กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 625 ผู้ฝึกกระบี่
บทที่ 625 ผู้ฝึกกระบี่
บนหัวกำแพงเมือง ฉีโซ่วอดไม่ไหวหันหน้ามามอง เฉินผิงอันผู้นั้นควัก ยันต์กระดาษเหลืองออกมาหลายปึก รู้สึกเหมือนว่าเขาจะเปิดร้านใหม่อย่างไร อย่างนั้น เพียงแต่ว่ายันต์ที่ระดับขั้นไม่สูงพวกนี้จะเอาไปขายให้ใคร? หรือจะขายให้กับพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?
ยันต์พวกนั้นเยอะมากจริงๆ ยันต์ที่เหมือนกันกองทับกันเป็นชั้น ดังนั้นภูเขา ลูกเล็กสิบกว่าลูกจึงมีทั้งสูงและต่า ยันต์พันกว่าแผ่น ไม่ว่าแบบไหนล้วนมีหมด
วัสดุของกระดาษยันต์ธรรมดามาก ต้องไม่มีค่าอย่างแน่นอน กำแพงเมือง ปราณกระบี่ไม่ขายของประเภทนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นของผุพังที่เฉินผิงอันเอามาจาก ใต้หล้าไพศาล ไม่ถือว่าเป็นกระดาษยันต์เหลืองทองซึ่งเป็นยันต์ระดับต้นของ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างสายยันต์ได้ด้วยซ้า นี่มันกระดาษยันต์สีเหลืองธรรมดาที่มีขายตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปชัดๆ หากบวกกับกระบี่ยันต์ไม้ท้อไปอีกเล่มหนึ่ง นั่นก็คือสัญลักษณ์ของนักพรตที่ท่องอยู่ด้านล่างภูเขาคอยต้มตุ๋นคนไปทั่วแล้ว
เมื่อเฉินผิงอันจัดขบวนทัพของตนเสร็จก็หันมามองฉีโซ่ว
ฉีโซ่วรู้แล้วว่าท่าไม่ดี
สายตาของเฉินผิงอันจริงใจเหมือนบิดาที่มองบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “พี่ฉี ผ่านทางเดินผ่านมาแล้วก็อย่าให้พลาดไป ข้าเฉินคนดีที่เป็นร้านผ้าห่อบุญแตกต่างกับเถ้าแก่รองของร้านเหล้าผู้นั้นราวคนละคน อย่าเห็นว่าร้านผ้าห่อบุญนี้ ของข้าเล็ก แม้จะเล็ก แต่ก็เคยท่องผ่านยุทธภพของแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป อุตรกุรุทวีปมานานหลายปี ยิ่งเป็นยันต์ก็ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นของดีราคาถูก ชื่อเสียงดีงามอย่างถึงที่สุด ได้รับกรอบป้ายอักษรทองมาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย เพราะลูกค้าที่ซื้อยันต์ร้านข้าไปแล้วล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล ได้รับผลประโยชน์สูงอย่างถึงที่สุด แต่ละคนซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลอยากจะขอบคุณข้า จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่
พี่ฉี เคยคิดบ้างหรือไม่? เจ้าและข้ารบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ไม่ใช่เพื่อนก็ยิ่งกว่าเพื่อน สามารถลดราคาให้ได้ หากบนร่างของพี่ฉีไม่ได้พกเงินเทพเซียนมาด้วยก็ไม่เป็นไร อนุญาตให้ติดไว้ก่อนได้ ไม่คิดดอกเบี้ย ข้าคนนี้พูดคุยได้ด้วยง่ายนักล่ะ”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เพียงแต่ว่าทนเสียงเฉินผิงอันที่พร่าพูด พร่าอธิบายถึงความมหัศจรรย์ของยันต์ สิบกว่าชนิดของตนไม่จบไม่สิ้นไม่ไหว เขาบอกว่ายันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ของเขาที่แม้ว่าจะเป็นวิชานอกรีตที่มีต้นกำเนิดมาจากวิชาอสนีดั้งเดิม แต่พลังพิฆาตกลับสูงอย่างถึงที่สุด บอกว่าหากนำยันต์มหานทีไหลสะพัดมาใช้บนสนามรบที่เลือดสด ไหลนองราวกับสายน้ำ ก็จะได้ผลประโยชน์อย่างพอดิบพอดี และยันต์ขยุ้มดินนั้นก็ยิ่งสามารถสร้างเทือกเขาขึ้นมาบนพื้นดิน นำมาใช้สกัดกั้นการเดินหน้าของทัพใหญ่ เผ่าปีศาจ ยันต์ปรากฏภูเขากำเนิด มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
ฉีโซ่วหนวกหูมาก จึงได้แต่เปิดปากพูดเสียงหยัน “แม้ข้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีอานุภาพบารมีได้เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสามอย่างเถ้าแก่รอง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ จะเอายันต์ของเจ้าไปทำอะไร? เอาไปเผาแทนกระดาษเหลืองที่หน้าหลุมศพงั้นหรือ? กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีประเพณีนี้”
เฉินผิงอันคว้ายันต์ปึกหนึ่งขึ้นมา เขามีความอดทนเป็นเลิศ รอยยิ้มไม่ลดลงแม้แต่น้อย อธิบายกับ ‘พี่ฉี’ ต่อไปว่า “นี่คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่ข้าแลกมาด้วยเหล้าหมักตระกูลเซียนหลายไหจนนับไม่ถ้วน เพราะเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านเมามายถึงได้ หลุดเผยความลับสวรรค์มาโดยไม่ทันระวัง ถ่ายทอด ‘ยันต์นำทาง’ นี้ให้แก่ข้าเป็นการส่วนตัว นำทางๆ ในเมื่อสามารถทำให้คนที่มีชีวิตผ่านด่านเดินต่อไปได้ บนสนามรบ แน่นอนว่าก็ย่อมสามารถทำให้ศัตรูเดินไปบนเส้นทางน้าพุเหลืองได้เช่นกัน พี่ฉี ไม่หวั่นไหวจริงๆ หรือ? สงครามใหญ่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ร้อนระอุอย่างแท้จริง เพียงแค่ใช้กระบี่บินสังหารพวกสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น นี่ทำให้สูญเสียรสชาติความสนุกสนานบางอย่างไป
ก็เหมือนกับดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของข้าแล้วเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียวนั่นแหละ ต่อให้เหล้าจะดีแค่ไหน จะเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่มากเท่าไร ถึงอย่างไร ก็ยังต้องการผักดองและบะหมี่หยางชุนกินแกล้มเหล้า รสชาติถึงจะเลิศล้าที่สุด”
เฉินผิงอันเปลี่ยนใช้มืออีกข้างหนึ่งมาคว้ากระดาษยันต์อีกปึกใหญ่ “ยันต์นี้ยิ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ คือสุดยอดยันต์ก้นกรุที่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนั้นมีไว้ ติดกาย ‘ยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน’ พี่ฉี ตอนนี้ขอบเขตของเจ้ายังไม่สูง แต่ข้า เชื่อว่าสายตาของเจ้าไม่เลว เจ้าลองดูสิ ลายเขียนนี่ซับซ้อนยิบย่อยแค่ไหน ยันต์แต่ละแผ่นที่มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นค่ายกลยันต์ที่สมชื่ออย่างแน่นอน อย่างอื่นข้าคงไม่พูดมากแล้ว ลำพังเพียงแค่ผงชาดตระกูลเซียนที่ใช้วาดก็ต้องใช้ไปกี่มากน้อย? พี่ฉีจะตัดสินว่ายันต์ของข้าไม่มีค่าเพียงแค่เพราะวัสดุของยันต์ไม่ดีเลิศที่สุดได้อย่างไร? พี่ฉีอ่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนธรรมดาสามัญที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ ข้าผิดหวังมากเลยนะ ขนาดหลีเจินผู้นั้นยังถูกข้าสังหารบนสนามรบเลย ต่อสู้กัน ตัวต่อตัวเหมือนกัน พี่ฉีกับข้าผลัดกันรุกผลัดกันรับ สุดท้ายก็แพ้ให้ข้าเพียงแค่ เส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น นี่ก็เท่ากับว่าอย่างน้อยที่สุดพี่ฉีก็เอาชนะบุคคลที่เป็นผู้มากพรสวรรค์อย่างหลีเจินได้ระดับหนึ่งแล้ว คิดจะไปเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ภูเขาทัวเยว่ ก็ไม่ยากแล้ว…”
ฉีโซ่วพูดอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียทีใช่ไหม?! ระหว่างศึกใหญ่ รบกวนเจ้าช่วยบังคับกระบี่สังหารศัตรูอย่างมีสมาธิด้วย! ต่อให้เจ้ากล้าวอกแวกไม่เสียดายชีวิต แต่ก็อย่าลากคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย”
เฉินผิงอันผู้นั้นวางยันต์สองปึกในมือลง ใช้พัดพับที่หุบเข้าหากันเคาะลงบนหัวใจเบาๆ มองไปยังสนามรบทางทิศใต้แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อพี่ฉียังไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร การซื้อขายบนโลกมนุษย์ ความถูกตาต้องใจต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูการฟันโจรอย่างห้าวหาญของพี่ฉีให้มากแล้วกัน ทางฝั่งของนครนั่น มีใคร บางคนนินทาวิธีการสังหารศัตรูของพี่ฉีอยู่บ้าง รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่อำมหิตเกินไป ถ้าถามข้าน่ะ ข้าว่าดีจะตายไป
นิสัยคุณชายตระกูลสูง ความเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใครของผู้ฝึกกระบี่ที่มีความสามารถ ความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ที่ไม่ยอมให้คนวัยเดียวกันเหนือกว่าตัวเองบนร่างของพี่ฉี นั่นเป็นแค่ข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ขอแค่อยู่บนสนามรบ พี่ฉีก็เหมือนกลายไปเป็นอีกคน กลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง สามารถอดทนข่มกลั้นต่อเฉินผิงอันที่ตอนอยู่ในนครต้องฆ่าแต่ทำไม่ได้ ถึงขั้นสามารถฝืนนิสัยข่มความไม่สบอารมณ์มากมายในใจ ช่วยข้าสังหารศัตรูเฝ้าพิทักษ์สนามรบไปด้วยกัน ผู้ฝึกกระบี่ฉีโซ่วที่เป็นเช่นนี้ช่างมีมาดของเซียนเลิศล้าเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ …”
ฉีโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึก “ตราบใดที่ข้าไม่ซื้อยันต์ห่วยๆ ของเจ้า เจ้าก็จะพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันสะบัดพับคลี่ออก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่พูดแล้วๆ เชิญพี่ฉีออกกระบี่อย่างสง่างามได้ตามสบาย”
ฉีโซ่วถอนสายตากลับมา บังคับเฟยหลวนและซินเสียนให้สังหารปีศาจต่ออีกครั้ง
เมื่อเทียบกับสงครามในครั้งแรก ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าจำนวนสัดส่วนของผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ซึ่งอยู่ในกองทัพใหญ่โจมตีเมืองมีมากขึ้น หลายส่วน ไม่ใช่แค่สัตว์เดรัจฉานที่สติปัญญายังไม่เปิดกว้างซึ่งหากผู้ฝึกกระบี่ของ หัวกำแพงเมืองที่มีขอบเขตสูงสังหารพวกสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ได้ยังไม่ถือเป็น คุณความชอบด้วยซ้า ในสงครามเปิดฉากครั้งแรก เผ่าปีศาจที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน ที่แท้จริงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนจะถูกบงการให้เป็นแนวหน้าที่คอยบุกโจมตี ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวของพวกมันก็คือใช้กองกระดูกทับถมกันเป็นภูเขา เติมเต็มร่องลึกแต่ละเส้นที่เซียนกระบี่ฟันผ่า เอาเลือดเนื้อแทรกซึมเข้าไปในพื้นดินเพื่อสร้างผลกระทบต่อฟ้าอำนวยดินอวยพร
อันที่จริงฉีโซ่วไม่สนใจยันต์ห้าธาตุหลากหลายชนิดพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงยันต์นำทางและยันต์ข้ามสะพานเท่านั้น โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เขาพอจะสนใจอยู่บ้าง เพราะบนยันต์มีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ไหลเวียนวนอยู่จริงๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะแกล้งทำกันได้ ในแก่นของยันต์มีปณิธานกระบี่ไม่มาก แต่กลับบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนั้นที่เฉินผิงอันบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ถ่ายทอดให้เป็นการส่วนตัว ฉีโซ่วก็พอจะเชื่ออยู่สองสามส่วน
แต่ตัวฉีโซ่วเองคิดจะรักษาสนามรบไว้ไม่ใช่เรื่องยาก จึงไม่คิดจะทำการค้ากับ เฉินผิงอันแม้แต่น้อย ต่อให้เจ้าจะพูดจาจูงใจน่าเชื่อถือแค่ไหน ชื่อเสียงเถ้าแก่รอง ที่ขายเหล้ากับเจ้ามือนักพนันของเจ้าก็ฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนในกำแพงเมือง ปราณกระบี่แล้ว แม้แต่เจ้ามือคนอื่นๆ ยังหาช่องทางทำเงินไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ ยิ่งเป็นนักพนันที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยิ่งด่ารุนแรง ในใจเจ้าเฉินผิงอันจะไม่รู้บ้างเลยหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่ที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเซี่ยซงฮวาและหลิวเสี้ยนหยางคือก่อกำเนิดเฒ่าที่พอมาถึงหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ก็เงียบงันพูดน้อย เขาก็คือเฉิงเฉวียนที่หล่นจาก ห้าขอบเขตบนมาสู่ขอบเขตก่อกำเนิด คนที่ชอบทะเลาะกับเซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋ มาเกินครึ่งชีวิต คนหนึ่งเฝ้าหัวกำแพงฝั่งเหนือ อีกคนเฝ้าหัวกำแพงฝั่งใต้ พูดจา ไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ถ่มน้าลายใส่กัน ในอดีตเวลาคุมเชิงอยู่กับจ้าวเก้ออี๋ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าผู้นี้พูดมากอย่างถึงที่สุด แต่พอออกห่างมาจากจ้าวเก้ออี๋ มาอยู่เพียงลำพัง อาจเป็นเพราะไม่มีคู่ต่อสู้จึงเงียบงันอยู่ตลอด
อันที่จริงแถบหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ เรือนส่วนตัวที่เซียนกระบี่ทิ้งเอาไว้หลังหนึ่ง ในนั้นเป็นบรรพจารย์ของเฉิงเฉวียนที่อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบแลกมา ภายหลังก็อยู่ในนามของเฉิงเฉวียน เพราะว่าทุกวันนี้สายของเฉิงเฉวียน นอกจาก ตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ ในครอบครัวและสำนักล้วนตายกันหมดสิ้นแล้ว สภาพของเขาจึงไม่ต่างจากเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นสักเท่าไร
เฉิงเฉวียนออกกระบี่ได้ว่องไวคล่องแคล่วยิ่ง ทุกที่ที่กระบี่บิน ‘ซานสุ่ย’ (ขุนเขาสายน้ำ) พุ่งผ่าน กลางอากาศสูงเหนือสนามรบก็ราวกับมีเทือกเขาที่แกะสลักมาจากหยกสีเขียวมรกตทุ่มกระแทกใส่เผ่าปีศาจจนกลายเป็นกองเนื้อเละๆ หากมีผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจที่โชคดีไม่ตายหรือหลบพ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็โยนยอดเขาเข้าใส่อีก หลายๆ ที หากภูเขาลูกใดถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่ธรรมดาใช้สมบัติอาคมทำลายทิ้ง มันก็จะกลายเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกตที่หากหล่นลงพื้นก็จะทำให้ สนามรบเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้ในเสี้ยววินาที พอเผ่าปีศาจแหงนหน้ามองไปอีกครั้ง ก็จะมีภูเขากดทับลงมาจากเหนือหัวอีกรอบ
ดังนั้นเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านทั้งสอง เฉินผิงอันที่ปล่อยกระบี่บินสี่เล่มออกไปพร้อมกัน ฉีโซ่วที่สังหารเผ่าปีศาจอย่างโหดเหี้ยม สนามรบทางฝั่งของเฉิงเฉวียนจึงสะอาดเอี่ยมเกลี้ยงเกลามากกว่า
จุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่เป็นข้อที่ว่าเผ่าปีศาจที่จิตวิญญาณค่อนข้างเปราะบางจำนวนมากมักจะถูกกระชากเข้าไปในทะเลสาบโดยไม่ทันรู้ตัวได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายก็ระเบิดแตกไปพร้อมกับ น้ำทะเลสาบที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
อันที่จริงเฉิงเฉวียนยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ท่าเปย’ (คัดลอกสำเนาศิลา) อีกเล่มหนึ่งที่มองดูคล้ายซี่โครงไก่ แต่กลับยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกอย่างที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้ว ชื่อไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มีความมหัศจรรย์ของการจัดสวนกระถาง (ศาสตร์การจัดสวนอย่างหนึ่งของจีนที่จะจัดพวกต้นไม้หรือก้อนหินลงในกระถาง ยกตัวอย่างเช่นการเลี้ยงบอนไซ) จัดก้อนหินให้เป็นภูเขา จัดน้าให้เป็นลำธาร
ดังนั้นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่เฉิงเฉวียนในอดีตก็คือหนึ่งใน เซียนกระบี่ที่เคยพากลุ่มคนไปไล่ล่าในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เขาจะทำการหลอมเล็กให้กับแม่น้ำลำคลองหรือยอดเขาก่อน จากนั้นจึงนำกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มอบให้ลูกศิษย์อย่างเฉิงเฉวียนทำการหลอมกลาง และเมื่อฝ่ายหลังเรียกภูเขาสายน้ำเล็กๆ ออกมาบนกระถางที่ผ่านการจัดวางเรียบร้อย
บวกกับวิชาอภินิหารคัดลอกสำเนาศิลาของกระบี่บินท่าเปย ยามอยู่บนสนามรบจึงมีภาพมหัศจรรย์ปรากฎ สายนทีไหลซัดเชี่ยวกราก ขุนเขาพลันผุดทะยาน และ เมื่อถูกปณิธานกระบี่ของท่าเปยชักนำ สายน้าก็พลันรวมตัวกันมากขึ้น ภูเขาก็ยิ่ง สูงตระหง่านมากกว่าเดิม
ดังนั้นในศึกโจมตีและพิทักษ์หลังจากศึกสิบสามในปีนั้น เฉิงเฉวียนถึงได้ถูก ปีศาจใหญ่ฉงกวงหมายหัว และยังใช้วิธีลอบโจมตีทำให้ขอบเขตของเฉิงเฉวียนถดถอย แล้วก็เพราะจับคู่เข่นฆ่ากับเฉิงเฉวียนที่เป็นขอบเขตหยกดิบ บางทีในบรรดา เซียนกระบี่มากมาย เฉิงเฉวียนอาจไม่สะดุดตามากนัก แต่เมื่อไปถึงสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่ประเภทเขาและอู๋เฉิงเพ่ยขอบเขตหยกดิบที่พก ‘น้าค้างหวาน’ เล่มนั้น ถึงได้สร้างพลังพิฆาตมหาศาลให้แก่กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โจมตีอยู่ ใต้กำแพง
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง เฉิงเฉวียนก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “หุบปาก ข้าผู้อาวุโส ไม่มีเงินจะให้เจ้าหลอกหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ได้”
ฉีโซ่วไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้าตัวดี เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเหมือนกัน เหตุใดพอเจอกับเฉิงเฉวียน เฉินผิงอันถึงได้พูดง่ายขนาดนี้?
ไม่เพียงเท่านี้ ฉีโซ่วยังสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันที่ถูกอีกฝ่ายตอกกลับไม่เพียงแต่ ไม่อาฆาตแค้น กลับกันยังโยนเหล้าภูเขาชิงเสินที่กาหนึ่งมีมูลค่าห้าเหรียญเงิน เกล็ดหิมะไปให้ผู้เฒ่าที่อยู่ห่างไปไกลอีกด้วย
เฉิงเฉวียนเปิดผนึกดินเหนียว สูดดมกลิ่นแล้วพูดอย่างรังเกียจว่า “รสชาติเจือจางไปแล้ว นี่จะนับเป็นสุราได้อย่างไร ต้องเป็นพวกนิสัยเหมือนสตรีอย่างเจ้าจ้าวเก้ออี๋นั่นถึงจะชอบดื่ม”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังดื่มเหล้าอยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะโยนเหล้าต้มแบบใหม่ของร้านไปให้อีกกาหนึ่ง เฉิงเฉวียนดมแล้วก็พยักหน้า “นี่ต่างหากถึงจะเป็นสุรา มิน่าเล่ากิจการของที่ร้านถึงได้ไม่เลว หากร้านเหล้าของเจ้ามาขายที่หัวกำแพง ข้าก็จะซื้อ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ให้ติดเงินนะ”
เฉิงเฉวียนเหล่ตามองคนหนุ่มผู้นั้นแวบหนึ่งแล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าถูกแม่นาง คนหนึ่งต่อยคว่าที่หน้าประตูจวนหนิง?”
เฉินผิงอันใช้พัดพับตีฝ่ามือเบาๆ “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสเฉิง แสร้งทำเป็นแข็งแกร่งให้ศัตรูเข้าใจผิด คือวิธีที่ข้าถนัดเลยล่ะ ไม่ว่าใครที่เคยประมือกับข้า ล้วนเอาชนะได้ อย่างยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นพี่ฉีที่อยู่ข้างกายข้านี่ไง”
ในสงครามครั้งที่สองนี้ก็ยังคงใช้กระบี่บินสี่เล่มอย่างชูอีสืออู่ ซงเจินไฮเหลย ยิ่งนานเฉินผิงอันก็ยิ่งรับมืออย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ กระบี่บินรวดเร็วสุดขีด
หากพูดถึงแค่เรื่องของการบังคับกระบี่ ยังคงเป็นตนที่เชี่ยวชาญที่สุดจริงๆ เสียด้วย ไม่ต้องถูกหลักการเหตุผลต่างๆ นานามาพันธนาการ จิตใจก็ย่อมบริสุทธิ์มั่นคง หลักการเหตุผลนั้นดี แต่มากเกินไปก็จะกดทับคน กระบี่บินย่อมจะช้าลงไปด้วย และความช้าที่แม้เพียงแค่เสี้ยวเดียว ก็ยังเป็นความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน
เฉิงเฉวียนรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่พูดจาได้น่าสนใจว่าจ้าวเก้ออี๋ผู้นั้นมากนัก
ดังนั้นก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้จึงขยับตำแหน่งมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเสียเลย เขาถามว่า “ได้ยินมาว่าใต้หล้าไพศาลมีขุนเขาสายน้ำงดงามมากมายที่ทำให้ ดวงตาและจิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย มองแล้วเกิดความประทับใจมิรู้ลืม?”
เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ได้หันหน้ามาพูดคุยกับเขา สายตาเพียงมองตรงไปเบื้องหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นจริง แต่หากมองมากเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยผ่านพวกมันไปกลับจะรู้สึกรำคาญ ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีสิ่งกีดขวาง
จิตใจจึงยากที่จะเหมือนนกกางปีกโบยบินอย่างเสรี ผู้ฝึกตนของบ้านเกิดมักจะไปอยู่ในภูเขา แต่พออยู่นิ่งๆ นานเข้าก็นึกอยากที่จะเคลื่อนไหว จึงต้องไปเกลือกกลิ้งในฝุ่นธุลีนอกภูเขาสักรอบหนึ่ง ลงจากภูเขาก็เพื่อขึ้นเขา นี่ก็น่าเบื่อมากเหมือนกัน”
เฉิงเฉวียนนึกเสียใจภายหลังแล้วที่ขยับมานั่งตรงนี้ เมื่อครู่เจ้าหมอนี่พูดจาน่าสนใจ เวลานี้กลับพูดจาทื่อๆ เหมือนขวานผ่าซาก ความน่าสนใจที่ว่าหายไป หมดสิ้น
เฉินผิงอันหยิบตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ยิ้มร่าหันหน้ามายื่นส่งให้เฉิงเฉวียน “ผู้อาวุโสเฉิง ลองดูว่ามีตราประทับ ที่สนใจหรือไม่ กิจการของข้าดีเกินไป ตราประทับเลยขายออกเกือบหมดแล้ว แต่ขอแค่ผู้อาวุโสเฉิงเปิดปากขอ ข้าไม่เพียงแต่จะสลักเพิ่มอีก ยังสามารถลดราคา ให้ได้ด้วย ต่อให้ผู้อาวุโสเฉิงจะไม่ชอบนัก แต่แค่เอาไปขายต่อก็ได้เงินค่าเหล้า กาสองกาแล้ว แล้วไยจะไม่ซื้อไปเล่า?”
เฉิงเฉวียนรับตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้นมา เปิดไปหน้าหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็จุ๊ปากยิ้มพูดว่า “นอกจากการค้าแล้ว ใครที่เลือกตราประทับไป ภายนอกมองดูเหมือนว่าถูกชะตา แต่แท้จริงแล้วกลับแสดงให้เห็นถึงความคิดบางอย่างของคนผู้นั้น นอกจากจะทำให้เจ้าได้เงินแล้ว ยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอ่านใจคนได้เปล่าๆ อีกด้วย เถ้าแก่รอง ช่างทำการค้าได้ดียิ่งนัก”
“มองใจคน คือการผลักและเคาะ (คำนี้ภาษาจีนให้ว่า 推敲 ยังแปลได้ว่าคิด ทบทวน กลั่นกรอง) ควรจะผลักประตูดี หรือควรจะเคาะประตูถึงจะดีกว่า? ข้าว่าล้วนไม่ดีทั้งสองอย่าง”
จากนั้นเฉินผิงอันก็โบกพัด พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยใจว่า “ผู้อาวุโสเฉิงอย่าได้อาศัยว่ามีเวทกระบี่อันลี้ลับ เห็นว่าตัวเองโดดเด่นในหมู่เซียนกระบี่มากมายแล้วจะพูดจาเหลวไหลรังแกเด็กรุ่นหลังอย่างข้าได้ แต่เวลานี้ผู้อาวุโสเฉิงดื่มเหล้า อ่านตำราและออกกระบี่แล้ว ปราณกระบี่เปิดตำรา สังหารปีศาจแกล้มสุรา ผู้อาวุโสเฉิงท่านช่างมีมาดของคนดังเสียจริง”
แม้ว่าเฉิงเฉวียนจะพลิกเปิดตำราตราประทับอย่างไม่ใส่ใจไปด้วย แต่กลับออกกระบี่ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ส่วนเฉินผิงอันที่แม้จะกลับมาเป็นร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง แต่ก็ออกกระบี่ได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด
เฉิงเฉวียนอ่านตัวอักษรริมขอบของตราประทับชิ้นหนึ่งก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วทำท่าว่าจะเปิดผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าหางตาของเฉิงเฉวียนจะเหลือบไปเห็นว่าเจ้าตะพาบน้อยหน้าไม่อายนั่นกำลังจ้องเป๋งมาที่ตน จากนั้นฝ่ายหลังก็ยิ้ม อย่างเข้าใจ นั่นคงจะเป็นการบอกว่าข้าเข้าใจท่าน รับรองว่าแม้จะเห็นแต่จะไม่พูดแฉให้ผู้อาวุโสเฉิงลำบากใจแม้แต่น้อย เฉิงเฉวียนจึงไม่คิดมากอีก ยื่นมือไปลูบตัวอักษรเหล่านั้น โดยเฉพาะสองคำท้ายประโยคว่าคนงามที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าท่านนี้ ทอดถอนใจไม่หยุด
‘ลาขาเป๋หมวกขาดเสื้อผ้าเก่า ขุนเขาเขียวน้ำใสทางสายเดิม น้ำค้างรุ่งอรุณ น้ำค้างยามค่าธารดวงดาว จุดตะเกียงแจกันดอกไม้คนงาม’
เขาเฉิงเฉวียนกับจ้าวเก้ออี๋ คนทั้งสองแก่งแย่งชิงดีกันมาทั้งชีวิต ก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วนางชอบใครกันแน่ นางแค่บอกว่าใครเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้ก่อน นางก็จะชอบคนผู้นั้น
ตอนนั้นเขาเฉิงเฉวียนขอบเขตสูงกว่า พรสวรรค์ดีกว่า ดังนั้นเฉิงเฉวียนจึงบอกว่านางต้องชอบตนอย่างแน่นอน
แต่จ้าวเก้ออี๋กลับพูดมาตลอดว่านั่นเป็นความห่วงใยของนาง เพราะหวังว่าจะใช้เรื่องนี้มากระตุ้นจิตแห่งการฝึกตนของข้าจ้าวเก้ออี๋
ต่างคนต่างมีเหตุผล แข่งขันกันมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
เคยมีเซียนกระบี่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านหนึ่งนามว่าซ่งอวิ๋นไฉ่ งดงามเลิศล้ำ
นางกับเฉิงเฉวียนและจ้าวเก้ออี๋ต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจนเส้นเดียวกัน ในช่วงเวลาหลายปีที่คนทั้งสามต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน คอยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ตรอกเล็กที่มีเซียนกระบี่ถือกำเนิดพร้อมกันถึงสามคนแห่งนั้น มีชื่อเสียงเลื่องลือจนแม้แต่ภูเขาห้อยหัว สำนักอวี่หลงที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า หรือแม้แต่ทักษินาตทวีปที่ห่างไปอีกก็ยังเคยได้ยินชื่อ
เฉงิเฉวียนโยนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้นกลับคืนให้เฉินผิงอัน พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “วันหน้าเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วก็อย่าไปยุ่งกับเรื่องทางโลก ให้มากนัก”
เฉินผิงอันเก็บตำราตราประทับมา วันนี้ขายของอะไรไม่ออกสักอย่าง แล้วยังต้องเสียเหล้าหมักตระกูลเซียนไปเปล่าๆ อีกสองกา แต่ในเมื่อเฉิงเฉวียนพูดถึงเรื่อง ผู้ฝึกกระบี่ขึ้นมาแล้ว บวกกับที่เรื่องเดิมไม่ควรทำซ้าสาม ก็ถือเสียว่าคำพูดนี้เป็น นิมิตหมายอันดี เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “ขอให้สมพรปากท่านผู้อาวุโส วันหน้าได้เป็น ผู้ฝึกกระบี่แล้วค่อยว่ากัน”
แล้วคนทั้งสองก็เงียบงันไป ต่างคนต่างออกกระบี่
ฉีโซ่วรู้สึกอิจฉาเถ้าแก่รองผู้นี้นิดๆ ไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดคุยได้หมดจริงๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
เฉิงเฉวียนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ตามความเห็นของข้า หากไม่นับวิชาหมัดหรือสมบัติอาคม เจ้านับว่ามีสติปัญญาเฉียบไวไม่น้อย นี่ต่างหากจึงจะเป็นความสามารถติดตัวที่ดีที่สุด หากข้าให้เจ้าแกะสลักตราประทับชิ้นเมื่อครู่ ไม่ต้องเปลี่ยนอักษรริมขอบ เพียงแต่เปลี่ยนตัวอักษรของตราประทับ เจ้าจะสลักเนื้อหาว่าอะไร? ถ้าถามข้านะ ตัวอักษรบนหน้าตราประทับที่อยู่ในตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่แล้วก็ บนหน้าพัด มีตัวอักษรเยอะแยะมากมายขนาดนั้น หากใครเคยอ่านตำรามาก่อน ก็ล้วนสามารถคัดลอกเอามาใส่ได้ อย่างมากก็แค่ดัดแปลงสักเล็กน้อย ไม่ถือว่า เป็นความสามารถที่แท้จริงอะไร ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งมีความรู้อยู่เต็มท้อง ก็ไม่ควรจะถูกจำกัดอยู่แค่นี้”
คราวนี้ถึงตาเฉิงเฉวียนที่ได้เปิดโลกทัศน์บ้างแล้ว เพราะเถ้าแก่รองผู้นั้นถึงขั้นหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาโดยตรง แล้วยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนผู้อาวุโสเฉิงช่วยดูแลสนามรบของข้าไปพร้อมกันด้วย แต่แน่นอนว่าคุณความชอบยังต้องเป็นของข้านะ”
มีเฉิงเฉวียนคอยช่วยออกกระบี่ต้านทานศัตรู สถานการณ์ย่อมมั่นคง
เฉินผิงอันสามารถแอบอู้ได้อย่างสบายใจ เขาเก็บกระบี่บินสี่เล่มมา สามเล่ม ล้วนผลุบหายเข้าไปในน้าเต้าเลี้ยงกระบี่เพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง แค่ใช้กระบี่บินสืออู่มาทำเป็นมีดแกะสัก เพียงแต่ว่าเขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนตัวอักษรของตราประทับ แม้แต่เนื้อหาที่เป็นลายริมขอบก็ยังเปลี่ยนด้วย
หลังมอบให้เฉิงเฉวียน เฉิงเฉวียนก็กำไว้ในมือแน่น พอยกขึ้นมาดูก็พยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พอใช้ได้”
ตราประทับใหม่เอี่ยมชิ้นเมื่อครู่นี้ที่มองดูเหมือนถูกตา แต่กลับไม่ได้ชื่นชอบจริงๆ ถูกเฉิงเฉวียนเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
เพื่อนเก่าแก่ก็คือคนงาม ห้าวหาญมากความพิเศษ
ในใจเด็กหนุ่มมีหนึ่งยอดเขา พลันถูกก้อนเมฆขโมยจากไป
ตัวอักษรบนหน้าตราประทับคือ ไม่ทันระวัง
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนออกกระบี่ใหม่อีกครั้ง ยังคงปล่อยให้เฉิงเฉวียนช่วยเก็บกวาดสนามรบ เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในใจมีความงดงามยิ่งใหญ่ ไม่กลัวว่าใคร จะเห็นเข้า”
เฉินผิงอันใช้พัดพับไม้ไผ่หยกที่ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานมอบให้พัดลมเข้าใส่ตัว แล้วก็ช่วยพัดลมเย็นๆ ให้กับผู้อาวุโสเฉิงด้วย เขายิ้มร่าเอ่ยว่า “ตราประทับที่ทำขึ้นเพื่อผู้อาวุโสโดยเฉพาะชิ้นนี้ ไม่เพียงแต่วัสดุดีเยี่ยม แต่ละตัวอักษรที่ใช้มีดแกะสลักยังสลักด้วยความตั้งใจ ราคาเดิมไม่สูง หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช บวกกับที่ผู้อาวุโสเฉิงคือเซียนกระบี่ ลดให้แปดส่วน อีกทั้งตอนนี้ยังช่วยผู้น้อยสังหารศัตรู จึงลดเหลือห้าส่วน แค่ห้าเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น!”
แล้วเฉินผิงอันก็กดเสียงลงต่าเอ่ยว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงไม่ต้องลดอะไรแล้ว หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชก็คือหนึ่งเหรียญไปเลย!”
เฉิงเฉวียนไม่ได้สนใจคนหนุ่ม สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเลื่อนลอย บนใบหน้าที่ แก่ชรานั้นค่อยๆ ปรากฎรอยยิ้มบางๆ พึมพำว่า “ปีนั้นนางคือสตรีที่งดงามที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เรา งดงามมากๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉิงเฉวียนก็หันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอันด้วยสีหน้าจริงจัง “โดดเด่นกว่าหนิงเหยาของเจ้าเสียอีก”
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตจะเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ
เฉินผิงอันสบถด่าออกมาทันทีวา “ผายลมสุนัขกับมารดาเจ้าเถอะ!”
กลับกลายเป็นว่าเฉิงเฉวียนยิ่งอารมณ์ดี นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาคุ้นเคยดี จึงไม่คิดมากแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าของคนอื่น เอาตราประทับของคนเขามา ถึงอย่างไร ก็ไม่ควรด่ากลับไป จึงยิ้มเอ่ยว่า “ด่าคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันถาม “หากเจ้ากดขอบเขตเหลือเท่าผู้ฝึกตนขอบเขตสาม ก็คอยดูเถอะว่า ข้าจะด่าเจ้ายิ่งกว่านี้หรือไม่”
เฉิงเฉวียนยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “เถ้าแก่รอง หากเจ้ายังไม่ยอมเลิกราอยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ฉีโซ่วรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มทางฝั่งนั้น คนสองคนทะเลาะกัน แต่กลับทำท่าทางเหมือนคนสองร้อยคนจับกลุ่มตีกันอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่ไม่ถ่วงรั้งการออกกระบี่ขัดขวางศัตรู
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะท่านหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่ามาอย่างโชกโชน อีกคนหนึ่งก็คือเถ้าแก่รองที่คิดเล็กคิดน้อยยิ่งกว่าอะไรดี
เรื่องเดียวที่ฉีโซ่วคิดไม่ถึงก็คือ ทั้งสองฝ่ายด่ากันเก่งจริงๆ
ดูจากท่าทางแล้วเฉินผิงอันจะได้เปรียบ เพราะคำด่าบางคำ เฉินผิงอันด่าโดยใช้ภาษาท้องถิ่นของบ้านเกิดตัวเองหรือไม่ก็ภาษากลางของทวีปอื่น
เฉิงเฉวียนฟังไม่เข้าใจ แล้วยังต้องคอยเดาว่าอีกฝ่ายด่าว่าอะไร บางครั้งแววตาของเฉินผิงอันก็ฉายความเวทนา ใช้ภาษาท้องถิ่นของที่แห่งอื่นด่าคนชมคนปนกันไป บางครั้งก็พูดซ้าด้วยภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกรอบ เฉิงเฉวียนคิดจะ ด่ากลับก็ยังต้องเดาอีกว่าที่อีกฝ่ายพูดมามีจริงเท็จกี่มากน้อย ดังนั้นจึงตกอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างยากลำบากอยู่บ้าง ความสามารถในการด่าคนที่ได้จากการฝึกปรือฝีมือกับจ้าวเก้ออี๋มานานหลายปีถูกลดทอนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ครึกครื้นยิ่ง
ตอนที่ฟ่านต้าเช่อเอาเหล้ามามอบให้เฉินผิงอัน เขาฟังแล้วรู้สึกขนลุกไปถึงหนังหัว
ฟ่านต้าเช่อจึงมาแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่กล้ามาอีก บอกให้ต่งฮว่าฝูที่ถอยออกจากสนามรบมาพักผ่อนชั่วคราวเอาเหล้ามาส่งให้แทน ต่งฮว่าฝูกลับชอบความครึกครื้นนี้อย่างมาก เขานั่งอยู่ด้านข้าง เงี่ยหูตั้งใจฟัง ทั้งสามารถบำรุงกระบี่ แล้วยังได้ดู เรื่องสนุก รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ มาอีกไม่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสามารถในการราดน้ามันลงบนกองเพลิง กระพือไฟให้โหมไหม้แรงของต่งฮว่าฝูยังเป็นพรสวรรค์อันมีเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็ทำตามไม่ได้อีกด้วย
สองกองทัพที่คุมเชิงกันไม่เคยหยุดพักรบ สิบวันผ่านไป เฉิงเฉวียนกับเฉินผิงอันถึงได้หยุดพักรบอีกครั้ง
อันที่จริงฉีโซ่วถึงจะถือว่าเป็นคนที่ต้องทรมานมากที่สุด
เฉินผิงอันมักจะยกเรื่องของเขาไปพูด ปากพร่าพูดว่าพี่ฉีของข้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อายุน้อยๆ แค่สามสิบปีก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้ว ตาเฒ่าเฉิงหากเจ้า มียางอายก็รีบไสหัวไปให้ไกลฉีโซ่วเลย ตาเฒ่าเฉิงขอบเขตของเจ้าไม่สูงก็แล้วไปเถิด ได้ยินมาว่าเพิ่งจะมีกระบี่บินแค่สองเล่ม เห็นไหมว่าพี่ฉีมีกระบี่บินกี่เล่ม? ประเด็นสำคัญคือกระบี่บินทุกเล่มของพี่ฉีล้วนมีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดซึ่งพันปี ไม่พานพบหมื่นปียากปรากฏ ตาเฒ่าเฉิงเจ้าจะเอาตัวไปเปรียบเทียบกับเขา ได้อย่างไร?
และด้วยนิสัยของเฉิงเฉวียน พอเลือดขึ้นหน้าก็อย่าว่าแต่ด่าฉีโซ่วเลย แม้แต่ บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของตระกูลฉีเขาก็ยังไม่ละเว้น
เวลานี้เฉิงเฉวียนยิ้มเอ่ยว่า “น้องเฉิน หลังจากได้ประมือกับเจ้า หากไปทะเลาะกับเจ้าจ้าวเก้ออี๋ที่นิสัยอ้อนแอ้นเหมือนสตรีผู้นั้น พี่ใหญ่อย่างข้าก็ชนะได้อย่างมั่นคงแล้ว”
เฉินผิงอันโบกพัด ยิ้มบางๆ “ให้ข้าผู้อาวุโสได้พูดจาอย่างเป็นธรรมสักคำ ข้าคนเดียว ก็ด่าพวกเจ้าสองคนได้แล้ว”
เฉิงเฉวียนถลึงตาใส่ “ให้หน้านิดๆ หน่อยๆ ก็ลามปามใช่ไหม? มาปล่อยกระบวนท่ากันอีกหน่อยไหมล่ะ?!”
มองดูเหมือนเฉินผิงอันเงียบงัน แต่แท้จริงแล้วกลับรวมเสียงให้เป็นเส้น แอบพูดกับเฉิงเฉวียน
เฉิงเฉวียนคล้ายกำลังชั่งน้าหนักผลได้ผลเสีย สุดท้ายพยักหน้ารับ แล้วพูดกับ ฉีโซ่วว่า “เจ้าลูกกระต่ายตระกูลฉีที่ตาไปขึ้นอยู่บนหัวผู้นั้นน่ะ (ตาขึ้นบนหัว เปรียบเปรยถึงคนหัวสูง เย่อหยิ่ง ไม่เห็นหัวใคร) ท่านปู่เฉิงเห็นว่าฐานกระดูกของเจ้าพิเศษ จะมอบโชควาสนาให้เจ้าครั้งหนึ่งดีไหมล่ะ?”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นคนใบ้
ในมือของเฉิงเฉวียนมียันต์เพิ่มมาสองปึก แล้วเขาก็เดินไปหาฉีโซ่ว
ครู่หนึ่งต่อมา เฉิงเฉวียนก็ย้อนกลับมาทางเดิม ไม่ได้มานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน แต่กลับไปอยู่บนแถบหัวกำแพงเมืองที่ตอนแรกเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาและบัณฑิตหลิวเสี้ยนหยางเคยมาเฝ้าพิทักษ์
ฉีโซ่วคีบยันต์ออกมาสองแผ่น แบ่งออกเป็นยันต์นำทางกับยันต์ข้ามสะพาน เขามองประเมินมันอย่างละเอียด ยันต์ทั้งสองแผ่นนี้ระดับขั้นสูงกว่าที่คิดไว้ เมื่อเอามาวาดลงบนกระดาษราคาถูกคุณภาพเลวแบบนี้ก็ช่างเป็นการย่ายียันต์นี้เสียจริง ฉีโซ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “สรุปแล้วเจ้าคิดอะไรอยู่ กันแน่?”
เฉิงเฉวียนบอกว่ากระบี่บินเที่ยวจูของฉีโซ่ว ตอนนี้ยังไม่ถูกหล่อหลอมจนถึงขอบเขตที่สูงที่สุด แค่มีจำนวนมากเท่านั้น ยังขาดพลานุภาพบางอย่างไป จากนั้น ก็เอ่ยคำสั่งสอนของผู้อาวุโสที่ฉีโซ่วจำต้องขบคิดอย่างตั้งใจ นั่นล้วนเป็นประสบการณ์ที่ได้มาจากการบังคับกระบี่ของทั้งเฉิงเฉวียนและจ้าวเก้ออี๋ ไม่แน่เสมอไปว่าจะ เหมาะกับการออกกระบี่ของฉีโซ่ว
แต่สำหรับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่อาจตกอยู่ในขอบเขตแน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาได้ง่ายแล้ว ต่อให้จะมีประโยชน์ต่อมหามรรคาเพียงแค่เสี้ยวเดียว ก็มิอาจดูแคลนได้
นอกจากนี้เฉิงเฉวียนยังแนะนำฉีโซ่วว่าไม่สู้ลองทำการค้ากับเฉินผิงอันดู ไม่ขาดทุนแน่นอน หากขาดทุนก็ไปขอให้จ้าวเก้ออี๋ช่วยใช้หนี้ให้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ช่วยคนอื่นก็คือช่วยตัวเอง”
แล้วเฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ส่วนจะมอบเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆ ให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่ ก็ตามใจเจ้า ข้าไม่เคยทำการค้าที่ต้องประจบเอาใจใคร พิถีพิถันในคำว่าเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจเสมอ หาเงินมาได้ด้วยความเบิกบาน ใช้จ่ายเงินออกไปด้วยความชื่นมื่น”
ฉีโซ่วเข้าสู่ภวังค์ความคิด
แผนการที่เฉิงเฉวียนบอกกับเขาก่อนหน้านี้เรียบง่ายมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็ซับซ้อนอยู่ไม่น้อย
เรียบง่ายก็เพราะกระบี่บินเที่ยวจูที่ในอนาคตมีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นอาวุธเซียนเล่มนั้นสามารถจำแลงเป็นกระบี่บินร้อยพันเล่มที่เป็นของจริงจับต้องได้โดยที่ ปณิธานกระบี่ไม่ลดลงแม้แต่น้อยได้จริงๆ ในเมื่อจำนวนมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของบางอย่างเข้าไป เหมือนกับการเพิ่มวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งให้กับ กระบี่บิน
ซับซ้อน ก็เพราะว่าคำว่า ‘เพิ่ม’ ที่พูดง่ายนี้มีขั้นตอนยิบย่อยอย่างถึงที่สุด จำเป็นต้องมีคนคอยเพิ่มยันต์ช่วยประคับประคองกระบี่บินทุกเล่ม และระหว่าง กระบี่บินแต่ละเล่มก็จำเป็นต้องเชื่อมโยงถึงกัน เที่ยวจูทุกเล่มจะต้องช่วยกันสร้าง ค่ายกลยันต์ สุดท้ายกระบี่บินเที่ยวจูทั้งหมดจึงจะกลายเป็นค่ายกลยันต์ขนาดใหญ่
นอกจากนี้แล้วยังมีสิ่งที่ทำให้ฉีโซ่วกลัดกลุ้มยิ่งกว่า เขากังวลว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย แล้วจะทำให้เฉินผิงอันคุ้นเคยกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเที่ยวจูของตัวเองมากขึ้นจากขั้นตอนของการสร้างค่ายกลยันต์นี้ เพราะถึงอย่างไรกระบี่บินเที่ยวจูเล่มนี้ก็เป็นรากฐานมหามรรคาของฉีโซ่วมากยิ่งกว่า ‘เกาจู๋’ กระบี่ประจำกายซึ่งเป็นอาวุธ กึ่งเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ช่วงชิงชีวิตกับคนอื่น หรือลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู เมื่อฉีโซ่วบังคับกระบี่บินเที่ยวจูหนึ่งพันเล่มที่เป็นของแท้แน่นอน จะเป็นภาพบรรยากาศอย่างไร?
คนที่เป็นศัตรูกับเขา จะมีความรู้สึกอย่างไร?
ก็เหมือนอย่างที่ฉีโซ่วเคยพูดไว้ เมื่อออกจากหัวกำแพงเมืองไป เขากับเฉินผิงอัน ก็คือศัตรูมิใช่มิตร
เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ด้วยรากฐานอันลึกล้าของตระกูลฉี ขอแค่คิดถึงข้อนี้ได้ ก่อนหน้าที่กระบี่บินเที่ยวจูของเจ้าจะเดินขึ้นสู่จุดสูง วิชาอภินิหารสายยันต์ที่เรียนไปจากข้า ขอแค่เจ้าสามารถทำตามได้ ที่เจ้าต้องเสียก็เป็นแค่ การทุ่มเงินเท่านั้น แต่เจ้ากลับได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวงในรูปแบบใหม่? ถูกข้า ทำความคุ้นเคยกับวิชาอภินิหารเฉพาะตัวของเที่ยวจูจะเสียเปรียบ หรือเจ้าฉีโซ่วได้รับคุณความชอบทางการต่อสู้ที่เป็นของแท้แน่นอนมาเพิ่มจะได้กำไรมากกว่า พี่ฉีเอ๋ยพี่ฉี เจ้าลองชั่งน้ำหนักดูเอาเถิด”
ฉีโซ่วก้มหน้าลงมองยันต์สองแผ่นที่ยังไม่ได้เอาวางกลับคืนในกองยันต์ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลังฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้ข้าสามารถบังคับกระบี่บินเที่ยวจูได้เกือบ เจ็ดร้อยเล่ม ยันต์กระดาษเหลืองนี้ของเจ้าสามารถสร้างค่ายกลได้จริงๆ หรือ? ราคาของยันต์แต่ละแผ่นจะคิดอย่างไร? หากมันเป็นแค่ซี่โครงไก่ ถึงเวลานั้นต้อง คุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนของเผ่าปีศาจจะไม่ถูกทำลายได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ? แบบนั้นจะคิดกันอย่างไร?
ประเด็นสำคัญคือเจ้าจะถ่ายทอดความรู้ที่เป็นแก่นแท้ของค่ายกลยันต์ทั้งหมดให้ข้าจริงหรือ? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง เจอสงครามใหญ่ติดต่อกันเรื่อยๆ นี่ก็ไม่สู้ให้ข้าไปเรียนวิชายันต์เอาเอง หากเจ้าเพียงแค่วาดแผ่นแป้งใหญ่ๆ ให้ข้าแผ่นหนึ่ง ข้าจ่ายเงินแต่กลับกินไม่ได้ มันจะคุ้มค่าได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “พี่ฉีไม่ใจป้าเอาเสียเลย ร่วมมือกับข้าทำการค้าไม่มีทางขาดทุนแน่ มีแค่ได้กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเองส่งเดช แต่เป็น เรื่องจริงที่ทำให้พวกเจ้าได้เห็นเองกับตากันมาแล้ว”
สุดท้ายเฉินผิงอันหันหน้ามา หุบพัดพับ ส่ายหน้าถอนหายใจพูดด้วยสีหน้าเสียดายว่า “พี่ฉี มองข้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องตายกันไปข้างนอกสนามรบ คู่ควรแก่มหามรรคาของเซียนกระบี่ที่พี่ฉีมองว่าต้องเป็นของในกระเป๋าตัวเองแล้วจริงหรือ?”
เฉินผิงอันใช้พัดพับกวักเรียกหนึ่งที บังคับยันต์สองปึกให้กลับมาอยู่ข้างกายตน ยิ้มเอ่ยว่า “ค้าขายไม่สำเร็จแต่คุณธรรมยังคงอยู่ จะมอบคำสอนของอริยะปราชญ์ ให้พี่ฉีเปล่าๆ ประโยคหนึ่ง ‘วิญญูชนให้ความสำคัญกับความมานะของตัวเอง มิใช่ หวังให้ฟ้าประทานให้ ดังนั้นจึงพัฒนาก้าวหน้าได้ทุกวัน’”
เฉิงเฉวียนใช้เสียงในใจยิ้มถามว่า “กิจการหดหายเช่นนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “นี่เป็นความรู้สึกของคนทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็ไม่มีทางตอบตกลงง่ายๆ เหมือนกัน”
เฉิงเฉวียนพยักหน้า “เรื่องของยันต์ค่ายกลก็เหมือนกับซี่โครงไก่อยู่บ้างจริงๆ ฉีโซ่วไม่ถูกเจ้าหลอกก็นับว่าพอจะมีสมองอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก วิชายันต์นี้ของข้าได้มาไม่ง่ายเลย หากทำสำเร็จ พลานุภาพก็ไม่เล็กเลยจริงๆ …”
เฉิงเฉวียนอึ้งตะลึง “เดี๋ยวนะ ตามความหมายของเจ้า จะสำเร็จหรือไม่ เจ้าก็ยังรับรองไม่ได้อย่างนั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันตอบกลับ “ข้าพูดกับเจ้าหรือฉีโซ่วว่าต้องสำเร็จแน่นอนทันทีทันใดหรือ? อีกอย่างการเขียนยันต์ก็พิถีพิถันในเรื่องของพรสวรรค์เป็นที่สุด จากนั้นจึงจะตามมาด้วยการฝึกปรือจนชำนาญ นี่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินดีแล้ว แค่แรกๆ สิ้นเปลืองยันต์ไปแค่ไม่กี่ร้อยแผ่นจะเป็นไรไป ฉีโซ่วมีเงินเยอะ ยังต้องกลัวความเสียหายน้อยนิดแค่นี้ด้วยหรือ? มารดาเขาเถอะ หากข้าไร้มโนธรรมกว่านี้สักหน่อยก็คงเอา กระดาษยันต์เหลืองทองออกมาหลายๆ ปึกแล้ว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าขนาด เทพเซียนก็ยังต้องเสียดายเงิน”
เฉิงเฉวียนหัวเราะฮ่าๆ “น้องเฉิน ช่วยคนอื่น แต่ตัวเองก็ได้ทั้งฝึกวาดยันต์แล้วก็ได้ทั้งเงิน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ช่างดีดลูกคิดได้รอบคอบนัก”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ฆ่าหมูจะยังรังเกียจว่าหมูอ้วนเกินไปด้วยหรือ?”
เฉิงเฉวียนหัวเราะอย่างชอบใจ
แต่สุดท้ายเฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “แต่พอได้เห็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าของที่นี่แล้ว ข้าก็คาดหวังรอคอยวันที่ฉีโซ่วจะเรียกกระบี่ออกมาทีเดียวพันเล่มจริงๆ ต่อให้จะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่แค่จินตนาการถึงภาพนั้นก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอยากทำให้ได้เหมือนเขาแล้ว”
วิญญูชนให้ความสำคัญกับความมานะของตัวเอง มิใช่หวังให้ฟ้าประทานให้ ดังนั้นจึงพัฒนาก้าวหน้าได้ทุกวัน
คำสั่งสอนของอริยะปราชญ์ประโยคนี้ หลักการเหตุผลที่ดีข้อนี้ แท้จริงแล้วมาจากผลงานของอาจารย์ของเฉินผิงอันเอง
หากสามารถอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี แต่ขณะเดียวกันก็ยังหันกลับมาเคารพตัวเองมากขึ้น แบบนั้นจะดียิ่งกว่าหรือไม่?
วันหน้าข้อสงสัยเล็กๆ ความเข้าใจที่ได้จากการอ่านตำราซึ่งน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงข้อนี้ เขาจะต้องเอาไปถามอาจารย์ของตนให้ได้
ฉีโซ่วถาม “ยันต์เหลืองแต่ละแผ่นขายราคาเท่าไร?”
เฉินผิงอันเหน็บพัดพับไว้ที่เอว ลุกขึ้นยืนวิ่งก้มตัวมาอยู่ข้างกายฉีโซ่ว ปากก็พร่าพูดว่า “รบกวนพี่ฉีช่วยสังหารศัตรูแทนข้าสักครู่ ข้าจะช่วยอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง สรุปก็คือข้าสามารถรับประกันได้ว่ายิ่งซื้อยันต์มากก็ยิ่งลดราคามาก! มิตรภาพพี่น้อง ที่แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจนระหว่างเจ้าและข้านี้ ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้!”
จากนั้นพอมาถึงข้างกายฉีโซ่ว เฉินผิงอันก็หันหน้าไปตะโกนอีกหนึ่งประโยคว่า “พี่ใหญ่เฉิง ช่วยดูสนามรบของน้องฉีให้ด้วย เอามาดของผู้อาวุโสออกมาใช้หน่อย อย่างมากสุดครู่หนึ่งพี่ฉีก็สามารถหวนกลับมาที่หัวกำแพงเมืองได้แล้ว”
เฉินผิงอันพาฉีโซ่วออกไปจากหัวกำแพงเมือง ไปนั่งยองอยู่ในมุมหัวกำแพง ตรงทางเดินม้าด้วยกัน กองยันต์กระดาษเหลืองทั้งหลายไว้ข้างเท้าตัวเองรวดเดียว แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ยันต์แตกต่าง ราคาก็ไม่เหมือนกัน พี่ฉีไม่ใช่ คนที่คิดเล็กคิดน้อย เพราะฉะนั้นข้าก็จะคิดราคาเหมาแบบเป็นธรรมให้เลย ลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง ยันต์หนึ่งพันแผ่น ไม่ขาดแม้แต่แผ่นเดียว เก็บเงินพี่ฉีแค่สามเหรียญเงิน ฝนธัญพืช”
ฉีโซ่วเตรียมจะลุกขึ้นเดินจากไป
ยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาหนึ่งพันแผ่น อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสามารถขายได้แค่กี่ตำลึงกันเชียว? อย่างมากสุดก็ไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น
ต่อให้จะใช้ผงชาดมาวาดยันต์ ซึ่งคงต้องใช้ต้นทุนไปไม่น้อย แต่ด้วยนิสัยขี้เหนียวของเฉินผิงอัน สามารถเอาผงชาดตระกูลเซียนมาวาดยันต์รวดเดียวหนึ่งพันแผ่น ระดับขั้นของยันต์ต้องไม่ดีสักเท่าไรแน่นอน จะจ่ายเงินไปกี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ กันเชียว? อย่างมากสุดก็มีค่าใช้จ่ายแค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่ได้รั้งเอาไว้ แค่พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ยันต์ค่ายกลชุดนี้ของข้าเกี่ยวข้องกับยันต์ซานซานจิ่วโหว แน่นอนว่าไม่ได้เหมือนของดั้งเดิมแบบเป๊ะๆ บอกตามตรง ด้วยขอบเขตน้อยนิดของข้าในทุกวันนี้ ย่อมไม่มีความสามารถจะวาดยันต์เช่นนั้นออกมาได้ แต่รากฐานของค่ายกลยันต์กลับมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นจริงๆ นอกจากนี้ข้าจะต้องเอาความสามารถในการ วาดยันต์ทั้งหมดในชีวิตออกมา จะไม่ปิดบังอำพรางไว้แม้แต่น้อย สามารถช่วยให้พี่ฉีประหยัดยันต์ได้หนึ่งแผ่นก็จะประหยัดหนึ่งแผ่น แน่นอนว่าบอกไว้ก่อนว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นค่ายกลยันต์ที่หายสาบสูญไปนาน ไม่ใช่แค่การวาดยันต์ธรรมดาเท่านั้น การเผาผลาญบางอย่าง พี่ฉีจะต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าจะสามารถเอาปณิธานยันต์ไปฝังในตัวกระบี่ได้อย่างไร ก็เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาลับเฉพาะอีก อย่างหนึ่ง”
ฉีโซ่วกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
ขึ้นเขายากที่การเริ่มต้น ทองหมื่นชั่งยากจะซื้อเวทคาถาสักบท
นี่ก็คือกฎของการฝึกตนบนภูเขา
ฉีโซ่วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ยันต์หนึ่งพันแผ่นที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกนี้จะช่วยกระบี่บินเล่มนั้นของข้าได้อย่างไร? หรือเจ้าคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำการค้านี้กับข้า ดังนั้นยันต์แต่ละแผ่นที่วาดไว้จึงมีเป้าหมาย อีกทั้งแม้แต่เรื่องที่เจ้าและข้าต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกัน เจ้าก็เดาไว้ได้นานแล้ว?”
“ดูสิ พี่ฉีใช้ความคิดของคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชนอีกแล้ว ใส่ร้ายข้ายิ่งนัก”
เฉินผิงอันหยิบยันต์ปึกหนึ่งขึ้นมาด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย เขาใช้นิ้วคลี่ไล่นับยันต์ทีละแผ่น ที่แท้นอกจากยันต์ที่อยู่ด้านบนและด้านล่างไม่กี่แผ่นแล้ว ยันต์ที่เหลือ ล้วนว่างเปล่า
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “เส้นทางการวาดยันต์คือเรื่องยากที่เน้นในคำว่าละเอียดและรัดกุม คราวก่อนต่อสู้กับหลีเจินจนมืดฟ้ามัวดิน สูญเสียยันต์ที่มีมูลค่า ควรเมืองไปมากนัก ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอบเขตถดถอยไปสามขั้นติด พี่ฉี เจ้าลองถามมโนธรรมในใจตัวเองดู นึกถึงความทุกข์ทรมานที่ข้าต้องเผชิญออกไหม? นับแต่นั้นมาข้าก็ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด ทั้งต้องฝึกหมัด ทั้งต้องซ่อมแซมขอบเขต กระดาษยันต์พวกนี้ข้าจึงยังไม่มีเวลาได้วาด ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงลืมบอกไปว่า ค่าจ้างวาดยันต์กับคุณความชอบจากการสังหารปีศาจที่ต้องเสียไป…”
ฉีโซ่วหัวเราะเสียงเย็น “เฉิงเฉวียนช่วยเจ้าสังหารปีศาจ คุณความชอบนี้หนีไปไหนไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงแค่ค่าแรงวาดยันต์ ใต้หล้าไพศาลของพวกเราล้วนมีความพิถีพิถันในเรื่องค่าหมึกค่าพู่กัน พี่ฉีแค่มอบให้พอเป็นพิธีก็พอ สองสามเหรียญเงินร้อนน้อย เงินน้อยนิดดุจสายฝนบางเบา”
ฉีโซ่วเอ่ย “กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีคำกล่าวนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเงินฝนธัญพืชสามเหรียญก็คงลดให้อีกไม่ได้แล้วจริงๆ”
ฉีโซ่วกล่าว “เจ้าคิดจะฆ่าหมูรึ?”
“พี่ฉี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเหยียบย่าตัวเองเช่นนี้ บอกว่าตัวเองเป็นคนหลอกง่าย ก็ยังดีกว่านะ”
พอพูดจบ เฉินผิงอันก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีซึ่งนับว่าหาได้ยาก เขาตบไหล่ ฉีโซ่ว “นึกถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่พบเจอและจากลากันด้วยดี แล้วยังคิดอยากจะกลับมาพบกันใหม่อีก พี่ฉีจะต้องเป็นเหมือนเขาที่โชคดีอย่างถึงที่สุด มีชีวิตอยู่รอดจนถึงท้ายที่สุด”
ฉีโซ่วดีดมือของเฉินผิงอันออก ขมวดคิ้วมุ่น
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น จ้องฉีโซ่วนิ่ง ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามองพี่ฉีไม่ผิดไปจริงๆ ด้วย ไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็นตายบนสนามรบ”
ฉีโซ่วถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าก็เดาดูสิ”
ฉีโซ่วพลันหัวเราะ “เจ้าไม่กลัวข้าใช้แผนหนามยอกเอาหนามบ่งหรือ? อย่าลืมล่ะว่ากระบี่บินเที่ยวจูมีเยอะมาก ตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าสรุปแล้วข้ามีกี่เล่มกันแน่ เจ้าจะสามารถจับตามองทุกรายละเอียดบนสนามรบของข้าได้หรือไง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ และนี่ยังเป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากๆ ด้วย”
ฉีโซ่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เขาเคยได้ยินมาจากบรรพบุรุษของตระกูลว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานเซียนกระบี่ทุกคน ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับคำสั่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือในแต่ละช่วงเวลาจะมีเซียนกระบี่แต่ละท่านที่ออกกระบี่โดยออมแรงไว้ก่อน
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยินดีทำอย่างแน่นอน
ใครยินดีสวามิภักดิ์กับศัตรู กล้าทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ตามสบาย
ขอแค่สามารถเก็บซ่อนได้ลึกพอก็ถือว่ามีความสามารถ แต่หากซ่อนได้ไม่ดี แล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองเบาะแสออก นั่นก็ต้องเจอกับคำเดียว ตาย
ดังนั้นนี่ต้องเป็นคำแนะนำจากคนนอกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่อีกไม่น้อยที่ได้รับยันต์ประหลาดชนิดหนึ่งมาจากทางหอภูษา เป็นยันต์ที่สามารถช่วยอำพรางตัวได้
ในอดีตใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่มีคนที่สามารถวาดยันต์ประเภทนี้ออกมาได้ เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนใดรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็น
อาจจะมีผู้ฝึกกระบี่บางคนที่คิดอยากทำเช่นนี้ แต่ก็ได้แค่เอาความคิดที่จะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวสงครามนี้ฝังลึกไว้ในใจ ดังนั้นก็ยังคงต้องเป็นคนนอกที่สามารถเกลี้ยกล่อมเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ฝืนบังคับให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์แปะยันต์นี้ไว้บนตัว อีกทั้งบนหัวกำแพงเมือง นอกจากสิบท่านในอันดับสูงสุดและเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญไม่อาจย้ายที่ได้แล้ว เซียนกระบี่จำนวนมากกว่านั้นต่างก็เริ่มผลัดเปลี่ยนตำแหน่งการเฝ้าพิทักษ์พื้นที่กันอย่างเงียบๆ
ฉีโซ่วถาม “เจ้าพูดเรื่องอะไรบางอย่างกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ไม่เพียงแต่สัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้นที่ต้องการให้ข้าตาย เซียนกระบี่จำนวนไม่น้อยที่อยากหาทางหนีทีไล่เส้นใหม่ให้ตัวเองก็ยิ่งอยากให้ข้าตายเสียยิ่งกว่า”
ฉีโซ่วมีสีหน้าปั้นยาก “เจ้าไม่กลัวตายขนาดนี้เชียวหรือ? เพื่ออะไรกัน?”
เฉินผิงอันใช้พัดพับเคาะไปที่หัวไหล่ตัวเองเบาๆ “ตอนที่ข้าอยากตาย เจ้ายังนึกวิธีการของข้าไม่ออก ตอนที่ข้าอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ยิ่งคิดไม่ออกเข้าไปใหญ่”
ฉีโซ่วนั่งแปะลงไปบนพื้น เอนหลังพิงกำแพง ยื่นมือออกมา “เอาเหล้ามากาหนึ่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง โยนเหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งไปให้ ส่วนตัวเองปลด น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ตอนนี้ยังหล่อเลี้ยงกระบี่บินสี่เล่มเอาไว้ลงมา
ได้ยินมาว่าเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวกำลังจะมีน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ที่สุกงอมหลายลูก ระดับขั้นล้วนสูงมาก เพียงแต่ราคาแพงเกินไป อีกทั้งยังมีคนจับจองไว้ นานแล้ว
ฉีโซ่วเอ่ยกับเฉิงเฉวียน “ผู้อาวุโสเฉิง รอสักครู่ ขอข้าดื่มเหล้าเพิ่มสักกา”
เฉินผิงอันก็ตะโกนทันทีว่า “ผลงานการสู้รบทั้งหมดในขณะที่พี่ฉีของข้าดื่มเหล้า ล้วนคิดลงบัญชีของข้า”
ฉีโซ่วระอาใจไม่น้อย นี่ข้าผู้อาวุโสใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับเฉิงเฉวียนนะนี่
ฉีโซ่วดื่มเหล้าแล้วก็ถามว่า “บัญชีเก่าระหว่างเจ้าและข้า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีนั้นตระกูลฉีอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่น ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นวิธีการที่โจ่งแจ้ง อันที่จริงข้าสามารถยอมรับได้ มีพละกำลังมาก หมัดใหญ่กว่า ตรงไปตรงมา ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจแบบหนึ่ง หลักการเหตุผลเช่นนี้ ไม่ว่าข้าจะชอบหรือไม่ก็ล้วนรับได้ เพราะว่ามันเรียบง่าย ประหยัดแรงกายแรงใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าเอาความผิดความถูกมาหักลบชดเชยกัน ลดๆ เพิ่มๆ หากถึงเวลาที่ข้าสามารถออกหมัดออกกระบี่ เรื่องราวมากมายก่อนหน้านี้ก็ไม่ลดไม่เพิ่ม นั่นก็เรียบง่ายเหมือนกัน แค่ให้ชูอีสืออู่เอาคืนพวกเจ้าให้หมดก็พอ ฉีโซ่ว ความยาก ที่แท้จริงหลายอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้า แต่พอไปอยู่ใต้หล้าไพศาล นั่นต่างหากที่ชวนให้คนกลัดกลุ้ม ปัญหาจะมากกว่านี้ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น จำไว้ว่าระวังให้มาก”
ฉีโซ่วส่ายหน้า “ข้าไม่มีความสนใจต่อใต้หล้าไพศาลอะไรนั่น แต่กลับอยากไปเยือนใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ถามกระบี่ต่อผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแบบอาเหลียงดู สักครั้ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พกกระบี่ไปเยือนแคว้นอื่น ออกห่างบ้านเกิดไกลหมื่นลี้ ไร้ห่วงให้พะวงหา สมกับเป็นเซียนกระบี่อย่างมาก”
เฉินผิงอันเก็บน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ “ได้เวลาหาเงินแล้ว”
ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินเที่ยวจูทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบสองเล่มออกมาจับกลุ่มรวมกันอยู่ที่มุมกำแพงฝั่งนี้ ส่วนตัวเขาจะต้องกลับไปที่หัวกำแพงเมืองแล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสียงเบาว่า “หากยันต์ที่สำคัญทั้งหมดล้วนสามารถเปลี่ยนมาเป็นกระดาษยันต์เหลืองทองหรือกระดาษยันต์ที่ดียิ่งกว่านั้น ค่ายกลยันต์บวกกับ ค่ายกลกระบี่ นับว่าร้ายกาจยิ่ง ยามที่พี่ฉีออกกระบี่บนหัวกำแพงเมือง พลานุภาพยังใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าเสียอีก!”
ฉีโซ่วหยุดเดิน ถามอย่างใคร่รู้ “นั่นต้องใช้เงินเท่าไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็มองไปทางทิศเหนือ แล้วก็พลันคลี่ยิ้ม “ข้าอารมณ์ดีมาก จะเก็บแค่เงินเทพเซียนจากเจ้าในราคาเท่ากัน”
ฉีโซ่วเพิ่งจะหมุนตัวกลับก็ได้ยินคนผู้นั้นพูดว่า “ห้าเหรียญเท่านั้น”
ฉีโซ่วหันหน้ากลับมา
คนผู้นั้นถาม “พี่ฉีอ่า พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจกัน ไม่มีค่าเท่า เหรียญเงินฝนธัญพืชสองเหรียญหรอกหรือ?”
ฉีโซ่วตีหน้าเคร่งส่ายหน้า พูดเสียงหนักแน่น “ไม่เท่า”
คนผู้นั้นกล่าวด้วยน้าเสียงหน่ายใจ “พี่ฉีมักจะดูแคลนตัวเองเช่นนี้ ไม่ดีเลยนะ”
ฉีโซ่วกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง เอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสเฉิงเฉวียนคำหนึ่ง
ในห้องลับของจวนหนิง
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
เขาคิดไม่ถึงว่าร่างกายตัวเองจะสมบูรณ์แบบ ไร้ความเสียหายใดๆ
คิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เฉินผิงอันเดินออกจากห้องลับมาอย่างมึนงง มาถึงลานประลองยุทธ ตลอดทางที่เดินมาฟ้าดินเงียบสงัด
ไม่เห็นป๋ายหมัวมัวปรากฏตัว จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าผาสังหารมังกรก็ราวกับว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับเหลือเพียงตนคนเดียว
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้า มีคนทำเหมือนแหวกม่านฟ้ามาถึงลานประลองยุทธแห่งนี้
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อยก็ให้รู้สึกทรมานอย่างน่าประหลาดใจ ช่องโพรงลมปราณแห่งหนึ่งที่ไม่เคยตั้งใจจะบุกเบิกกลับสั่นไหวไม่หยุด เพียงแต่ว่าความรู้สึกประหลาดนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก็หายวับไป
คนที่มาเยือนจวนหนิงคือเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ก็แค่ดวงวิญญาณที่แบ่งออกมาจากร่างเท่านั้น
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ออกกระบี่ และขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอีกครั้งที่ช่วยปกปิดอำพราง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ออกกระบี่เป็นเรื่องจริง แต่ช่วยปกปิดอำพรางนี่มาจากที่ใด?”
เฉินผิงอันยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่
เฉินชิงตูกล่าว “หมื่นปีที่ผ่านมา มีผู้ฝึกกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน แต่คนที่มี กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วแต่กลับไม่รู้ตัวกลับมีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ”
แล้วเฉินชิงตูก็หัวเราะ กวาดตามองรอบด้าน แล้วพยักหน้า “อยู่ในนี้ก็ช่างเป็นนกในกรงที่ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
อารมณ์ดีขึ้นมาในฉับพลัน
เฉินชิงตูถาม “พันธนาการศัตรูอยู่ในฟ้าดิน แค่นี้ก็พอแล้วหรือ? กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองล่ะ?”
พริบตานั้นระหว่างฟ้าดินนอกจากเฉินผิงอันและเฉินชิงตูแล้ว ล้วนมีแต่กระบี่บิน ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แน่นขนัดเต็มล้น มากมายเกินกว่าจะนับได้หมด
ในฟ้าดินของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนกในกรง
ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แล้วใครจะใช่?!