ ดวงจันทร์กลมโตดวงหนึ่งไถลลงมาสู่พื้นดินอย่างเนิบช้า
คำว่าเนิบช้านี้ แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกที่ลวงตาอย่างหนึ่ง คาดว่าคงต้องมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล หรือผู้บรรลุมรรคาที่อยู่บนดวงจันทร์จริงๆ ที่ถึงจะสัมผัสได้ถึงระดับความเร็วของการร่วงดิ่งลงสู่พื้นดินที่ไวปานสายฟ้าแลบนั้นได้
นอกสนามรบ ผู้ฝึกตนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ได้ฝึกตนบนมรรคา ขอบเขตไม่ต่ำ ยิ่งขยับเข้าใกล้ห้าขอบเขตบนก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกที่แผ่กลบฟ้าทับดินนั้น แล้วก็ยิ่งมองเห็นภาพ ‘ตำหนักดวงจันทร์’ ของพระจันทร์ดวงนั้นได้ อย่างชัดเจน เห็นว่าในนั้นมีเทือกเขาเป็นเส้นๆ ที่ไร้พลังชีวิตทอดยาว หากเป็น ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่สายตาดียิ่งกว่าจะยังมองเห็นซากปรักของตำหนักทั้งหลาย ซากต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย มองเห็นโครงกระดูก บรรพกาลแต่ละโครงที่สามารถกดทับเทือกเขาเส้นนั้นจนเกิดเป็นร่องแคบ และยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ล่องลอยซึ่งแต่ละตัวใหญ่เหมือนทะเลสาบ
ใต้หล้าไพศาลเคยมีอริยะสำนักการทหารเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นไปในทางชื่นชมมากกว่าตำหนิว่า
‘น่าเสียดายที่ผู้รอบรู้ไม่กำเริบเสิบสาน บทความจึงยังไม่อาจเดินบนทางที่เชื่อมสู่ฟ้า’
หากคนที่เอ่ยประโยคนี้ได้มาเห็นการลงมือของเฉินฉุนอันที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง ก็น่าจะไม่เอ่ยคำวิจารณ์ที่ไร้สาระเช่นนี้แล้ว
และเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาล ทวีปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คุ้นเคยดีที่สุด แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่เป็นทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็ยิ่งไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา
นี่ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการป่าวประกาศโพนทะนาไปทั่วของอาเหลียง บอกว่าในบรรดาบัณฑิต เฉินฉุนอันถือเป็นยอดฝีมือที่ค่อนข้างจะแตกต่างจาก บัณฑิตคนอื่น เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่ในมือถือค้อน เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สามารถเขียนบทความ แล้วก็สามารถต่อสู้ ร้ายกาจๆ
แต่ถึงอย่างไรดวงจันทร์ดวงนั้นก็ไม่ได้ถูกกระชากลงมาอยู่ในโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เจ้าอารามดอกบัวผู้นั้นลงมืออย่างเต็มที่ คุมเชิงอยู่กับเฉินฉุนอันนานถึง ครึ่งชั่วยาม
เป็นเหตุให้ดวงจันทร์กลมโตดวงนี้อยู่ใกล้กับพื้นดินมากที่สุด จึงใหญ่โตและสว่างไสวมากเป็นพิเศษ
การต่อสู้สองครั้งนี้น่าจะเรียกว่าเป็นการต่อสู้ของเทพเซียนที่สมชื่อได้อย่างแท้จริงแล้ว
ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่น้อย ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ เร็วยิ่งขึ้น น้าตกปราณกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่บินหลายหมื่นเล่ม ยิ่งไหลซัดสาดอย่างดุดัน
เพียงแต่ว่าการบุกโจมตีระลอกนี้ เมื่อเทียบกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่กรูกันเข้ามาตายแล้ว ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ติดกับดักอยู่ในค่ายกลอย่างแท้จริงนับว่ามีน้อยนักดังนั้นผลงานการต่อสู้ที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สะสมมาได้จึงมีน้อยนิด
ดังนั้นเซียนกระบี่หญิงจากธวัลทวีปนามว่าเซี่ยซงฮวาผู้นั้นจึงเรียกได้ว่าไม่แสดงฝีมือก็ไม่โดดเด่นอะไร แต่พอแสดงฝีมือกลับทำให้คนตะลึงงัน และนางก็กวาดเอาผลงานการศึกไปได้ก้อนใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจหยุดการโจมตีก็ไม่เหมือนกับในอดีตที่ปล่อยให้ศพนอนตากแดดแห้งอยู่บนสนามรบ ปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่บางคนของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ไป ‘เก็บเงิน’ บนสนามรบอีก
แต่เริ่มให้ความเคารพผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่รบตาย พยายามเก็บรวบรวมซากศพมาให้ได้มากที่สุด ทั้งโครงกระดูกและสิ่งของที่เหลือทิ้งไว้ต่างก็เก็บนับรวบรวมและ ลงบันทึกไว้อย่างชัดเจน ก่อนจะนำไปคืนให้คนรุ่นหลังของพวกเขา
แน่นอนว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่ยอมให้เผ่าปีศาจมาเดินอาดๆ เก็บกวาดสนามรบแน่นอน
ทว่ากุญแจสำคัญคือการถอนทัพชั่วคราวของเผ่าปีศาจได้ซ่อนแฝงความรู้ใหญ่เอาไว้
มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเรียกกาสีทองที่แกะสลักรูปคล้ายหนูนำโชค (สู่ไหลเป่า วัตถุมงคลอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธ) ออกมาประคองไว้บนฝ่ามือ สมบัติอาคมอาวุธวิเศษทั้งหมดที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น วัตถุที่ไร้เจ้าของทั้งหลายต่างก็พากันออกจากสนามรบด้วยตัวเองแล้วบินเข้าหากาสีทองใบนั้นอย่างรวดเร็ว
และยังมีปีศาจใหญ่ที่ในมือถือป้ายหยกสีหมึกสลักเป็นรูปมังกรทะยานเมฆ ไล่ไข่มุก พอบีบไว้ในมือ แสงสว่างก็เปล่งจ้าพร่าตา เจียวหลงสีดำแต่ละตัวที่ยาวเท่าแค่นิ้วมือพากันเลื้อยออกมาจากในแผ่นหยก พอออกห่างจากแผ่นหยกแล้วก็ราวกับเจียวชั่วร้ายที่สูญเสียการสยบกำราบ เรือนกายจึงพลันขยายใหญ่โตมโหฬาร กรงเล็บทั้งสี่ตะปบพื้นอย่างแรง ฝุ่นคลุ้งสูงหลายสิบจั้งก็แผ่กระเพื่อมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย หมายจะสังหารพวกผู้ฝึกกระบี่ที่กำลังถอยออกไปจากหัวกำแพงเมือง
ฉงกวงปีศาจใหญ่ที่เคยทำหน้าที่รับผิดชอบบัญชาการณ์ทัพโจมตีเมืองครั้งหนึ่งเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งของตัวเองออกมา คือน้ำถ้วยหนึ่ง เป่าลมใส่เบาๆ ให้ผิวน้ำเกิดรอยกระเพื่อม ทันใดนั้นน้ำวนขนาดเล็กแต่กลับลึกราวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็บังเกิดขึ้น ประหนึ่งธารดวงดาวที่สว่างพร่างพราว
ดวงวิญญาณเผ่าปีศาจที่อยู่บนสนามรบกลายเป็นพายุงวงช้างที่ก่อตัวขึ้นจากพื้นดินหลายลูกม้วนตลบไปทางทิศใต้ พยายามจะหลอมรวมเข้ากับถ้วยน้ำใบนั้น
การเก็บรวบรวมดวงวิญญาณมานี้ ทั้งสามารถปล่อยกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างนอกสนามรบ แล้วยังสามารถเก็บสะสมไว้เป็นสมบัติล้ำค่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูก ปราณกระบี่ ปณิธานกระบี่ของที่แห่งนี้หล่อหลอมไปอย่างที่ไม่มองไม่เห็น
ส่วนปราณวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดนั้น มองดูเหมือนมหามรรคา ไม่เคยใกล้ชิดผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับผู้ฝึกตนที่ได้ครบทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรจะมีความใกล้ชิดอย่างลี้ลับมหัศจรรย์ ปณิธานกระบี่บรรพกาลมากมายขนาดนั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
แต่เศษซากโครงกระดูกและเลือดสดที่แทรกซอนเข้าไปในพื้นดินจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของสนามรบอย่างมาก
เซียนกระบี่จำเป็นต้องจัดการ แม้ไม่อาจกำจัดพวกมันได้อย่างสิ้นซาก แต่สามารถทำความสะอาดได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่อย่างนั้น ‘ฟ้าอำนวย’ ที่เดิมทีเป็นของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเอนเอียงเข้าหาใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นี่คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่นอกเหนือจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและกำแพงเมือง ดังนั้นบนสนามรบจึงปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ประหลาดที่สุด ทั้งๆ ที่กองทัพใหญ่ทั้งสองฝ่ายหยุดการสู้รบกันไปแล้ว
แต่การลงมือของปีศาจใหญ่กับเซียนกระบี่กลับยิ่งถี่มากขึ้นเรื่อยๆ
มีสมบัติแห่งการฝึกตน อาวุธวิเศษที่เสียหายซึ่งถูกทิ้งไว้บนสนามรบทยอยถูก ทั้งสองฝ่ายร่ายใช้วิธีการของตัวเองบังคับเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการคุมเชิงของสองกองทัพก่อนหน้านี้ ต่อให้ ความเคลื่อนไหวจากการลงมือของเซียนกระบี่และปีศาจใหญ่บนสนามรบ อันกว้างขวางเวลานี้จะรุนแรงแค่ไหน ภาพบรรยากาศนั้นก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
ตามกฎในอดีตที่ผ่านมา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายหยุดการทำสงครามก็จะมีเวลาหยุดพักในช่วงสั้นๆ ผู้ฝึกกระบี่จะมีโอกาสหายใจหายคอได้นานหน่อยก็ห้าวัน สั้นหน่อยก็สองสามวัน
เฉินผิงอันไม่ได้ออกไปจากหัวกำแพงเมืองทันที เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น คอยสังเกตการณ์การลงมือของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะฝ่ายตัวเองหรือฝ่ายของศัตรูอยู่ไกลๆ
หลิวเสี้ยนหยางเดินมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาจะต้องไปรวมตัวกับพวกเพื่อนร่วมเรียนแล้ว ครั้งนี้เดินทางมาทัศนศึกษาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กุญแจสำคัญยังคงเป็นคำว่า ‘ศึกษา’ สำหรับเรื่องการสังหารปีศาจ ไม่ว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ สายหย่าเซิ่งคนอื่นๆ จะมองอย่างไร แต่สำหรับหลิวเสี้ยนหยางแล้วเขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็อาจจะไม่เต็มใจลงมือด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเสี้ยนหยางก็ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและอิสระเสรีมากกว่าเฉินผิงอันมาโดยตลอดอยู่แล้ว
ส่วนจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่ ไม่มีใครที่รู้ ต้องดูที่ ความต้องการของอริยะสกุลเฉินท่านนั้น หลิวเสี้ยนหยางเกาหัว มองไปยังประกายแสงกระบี่คมกริบที่พลันผุดวาบขึ้นมาบนสนามรบในจุดที่ห่างไปไกล แล้วเอ่ยว่า “คุณความชอบในการรบของข้าทั้งหมดให้ลงบัญชีเป็นของเจ้า”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ยิ้มพลางยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งไปให้
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่ดื่ม ต่อให้คิดจะดื่มเหล้าให้จิตใจว้าวุ่น ข้างกายข้า ก็ควรจะมีแม่นางที่หน้าตาดีอยู่สักคนไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินมาว่าไอ้หมอนี่เขียนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หลิวเสี้ยนหยางจึงคิดจะให้เฉินผิงอันช่วยสลักตราประทับให้ตนคู่หนึ่ง ตัวอักษรเขียนให้ตรงไปตรงมาสักหน่อย สลักคำว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่หลิว’ ส่วน อีกอันหนึ่งก็ให้ซื่อสัตย์สักหน่อย สลักคำว่า ‘รักษาตนบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก หลิวเสี้ยนหยาง’
เฉินผิงอันถามเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นยังปลอดภัยดีทั้งๆ ที่เจอกระบี่จากเจ้าน่ะหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน แล้วยังมีสมบัติปกป้องกาย ไม่มีทางตายได้ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ทางฝั่งของฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างบรรยากาศครึกครื้นยิ่ง
มีคนมาไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรฉีโซ่วก็เพิ่งฝ่าทะลุขอบเขต เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้สำเร็จตอนที่ศึกใหญ่เริ่มต้นขึ้นพอดี อีกทั้งตอนนี้ยังได้เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งเพียงลำพัง จึงควรจะฉลองอยู่บ้างจริงๆ
ไม่เสียแรงที่ฉีโซ่วคือผู้นำของภูเขาลูกเล็ก อีกทั้งเดิมทีเขาเองก็เป็นลูกหลานตระกูลฉี เพียงไม่นานข้างกายก็มีสหายสนิทหลายสิบคนมารวมตัวกัน มีครบทั้ง หญิงและชาย
บางคนเฉินผิงอันก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่ประตูมังกรอย่าง เริ่นอี้ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าด่านแรกบนถนนใหญ่
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่รับผิดชอบเฝ้าด่านที่สอง ผู่อวี๋ คือ คุณชายหนุ่มสวมชุดขาวที่ค่อนข้างจะสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม
และยังมีสตรีผู้ฝึกตนหญิงที่อายุพอๆ กับพวกเขาอีกหลายคนที่มาเพราะต้องการเอ่ยแสดงความยินดีกับฉีโซ่วครึ่งหนึ่ง ส่วนเหตุผลอีกครั้งหนึ่งที่มาก็เพราะเพื่อนบ้านสองคนของฉีโซ่ว นิสัยของพวกนางแตกต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ของใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง เวลานี้จึงมองมายังเฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังสายตามองประเมินของพวกนางแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่คิดจะซุบซิบพูดคุยกันเบาๆ
บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ระหว่างสองศึกใหญ่ที่ผลัดเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้ ยามที่มีเวลาว่างพวกผู้ฝึกกระบี่ที่คุ้นเคยกันดีก็จะพูดคุยกันถึงสนามรบของจุดอื่นบ้าง หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของเถ้าแก่รองกับบัณฑิตจากทักษินาตยทวีป หัวข้อที่พูดคุยได้มีไม่น้อยเลยจริงๆ
ส่วนมีผู้ฝึกกระบี่คนใดตายไปบ้าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใครถูกทำลายในสนามรบ อย่างมากสุดทุกคนก็แค่ร้องอ้อหนึ่งคำ พยักหน้าแสดงว่ารับรู้แล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรต่ออีก
เฉินผิงอันแกว่งน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ เอ่ยสัพยอก “ก็มีเหล้าอยู่นี่ไง จะดื่มไหมล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางกระโดดลงมาจากหัวกำแพง พึมพำว่า “ไปล่ะๆ”
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางจากไปไกลแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งในนั้นก็ถามว่า “เถ้าแก่รอง เพื่อนของเจ้าคนนี้ชื่อแซ่อะไรหรือ? ตอนนี้มีภรรยา มีคู่บำเพ็ญเพียร หรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เมื่อครู่นี้เขาอยู่ ทำไมเจ้าไม่ถามเขาเองล่ะ?”
สตรีผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “ก็ข้าอายนี่นา”
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางมองหลิวเสี้ยนหยางราวกับว่า หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้สวมเสื้อผ้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีความอายเลยแม้แต่น้อย
นางชื่อว่าซือถูหลงชิว คือบุตรสาวจากอนุภรรยาของตระกูลซือถูบนถนนไท่เซี่ยง ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตชมมหาสมุทร เป็นเพื่อนสนิทของต่งปู้เต๋อ ในบรรดา ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอบเขตของนางไม่สูงไม่ต่า แต่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา มีกลิ่นอายของยุทธภพอย่างมาก เรื่องน่าสนใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากผ่านการแต่งแต้มสีสันจากนางมักจะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจยิ่งกว่าเดิมเสมอ ต้นกำเนิดของข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มากมายก็ล้วนมาจากการเสกสรรปั้นแต่งจากนางกับต่งปู้เต๋อ เรื่องจริงหลายๆ เรื่องมักจะทำให้คนรู้สึกว่า เป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องเท็จกลับดันดูเป็นจริงเสียยิ่งกว่าเรื่องจริง
ตอนนั้นต่งปู้เต๋อมาที่จวนหนิง บอกให้เฉินผิงอันช่วยแกะสลักตราประทับให้ สามชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือของซือถูหลงชิว
เถ้าแก่รองเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ข้าซือถูหลงชิว สาบานว่าเป็นเรื่องจริง กู้เจี้ยนหลงให้ข้าผู้อาวุโสพูดจาเป็นธรรมสักคำ ต่งฮว่าฝูจ่ายเงินราวสายน้าไหล ก่อนหวังซินสุ่ยจะต่อสู้ข้าทำได้ ต่อสู้ไปแล้วก็ช่างมันเถิด
นี่ก็คือสุดยอดห้าเรื่องใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้
ส่วนสุดยอดห้าเรื่องเก่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือนิสัยการเล่นพนันของ อาเหลียงแข็งทื่อเกินไป น้าลายฝอยเต็มหน้า ใต้เท้าอิ่นกวานนิสัยดีที่สุด ไม่เคย ต่อยตีใคร ผู้เฒ่าตาบอดคือคนก็ต้องพูดภาษาคน ลู่จืองดงามล่มบ้านล่มเมือง นับแต่โบราณมาความรักลึกล้าก็รั้งตัวหมี่อวี้ไว้ไม่ได้
อันที่จริงล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเวทกระบี่และขอบเขตเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เฉินผิงอันกับซือถูหลงชิวก็น่าจะถือว่าเป็นการพบกันของยอดฝีมือแล้ว
ซือถูหลงชิวพลันยิ้มถามว่า “ภูเขาเยี่ยนต้างมีชื่อเสียงในใต้หล้าไพศาลมากหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นเพียงแค่ภูเขาธรรมดาแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ฮวงจุ้ยดีมาก เพียงแต่ว่ายังไม่มีชื่อเสียงนัก แต่ข้ามีสหายคนหนึ่งชอบท่องเที่ยวไปตามยุทธภพและป่าเขา เวลาผ่านที่ใดก็ชอบเขียนบันทึกขุนเขาสายน้า เขาเคยพูดถึงสถานที่แห่งนี้ให้ข้าฟัง บอกว่าทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือ ต้าหลงชิว ดังนั้นข้าจึงจำได้ค่อนข้างแม่น”
ซือถูหลงชิวกล่าวอย่างเสียดายว่า “ข้าก็นึกว่าเป็นหนึ่งในห้าขุนเขาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเสียอีก”
แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้ม “แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน”
เพราะบนตราประทับชิ้นที่ต่งปู้เต๋อมอบให้นาง ตรงริมขอบสลักเนื้อหาที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ‘หยุดพักที่ต้าหลงชิวภูเขาเยี่ยนต้าง ความฝันในยามสาม ประกายแสงดาวเต็มฟ้า ดีใจจนนอนไม่หลับ เปลือยเท้ากระโดดเข้าพงหญ้า’
พอนางได้รับตราประทับมาก็ถามสหายหลายคนที่ในบ้านเก็บสะสมตำราเอาไว้มาก ทว่ากลับไม่มีใครรู้จักต้าหลงชิวภูเขาเยี่ยนต้างเลย
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงยิ้มเอ่ยว่า “แต่ก็มีข่าวดีอยู่อย่างหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าภูเขาเยี่ยนต้างจะกลายเป็นภูเขาที่ได้อยู่ในรายชื่อสำรองให้เป็นขุนเขาบูรพาแห่งใหม่ของแจกันสมบัติทวีป ได้เลื่อนขั้นให้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของห้าขุนเขาใหญ่ วันหน้าก็น่าจะมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม”
ซือถูหลงชิวอึ้งตะลึงไปครู่ “ผู้สืบทอดของภูเขา? คืออะไรไม่เห็นจะเข้าใจ”
แต่จากนั้นนางก็ยิ้มกว้าง “แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
ซือถูหลงชิวหมุนตัวเดินกลับไปหาฉีโซ่ว แล้วขี่กระบี่ย้อนกลับไปยังนครทาง ทิศเหนือด้วยกัน
กวอจู๋จิ่ววิ่งตะบึงมาถึง นางมานั่งอยู่ข้างกายอาจารย์พักใหญ่ พูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางเอาไปฟ้องอาจารย์แม่หรอก อาจารย์แม่ใหญ่ก็จริง แต่ข้าเข้าข้างอาจารย์มากกว่า”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็ดี พี่หญิงซือถูก็ช่าง หากอยู่ที่บ้านเกิดของอาจารย์ก็ล้วนถือเป็นเทพธิดาทั้งสิ้น”
กวอจู๋จิ่วถามอย่างใคร่รู้ “เทพธิดาตดหรือไม่? ตดเหม็นหรือไม่? จะแอบเก็บตดไว้ในกระโปรงหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่เทพธิดาแล้วกระมัง? หากเปลี่ยนข้าไปเป็นบุรุษที่ชื่นชมเทพธิดาคงรับไม่ได้หรอก ดังนั้นหากเปลี่ยนข้าไปเป็นเทพธิดา ข้าก็จะแอบตดในผ้าห่มเท่านั้น แล้วจะเลิกชายผ้าห่มขึ้น เอามือปัดออก น่าจะไม่ทำให้ตัวเองเหม็น”
เฉินผิงอันเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของกวอจู๋จิ่วนานแล้ว เขาดื่มเหล้าโอสถน้ำในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหนึ่งคำ จวนน้าที่น่าสงสารเพราะปราณวิญญาณ แทบจะแห้งขอดจึงพอจะดีขึ้นได้บ้าง เขาตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ ลุกขึ้นยืน “ไป ไปหาอาจารย์แม่ของเจ้ากัน”
อาจารย์และศิษย์สองคนพากันเดินไปหาหนิงเหยา
กวอจู๋จิ่วกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง น่าเสียดายที่ไม่ได้สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาด้วย นางถามชวนคุยว่า “คราวนี้อาจารย์ฆ่าปีศาจใหญ่ไปได้กี่ตน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว”
กวอจู๋จิ่วเปลี่ยนเรื่องคุยได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่มีสะดุดติดขัดแม้แต่น้อย นางพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “อาจารย์มีเมตตาถึงได้ยอมเก็บหัวสุนัขของพวกมันเอาไว้ชั่วคราว”
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของบิดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กวอจู๋จิ่วยิ้มกว้าง “เจอกันกลางทาง อนุญาตให้ข้ามาหาอาจารย์ก่อน และ จะกลับบ้านช้าหน่อยก็ได้”
ประโยคนี้เรียบง่ายนัก คำว่า ‘เจอกันกลางทาง’ ที่สามารถกลั่นกรองทบทวนได้หลากหลายกลับสามารถทำให้อารมณ์กลัดกลุ้มในใจของเฉินผิงอันที่เผชิญกับสงครามขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตเกิดความอบอุ่นใจได้หลายส่วน รู้สึกเหมือนก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกเผยให้เห็นแสงจันทร์
ตำแหน่งสนามรบที่เฉินผิงอันรับผิดชอบค่อนไปทางตรงกลาง ไม่ถือว่าอยู่ใกล้กับพวกหนิงเหยาเท่าใดนัก
กวอจู๋จิ่วไม่กลัวระยะทางที่ยาวไกล บุกเหนือล่องใต้อยู่ข้างกายอาจารย์ เดินมากก้าวหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าเดินไปเดินมา ศิษย์น้องหญิงเล็กก็อาจจะเหนือกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ตัวไม่สูงนั่นก็ได้
เดินมุ่งไปฝั่งซ้ายมือตลอดทาง ระหว่างนี้เดินผ่านอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ เขายังคงไม่ออกกระบี่อยู่เหมือนเดิม แต่ใช้สนามรบเป็นหินลับกระบี่ ใช้สิ่งนี้มาหลอมกระบี่ของตัวเอง
กำแพงเมืองปราณกระบี่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มหัศจรรย์อยู่นับร้อยนับพัน บ้างก็สามารถกลายร่างเป็นร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล บ้างก็สามารถสร้างค่ายกลกระบี่ บ้างก็มีห้าอสนีล้อมวนรอบกระบี่บิน พอออกกระบี่ก็เท่ากับว่าร่ายคาถาห้าอสนี และยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองคนที่เป็นคู่รักเทพเซียน กระบี่บินของคนหนึ่งสามารถจำแลงร่างเป็นเจียวหลง ส่วนอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘แต้มนัยน์ตา’ กระบี่สองเล่มร่วมมือกัน พลานุภาพก็ยิ่งเพิ่มพูน ไม่เป็นรองการออกกระบี่ของเซียนกระบี่เลย แม้แต่น้อย ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง ความอัศจรรย์มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด
มิน่าเล่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ไม่ต้องการผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นเลย
ผังหยวนจี้ไม่ได้ออกมาจากหัวกำแพง ข้างกายมีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่นชมเลื่อมใสเขา น้องสาวแท้ๆ ของเกาเหย่โหวอย่างเกาโย่วชิง
เห็นเฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่ว ผังหยวนจี้ก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้
เฉินผิงอันเป็นคนเรียนรู้เร็ว พอเรียนรู้แล้วก็เอาความรู้มาใช้ทันที เขายิ้มตาหยีถามว่า “พี่ผัง สังหารปีศาจใหญ่ไปได้กี่ตนเล่า?”
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “เหมือนเจ้านั่นแหละ”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ใหญ่เซียนดินคนหนึ่ง มาคิดเล็กคิดน้อยกับ ผู้ฝึกตนขอบเขตสองทำไม ช่างลดสถานะของตัวเองจริงๆ”
กวอจู๋จิ่ววิ่งมาอยู่ข้างกายเกาโย่วชิง นางเขย่งปลายเท้าลูบหัวของเกาโย่วชิงแล้วพยักหน้าพูดสั่งสอนด้วยสีหน้ามีเมตตาว่า “โย่วชิงอ่า สตรีที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำ ที่สาดออกไป ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงานนะ ต้องยับยั้งชั่งใจ ต้องยับยั้งชั่งใจบ้างนะ”
เกาโย่วชิงปัดมือของกวอจู๋จิ่วทิ้ง ถลึงตาเอ่ยว่า “ลวี่ตวน อย่าพูดจาเหลวไหล”
ทว่าหางตาของเด็กสาวกลับชำเลืองมองไปยังผังหยวนจี้ที่สวมชุดขาวพลิ้วไสว
เฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่วเดินไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง เฉินผิงอันเห็นคนหนุ่มบางคนที่กำลังฝอยน้ำลายแตกฟองก็บอกเป็นนัยกับกวอจู๋จิ่วว่าอย่าส่งเสียง
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าว กู้เจี้ยนหลงผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และเพียงไม่นานก็สังเกตเห็นเถ้าแก่รองที่คลี่ยิ้มอย่างมีเมตตา กู้เจี้ยนหลง ไม่พูดพร่าทำเพลงก็บอกลาสหายสองสามคำ ก่อนจะรีบขี่กระบี่กลับไปยังนคร
ทางฝั่งของหนิงเหยามีคนแปลกหน้าเพิ่มมาสองคน
ลูกศิษย์สกุลเฉินผู้รอบรู้ นักปราชญ์เฉินซื่อ และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาซานลู่แห่งทักษินาตยทวีป ฉินเจิ้งซิว
คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้สังหารปีศาจอย่างหลิวเสี้ยนหยาง เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจไม่สามารถเข้าใกล้นครได้ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ บวกกับที่การออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่พิถีพิถันในเรื่องของการร่วมมือที่เชื่อมโยงต่อเนื่อง รัดกุมจนแม้แต่น้าสักหยดก็รั่วซึมไม่ได้ ต่อให้วิชาอภินิหารบางอย่างของเฉินซื่อกับฉินเจิ้งซิวจะมีพลานุภาพมหาศาลแค่ไหน แต่ก็ง่ายที่จะช่วยให้เสียเรื่องได้
ดังนั้นสหายสนิทสองคนนี้จึงเน้นการมาท่องเที่ยวมากกว่า เดินไปบนทางเดินม้าของหัวกำแพงเมืองครบรอบแล้วก็ย้อนกลับไปทางเดิม แล้วถึงได้ฉวยโอกาสเวลาที่ว่างจากศึกใหญ่มาทักทายกับพวกเฉินซานชิว
เพราะในอดีตวิญญูชนที่เอา ‘ฮ่าวหรันชี่’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปก็เป็นสหายสนิทกับฉินเจิ้งซิว ขณะเดียวกันคนทั้งสองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนพร้อมกันด้วย
วิญญูชนท่านนั้นหวังว่าฉินเจิ้งซิวจะช่วยนำความมาทักทายแทนตน
เวลานี้ฉินเจิ้งซิวกำลังพูดคุยกับเตี๋ยจ้าง
เตี๋ยจ้างเล่าเรื่องวงในของสงครามใหญ่บางอย่าง บอกว่าในอดีตเรื่องของ ศึกสงครามนี้ ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราไม่จำเป็นต้องแสวงหา พลังพิฆาตที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้จะยังรวบเส้นแนวรบเข้ามาอย่างเหมาะสม ค่อยๆ บดขยี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไปช้าๆ แต่หากถึงช่วงเวลาคับขันจริงๆ เมื่อกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจขยับเข้าใกล้กำแพง ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามดตัวน้อยจะโจมตีกำแพงได้สำเร็จ แล้วก็จะมีเซียนกระบี่จำนวนมากออกไปจากหัวกำแพงเมืองเพื่อปกป้องเส้นแนวหน้าไว้อย่างมั่นคง แบ่งสนามรบออก
จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินนำทัพพากันลงจากกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่พลังการสู้รบไม่สูงก็จะทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเพียงอย่างเดียว
เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วนั่งอยู่ด้วยกัน กำลังมองเรื่องสนุกแล้วแอบหัวเราะไปด้วย พวกเขาเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเถ้าแก่รองผู้นั้น ประหนึ่งชาวนาที่นั่งอยู่บนคันนาเพื่อคอยจับจ้องมองดูผลเก็บเกี่ยว
เตี๋ยจ้างที่พูดคุยกับคนอื่นเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนี้ หาได้ยากมาก
หนิงเหยากำลังหลับตาทำสมาธิ
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฉินเจิ้งซิวบอกกล่าวชื่อแซ่ และเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นให้ฟัง หนิงเหยาก็เปิดปากเอ่ยสองสามประโยคอย่างที่ หาได้ยาก แล้วถึงได้ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มคน มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่ ปณิธานกระบี่เพียงลำพัง
ต่งฮว่าฝูกับฟ่านต้าเช่อกำลังคุยกันว่ากลับไปถึงนครแล้วควรจะกินอะไร ดื่มอะไร ต่งฮว่าฝูบอกว่าครั้งนี้เจ้าฟ่านต้าเช่อแสดงออกได้ไม่เลวเลย ควรจะซื้อเหล้าภูเขา ชิงเสินมาดื่มฉลองกันสักกา
เฉินซื่อพลันเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้น่าจะมีผู้ฝึกกระบี่ทรยศคนหนึ่งจ่ายค่าตอบแทนด้วยการทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองเพื่อส่งข่าวไปแจ้งแก่เผ่าปีศาจอย่างลับๆ”
เป็นคำพูดที่ชวนให้เสียบรรยากาศอย่างถึงที่สุด
นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พอเฉินซื่อออกมาจากตระกูลเมื่อไหร่ก็จะต้องเจอกับปัญหา อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปสร้างศัตรูอยู่หลายครา
เพียงแต่ว่าพวกหนิงเหยากลับไม่มีสีหน้าที่ผิดปกติใดๆ
“ฝนจะตก สตรีจะออกเรือน ร้านจะหาเงิน ใครจะขวางได้อยู่”
ต่งฮว่าฝูหันหน้ามาเอ่ย “เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป จะดีจะชั่วก็จ่ายค่าตอบแทนเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าวันหน้าบัณฑิตของทักษินาตยทวีปอย่างพวกเจ้าจะกล้าเอาชีวิตครึ่งหนึ่งมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าบัณฑิตทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกตน มีความรู้ไม่น้อย ก็แค่ทนรับกับ ความเจ็บปวดไม่ค่อยได้ มีประโยคหนึ่งเอ่ยว่าอะไรแล้วนะ ในบ้านไม่มีมีด หลังบ้าน ไม่มีบ่อน้ำ ผูกคอตายสภาพศพไม่น่ามอง เสาระเบียงก็แข็งเกินไป น้ำก็เย็นเกินไป?”
ฉินเจิ้งซิวขมวดคิ้ว
เฉินซื่อกลับคลี่ยิ้ม “มีคำกล่าวเช่นนี้อยู่จริง ช่วยไม่ได้ บัณฑิตในใต้หล้าไพศาล มีเยอะยิ่งนัก คนดีคนเลว ไม่ว่าคนแบบใดก็ล้วนมีหมด”
ต่งฮว่าฝูชำเลืองตามองบัณฑิตหนุ่มอีกสองสามที แล้วพยักหน้าให้ “ถือว่าเจ้าเป็นคนพูดง่ายอยู่เหมือนกัน คราวหน้าเลี้ยงเหล้าข้าด้วย”
เฉินซื่อรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงยิ้มถามว่า “ไม่ใช่เจ้าที่ควรต้องเลี้ยงเหล้าข้าหรอกหรือ?”
ต่งฮว่าฝูหัวเราะ “ต้าเช่ออ่า”
ฟ่านต้าเช่อรีบพูดอย่างจนใจทันที “แม้แต่เถ้าแก่รองก็ยังทำให้ต่งถ่านดำควักเงินไม่ได้”
ฉินเจิ้งซิวหันหน้าไปมอง มีคนเดินมาสองคน คนหนึ่งคือคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมของหอภูษา พกกระบี่ยาวของหอกระบี่ สีหน้าซีดขาว มองดูเหมือนพวกคนขี้โรคที่ ไร้พลังการต่อสู้ แต่เพราะมีหลิวเสี้ยนหยางเป็นสาเหตุ ฉินเจิ้งซิวจึงรู้ว่าคนผู้นี้ก็คือ เฉินผิงอันแห่งหลงเฉวียนต้าหลีแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องเล็กของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว ก่อนหน้านี้หลิวเสี้ยนหยางออกกระบี่อยู่ติดกับเฉินผิงอัน ทำให้ฉินเจิ้งซิวได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
หลิวเสี้ยนหยางช่างอำพรางฝีมือได้ลึกล้ำยิ่งนัก ต่อให้เป็นเฉินซื่อที่สนิทกับ หลิวเสี้ยนหยางมากก็เพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าหลิวเสี้ยนหยางคือผู้ฝึกกระบี่
เฉินผิงอันยิ้มพลางประสานมือคารวะ “คารวะวิญญูชนและนักปราชญ์”
ฉินเจิ้งซิวและเฉินซื่อก็ประสานมือคารวะกลับคืน
ต่งฮว่าฝูพึมพำว่า “ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่งมาเจอกับลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง ต่อให้ไม่ตีกัน ก็ควรจะเถียงกันสักหน่อยสิ”
หนิงเหยาลุกขึ้น เอ่ยว่า “กลับเถอะ”
เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมาแล้วเดินขึ้นเรือ
ฉินเจิ้งซิวกับเฉินซื่อปฏิเสธคำเชิญของเฉินผิงอันอย่างละมุนละม่อม บอกว่าจะเดินเล่นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสักหน่อย
เรือยันต์มุ่งหน้าไปทางเหนือ
บนเรือนอกจากเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่
เฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่วที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งออกแรงพายเรือเต็มที่
เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วก็ช่วยออกแรงอยู่อีกฝั่งหนึ่งเหมือนกัน
ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “น่าอายจริงๆ”
ฟ่านต้าเช่อเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง ฉินเจิ้งซิวมองมาเห็นภาพนี้
บนเรือลำนั้น นอกจากเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่มีใครขี่กระบี่
เฉินซื่อยิ้มกล่าว “หลิวเสี้ยนหยางมักจะมาคุยโวให้ข้าฟังเป็นประจำ บอกว่า เฉินผิงอันของบ้านเกิดเขานั้นฉลาดแค่ไหน เรียนรู้อะไรเร็วแค่ไหน นอกจากเงียบขรึมเป็นน้ำเต้าตัน ไม่ค่อยชอบพูดไปสักหน่อยแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย ช่วงแรกเริ่มสุดเขายังพูดจาน่าเชื่อถือ ตบอกรับรองกับข้า บอกว่าเฉินผิงอันจะต้องเป็นช่างเผาเครื่องปั้นที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดในใต้หล้า ภายหลังหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่พูดถึงเรื่องการเผาเครื่องปั้นของเตามังกรอะไรนั่นแล้ว”
ฉินเจิ้งซิวเอ่ย “คงเป็นเพราะแม้แต่หลิวเสี้ยนหยางเองก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เฉินผิงอันจะกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง”
เฉินซื่อมองไกลไปยังเรือยันต์ลำนั้น “คาดว่าเฉินผิงอันเองก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหลิวเสี้ยนหยางจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่”
แล้วเฉินซื่อก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “พี่สาวของข้าเคยบอกว่า ถ้าสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปเป็นสถานที่ที่มากไปด้วยผู้คนมีพรสวรรค์ คือสถานที่ยอดเยี่ยมที่ ฮวงจุ้ยดีงามแห่งหนึ่ง”
ในกระโจมเจี่ยเซิน
ผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อเดินเข้ามาด้านใน นอกจากหลีเจินแล้ว เส้นสายตาของทุกคนล้วนพากันมารวมอยู่ที่เขา
เด็กหนุ่มมู่จีถาม “เป็นอย่างไร?”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดีนั่น ข้ากล้ายืนยันว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ไม่ใช่ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ดำรงตนอยู่ในความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมอันยิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าเวทกระบี่ของเขาช่างลี้ลับมหัศจรรย์นัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ อวี่ซื่อก็ยกมือขึ้น กลิ่นคาวเลือดจางๆ พลันลอยมา “เห็นหรือไม่ ชุดคลุมอาคมไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย”
แล้วอวี่ซื่อก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ที่แท้บนข้อมือที่ห่อหุ้มไว้ด้วยหน้าหนังสือสีทองหลายแผ่นก็เปรอะโชกไปด้วยเลือด เขาพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “โชคดีที่พอจะมีของป้องกันตัว ไม่อย่างนั้นต่อให้ไม่ตาย ก็คงต้องถูกปณิธานกระบี่ที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นของคนผู้นี้ถลกหนังออกไปชั้นหนึ่งเป็นแน่”
มู่จีถาม “หลิวเสี้ยนหยางออกกระบี่อย่างไร?”
อวี่ซื่อส่ายหน้า “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายออกกระบี่อย่างไร เงียบเชียบไร้เสียง อยู่ดีๆ ก็พุ่งมา…ราวกับความรู้สึกขนลุกขนชันยามที่ถูกพวกผู้อาวุโสปรายตามอง”
มู่จีขมวดคิ้ว “เป็นเพราะปราณกระบี่ของหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นเร็วเกินไป เร็วจนสามารถทะลุกระแสน้าแห่งกาลเวลาโดยไม่เกิดริ้วคลื่นแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น ฉีโซ่วที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต กระบี่บินเล่มที่มีชื่อว่าซินเสียนของเขา มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็คือสามารถลดระดับการถ่วงรั้งให้หยุดชะงักตามธรรมชาติของ แม่น้ำแห่งกาลเวลาให้อยู่ในระดับที่ต่าที่สุด ดังนั้นจึงมีความเร็วสูงมาก หรือจะบอกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางประหลาดกว่านี้เสียอีก?”
หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยว่า “สำนักกระบี่ไท่ฮุยของหานไหวจื่อเซียนกระบี่ใหญ่แห่ง อุตรกุรุทวีปมีเซียนกระบี่คนใหม่นามว่าหลิวจิ่งหลง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขา ลี้ลับและพิสดารอย่างถึงขีดสุด แม้จะไม่รู้ชื่อ แต่ก็ถูกขนานนามว่า ‘ใกล้ชิดมรรคา’”
อวี่ซื่อยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างแรง เขาสะบัดแขนข้างนั้น รู้สึกเสียดายยันต์สีทองหลายแผ่นที่ถูกทำลายไปไม่น้อย “ขอบเขตน่าจะไม่ได้สูงขนาดนั้น ต้องไม่ใช่ เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน เพียงแค่เวทกระบี่แปลกประหลาดเกินไป”
กระบี่บินเล่มหนึ่งส่งข่าวมาที่กระโจมเจี่ยเซิน
อ่านเนื้อหาของจดหมายลับจบ มู่จีก็คลี่ยิ้ม
ทุกคนในกระโจมเจี่ยเซินต่างก็ยิ้มตาม
มู่จีลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมา ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน วาดวงกลมวงหนึ่ง
ในกระโจมใหญ่พลันปรากฏม้วนภาพยาวสูงประมาณจั้งกว่าลอยตัวอยู่กลางอากาศ
มู่จีเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ทางฝั่งของกระโจมกุ่ยเว่ยได้ส่งรายงานข่าวไปให้กับกระโจมทัพทุกแห่งแล้ว นี่คือภาพการกระจายตัวของกองกำลังทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งงานคร่าวๆ ของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกท่าน หรือตำแหน่งการยืนบางส่วนที่ค่อนข้างจะแน่นอน ในจดหมายล้วนมีบันทึกและระบุเอาไว้ นอกจากนี้พวกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่พลังพิฆาตมิอาจดูแคลน สามารถเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งได้เพียงลำพัง บวกกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทุกคนที่พลังพิฆาตค่อนข้างสูง ล้วนมีบันทึกไว้อย่างละเอียดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์อย่างพวกหนิงเหยา ขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตชมมหาสมุทรบางส่วนก็มีการระบุตำแหน่งแยกออกมาต่างหาก”
มู่จีเริ่มรายงานชื่อของเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่ที่สำคัญ รวมไปถึงตำแหน่งการออกกระบี่ หน้าที่การพิทักษ์เมืองอย่างเป็นรูปธรรมของพวกเขา ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดชื่อหนึ่ง สตรีคนนั้นก็จะเขียนชื่อตัวเล็กๆ ลงไปบนม้วนภาพ ยังดีที่คนในกระโจม เจี่ยเซินล้วนสายตาดีเยี่ยม ต่อให้ขอบเขตไม่สูง แต่ขอแค่เพ่งสายตามองม้วนภาพที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดนี้ ต่อให้ตัวอักษรจะเล็กแค่ไหนก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ชื่อบนม้วนภาพแบ่งออกเป็นสามสีได้แก่สีทอง สีชาด สีหมึก โดยแบ่งเป็น เขียนชื่อของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่ ห้าขอบเขตกลางซึ่งรวมโอสถทองเป็นหนึ่งในนั้น
มู่จีพูดเน้นย้าว่า “สามารถมีชื่ออยู่บนนี้ได้ ต่อให้เป็นหมึกสีดำที่มองดูเหมือน ไม่สะดุดตา แต่ยิ่งขอบเขตต่ำก็ยิ่งต้องให้พวกเราหาโอกาสสังหารให้ได้มากเท่านั้น”
หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้น้าหมึกสีทองวงชื่อพิเศษพวกนี้เอาไว้โดยเฉพาะดีไหม?”
มู่จีพยักหน้ารับ “ได้สิ ยกตัวอย่างเช่นกวอจู๋จิ่วบุตรสาวของเซียนกระบี่กวอเจี้ย เกาโย่วชิงน้องสาวของเกาเหย่โหว”
บนม้วนภาพ
มีสิบคนสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่
นอกจากนี้ก็มีเซียนกระบี่ใหญ่แต่ละท่านซึ่งรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋นเจ้าประมุขสกุลเหยา หานไหวจื่อแห่งอุตรกุรุทวีป หลี่ถุ่ยมี่ผู้ถวายงานของตระกูลเยี่ยน
ในอดีตการโจมตีเมืองแต่ละครั้ง ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดคำนวณรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ เพียงแต่ว่าคำนวณแล้ว ทว่ากลับตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
แต่ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีกระโจมแม่ทัพหกสิบหลังซึ่งรวมถึงกระโจมเจี่ยเซินเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกตนเกือบห้าพันคนมีทั้งคนที่รับผิดชอบดูแลสถานการณ์รบในพื้นที่ของตัวเองเฉกเช่นกระโจมเจี่ยเซิน แต่กระโจมที่มากกว่านั้นกลับยังต้องคอยดูแล เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งควบคู่ไปด้วย
นี่ก็เพราะว่ากระโจมเจี่ยเซินค่อนข้างจะพิเศษ เพราะมีตัวอ่อนเซียนกระบี่อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิไปดูแลเรื่องอื่น หลีเจินแห่งภูเขาทัวเยว่ เป้ยเชี่ย ทุนทาน อวี่ซื่อ ผู้ฝึกกระบี่หญิงสาวหลิวป๋าย
เมล็ดพันธ์ร้อยเซียนกระบี่ที่ควานหามาจากตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในกระโจมเจี่ยเซินแห่งเดียวก็มีมากถึงห้าคน นี่ก็มากจนมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
กระโจมอื่นๆ จะต้องดูแลเรื่องอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่นกระโจมกุ่ยเว่ยที่จำเป็นต้องคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นกองกำลังของกำแพงเมือง ปราณกระบี่เป็นพิเศษ รวมไปถึงคอยบันทึกการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ทุกท่านบนหัวกำแพงเมือง เหตุใดต้องออกกระบี่ ออกกระบี่ใส่ใคร แรงที่ใช้ในการออกกระบี่ พลังพิฆาตเป็นอย่างไร ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือไม่ รวมไปถึงข้อที่เป็นกุญแจสำคัญและถูกเก็บพรางเอาไว้ นั่นก็คือต้องวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายจงใจออมแรงหรือไม่ หากใช่ ก็วงกลมเอาไว้ ดูว่าการแสดงออกในสนามรบครั้งหน้าจะยังคง ‘เกรงใจ’ แบบนี้ อีกหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ และแน่ใจในความจริงใจของอีกฝ่ายแล้ว ก็จะต้องปรับลดกองกำลังทหารของกระโจมทัพที่เกี่ยวข้องให้ลดน้อยลง การโจมตีต้องไม่รุนแรงมากเกินไป แต่ก็ห้ามเปิดเผยร่องรอยให้เห็นชัดเจนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหาก ทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันเกิดใจตรงกัน แล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิดมองออก ด้วยนิสัยของเฉินชิงตู จุดจบของเซียนกระบี่ท่านนั้นต้องไม่มีทางดีได้อย่างแน่นอน เมื่อถูกเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นนี้ เซียนกระบี่ที่อยู่ที่นั่นจะยังกล้าแสดงความเป็นมิตร อย่างลับๆ อีกได้อย่างไร
และอย่างกระโจมซินเหม่าก็จะรับผิดชอบคอยโยกย้ายกองกำลังของผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตบนทั้งหมดในกองทัพฝ่ายตัวเอง ดึงตัวไปให้สนามรบของกองทัพอื่น
กระโจมเกิงอิ๋นดูแลเรื่องเสบียงที่สำคัญสำหรับกองทัพ กระโจมอี่เว่ยดูแล เรื่องกองหนุน จำเป็นต้องชักนำให้พวกเขาไปยังตำแหน่งที่แน่นอนซึ่งอยู่ด้านหลังของสนามรบ ตั้งค่ายขึ้นมารอให้พร้อมสำหรับการลงสนามรบทุกเมื่อ อีกทั้งจัดหาเส้นทางในการบุกโจมตีอย่างเหมาะสม
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนอกจากปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดของใต้หล้าไพศาลจำนวนเพียงหยิบมือแค่ไม่กี่ท่านแล้ว ดูเหมือนว่าคนอื่นจะยังมาไม่เข้าร่วมทัพ นี่ก็เพราะนอกจากที่สนามรบในเวลานี้ยังไม่ต้องการให้ยอดฝีมือเหล่านี้ลงมือ แท้จริงแล้วพวกเขาเองก็ ยุ่งมากเหมือนกัน ดึงเอากองกำลังครึ่งหนึ่งของใต้หล้ามาโจมตีกำแพงเมือง ปราณกระบี่ คือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เบื้องหลังสนามรบ กองกำลังที่แยกตัวเป็นอิสระซึ่งพยศไม่ขึ้นกับใครจำนวนมากนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดียอมเชื่อฟังคำสั่งอย่างง่ายดาย บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่ที่เรือนกายแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ซึ่งแม้แต่การสังเกตการณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ก็ยังไม่เข้าใจ นี่จึงจำเป็นต้องกำราบเอาไว้ก่อน และยังมีอีกจำนวนมากที่ภายนอกแสดงออกว่าเชื่อฟังคำสั่ง แต่กลับแอบซ่อนกำลังทรัพย์ส่วนตัวเอาไว้ และ ยังมีบางส่วนที่ยุ่งยากที่สุด นั่นคือพวกที่จุดไฟในเรือนหลัง สร้างปัญหาความขัดแย้งภายในแตกคอกันเอง และยิ่งมีเซียนกระบี่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทำตัวเป็นเซียนกระบี่ ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ยินดีจะออกกระบี่อย่างองอาจผึ่งพาย แต่กลับทำตัวเป็นนักฆ่าที่เสี่ยงอันตรายแทน คนเหล่านี้มักจะมาลอบฆ่าพวกผู้นำที่นำทัพและสกัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่เดินทางขึ้นเหนือโดยเฉพาะ
หากเซียนกระบี่ท่านหนึ่งยืนกรานว่าจะฆ่าคนให้ได้ก่อนแล้วค่อยไป ก็คือ ปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
เอาชนะผู้ฝึกตนคนหนึ่งกับสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
เหตุใดทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเฉินผิงอันกำลังตกปลาล่อเหยื่อ กระโจมเจี่ยเซินก็ยังต้องการสังหารคนผู้นี้? นั่นก็เพราะการที่เฉินผิงอันฆ่าหลีเจินได้ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ เฉินผิงอันชนะเท่านั้น บุคคลที่หากปล่อยให้เติบโตอย่างแท้จริงจะกลายเป็น ปัญหาใหญ่ร้ายแรงเช่นนี้ มีค่าพอที่จะให้กระโจมเจี่ยเซินนำผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งไปเดิมพัน เพียงแต่ว่าการรายงานข่าวของตอนนั้นขาดหายไป ไม่สามารถแน่ใจในวิธีการออกกระบี่และพลังพิฆาตน้อยใหญ่ของเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปผู้นั้นได้ ดังนั้นกระโจมเจี่ยเซินจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
มู่จีรับเอาความบกพร่องต่อหน้าที่ส่วนนี้มาไว้ที่ตัวเองอย่างไม่ลังเล ต่อให้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะต้องเสียโอกาสที่จะได้รับการมอบชื่อและการบันทึกลงในผังวงศ์สกุลเพราะเรื่องนี้ แต่มู่จีก็ยังไม่มีความเสียใจใดๆ
ทำสงคราม ต้องมีคนตาย คนตายไปเยอะมาก ไม่ใช่การเล่นพ่อแม่ลูก ขอแค่เอาชนะได้ ทุกอย่างล้วนพูดได้ง่าย สามารถหาโอกาสชดเชยได้อย่างง่ายดาย แต่หากสงครามครั้งนี้ต้องพ่ายแพ้ วันหน้าใครจะได้เป็นเจ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็บอกได้ยากแล้ว
อาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คาดว่าน่าจะใหญ่กว่าใต้หล้าไพศาลไปอีก สองอุตรกุรุทวีป
เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ร่ารวยอุดมสมบูรณ์แล้ว ในบางระดับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็เหมือนชั้นวางที่ว่างเปล่า ผืนแผ่นดินแร้นแค้น ทรัพยากรขาดแคลน
แม้จะบอกว่าไม่ขาดเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันแล้วก็ถือว่าด้อยกว่าเยอะมาก
แต่ความแตกต่างมหาศาลนี้ก็เป็นแค่การเอาใต้หล้าหนึ่งมาเปรียบเทียบกับอีก ใต้หล้าหนึ่งเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่เผ่าปีศาจยังมีการขยายเผ่าพันธุ์ แตกกิ่งก้านสาขาไปได้อย่างรวดเร็ว
บวกกับที่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก็แทบไม่มีพันธนาการด้านคุณธรรมจริยธรรม
แล้วก็มีราชวงศ์ที่ใหญ่มากบางส่วนยึดครองพื้นที่อิทธิพลที่กว้างขวาง รวมไปถึงมีผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์และพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่งทำให้กองกำลังอื่นๆ น้าลายสออยากครอบครอง ว่ากันว่าไม่แพ้ให้กับถ้ำสวรรค์ พื้นที่มงคลของใต้หล้าไพศาลและใต้หล้ามืดสลัวเลย
อวี่ซื่อกรอกเหล้าชั้นเลวเข้าปากหนึ่งอึก ก่อนจะเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอันผู้นั้น ตอนที่ข้าขึ้นไปบนสนามรบก็เหลือบมองอยู่หลายที ก็เหมือนอย่างที่ทุนทานบอก เขาเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดจะจับคู่เข่นฆ่ากับเขา เจ้านั่นก็เป็นคนที่ตอแยได้ยากอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ”
หลีเจินเอ่ย “อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย บวกกับที่เดิมทีก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก่อนกำเนิด การลงมือในเวลานี้แน่นอนว่าย่อมเป็นการฝืนตัวเอง สามารถเฝ้าพิทักษ์อาณาเขต แถบนั้นของเขาได้ต้องยกคุณความชอบให้กับความช่วยเหลือจากฉีโซ่วและ หลิวเสี้ยนหยาง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ การวางแผนคิดคำนวณพลังการสังหารของ กระบี่บินตัวเอง คำนวณพลังการต่อสู้ของฝ่ายคู่ต่อสู้ ให้ความสำคัญกับรายละเอียด เผาผลาญพลังของศัตรู คือเรื่องที่เขาถนัดที่สุด”
สตรีผู้นั้นเอ่ยว่า “รับมือกับไอ้หมอนี่จะต้องสร้างสถานการณ์ของการบดขยี้ขึ้นมาให้จงได้”
มู่จีถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ลองล้อมสังหารดูดีไหม? หลีเจินเจ้าเป็นฝ่ายโจมตีหลัก อวี่ซื่อช่วยคุมท้ายขบวน ทุนทานรับผิดชอบคอยเก็บส่วนที่ตกหล่น ส่วนจะทำได้หรือไม่ ก็ลองพยายามดูก่อนค่อยว่ากัน”
เป้ยเชี่ยพลันเอ่ยว่า “เปลี่ยนหลีเจินมาเป็นข้า”
หลีเจินสีหน้ามืดทะมึน
เป้ยเชี่ยเอ่ย “เป็นความต้องการของอาจารย์ข้า”
สีหน้าของหลีเจินถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง
ในบรรดาปีศาจใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต่อให้จะเป็นพวก ผู้เผด็จการที่ขึ้นชื่ออย่างป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกขาว และเจ้าของแม่น้าเย่ลั่ว ก็ยังโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย
มีเพียงอาจารย์ของเป้ยเชี่ยเท่านั้นที่ถือว่าเป็นบุคคลใหญ่ที่พอจะพบเจอได้ง่าย เพราะมักจะออกเดินทางไปทั่วทิศอยู่ตลอดทั้งปี ไม่มีสำนัก ไม่มีที่พัก แต่กลับมี คำวิจารณ์เกี่ยวกับเขาน้อยมาก อย่างมากสุดก็แค่บอกว่าคนผู้นี้ขอบเขตสูงเสียเปล่า ดันไม่ยินดีที่จะออกแรงเพื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ต่างก็พูดกันว่าศึกสิบสามในปีนั้น หากเขายินดีออกรบ ก็คงไม่มีเรื่องยุ่งยากอย่างสงครามใหญ่โจมตีเมืองอีกสองครั้งที่ตามมาในภายหลังอีกแล้ว
แต่เขากลับปฏิเสธไปโดยตรง
มีปีศาจใหญ่สองตนที่ละเมิดคำสาบานจึงกายดับมรรคาสลาย ทว่าบรรดาลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขาที่เสียสติกลับไปหาเขาเพื่อแก้แค้น
ผลคือเขาไม่แม้แต่จะออกกระบี่ เพียงปล่อยหมัดง่ายๆ ก็ต่อยให้เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่เป็นผู้นำตาย ว่ากันว่าแค่หมัดเดียวเท่านั้นจริงๆ
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ล้วนถูกเป้ยเชี่ยผู้ฝึกกระบี่ลูกผสมที่ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กหนุ่มออกกระบี่ไล่ฆ่าไปทีละคน หลงเหลือแค่มดไม่กี่ตัวที่โชคดีมีชีวิตรอดหนีกลับสำนักใครสำนักมัน ช่วยนำความไปบอก จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปขออภัย สุดท้ายผู้ติดตามซึ่งเป็นเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบสองตนที่ติดตามอยู่ข้างสองอาจารย์และศิษย์มานานหลายปีก็ช่วยป้อนกระบี่ให้กับเป้ยเชี่ย
หลักการเหตุผลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นเรียบง่ายมาโดยตลอด ตรงไปตรงมา ใครที่หมัดใหญ่คนนั้นก็มีเหตุผลมาก
หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีหนังสือประวัติศาสตร์ที่รวบรวมขึ้นอย่างถูกต้องเป็นของตัวเองฉบับหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นทุกหน้าก็จะต้องแทรกซึมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกแน่นอน
กองกำลังในพื้นที่มากมายที่กว่าจะรวบรวมกันจนมีเค้าโครง มีลางของแคว้นใหญ่ได้อย่างยากลำบากล้วนถูกปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่นิสัยชั่วร้ายวิปริตเหยียบย่าและทำลายอย่างกำเริบเสิบสาน
เมืองหลวงหลายแห่งที่กษัตริย์หลายยุคหลายสมัยต้องอาศัยการอุทิศตัวเหน็ดเหนื่อยแสนเข็ญกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ ทว่าทุกสิ่งที่ทำมากลับต้องกลายเป็นซากปรัก พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยเลือดภายในค่าคืนเดียว
ยกตัวอย่างเช่นแม่ทัพใหญ่คนรู้ใจหกคนใต้บังคับบัญชาของป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกที่ยิ่งชอบทำให้อาณาบริเวณพันลี้ของหนึ่งแคว้นกลายเป็นสุสานแห่งแล้วแห่งเล่า ทุกคนในแคว้นล้วนกลายเป็นหุ่นเชิดโครงกระดูก จากนั้นก็ทำเหมือน การเลี้ยงกู่ที่สุดท้ายแล้วจะเหลือแค่พวกที่ใช้งานได้จริงๆ เท่านั้น
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่าเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นหายนะนานาประการมาได้
เพราะว่านี่ก็คือกฎที่ภูเขาทัวเยว่ตั้งไว้
ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เหมือนกับเมล็ดพันธ์บัณฑิตของ ใต้หล้าไพศาล ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าถูกปกป้องไว้ดียิ่งกว่าเสียอีก
อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดที่สุดเช่นกัน
ศัตรูที่มีร่วมกันของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้น แต่ไม่ว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะโจมตีเมืองอย่างไร ต้องมีจุดจบที่อนาถน่าสังเวชมากแค่ไหน
สำหรับผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว พวกเขาล้วนมีความเคารพเลื่อมใสที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ
ยามเข่นฆ่าบนสนามรบ ไม่เคยออมมือ
ยามออกจากสนามรบและพูดถึงเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น บางทีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ผ่านสงครามมาด้วยตัวเองอาจรู้สึกเคียดแค้นเข้ากระดูก แต่กลับไม่เคยด่าทอหรือพูดประณามให้ร้าย
หนิงเหยากลับไปที่จวนหนิงเพียงลำพัง บอกว่าจะปิดด่านหลอมกระบี่
คนอื่นๆ ที่เหลือไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง ฟ่านต้าเช่อยอมรับชะตากรรม มานานแล้ว จึงยืมเงินมาเลี้ยงเหล้าทุกคน
เหล้ามื้อนี้ดื่มจบอย่างรวดเร็ว พวกเฉินซานชิวต่างกลับบ้านใครบ้านมัน กวอจู๋จิ่วเดินไต่ผนังผ่านหลังคาบ้านคนอื่นไปตลอดทางเพื่อกลับไปหาหีบไม้ไผ่ใบเล็กนั่น ไม่ได้เจอกันนาน นางคิดถึงมันมากเป็นพิเศษ
สุดท้ายเหลือเพียงเถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่รอง รวมไปถึงผีขี้เหล้ามากมายที่แล่น มาดื่มเหล้าดับกระหาย เตี๋ยจ้างยุ่งอยู่กับกิจการของร้าน เฉินผิงอันไปนั่งดื่มเหล้า อยู่ข้างทาง
ไม่นึกว่าอวี้เจวี้ยนฟูกับจูเหมยก็จะมาดื่มเหล้าที่ร้านด้วย
อวี้เจวี้ยนฟูหิ้วกาเหล้าเดินมาทางเฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งอยู่ข้างเถ้าแก่รองรีบขยับตัวเว้นที่ว่างให้พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก แต่ละคนกลายเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อวี้เจวี้ยนฟูนั่งลงบนขั้นบันไดที่อยู่ด้านข้าง จูเหมยยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล นิสัยห้าวหาญเปิดเผยอย่างชาวยุทธของพี่หญิงไจ้ซีนี้ ถึงอย่างไรเด็กสาวก็เรียนรู้มาไม่ได้เสียที
อวี้เจวี้ยนฟูถาม “เฉินผิงอัน วิชาหมัดนั้นของเจ้าไม่แพร่หลายในแจกันสมบัติทวีปหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คนที่เรียนมีน้อยมาก น้อยจนนับนิ้วได้ หากกำหนดจากจำนวนคนที่เรียนก็จะถือเป็นวิชาหมัดเล็ก แต่หากดูจากระดับความสูงต่าของ ปณิธานหมัดก็ถือเป็นวิชาหมัดใหญ่”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “เฉินผิงอัน พยายามเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล ให้เร็วหน่อย เจ้ากับเฉาสือ หากไม่พูดถึงว่าใช่ผู้มีพรสวรรค์หรือไม่ บนเส้นทางของการฝึกยุทธ ต่อให้พวกเจ้าเดินอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยที่สุดสำหรับ ข้าแล้วก็เป็นเช่นนี้ อย่าได้เลียนแบบผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เอาแต่เดินบนสะพานไม้ อย่างเดียว”
เฉินผิงอันชูถ้วยเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “เห็นด้วย”
อวี้เจวี้ยนฟูดื่มเหล้าแล้วก็พาจูเหมยจากไป
เฉินผิงอันเอ่ยทักทายเด็กน้อยเถาป่านคำหนึ่งก็กลับไปที่จวนหนิง เพียงแต่ว่า พอไปถึงประตูใหญ่กลับบอกป๋ายหมัวมัวว่าจะไปที่หัวกำแพงเมืองสักครั้ง
จากนั้นก็ขับเรือยันต์ออกมาจากนคร ด้านล่างคือจวนส่วนตัวของเซียนกระบี่มากมาย
พอไปถึงหัวกำแพงเมืองก็ไปหาศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่ว
หลังจากบอกความคิดของตัวเองไปแล้ว จั่วโย่วก็ยิ้มกล่าวว่า “คิดแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด จะได้ลดปัญหายุ่งยากบางอย่างของข้าไปได้ ด้วยตบะน้อยนิดของเจ้าในเวลานี้จะทำเรื่องใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? สุดท้ายสถานการณ์ใหญ่ดำเนินไปในทิศทางใด ควรเดินไปอย่างไรก็เดินไปอย่างนั้น การพยายามซ่อมแซมปะชุนที่เจ้าทำ เจตนาดี แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไร แต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ข้ากลับมีคำถามหนึ่งจะถามเจ้า ยังไม่พูดถึงขอบเขตหรือสถานะ พูดถึงแค่ความเป็นไปได้ หากเจ้าตายอยู่ที่นี่แล้วจะสามารถพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เอาไว้ได้ เจ้าจะยอมตายหรือไม่?”
เฉินผิงอันเงียบงัน
จั่วโย่วเอ่ย “ถึงอย่างไรก็เป็นความเป็นไปได้ที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคำตอบในใจคืออะไร ตัวเจ้ารู้เองก็พอแล้ว หากไม่งัดข้อกับตัวเองให้มาก แล้วจะไปงัดข้อกับฟ้าดินได้อย่างไร อย่ารู้สึกว่าการที่ตัวเองคิดมากเป็นเรื่องร้าย ลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีคำกล่าวว่าวัตถุมีต้นมีปลาย เรื่องราวมีเริ่มต้นและจุดจบ รู้ต้นสายปลายเหตุก็จะเข้าใกล้กฎเกณฑ์การพัฒนาของเรื่องราว ลัทธิพุทธมีลำดับขั้นตอน ค่อยๆ ตระหนักรู้ เมื่อบรรลุแล้วก็เห็นแจ้ง ลัทธิเต๋าก็มีคำกล่าวว่าสะสมข้าวโพด ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองสนามรบทางทิศใต้ เอ่ยเสียงเบาว่า “คำสั่งสอนของศิษย์พี่ จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
จั่วโย่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เรื่องของการศึกษาหาความรู้จะเพิกเฉยไม่ใส่ใจไม่ได้ ข้าจะมอบปัญหาเล็กๆ ให้เจ้าอีกสองข้อ ลองคิดดูสิว่าเหตุใดสองลัทธิพุทธเต๋าถึงได้ปฏิบัติต่อการสร้างเทวรูปแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้? อีกอย่างก็คือสี่หลักใหญ่ของ ลัทธิพุทธอย่าง ปัญญา เมตตา ปฏิบัติ ความหวัง เจ้าคิดว่าหากอิงตามทฤษฎีขั้นตอนของอาจารย์ อะไรควรมาก่อนมาหลังถึงจะดียิ่งกว่า ดีที่สุด เป็นสติปัญญามาก่อน จิตจึงเกิดเมตตา เกิดความหวังที่ยิ่งใหญ่ แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ? หรือต้องมีใจเมตตา เกิดความหวัง เมื่อปฏิบัติแล้วจึงเกิดสติปัญญา? ลองไปคิดดูเอาเอง คิดให้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ อะไรเลยนะ”
จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับข้าแล้วก็คือปัญหาเล็กๆ สำหรับอาจารย์ก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา อะไรเลย”
เฉินผิงอันบอกลาจากไป จิตของเขาขยับไหวเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหา เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กระท่อม
เพราะกลับกลายเป็นว่ามีเรื่องเพิ่มมาอีกเรื่องที่ต้องให้เขาเฉินผิงอันไปทำ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวหน่อยไม่ได้หรือ? จะต้องทรมานศิษย์น้องเล็กของข้าขนาดนี้ด้วยหรือไง?”
หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้มีเวทกระบี่สูงจริงๆ จั่วโย่วก็คงต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเจ้าคือหอมต้นไหนแล้ว
เฉินชิงตูมาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว เอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เวทกระบี่สูงที่สุดก็ดีอย่างนี้เอง ทุกวันถึงได้ปลอดโปร่งโล่งสบายนัก”
จุดที่สายตาของเฉินชิงตูมองไปก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลมาก
ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนั้นก็คือโรงเรียนตามแบบฉบับแห่งหนึ่งที่มีบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อกำลังถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเด็กหนุ่มเด็กสาว
เขาบอกจุดเริ่มต้นของความรู้กลอนบทประพันธ์ก่อน ใช้สองประโยคว่าแสงอาทิตย์เหนือขุนเขาส่องแสง ต้นหญ้าเขียวแตกหน่อริมขอบบ่อเป็นประโยคตัวอย่าง อธิบายว่าสองประโยคนี้มองดูเหมือนตื้นเขินตรงไปตรงมา แต่แท้จริงแล้วกลับบรรยายถึงทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน ไม่เหลือพื้นที่ให้คนรุ่นหลังได้ขบคิด
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อท่านนี้มีนามแฝงว่าโจวมี่ ด้านหลังคือฉากกั้นภาพขุนเขาสายน้ำที่วาดโดยใช้หลักสามสีได้แก่สีทอง สีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อนเป็นหลัก บนโต๊ะหนังสือที่อยู่ด้านหน้าจัดวางตำราและอุปกรณ์ของตกแต่งไว้จนเต็ม มีสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือ และยังมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกเก้าชิ้นอย่างพวกที่ทับกระดาษ แท่นฝนหมึก ฯลฯ
ยิ่งเป็นสมบัติวิเศษที่ดีแต่รูปลักษณ์แต่ใช้งานจริงไม่ได้ บางทีอยู่ในใต้หล้าไพศาลอาจเป็นแค่ของเล่นจุกจิกของบนภูเขาตระกูลเซียนทั่วไปหรือของราชวงศ์โลกมนุษย์ แต่กลับจะยิ่งถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนมากของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบูชาราวกับสิ่งของล้ำค่า
โจวมี่ผู้นี้ก็คือปีศาจใหญ่ที่มีบัลลังก์สูงเป็นลำดับที่สองอยู่ในบ่อลึกโบราณ เป็นรองแค่ ผู้เฒ่าชุดเทาผู้นั้น ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งที่นั่งของเขายังสูงกว่าหลิวชาชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ผู้นั้นเสียอีก
เขาถูกขนานนามว่า ‘มหาสมุทรแห่งความรู้’ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คือภูเขาทัวเยว่ ในด้านวิชาความรู้
อ่านตำรามากมายมานับไม่ถ้วน ไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้ ไม่มีเรื่องใดที่ไม่เชี่ยวชาญ ความรู้ทุกแขนงล้วนแตกฉาน สามลัทธิขงจื๊อพุทธเต๋า เมธีร้อยสำนัก บทกวีบทกลอน วิชาคำนวณ การเขียนพู่กัน วาดภาพ แกะสลักตัวอักษร การอธิบายสัทศาสตร์ ล้วนเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
โจวมี่เรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือเฒ่า และยังถูกผู้คนขนานนามว่าจิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆ
ในบรรดาลูกศิษย์ของเขาอย่างโซ่วเฉิน ไฉ่อิ๋ง ถงเสวียน ถงอิน อวี๋จ่าว และยังมีหลิวป๋ายที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินผู้นั้น ตอนนี้ล้วนติดอันดับเมล็ดพันธ์ร้อยเซียนกระบี่ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกศิษย์อีกกลุ่มใหญ่ที่ตอนนี้เป็นคนบนเส้นทางของสำนักการทหาร สำนักการค้า และสำนักคำนวณ
ลูกศิษย์ของโจวมี่ แซ่สกุลของทุกคนล้วนจำเป็นต้องรอให้ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ให้แตกก่อนถึงจะได้รับมา
ในความเป็นจริงแล้ว คนที่รับผิดชอบถือพู่กันเขียนชื่อลงในทำเนียบวงศ์สกุลนี้ ก็คือตัวโจวมี่เอง
เล่าลือกันว่าในประวัติศาสตร์ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋งเคยถามด้วยความใคร่รู้ว่า ‘อาจารย์โจวมี่อยากเป็นเจ้าแห่งสายบุ๋นของใต้หล้าเราหรืออย่างไร?’
โจวมี่ยิ้มตอบ ‘แค่นั้นยังไม่พอ’
และวันนี้โจวมี่ก็ได้พูดถึงเรื่องความรู้ยิบย่อยที่ว่า เป็นคนต้องจริงใจไร้เดียงสา ลงมือกระทำให้เป็นดั่งการสร้างเรื่องราว พูดทีหนึ่งก็นานเกือบครึ่งชั่วยาม
อีกทั้งเขายังจะต้องถามคำตอบจากพวกลูกศิษย์ก่อน จากนั้นโจวมี่ที่เป็นอาจารย์ผู้สอนหนังสือถึงจะให้คำตอบของตัวเอง หากมีใครที่ตอบคำถามได้อย่างยอดเยี่ยม โจวมี่ก็จะมอบของตกแต่งบนโต๊ะหนังสือไปให้ชิ้นหนึ่ง และวันนี้เขาก็มอบตราประทับส่วนตัวที่สลักคำว่า ‘ลำธารขุนเขาไร้ที่สิ้นสุด’ ด้วยมือตัวเองให้กับลูกศิษย์
ช่วงแรกๆ ที่โจวมี่เริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้เคยพูดกับลูกศิษย์รุ่นแรกทุกคน อย่างตรงไปตรงมาว่า ทุกวันนี้บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลไม่คิดว่าหลักการเหตุผลล้ำค่าอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีหลักการเหตุผลเป็นของตัวเอง ความผิดความถูกและความดีความเลวในหลักการเหตุผลเหล่านั้นซับซ้อนอย่างมาก แต่บัณฑิตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังอยู่ไกลเกินกว่าจะไปได้ถึงขอบเขตนั้น ไม่มีคุณสมบัติที่ทุกคนจะมีเหตุผลได้เลย เพราะพื้นฐานแย่เกินไป ดังนั้นช่วงแรกของการศึกษาหาความรู้จึงต้องมีใจที่เคารพศรัทธา การบ้านของลูกศิษย์ทุกคนของโจวมี่มีแค่อย่างเดียว นั่นคือทุกวันต้องคัดตำราของเมธีร้อยสำนัก
วันนี้ปัญหาข้อสุดท้ายคือ โจวมี่พูดถึงคนและเวลา
นี่เกี่ยวพันไปถึงจุดประสงค์อันเป็นรากฐานอย่างหนึ่ง โจวมี่เชื่อว่าต่อให้เผ่าปีศาจสติปัญญาเปิดโล่ง จำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็มีเพียงต้องอ่านตำราศึกษา เล่าเรียนเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
ใบหน้าของโจวมี่ประดับรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจไม่หยุด
ก่อนอายุสิบปี กาลเวลาคือลำธารเส้นเล็กที่ค่อยๆ ไหลริน ช้าจนราวกับว่าชั่วชีวิตนี้ จะไม่เติบโตอีกแล้ว มองไม่เห็นทัศนียภาพที่ห่างไปไกล
หลังจากอายุยี่สิบ ไม่สนใจการไหลหายไปของกาลเวลาแม้แต่น้อย ช้าเร็วตามแต่ใจ มองนานหน่อยยังรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้า
หลังอายุสามสิบ กาลเวลาเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง กระชากให้คนเดินไม่ทันตั้งตัว
หลังอายุสี่สิบ ราวกับมันกลายมาเป็นมหานทีที่ไหลทะลักเข้าสู่มหาสมุทร
หลังอายุหกสิบ อยู่ดีๆ ก็คล้ายเปลี่ยนไปในฉับพลัน กลายมาเป็นทะเลสาบที่สงบนิ่ง หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ก่อนจะจากโลกนี้ไปก็เหมือนน้ำตกสายหนึ่งที่หล่นร่วงลงสู่บ่อลึก
มีลูกศิษย์ที่ฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็มีลูกศิษย์ที่ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจ
และโจวมี่ก็ไม่แบ่งแยกพวกเขาว่าใครสูงหรือใครต่าเพราะสาเหตุนี้ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยิ่งเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ มองจากภายนอกก็ยิ่งไม่มีความหมายที่จับต้องได้จริงมากเท่านั้น แต่หากถามความคิดของข้า อำนาจที่แท้จริงของโลกไม่ได้อยู่ตำแหน่งสูง ไม่ได้อยู่ที่หมัดแข็ง แต่อยู่ที่คนคนหนึ่งสามารถสร้างอิทธิพลให้ในใจของคนได้กี่ มากน้อย พวกเจ้าฟังเข้าหู ดีมาก ฟังไม่เข้าหู ก็ไม่เป็นไร มีทักษะพิเศษที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยนั้นอยู่ กาลเวลายาวนาน ขอแค่ไม่ขังตายห้องหัวใจตัวเอง พวกเจ้าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้เดินขึ้นสู่ที่สูงทีละก้าว ทัศนียภาพของมหามรรคางามล้ำเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลก็จงเด็ดเอามาได้ตามใจชอบ”
โจวมี่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันหน้ามาทางฉากกั้นขุนเขาสายน้าอันนั้น ในความเป็นจริงแล้วคือมองไปยังมุมหนึ่งบนหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าคิดว่าฟ้าสูงแล้วจะไร้หูไร้ตา อย่าคิดว่าแผ่นดินหนาแล้วจะไร้ความกระตือรือร้น”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คิดจะก่อสำนักตั้งตนเป็นบรรพบุรุษ เจ้ายังห่างชั้นอยู่ไกลนัก”
ท่ามกลางม่านราตรี มีบุรุษท่าทางเฉยชาคนหนึ่งเดินผ่านประตูใหญ่ที่บุกเบิกใหม่ของภูเขาห้อยหัว ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงหอจิ้งเจี้ยน
คนที่เดินอยู่ข้างกายเขาคือบิดาของเยี่ยนจั๋วที่ร่ายใช้เวทอำพรางตา เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนที่ทำการค้ากับเรือข้ามฟากของใต้หล้าไพศาลมานานหลายปี เยี่ยนหมิง
หอจิ้งเจี้ยนปิดประตูไม่ต้อนรับแขกแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงคนสองคนที่เดินอยู่ด้านใน ชายฉกรรจ์สีหน้าเฉยชาเริ่มปลดม้วนภาพเซียนกระบี่แต่ละภาพลงมาเก็บไว้
เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนเอ่ย “เฉินผิงอัน ช่วยแกะสลักตราประทับอันหนึ่งให้ที วัตถุดิบที่ใช้แกะสลักเดี๋ยวข้าจะให้เยี่ยนจั๋วเอาไปส่งที่จวนหนิง ค่าจ้างคือ หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ตัวอักษรเจ้าไม่ต้องคิด แค่ห้าคำ ปีนเมืองเหมือนเดินสู่สุสาน”
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บม้วนภาพหนึ่งมา คิดแล้วก็ถามว่า “เพิ่มอีกห้าคำได้หรือไม่?”
เยี่ยนหมิงยิ้มถาม “คำว่าอะไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ออกกระบี่คือเซ่นสุรา”
เยี่ยนหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “จะให้เจ้าแกะสลักห้าคำนี้เปล่าๆ ไม่ได้ สองเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ท่านอาเยี่ยน ไม่ต้องจ่ายเงิน”
เยี่ยนหมิงถาม “รังเกียจว่าน้อยไป? ก็เลยไม่รับไว้เสียเลย?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้พูดไม่ออก
เยี่ยนหมิงบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันทำงานของตนต่อไป เขาเดินอยู่ด้านข้าง พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “บัณฑิตสามารถออกหมัดออกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ได้ และยังเอ่ยถ้อยคำที่มีจิตสำนึกได้มากหน่อย หากข้าไม่ใช่คนทำการค้า ก็คงคิดว่าต้องจ่ายเงินให้เจ้าทุกคำพูดแล้วหล่ะ”
เฉินผิงอันเก็บม้วนภาพหนึ่งไว้อย่างระมัดระวัง
เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงให้เขาทำเรื่องนี้ เหตุใดถึงให้เขามาเก็บภาพเซียนกระบี่ทั้งหมดของหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันเดาไม่ถูก คิดไม่ออก
แค่ทำตามก็พอแล้ว
คนทั้งสองเดินออกจากประตูของหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน ตอนที่เฉินผิงอันเดินลงบันได พลันถามว่า “ท่านอาเยี่ยน ขอข้านั่งตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่?”
เยี่ยนหมิงพยักหน้าให้ “ข้าจะไปรอเจ้าที่ประตูใหญ่ อย่าอยู่นานนัก”
แล้วเยี่ยนหมิงก็เดินจากไป
กลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คน บนท้องฟ้าของใต้หล้าไพศาลมีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดเพียงลำพัง สีหน้าเหม่อลอย
ชอบคนคนหนึ่งก็คือการดูแลนางทั้งชีวิต และมอบทั้งชีวิตนี้ให้แก่นาง
ข้าไปก่อน คนสุดท้ายที่ได้เห็นคือนาง นางไปก่อน คนสุดท้ายที่ได้เห็นคือข้า
จะหาเพื่อนสักคนหนึ่ง ดื่มเหล้าที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องติดว่าราคาแพงได้หรือไม่ ต่อให้ดื่มเหล้าที่แย่ที่สุดก็ยังยินดี
ในใจจะมีคนบางคนที่จากไปแล้วใช้ชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ขอแค่คิดถึงการกระทำและคำพูดของพวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีมากพอ
พอเติบโตขึ้นมา เปลี่ยนแปลงของกาลเวลาไม่ได้เนิบช้า ไม่ใช่การเดินจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น
จุดที่ความปรารถนามุ่งไป จุดที่กระบี่บินพุ่งไป ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนมีอิสระเสรี
แต่สรุปแล้วควรจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างไร?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ปณิธานกระบี่ยุคบรรพกาลที่หลงเหลืออยู่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่เคยโปรดปรานเขาเฉินผิงอันเลย
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมา ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจแล้วว่าต่อให้จะไม่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เหมาะสมอย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็จะลองลงมือให้ผ่านไปก่อน รวบรวมวัตถุห้าธาตุให้ครบ จะอย่างไรก็ต้องหวนกลับไปยังขอบเขตเส้นเอ็นหลิว ขอบเขต ที่สามของผู้ฝึกลมปราณให้ได้
แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากช่วยดึงหญ้าให้เติบโตบนเส้นทางของการฝึกตน หลังจากนั้นไป คาดว่าคงต้องเจอกับขอบเขตรั้งคนแล้ว
ย้อนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมเยี่ยนหมิงอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ด้วยการมอบวัตถุจื่อชื่อที่เก็บภาพวาดทั้งหมดไว้ด้านในให้กับเยี่ยนหมิง ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็กลับไปที่ จวนหนิง
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เฉินชิงตูรับวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นของเฉินผิงอันมา ไม่เพียงแต่ไม่ได้เปิดวัตถุจื่อชื่อออกเพื่อเอาภาพวาดของเซียนกระบี่ทั้งหมดมา กลับกันยังร่ายเวทลับต้องห้ามวิชาหนึ่งแล้วโยนคืนให้เยี่ยนหมิง “เอาไปคืนให้เจ้าเด็กนั่น แล้วบอกว่าวัตถุจื่อชื่อเกิดปัญหาเล็กๆ บางอย่าง ตอนนี้ยังเปิดออกไม่ได้ วันหน้า ค่อยว่ากัน”
เยี่ยนหมิงแข็งใจเดินออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินชิงตูนั่งอยู่กับจั่วโย่ว ทอดสายตามองทิศไกลด้วยกัน
เฉินชิงตูพลันถามว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นเป็นคนโง่หรือไร วัตถุห้าธาตุชิ้นสุดท้ายมีมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่หลอมมันเข้าล่ะ”
จั่วโย่วเอ่ย “นั่นเป็นฝีมือของฮว่อหลงเจินเหริน อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึง ปราณแท้จริงอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ด้วยขอบเขตของเฉินผิงอันในตอนนี้ เขาไม่อาจดึงมันออกมาได้เลย หากไม่ระวังจะต้องแพ้ทั้งกระดาน เฉินชิงตู เจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมอยู่แถวนี้เสียที หรือว่าเพื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าแล้ว ขอบเขตผู้ฝึกลมปราณถดถอยไปสามขอบเขตยังไม่พอ ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธยังต้องลดไปอีกขอบเขตด้วย เจ้าถึงจะพอใจ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แล้วเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ไร้ความสามารถหรือไร? ทำไมถึง ไม่ยอมช่วยเล่า?”
ประโยคนี้ทิ่มแทงใจคนอย่างยิ่ง เพราะจั่วโย่วช่วยไม่ได้จริงๆ
เวทกระบี่สูงเกินไป ปราณกระบี่มากเกินไป กลับง่ายที่จะเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับสิ่งที่ฮว่อหลงเจินเหรินซ่อนเอาไว้ อาจเป็นเหตุให้ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเฉินผิงอันกลายเป็นสนามรบที่ดุเดือดเต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมแห่งหนึ่ง
พูดกันตามจริงแล้ว ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ขอแค่เฉินชิงตูไม่ทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครที่ทำได้อีกแล้ว
แต่คิดจะขอร้องเฉินชิงตูให้ทำเรื่องอะไรสักอย่าง ใครเล่าจะกล้า?
ทว่าจั่วโย่วกลับกล้าขอร้องอีกฝ่าย กระนั้นก็รู้ดีว่าขอแค่ตัวเฉินชิงตูเองไม่ยินดีจะทำ ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์
เฉินชิงตูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันรับความลำบากได้ไหว?”
จั่วโย่วพยักหน้า “ไหวสิ”
เฉินชิงตูยิ้มถาม “อยากจะให้ข้าลงมือดึงเมล็ดพันธ์อัคคีนั้นออกมา แล้วนำมันมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่ห้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง เฉินผิงอันจำเป็นต้องเดินผ่านเส้นทางหนึ่งที่เหมือนกับเส้นทางการกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง เรือนกายต้องเหลือเพียงโครงกระดูกเสียก่อน วางใจเถอะ ก็แค่คล้ายคลึงเท่านั้น ไม่ได้จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็คงสู้สุดชีวิตกับข้าแน่”
จั่วโย่วเกิดลังเลใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าจะทางไหนก็รู้สึกลำบากใจทั้งสิ้น
เฉินชิงตูจุ๊ปากพูด “เป็นศิษย์พี่ใหญ่อย่างเสียเปล่าจริงๆ ไม่รวดเร็วฉับไวเท่า ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเลย เฉินผิงอันตอบตกลงแล้ว”
จั่วโย่วลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจะช่วยคุ้มกันให้ บนหัวกำแพงเมือง ข้ายังจะไม่สนใจก่อน การออกกระบี่ที่พลาดไป วันหน้าข้าค่อยชดเชยให้”
เฉินชิงตูเอามือข้างหนึ่งกดไหล่ของจั่วโย่วลง “คุ้มกันกะผีน่ะสิ อยู่เฉยๆ ไปเถอะ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จคือเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว ส่วนเส้นทางที่ต้องเจอ หลังจากนั้น เจ้าคุ้มกันไปแล้วจะมีความหมายอะไร? ความสามารถในการฆ่าคน ของเจ้ามีไม่น้อย น่าเสียดายที่เรื่องสอนกระบี่ช่วยคนกลับไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”
จั่วโย่วเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขาอดทนกับเจ้าผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่นี่มาไม่ใช่แค่หนึ่งวัน สองครั้งสามครั้งหรือห้าครั้งแล้ว ทั้งไม่เคารพอาจารย์ แล้วยังจะชอบรังแกศิษย์น้องเล็กของเขา คิดว่าข้า จั่วโย่วคือรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีไฟโทสะจริงๆ หรือไร?!
เฉินชิงตูเพิ่มแรงลงบนฝ่ามือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จั่วโย่ว ดูท่าเจ้าคงไม่เชื่อใจ ศิษย์น้องเล็กของเจ้าสินะ”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “กี่ส่วน?”
เฉินชิงตูยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “หนึ่งก็คือหนึ่งนั้น แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
จั่วโย่วกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เวทกระบี่ของจั่วโย่วสูงขนาดนั้น ข้าจะกล้าหลอกเจ้ารึ?”
จั่วโย่วชักกระบี่ออกจากฝักทันที
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินั้นในเสี้ยววินาที
เฉินชิงตูกลับขยับเปลี่ยนตำแหน่ง ใช้มือกำด้ามกระบี่ ปล่อยให้กระบี่ยาวเล่มนั้นปาดผ่านฝ่ามือไป
บนหัวกำแพงพลันมีประกายแสงไฟสว่างไสวเป็นพันเป็นหมื่นจั้งเปล่งจ้า
ศึกใหญ่เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง บนหัวกำแพงเมือง ครั้งนี้หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้มา แต่ไปอยู่ข้างกายเฉินฉุนอัน
ยังคงเป็นเฉินผิงอันกับฉีโซ่วที่เป็นเพื่อนบ้านกัน
ฉีโซ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ความรู้สึกที่เฉินผิงอันมอบให้ในวันนี้ออกจะแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
ยังคงสวมชุดคลุมอาคมของหอภูษา ทว่าตรงเอวกลับเหน็บพัดพับไม้ไผ่หยก เขาหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับฉีโซ่ว “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน มาดอันสง่างามของพี่ฉี มีมากกว่าเก่าอีกแล้ว”
ฉีโซ่วพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เพียงแต่ว่าพอคิดอีกทีกลับไม่ค่อยกล้าแน่ใจ สักเท่าไร สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้เวทอำพรางตาอีกหรือไม่ ดังนั้นฉีโซ่ว จึงพูดเสียงขุ่นว่า “ไปไกลๆ ข้า”
เฉินผิงอันผู้นั้นคลี่พัดพับ พัดเอาลมเย็นใส่ตัวเบาๆ หลังจากเรียกกระบี่บินสี่เล่มออกมาง่ายๆ ก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “พี่ฉีเอ๋ยพี่ฉี ใครกันที่มอบความมั่นใจให้เจ้า กล้าใช้ขอบเขตก่อกำเนิดเล็กๆ มาดูแคลนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสามคนหนึ่ง?”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่การออกกระบี่สังหารศัตรูวันนี้กลับโหดเหี้ยมมากเป็นพิเศษ
เดิมทีฉีโซ่วยังคิดจะถามว่าเหตุใดจั่วโย่วถึงออกกระบี่กะทันหัน ทว่าตอนนี้ เขากลับไม่อยากจะพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ
บนหัวกำแพงเมืองที่อยู่ใกล้กับกระท่อมหลังนั้น จั่วโย่วใช้เสียงในใจสอบถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส “หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จ ทั้งยังผ่านความยากลำบากนั้นมาได้ ก็จะสามารถถือโอกาสนี้ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งได้สำเร็จใช่หรือไม่? ระดับขั้นเป็นอย่างไร?”
เฉินชิงตูพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ข้าเคยพูดแบบนั้นหรือ? ใต้หล้านี้มีเรื่องได้เปรียบที่ดีขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจะมอบให้กันง่ายๆ ได้อย่างไร?”
จั่วโย่วหันหน้าไปมองผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าประตูกระท่อม
เฉินชิงตูหุบยิ้ม “ข้าเคยยืมกล่องกระบี่ไม้ไหวมาใบหนึ่ง ได้หนึ่งก็ต้องคืนหนึ่ง เพียงแค่ให้เฉินผิงอันเป็นกล่องกระบี่ใบหนึ่ง หรือควรจะพูดว่าเป็นฝักกระบี่อันหนึ่งก่อน ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะสภาพแวดล้อมที่พิเศษได้หรือไม่ แล้วจะเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในระดับใดออกมาได้ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของตัวเขาเองแล้ว”
จั่วโย่วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ครั้นจึงทะยานออกจากหัวกำแพง พกกระบี่บุกทะลวงทัพศัตรูไปหาปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเพียงลำพังอีกครั้ง
ในห้องลับของจวนหนิง
เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสาม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด มีเพียงจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ร่างจริงและจิตหยางกายนอกกายยังคงอยู่ในจวนหนิง
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าจิตหยินนั้นสะสมความคิดไว้ซับซ้อนและมากมายเกินไป ไม่ว่าจะชำระล้างกระบี่อย่างไรก็ยังล้างให้บริสุทธิ์สะอาดเอี่ยมไม่ได้ ต่อให้ล้างจนได้ขอบเขตที่ใสกระจ่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เฉินผิงอันอีกแล้ว
เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิ ตอนนี้สิ่งที่คิดในใจ คิดซ้าไปซ้ามาก็คือประโยคนั้น ในตำราที่บอกว่า ‘ความคิดโลดแล่นเหนือพันธนาการแห่งกาลเวลา จิตใจล่องลอยไปไกลแสนไกล มุ่งมั่นขบคิดใคร่ครวญ เชื่อมโยงนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน’
เมื่อจิตใจนิ่งสงบจนใกล้เคียงกับการหลับใหล สุดท้ายมีเพียงความคิดคู่หนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ดุจเจียวหลงเลื้อยอยู่ใต้ทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ว่าทั้งสองกลับ ไม่ตีกัน กลับกันยังอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกกระบี่ล้วนมีอิสระเสรี
พลังพิฆาตสูงที่สุด สูงเหนือนอกฟ้า!
เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ขอเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโปรดออกกระบี่”
ในห้องลับ แสงกระบี่พลันระเบิดเจิดจ้า
ผิวหนังของเฉินผิงอันปริแตก แม้แต่เรือนกายร่างทองของเขาก็ยังคล้ายกับกระดาษเปียกแผ่นหนึ่ง เพียงแค่ชั่วพริบตาเลือดก็ท่วมทั่วร่าง จากนั้นแขนขาทั้งสี่ อวัยวะภายใน แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ล้วนถูกแสงกระบี่หลอมละลายอย่างสิ้นเชิง แค่เสี้ยววินาทีก็เหลือแค่โครงกระดูกขาวโครงหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายแม้แต่กระดูกขาวก็ไม่เหลืออยู่
ท่ามกลางม่านฟ้าที่มืดมิดกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด คนหนุ่มที่ยังสะลึมสะลือมึนงงอยู่บนเส้นทางที่มองไม่เห็นแสงสว่างสักเสี้ยว เขาเดินโซเซไปอย่างคนที่จิตวิญญาณ หลุดลอย แค่เดินหน้าไปตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
เดินไปเดินมาก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กชายสวมรองเท้าสานที่หลังโก่งงองุ้ม ฝ่ายหลังเดินเนิบช้า แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่กว่าตัว
เด็กชายหยุดเท้าเงยหน้ามองคนหนุ่ม คล้ายว่าจะเสียใจมาก แล้วก็ดูเหมือน จะไม่รู้ว่าเหตุใดตนที่เติบใหญ่แล้วถึงยังต้องลำบากขนาดนั้น
ดังนั้นเด็กชายที่เสียใจมากๆ จึงไม่อยากเดินหน้าอีกต่อไป เขานั่งลงกับพื้น เอนหลังพิงตะกร้าใบใหญ่ที่ไม่มีทางบรรจุสมุนไพรได้เต็มตลอดกาลแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
คนหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างโงนเงน เหม่อมองตัวเองที่ยังไม่เติบโต
คนทั้งสองมองสบตากัน
คนหนุ่มพูดกับเด็กชายแค่สามคำ
ขอโทษนะ
แล้วเด็กชายคนนั้นก็เช็ดน้ำตา เป็นฝ่ายยื่นมือออกมา
คนหนุ่มจับมือของเด็กชาย ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
คนหนุ่มยังคงมึนๆ งงๆ เพียงแค่เล่าเรื่องงดงามที่ได้พบเจอในอนาคตหลายต่อหลายเรื่องให้เด็กชายฟังตามจิตใต้สำนึก ดูเหมือนลืมเลือนความทุกข์ยากระหว่างการเติบโตที่ทั้งสามารถพูดได้และไม่สามารถพูดได้ไปหมดแล้ว ราวกับว่าจำเรื่องราวและคนที่ไม่ค่อยดีกับวิถีทางโลกที่ซับซ้อนไม่ค่อยได้แล้ว
เด็กชายค่อยๆ คลี่ยิ้ม แหงนหน้ามองตัวเองที่เติบโตแล้วด้วยสายตาแห่งความคาดหวัง
สุดท้ายเด็กชายหยุดเดิน สองมือกำเชือกที่ผูกตะกร้าไว้กับตัวแน่น คลี่ยิ้มเจิดจ้า จากนั้นชี้นิ้วไปยังเส้นทางเบื้องหน้า บอกทางแก่ตนเองที่เติบโตแล้ว
คนหนุ่มมองตามไป หนทางยาวไกลเบื้องหน้าที่เดิมทีมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้ว ทั้งห้ากลับปรากฏแสงตะเกียงที่ส่ายไหวไม่หยุดนิ่งอย่างเรือนลาง
แล้วทันใดนั้น
ฟ้าดินพลันใสกระจ่าง แสงสว่างสาดเจิดจ้า