กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 626 ก่อกบฏ
บทที่ 626 ก่อกบฏ
เฉินชิงตูมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบเก็บกระบี่บินที่ยังไม่ตั้งชื่อ ‘เล่มนั้น’ ลงไปทันที จิตขยับไหวก็ไม่เห็นแสงกระบี่ใดๆ เพียงแต่กระบี่บินทั้งหมดกลับไปหลบซ่อนอยู่ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญ สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม
การไปกลับของกระบี่บินที่แทบจะมองข้ามการฉุดรั้งของแม่น้าแห่งกาลเวลา ครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตเล่มนี้ พอมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่งสร้างขึ้นมา สองวิชาอภินิหารทับซ้อนกัน นั่นจึงมีประสิทธิผลที่เรียกได้ว่าเทพไม่รู้ ผีไม่เห็นเช่นนี้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ผู้ฝึกลมปราณหลอมขึ้นภายใต้โชควาสนาเอื้ออำนวย ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ผู้ฝึกกระบี่ท่านอื่นเหลือทิ้งไว้ เมื่อเทียบกับกระบี่บินของตัว ผู้ฝึกกระบี่เองแล้ว ทั้งสองฝ่ายมีความต่างกันทั้งด้านรูปลักษณ์และจิตวิญญาณ และความต่างเช่นนั้นก็มากมหาศาลดุจถูกกางกั้นด้วยฟ้าดิน
ต่อให้ฝ่ายแรกจะผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วก็ยังคงอยู่ในขอบเขตของวัตถุนอกกายครึ่งตัว แต่ฝ่ายหลังกลับเกี่ยวพันกับชีวิตอย่างจริงแท้แน่นอน มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่น่าเหลือเชื่ออยู่หลายอย่าง
ซงเจินกับไฮเหลยคือกระบี่บินที่สร้างจำลองขึ้นจากภูเขาชังกระบี่ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดมาก ส่วนใหญ่แล้วเอามาใช้ควบคู่กับวิชายันต์ ถูกเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดหรือไม่ก็แลกชีวิตกับผู้อื่น
ชูอีสืออู่คือวัตถุของเซียนบรรพกาลที่แท้จริง ทว่าต่อให้ถูกเฉินผิงอันหลอมใหญ่แล้วก็ยังไม่อาจร่ายใช้วิชาอภินิหารได้ ความมหัศจรรย์ในการออกกระบี่จะหยุดอยู่แค่ขอบเขตของความเร็วที่มีมากอย่างถึงที่สุด มีความทนทานและความคมเท่านั้น คำว่าย้ำยีวัตถุสวรรค์ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง เพียงแต่ว่าหลังจากที่ทุ่มเทพลังกายพลังใจ อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังหยุดอยู่แค่ที่ตรงนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉินผิงอันจึงไม่ตำหนิตัวเองมากเกินไปนัก
เฉินผิงอันเก็บวิชาอภินิหารที่ลี้ลับมหัศจรรย์ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มลงไป บนลานประลองยุทธ ฟ้าดินขนาดเล็กที่ปกคลุมตัวเฉิงผิงอันและเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสเฉินชิงตูเอาไว้ภายในจึงสลายหายไป
ป๋ายเลี่ยนซวงยืนอยู่ตรงระเบียงที่ห่างไปไกล หลังจากที่หญิงชราพอจะแน่ใจในการคาดเดาของตัวเองแล้วก็หันหน้าไปอีกทาง ยกหลังมือเช็ดน้าตา
อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเหมือนคนเดินละเมอ ตอนที่เขาออกมาจากห้องลับของจวนหนิง หมัวมัววัยชราก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้น เฉินผิงอันยังสะลึมสะลือ ยังไม่คืนสติอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองไม่เพียงแต่ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้แล้ว ยิ่งไม่รู้ว่ากระบี่บินเล่มนี้ได้ เผยกายขึ้นบนโลก อีกทั้งยังร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เริ่มปกป้องเจ้านายของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุให้สถานที่ที่เฉินผิงอันเดินผ่าน รอบด้านก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่แทบจะใกล้เคียงกับธรรมชาติความเป็นจริง
ป๋ายหมัวมัวเห็นผู้เฒ่าคนนั้น ระดับความตกตะลึงของนางก็ไม่แพ้ให้กับยามที่รู้ว่าในที่สุดท่านเขยของตนก็เลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ นางรีบค้อมเอวกุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม แล้วจึงจากไปเงียบๆ ตอนที่ เดินจากไปยังคอยยกหลังมือขึ้นมาเป็นพักๆ
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อน จากนั้นจึงทาบมือประสานแล้วโค้งกายคารวะ แต่กลับไม่ได้เอ่ยคำใด
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นไปบนแท่นสังหารมังกรช้าๆ เฉินผิงอัน เดินตามติดมาด้านหลัง
เฉินชิงตูเดินไปพลางพูดไปพลาง “แรกเริ่มสุดนางมีบุญคุณต่อเผ่ามนุษย์ ปฏิทินเหลืองเก่าแก่เล่มนี้ข้ายังจำได้ จำได้นานนับหมื่นปี ครั้งแรกที่เจ้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงข้าก็ค้นพบเบาะแสแล้ว แม้ว่าช่องโพรงลมปราณ ทั้งสามแห่งของเจ้าจะไม่มีปราณกระบี่สามเสี้ยวของนางล้อมวนอยู่อีกต่อไป แต่กลิ่นอายนั้นเป็นกลิ่นอายที่ข้าคุ้นเคยที่สุด เพราะถึงอย่างไรเวทกระบี่ของข้าก็ได้ มาจากอดีตเจ้านายคนก่อนของนาง แต่นอกจากที่ข้าจะกังวลว่านี่จะเป็นแผนการ ของคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ข้าก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ข้าเฉินชิงตูควรจะคืนน้ำใจให้ คนอื่นอย่างไร คืนเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็น มองไม่เห็นการบอกเป็นนัยของนาง ทั้งไม่ยอมสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะให้ เจ้าใหม่ แล้วก็ไม่ออกแรงช่วยฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้เจ้าแม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อให้ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งหลังผ่านไปนานหมื่นปี ข้าติดค้างน้ำใจของนาง หาใช่ติดค้างน้ำใจของเจ้าเฉินผิงอันไม่ หากนางไม่พอใจ ก็มาหาข้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย”
เฉินชิงตูนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว หันหน้าไปทางทิศใต้ มองเห็นหัวกำแพงของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วผู้เฒ่าก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คนโบราณกี่มากน้อย ที่ล้วนเป็นสหายเก่าของข้า หรือถึงขั้นเป็นเด็กรุ่นหลังของข้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ปีศาจใหญ่ป่าเถื่อนกี่มากน้อยที่ล้วนเป็นศัตรูของข้า ถึงขั้นกลายเป็นวิญญาณใต้ คมกระบี่ของข้า ความเปลี่ยวเหงาอาดูรที่ต้องเผชิญนี้ เจ้าไม่มีทางเข้าใจ”
แล้วเฉินชิงตูก็คลี่ยิ้ม “หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้มองหัวกำแพงเมืองอยู่ไกลๆ เช่นนี้ จำได้ว่าช่วงแรกที่กำแพงเมืองเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา ข้าเคยยืนอยู่บนถนนไท่เซี่ยงใน ทุกวันนี้ พูดคุยยิ้มแย้มกับหลงจวิน กวนจ้าวสหายรักทั้งสองคน บอกว่ามีกำแพงสูงแห่งนี้ ย่อมพิทักษ์ไว้ได้นานนับหมื่นปี และก็ทำได้แล้วจริงๆ”
เฉินชิงตูหันหน้ามามองเฉินผิงอัน พูดอย่างปลาบปลื้มว่า “โชควาสนาในวันนี้ หาใช่เจ้าร้องขอมาจากคนอื่น แล้วก็ไม่ใช่คนอื่นที่ทำทานให้เจ้า เป็นตัวเจ้าที่ช่วงชิงมาด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าว “ยังต้องขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ช่วยถ่ายทอดและพิทักษ์มรรคาให้”
เฉินชิงตูกล่าว “หากจะพูดอย่างนี้จริงๆ ก็ถือว่าพอจะมีเหตุผล ก็แค่ใช้ผลลัพธ์ที่ดีไปมองขั้นตอน ทุกเรื่องจึงดีงาม แต่หากใช้จุดจบแย่ๆ หันกลับไปมองชีวิตคน ทุกเรื่องล้วนเลวร้าย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้น้อยแค่ว่าไปตามสถานการณ์เท่านั้น เลือกเอาเรื่องดีๆ มาพูด คำบ่นและความไม่พอใจมากมาย ไม่มีความกล้าพอจะเอามาบ่นให้เซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสฟังหรอก”
นี่คือความจริง แล้วก็เป็นคำพูดที่กล่าวไปตามสถานการณ์ หากครั้งแรกที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็สามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นตัวอ่อนของเซียนกระบี่ ก็คงไม่มีเรื่อง ไม่คาดฝันมากมายขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องสะพายกระบี่ปราณยาวไปหาตงไห่ที่ อารามกวานเต๋าของใบถงทวีป บางทีอาจไม่มีการเข่นฆ่าที่นครมังกรเฒ่าในภายหลัง ไม่มีทางเกิดสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งๆ ที่ขอบเขตยังไม่สูงพอ ได้แต่ฝึกฝนจิตใจข้ามผ่านมันมาให้ได้ ไม่มีสถานการณ์ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันจัดฉากของเกาเฉิงแห่งชายหาดโครงกระดูกกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง รวมไปถึงไม่ได้แบกรับทัณฑ์สวรรค์ที่นอกจากจะเปลืองแรงแล้วยังไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ เรื่องราวมากมายต่อจากนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น อาจจจะเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนชีวิตคนต่อจากนั้นจะดียิ่งกว่าหรือเลวร้ายยิ่งกว่า ถึงอย่างไรตนก็ไม่มีโอกาสได้รู้แล้ว
และยังมีสถานการณ์ยากลำบากในกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกวันนี้ หากจะให้เอามาพูดจริงๆ เฉินผิงอันก็สามารถร่ายยาวกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้หลายวันจริงๆ
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “เรื่องอื่นของเจ้าไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องโชควาสนากับคนอายุมากกว่านี่ นับว่าพอจะมีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “วัตถุจื่อชื่อของข้าจะสามารถเปิดได้อีกครั้งเมื่อไหร่? เมื่อสงครามเริ่มเลวร้าย ข้าจะต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูพร้อมกับพวกหนิงเหยา”
ประโยคนี้เอ่ยแค่ครึ่งเดียว
ยังมีอีกครึ่งหนึ่งก็คือ หากใช้วัตถุจื่อชื่อไม่ได้จะถ่วงรั้งการเก็บตกของผุพังและ การหาเงินอย่างมีมโนธรรมของตนเอาได้ หากต้องให้แบกถุงใหญ่ๆ วิ่งไปโน่นมานี่ พวกกู้เจี้ยนหลงจะไม่ต้องเอ่ยคำพูดด้วยความเป็นธรรมกันอีกเป็นกระบุงโกย หรอกหรือ
เฉินชิงตูถามอย่างสงสัย “เรื่องเล็กเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงาพวกนี้ เจ้าไม่ไปถามเยี่ยนหมิงล่ะ มาถามข้าทำไม?”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย เพราะรู้สึกว่าด้วยนิสัยและการกระทำของท่านอาเยี่ยน สามารถถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเรียกตัวให้ช่วยพาตนไปส่งที่ หอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัว แล้วจะปล่อยให้วัตถุจื่อชื่อที่บรรจุภาพวาดของ เซียนกระบี่เอาไว้เกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอัน ก็กระจ่างแจ้ง เขาเข้าใจแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กเท่าเมล็ดงาจริงๆ วันหน้าก็แค่ขอยืม วัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งมาจากท่านอาเยี่ยนผู้ใจกว้างร่ารวยก็พอ
เฉินชิงตูไม่ถือสากับการดีดลูกคิดเล็กๆ นี้ของเฉินผิงอัน คาดว่าเจ้าเด็กนี่คงจะไปยืมจริง แต่จะคืนให้หรือไม่ก็คงบอกได้ยากแล้ว
แต่คำที่เฉินชิงตูบอกว่าเฉินผิงอันมีวาสนากับพวกผู้อาวุโสนั้น นับว่าถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะสำหรับเยี่ยนหมิงที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้กับบุตรชายโทนอย่างเยี่ยนจั๋วแล้ว ไม่ว่าจะทางส่วนตัวหรือส่วนรวม เขาก็ไม่มีทางขี้เหนียวกับวัตถุจื่อชื่อเพียงชิ้นเดียว
พรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ของเยี่ยนหมิงไม่สูง แต่ฝีมือด้านการบุกเบิกเส้นทางหาเงินนั้นกลับดีเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงชอบเฉินผิงอันมากเป็นพิเศษ นี่ไม่ค่อยเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความประทับใจที่มีต่อคนหนุ่มต่างถิ่นของเยว่ชิง เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มเยี่ยนหมิงก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ที่เห็นดีในตัวเฉินผิงอันอยู่แล้ว
มองดูเหมือนว่าเฉินชิงตูไม่เคยสนใจเรื่องใด แต่แท้จริงแล้วกลับใส่ใจผู้ฝึกกระบี่ รุ่นเยาว์ทุกคน
เฉินชิงตูพลันเอ่ยว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าสองเล่มนี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตีเท่านั้น พวกมันไม่ค่อยเหมือนกับของคนรุ่นเดียวกันอย่างฉีโซ่ว เกาเหย่โหว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาอานุภาพในการสังหาร ไม่น้อย เคล็ดวิชาก็ไม่ตื้นเขิน เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงท้ายๆ หากพูดถึงแค่ความเป็นไปได้ที่จะสร้างกระบี่บินออกมาให้ได้เยอะๆ ก็จะไม่มีทางเยอะได้เท่าของเจ้า”
ต้องรู้ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสำนักศึกษากับซานจวินและเทพวารี ที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำ ล้วนมีขอบเขตสูงกว่าคนทั่วไประดับหนึ่ง
ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันเล่มที่ผู้เฒ่าชื่นชมว่า ‘ช่างเป็นนกในกรงที่ดีนัก’ เล่มนั้น จะได้ครอบครองวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ที่สูงกว่าคนอื่นระดับหนึ่งหรือไม่ ยังต้องรอให้ตัวเฉินผิงอันไปค้นพบและบุกเบิกด้วยตัวเอง
ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ข้ามผ่านด่าน ‘มีในความไม่มี’ ที่ยากลำบากที่สุดนี้ไปได้ เส้นทางการฝึกตนในวันหน้าก็จะมีความมั่นใจมากพอให้ พูดถึงฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ร่างกายจิตใจล้วนอิสระเสรีแล้ว
เฉินชิงตูลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ในที่สุดก็พอจะมีวิธีการที่เข้าท่าเข้าทีกับเขาบ้างแล้ว”
ขณะที่กำลังจะกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามว่า “ก่อนหน้านี้ถูกปณิธานกระบี่และแม่น้าแห่งกาลเวลาชำระล้างร่างกายและจิตใจ รสชาติที่เรือนกายเหลือเพียงโครงกระดูกหยัดยืนนั้นเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นตาม ยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับการฝึกวิชาหมัดที่ บ้านเกิดเมื่อก่อนนี้ ทรมานกว่าหลายต่อหลายเท่านัก ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกแล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บังเอิญยิ่งนัก”
หน้าผากของเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดซึม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่ต้องบังเอิญก็ได้”
เฉินชิงตูยังคงกล่าวว่า “บังเอิญสิ”
เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรม กล่าวอย่างจนใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ผู้อาวุโส”
เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ขั้นตอนของโครงกระดูกหยัดยืน จิตวิญญาณหลอมละลายในครั้งนี้จะช้ากว่าคราวก่อนมากๆ”
เฉินผิงอันถามเสียงสั่น “เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว ยังต้องทำแบบนี้อีกหรือ?”
เฉินชิงตูให้คำตอบที่ต่อให้ตีให้ตายเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึง “คนหนุ่มไม่ควรมีความ ไม่พอใจนะ”
ผู้เฒ่าพูดจบร่างก็หายวับไป
ตลอดทั้งหน้าผาสังหารมังกรและศาลาหลังเล็กของจวนหนิงพลันมีฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ต่อให้เซียนกระบี่ออกกระบี่ร้อยปีก็ยากจะทำลายได้ปรากฎขึ้น เฉินผิงอันถูกสยบไว้ด้านใน ร่างเซทรุดลงนั่งกลางศาลา
แสงกระบี่เส้นหนึ่งเป็นเหมือนน้าตกสายใหญ่แปลกประหลาดที่เดี๋ยวก็ไหลเร็วเดี๋ยวก็ไหลช้าพุ่งจากเพดานของศาลากระแทกเข้าใส่ศีรษะของเฉินผิงอัน เรือนกายของผู้ฝึกยุทธร่างทองเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องที่ถูกคนทุ่มลงพื้นแต่ก็ยังไม่แตกกระจาย จะทำให้แตกแต่ก็ไม่แตก ทว่ากลับมีรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนปริลาม ไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีรษะและใบหน้าที่ต้อง ‘อาบ’ น้ำตกปณิธานกระบี่ก่อนสัดส่วนอื่นๆ ซึ่งต้องทรมานเป็นที่สุด หากเฉินผิงอันยังปล่อยจิตหยินออกจากร่าง ได้อีกก็จะได้เห็นว่าร่างจริง สภาพที่ตัวเองต้องเผชิญในตอนนี้ เมื่อเทียบกับใบหน้าของฮูหยินเจ้าของป้อมอินทรีใบถงทวีปในปีนั้นแล้ว ยังมีสภาพน่าอนาถมิอาจทนมองมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ผิวหนังเท่านั้น แม้แต่ดวงตาคู่นั้นยังค่อยๆ ปริแตก จุดที่ทรมานที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ แผ่ลามไปทีละนิดทีละเสี้ยว ประหนึ่งต้นหญ้าที่ค่อยๆ เติบโต เมื่อเทียบกับสิ่งที่เฉินผิงอันเผชิญตอนอยู่ในห้องลับจวนหนิงก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งช้าหนึ่งเร็ว คือความแตกต่างอย่างสุดขั้วสองอย่างพอดี
และเมื่อน้ำตกเส้นนั้นไหลกระทบพื้นก็ไม่ได้พุ่งออกจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ครอบคลุมแท่นสังหารมังกรและศาลาขนาดเล็ก แต่กลับกลายเป็นเหมือนบ่อโบราณที่รองรับน้ำค้างรสหวานซึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า บ่อน้าค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ ระดับน้ำ เริ่มขยับขึ้นมาเลยหัวเข่าของเฉินผิงอัน
นี่เป็นเพียงแค่ความทรมานเหมือนโดนมีดกรีดเนื้อเสียที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าคล้ายคลึงกับการบดขยี้เค้นฆ่าไปทีละนิดจากฟ้าและดินที่ขยับเข้ามาบรรจบกันแล้ว
ล้างกระบี่ ล้างกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่ล้างกระบี่ ไหนเลยจะมีผู้ฝึกกระบี่ที่นำเรือนกายเนื้อหนังมังสาของตนมาชำระล้างหล่อหลอมแทนกระบี่เช่นนี้
หญิงชราที่สัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดจากจุดที่ห่างไปไกลอีกครั้ง เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ไม่คิดว่าพอท่านเขยกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วจะยิ่งมานะหลอมกระบี่เช่นนี้”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จั่วโย่วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ถือกระบี่ยาว หันปลายกระบี่ชี้เข้าหาบรรพบุรุษของ สัตว์เดรัจฉานในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อน จากนั้นก็ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกักขัง เฉินชิงตู เจ้าที่เป็นศิษย์พี่ยังอยากจะให้ศิษย์น้องของตัวเองเป็นอย่างไรล่ะ?”
จั่วโย่วตีหน้าเคร่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ต้องเป็นศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก”
เฉินชิงตูจุ๊ปากพูด “ขอร้องสายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้าเลิกทำตัวหน้าหนาสักทีเถอะ”
จั่วโย่วอารมณ์ดีอย่างมาก ครั้งนี้เขาไม่ถือสาอีกฝ่ายจริงๆ เพียงแต่อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ว่า “ในเมื่อมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้ว ทำไมถึงไม่รีบมาที่สนามรบเล่า?”
เฉินชิงตูกล่าว “ข้าขอร้องให้เขามา แต่พอเจ้าเด็กนั่นกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วกลับวางมาดใหญ่โต ไม่ยอมมานี่นา”
จั่วโย่วหัวเราะชอบใจ “ยังคงเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ยังต้องการหน้าตา”
เฉินชิงตูพลันเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรสงครามก็ไม่ใช่แค่การต่อยตีกัน ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่าเจ้า แต่คำพูดบางอย่างของเขา รอไปอีกหน่อยแล้วเดี๋ยวข้าค่อยบอกเจ้าเอง”
ทว่าเพียงไม่นานศึกโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจครั้งนี้ก็สร้างความประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่
บนสนามรบมีภูเขาจริงๆ โผล่ขึ้นมาตั้งตระหง่านถึงห้าลูก เรียงลำดับกัน ล้วนเป็นขุนเขาที่สูงอย่างถึงที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่คือวิชาอภินิหารย้ายขุนเขาจากการออกแรงเต็มกำลังของปีศาจใหญ่ฉงกวง การกระทำนี้ทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขต บินทะยานตนนี้ได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา เท่ากับว่าต้องถอยออกจากศึกโจมตีเมืองต่อจากนี้แล้ว และต้องพักรักษาตัวอยู่ในกระโจมทัพเจี่ยจื่ออย่างสงบ
การเคลื่อนย้ายขุนเขาทั้งห้า ค่าตอบแทนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องจ่ายไป ย่อมไม่ใช่แค่ตบะที่ถูกลดทอนของปีศาจใหญ่ฉงกวงอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นเทพภูเขาที่แต่เดิมเฝ้าพิทักษ์ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ ว่ากันว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซานจวินห้าขอบเขตบนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตอนนี้ร่างทอง กระทั่ง ศาลภูเขาของพวกเขาล้วนถูกหลอมเข้าเป็นหนึ่งกับโชคชะตาของห้าขุนเขาแล้ว
หากไม่ทำเช่นนี้ ต่อให้ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถแบกห้าขุนเขามาไว้ ก็ไม่สามารถฝ่ากระแสปราณกระบี่ที่เชี่ยวกรากจนมาถึงสนามรบแห่งนี้ได้เป็นแน่
แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ภูเขาทั้งห้าลูกเหมือนจะสูงแค่ครึ่งหนึ่งของกำแพง แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
การบุกรุดหน้าในสนามรบของเผ่าปีศาจไม่เพียงแต่มั่นคงมากขึ้น อีกทั้งบนภูเขาใหญ่ทั้งห้าลูกที่จู่ๆ ก็โผล่มานี้ยังมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่แสงอัญมณีไหลเวียนวน ในค่ายกลใหญ่ล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่สร้างค่ายกลอยู่บนภูเขามานานแล้ว ซึ่งนี่เท่ากับว่ามอบชีวิตออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่ฉงกวงสามารถโยนภูเขาใหญ่ทั้งห้าลูกมาไว้ที่นี่ได้สำเร็จ นอกจากตบะของตัวเขาเองแล้ว ยังต้องมีการจัดวางอย่างลับๆ ของเผ่าปีศาจในศึกเปิดฉากครั้งแรก ทำให้สนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ บวกกับวิชาคาถาและสมบัติวิเศษของผู้ฝึกตนบนภูเขา ร่วมกันสะบั้นรากภูเขาสายน้าให้ขาดออกอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เนิ่นๆ สุดท้ายร่วมแรงกันหลอมภูเขาทั้งห้า แล้วมอบให้แก่ปีศาจใหญ่ฉงกวงขอบเขตบินทะยาน ถึงได้มีผลงานชิ้นใหญ่นี้เกิดขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่ต้องจ่ายไปจึงมหาศาล ทว่าขอแค่ทำสำเร็จ ก็ถึงคราวที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องเอากระบี่บินและชีวิตไปใช้หนี้แล้ว
นอกจากนี้แล้ว ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เคยเป็นเจ้าของน่านน้าแม่น้าเย่ลั่ว สตรีสวมชุดคลุมมังกรสวมมงกุฎจักรพรรดิคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเข้ามาแทนที่ ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋ง รับผิดชอบศึกโจมตีเมืองช่วงใหม่ล่าสุดนี้แทน
นางมีนามแฝงว่าหย่างจื่อ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ว่าใครก็ไม่รู้ชื่อจริงของนาง เพียงแต่ว่าคนที่มีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องนี้ บุคคลเก่าแก่ที่ต่างคนต่างรู้ไส้รู้พุงกันดีกับนาง จะรู้หรือไม่รู้ จะเรียกชื่อจริงของนางออกหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก และ สองฝ่ายก็ยิ่งไม่คิดจะเดิมพันกันด้วยชีวิตจริงๆ ตอนนี้นางส่งมอบแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบที่อยู่ภายใต้เขตการปกครองทั้งหมดซึ่งรวมถึงแม่น้าเย่ลั่วทั้งสายให้กับ ปีศาจใหญ่อีกตนหนึ่งแล้ว แต่ก่อนหน้าที่จะมอบทรัพย์สมบัติของตัวเองออกไป แน่นอนว่าต้องมีส่วนที่นางเก็บเอาไว้เองบ้าง กระแสน้ำของแม่น้ำใหญ่หลายสายจึงถูกเก็บไว้ในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางแล้ว
ยามนี้ขุนเขาใหญ่ทั้งห้าตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน นางนั่งบัญชาการณ์อยู่บน ภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ได้เผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่อยู่ในร่างของสตรีเหมือนกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ออกมาเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้า ภูเขาสูง คนตัวเล็กเท่า เมล็ดงา ขณะที่อยู่ตรงตีนเขาของภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งในนั้น นางคลี่ยิ้มหวาน ค้อมตัว ลงเล็กน้อย สะบัดไข่มุกสีเขียวมรกตที่นับรวมกันแล้วได้ห้าเม็ดออกมาจาก ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมมังกร แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปเถิด ภูเขาไม่ขยับ สายน้ำไหลริน ไปเป็นลำคลองพิทักษ์เมืองดูสักครั้ง”
สุดท้ายตรงตีนเขาของขุนเขาทั้งห้าล้วนมีแม่น้าที่กระแสน้าไหลเชี่ยวกราก ปรากฏขึ้น โอบล้อมภูเขาทั้งห้าลูกได้อย่างพอดิบพอดี กระแสน้ารุนแรง กลิ่นอาย ดุร้ายพวยพุ่งทะยานฟ้า ภูตผีวิญญาณเร่ร่อนมากมายที่โชคดีอยู่รอดบนสนามรบ เดิมทีไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องถูกปราณกระบี่หล่อหลอม เพียงแต่ว่า เมื่อพวกมันร่วงลงไปในน้ากลับกลายเป็นผีร้ายผีอาฆาตที่พากันล่องลอยอยู่ใน สายน้ำของแม่น้ำใหญ่ไม่หยุดนิ่ง
อันที่จริงก่อนหน้าที่ขุนเขาสายน้ำจะแอบอิงกัน เซียนกระบี่มากมายที่ต่างคน ต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองล้วนออกกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยวแทบจะพร้อมเพรียงกัน มีทั้งคนที่ออกกระบี่ฟันภูเขา แล้วก็มีทั้งคนที่ช่วยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมากมายที่ถอยหนีมาไม่ทัน
ทว่าต่อให้เซียนกระบี่จะออกกระบี่ได้เร็วยิ่ง แต่ก็ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ร้อยกว่าเล่มของผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกภูเขาห้าลูกซึ่งจู่ๆ ก็โผล่ออกมาสยบทับ แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคาที่
หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังพิฆาตมากนักใช้กระบี่บินของตัวเองจำแลงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองตนหนึ่ง ใช้ไหล่แบกยอดเขาที่หล่นลงมา สกัดขวางการหยั่งรากของยอดเขาไว้ได้สำเร็จครู่หนึ่ง ความเสียหายบนสนามรบของ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ออกกระบี่ตรงจุดนั้นจะต้องมากมายจนมิอาจจินตนาการได้ถึง
ครั้งนี้แม้แต่น่าหลันเซาเหว่ยก็ยังไม่ออมแรง ส่งกระบี่หนึ่งออกไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสีแดงสดที่เล็กบางเหมือนต้นกกพลันพุ่งไปถึงในเสี้ยววินาที สุดท้าย กลายร่างเป็นเจียวหลงสีแดงสดที่ตัวยาวมากตัวหนึ่ง ตลอดทั้งร่างลุกท่วมไปด้วย เปลวเพลิง เมื่อมันใช้เรือนกายของตัวเองล้อมพันภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ร่างผลุบหาย เข้าไปในภูเขาใหญ่ ไม่เพียงแต่เศษหินจะร่วงกราวลงมาจากบนภูเขา ต้นไม้ต้นหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนหักโค่น แม้แต่ภูเขาทั้งลูกก็ยังเริ่มโยกคลอน
เจียวหลงกระบี่บินของน่าหลันเซาเหว่ยกับแม่น้าสายยาวของปีศาจใหญ่บน ยอดเขาหย่างจื่อเข่นฆ่ากัน เจียวหลงเลื้อยขยับสะบัดตัวทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ จำนวนนับไม่ถ้วนที่ฟาดตีลงบนตัวภูเขา
ลู่จือเองก็ออกกระบี่ฟันภูเขาแทบจะเวลาเดียวกัน เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋น หลี่ถุ่ยมี่ ก็พากันออกกระบี่ด้วย
เพราะวิธีการนี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะทิ้งภัยร้ายไว้มากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ
ผลกระทบที่จะมีต่อทิศทางการดำเนินไปของสนามรบจะลึกล้ำและยาวไกล หากไม่ระวังให้ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ภูเขาทั้งห้าเป็นฐานทัพ ด้วยวิธีการที่มีมากมาย นับไม่ถ้วนของปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ก็ง่ายมากที่จะทำให้สนามรบที่เดิมทีอยู่บนพื้นดิน ย้ายมาเป็นการคุมเชิงที่อันตรายระหว่างขุนเขากับหัวกำแพงเมือง
บริเวณโดยรอบของขุนเขาทั้งห้ามีนางฟ้าบนสวรรค์ที่สวมอาภรณ์สีสันสดใสพลิ้วไสว กอดผีผาไว้ในอ้อมอกบินล้อมวน ความสูงพอๆ กับสตรีชาวโลก แต่จำนวนมีมาก นับหมื่น จึงเป็นการสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไว้อีกแห่งหนึ่ง
พวกนางต่างก็ดีดผีผาของตัวเอง เสียงไพเราะจากสรวงสรรค์ดังแตกต่างกันไป มีทั้งเป็นจังหวะอ่อนหวาน แล้วก็มีท่วงทำนองที่แกร่งกร้าวดุจแม่ทัพสวม เสื้อเกราะเหล็ก ปราณวิญญาณโชคชะตาน้าเป็นเส้นๆ ถูกเสียงของผีผาชักนำ ไอน้ำลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายกลายเป็นเส้นด้ายสีเขียวมรกตที่พุ่งทะยานขึ้นสู่กลางอากาศสูง แล้วเชื่อมต่อติดกับสายเข็มขัดเส้นยาวหลากสีของพวกนาง ราวกับต้องกายจะห่มผ้าโปร่งบางสีเขียวสดให้กับภูเขาทั้งห้าลูก
หลี่ถุ่ยมี่ถามกระบี่ต่อขุนเขากลางโดยตรง แต่กลับถูกกายธรรมที่เป็นสีดำราวกับ สีหมึกของสตรีสวมมงกุฎสวมชุดคลุมมังกรคนนั้นใช้มือกำกระบี่บินขนาดยักษ์ของ หลี่ถุ่ยมี่เอาไว้
เดิมทีกระบี่บินเล่มนั้นคิดจะสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบางส่วนที่อยู่บนยอดเขา พอถูกปีศาจใหญ่หย่างจื่อลงมือขัดขวางแล้วก็ไม่เพียงแต่ไม่เป็นกังวลว่ากระบี่บินจะถูกยึดไปหรือไม่ รากฐานของเซียนกระบี่จะถูกทำร้ายหรือไม่ กลับกลายเป็นว่านิสัยดุร้ายของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยนอย่างหลี่ถุ่ยมี่ดันถูกกระตุ้น จึงเรียก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองอย่าง ‘เส้นเงิน’ ออกมา ระหว่างบนหัวกำแพงเมืองกับภูเขาจึงมีแสงกระบี่สีเงินเส้นยาวเส้นหนึ่งถูกดึงขึ้น
มันทิ่มแทงเข้าใส่กลางหว่างคิ้วของกายธรรมนั้น ตัวหลี่ถุ่ยมี่เองก็ยิ่งทะยานลมพุ่งไปด้านหน้า มือถือกระบี่ยาว พุ่งไปเป็นเส้นตรงประดุจมีสายรุ้งเส้นหนึ่งพาด กลางอากาศ
กายธรรมใหญ่แค่ไหน ร่างของเซียนกระบี่เล็กแค่ไหน ก็เรียกได้ว่ามดแดงคิดเขย่าต้นไม้
คู่รักเทพเซียนของหลี่ถุ่ยมี่ รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามคนของเขา ต่างก็ตายด้วยน้ำมือของปีศาจใหญ่ที่อยู่ใต้อาณัติของแม่น้ำเย่ลั่ว
ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่เดียวดายเพียงลำพังอยู่แล้ว
หากไม่ถามกระบี่ยามนี้ จะรอไปถึงเมื่อไหร่?!
สตรีผู้นั้นคลี่ยิ้มหยดย้อย “ความกล้าของเซียนกระบี่ใหญ่มีมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าไม่เหลือความกล้านี้แล้วกัน”
ภูเขาห้าลูก ค่ายกลปกป้องภูเขาสองแห่งใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจหลายพันคนที่เชี่ยวชาญสายยันต์ สมบัติอาคมรวมกันพันกว่าชิ้น บวกกับหยางจื่อที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาลูกหนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง ต่อให้เซียนกระบี่ร่วมมือกันออกกระบี่เต็มกำลัง แต่จะสามารถเขย่าคลอนรากฐานของมันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
จั่วโย่วไม่สนเรื่องพวกนี้ ต่อให้ไม่รู้จักกับเซียนกระบี่ท่านนั้น ไม่เคยพูดคุยกัน สักคำ เขาแค่รู้สึกว่าในเมื่อกล้าพูดว่าจะตายก็ตายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ควรตาย!
รู้ดีว่าหลี่ถุ่ยมี่ที่เข่นฆ่าจนเลือดขึ้นตาคิดพาตัวไปตาย หมายระเบิดเรือนกายและเม็ดกระบี่สองเม็ดเพื่อทำลายขุนเขากลางให้ได้เกินครึ่ง หวังช่วงชิงโอกาสได้เปรียบให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ให้เซียนกระบี่รุ่นเดียวกันที่อยู่ด้านหลังได้มีโอกาส ฝ่าทำลายขุนเขาพวกนี้ไปได้
หากปล่อยให้ขุนเขาทั้งห้าหยั่งรากลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง ฐานภูเขาและ ชะตาน้ำแน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ สงครามต่อจากนี้มีแต่จะยิ่งยุ่งยาก
ห้าขุนเขารวมกันครบ กับสี่ขุนเขาที่ต่อให้จะขาดไปแค่ลูกเดียว ความต่างนั้น ก็มากมหาศาลอยู่ดี
หลี่ถุ่ยมี่ก็แค่พกกระบี่มุ่งไปด้านหน้าเท่านั้น
ในศึกใหญ่ เซียนกระบี่รุ่นข้าไม่ตายสักคน หรือจะให้นิ่งดูดาย ปล่อยให้พวกเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าอ้วนเยี่ยนตายกันหมดไม่มีเหลืออย่างนั้นหรือ?
หมื่นปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีคำกล่าวเช่นนี้
หนึ่งกระบี่ของจั่วโย่วฟันกายธรรมสีดำทมิฬนั้นขาดออกเป็นสองท่อน
ทว่าหลี่ถุ่ยมี่ไม่เพียงแต่ไม่ฉวยโอกาสนี้หนีกลับหัวกำแพง กลับกันแสงกระบี่ของทั้งร่างยิ่งส่องประกายแสงพร่างพราว ทั้งตัวเขาและกระบี่บินสองเล่มพากันพุ่งเข้าไปในยอดเขาของภูเขาลูกกลาง
“ทุกท่าน หลี่ถุ่ยมี่ขอล่วงหน้าไปก่อน”
หย่างจื่อขมวดคิ้ว ชุดคลุมมังกรสีหมึกที่อยู่บนร่างพลันหลุดลอยออกไป ประหนึ่งมีผ้าปกคลุมลงบนสวนกระถาง พริบตานั้นก็ห่มคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เซียนกระบี่ที่รนหาที่ตายผู้นั้นทำลายค่ายกลและรากฐานของภูเขา เพราะหากเป็นเช่นนั้นย่อมต้านรับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากเซียนกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ยิ่งจะทำให้แผนการที่เก็บซ่อนอำพรางไว้ในจุดลึกผุดลอยขึ้นมาเหนือน้าก่อนกำหนด สนามรบที่ขุนเขามารวมตัวกัน หากกำลังโจมตีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มากพอ ฝ่ายตนย่อมหยัดยืนได้อย่างมั่นคง เท่ากับว่าผลักสนามรบเข้าหากำแพงเมือง ปราณกระบี่ได้อีกหลายร้อยลี้ หากพวกเซียนกระบี่ยังไม่ถอดใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้น ออกกระบี่อย่างเด็ดขาดอีก แบบนั้นจะยิ่งดี
หากพวกเขาคอยเพิ่มกำลังทหารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทว่าแต่ละครั้งขาดอีกเพียงเสี้ยวเดียวอยู่เสมอ ความเสียหายก็จะทอดยาวออกไป นี่ต่างหากจึงจะเป็นสถานการณ์ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องการเห็นมากที่สุด เพราะคนที่มีคุณสมบัติจะถูกเพิ่มเข้ามาในกองกำลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องเริ่มต้นที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอย่างแน่นอน
ศึกเปิดฉาก ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจงใจสู้แบบไม่เจ็บไม่คัน แต่ในสงครามครั้งที่สองนี้ต้องการโจมตีให้กำแพงเมืองปราณกระบี่บาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก! มีเซียนกระบี่ตายไปรวดเดียวกลุ่มใหญ่!
เพียงแต่ว่าการรนหาที่ตายของหลี่ถุ่ยมี่ทำให้สตรีอดีตเจ้าของแม่น้ำเย่ลั่วผู้นี้ เดือดดาลอย่างหนัก
หย่างจื่อกับปีศาจใหญ่ยอดเขาอีกสี่ตนที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกความคิดเชื่อมโยงถึงกัน นางบอกพวกเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าที่อยู่ในขุนเขากลางที่หย่างจื่อไม่อนุญาตให้เขาลงมือโดยพลการเด็ดขาด
ทว่าเรื่องที่ทำให้นางยิ่งประหลาดใจก็คือ เมื่อจั่วโย่วผู้นั้นช่วยคนไม่สำเร็จ เขากลับออกกระบี่อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ในขณะเดียวกันกับที่หลี่ถุ่ยมี่ตัดสินใจ เด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะทำลายโอสถทอง ก่อกำเนิด จิตวิญญาณทั้งหมดและเม็ดกระบี่ ทั้งสองของตัวเอง อันที่จริงก็ได้ถูกชุดคลุมอาคมระดับอาวุธเซียนของหยางจื่อชิ้นนั้นสะกดพลานุภาพเอาไว้แล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาจะเสียหายแค่ครึ่งเดียว ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อรากภูเขามากนัก แต่จั่วโย่วกลับปล่อยกระบี่ ใช้ปณิธานกระบี่ที่หนาข้นแหวกผ่าภูเขาที่ถูกชุดคลุมมังกรสีหมึกปกคลุม ฟันตรงเข้าใส่หลี่ถุ่ยมี่!
หลี่ถุ่ยมี่ที่เดิมทีแสงกระบี่ของทั้งร่างถูกชุดคลุมมังกรสีหมึกพันธนาการไว้เกินครึ่งหัวเราะร่าไร้เสียง แล้วก็จากโลกมนุษย์ไปอย่างนี้
หลังการโจมตีนี้ผ่านไป หลี่ถุ่ยมี่กายดับมรรคาสลาย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สองเล่มระเบิดออก พลานุภาพดุจอสนีบาต ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินท่านหนึ่ง ที่แม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่เหลือเก็บไว้แม้แต่น้อย เป็นเหตุให้ภูเขาทั้งลูกระเบิดแตก ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสายยันต์เผ่าปีศาจร้อยกว่าตนที่ชีวิตเชื่อมโยงอยู่กับค่ายกลใหญ่ของภูเขาซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ใครที่ขอบเขตต่ากว่าก่อกำเนิด ล้วนถูกแรงระเบิดตายคาที่ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง เป็นเหตุให้ภูเขาทั้งลูกที่เดิมที รากภูเขากำลังแผ่ลามออกไปอย่างมั่นคงเกิดสั่นสะเทือน
หลังจากจั่วโย่วปล่อยกระบี่ที่ต้องนำมาซึ่งคำวิจารณ์จากใต้หล้าไพศาลอย่างแน่นอนนั้นออกไป เขากลับไม่คิดจะหยุดเมื่อพอสมควร ไม่เลือกถอยร่นหลังจากโจมตีสำเร็จ กลับกันปราณกระบี่ทั่วร่างยังเพิ่มทะยานพรวดพรวด เรือนกายพลิ้วลงบน ยอดเขากลางที่ทรุดฮวบต่าไปเกินครึ่ง สองมือกำกระบี่ ปักกระบี่ลงบนยอดเขา
ภูเขาลูกหนึ่ง ต่อให้ใหญ่ แต่จะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? สามารถรับปราณกระบี่จากข้าจั่วโย่วได้หรือ?!
ปีศาจใหญ่หย่างจื่อเดือดดาลยิ่งนัก นางเองก็เป็นคนอำมหิตเหมือนกัน ถึงขั้น ยอมสละชุดคลุมอาคมอาวุธเซียน แต่ก็ต้องรักษาโชคชะตาภูเขาให้มั่นคงให้จงได้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังห้ามไม่ให้ปีศาจใหญ่ยอดเขาที่ได้นั่งบนบัลลังก์ ขณะเดียวกันก็ยังถือเป็นคู่บำเพ็ญตนของนางครึ่งตัวคนนั้นลงมือ สังหารจั่วโย่วเป็นเรื่องยากเกินไป ปล่อยให้นางโรมรันตอแยจั่วโย่วไปก็พอ ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกจะต้องสังหาร เซียนกระบี่ใหญ่ที่เหมือนกับหลี่ถุ่ยมี่ให้ได้อีกหลายคน ไม่อย่างนั้นแผนการขั้นที่สองนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ
นางเผยร่างจริง เรือนกายใหญ่โตมโหฬารพลันเลื้อยขึ้นไปถึงยอดเขา ส่วนเรื่องที่ว่าตลอดทางที่เลื้อยผ่านไปจะบดทับนักพรตสายยันต์ฝั่งของตนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไม่ หย่างจื่อไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย
นอกจากขุนเขากลางที่ความเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงแล้ว ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกนับว่าค่อนข้างจะมั่นคง แต่ก็แค่ค่อนข้างเท่านั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานที่บิดผมแกละตัวเองเล่นอยู่ตลอดเห็นภาพนี้เข้า สีหน้าก็สดใส มีชีวิตชีวา สนุกนัก สนุกนัก
นางหันหน้าไปมองเฉินชิงตูไกลๆ
ผู้เฒ่าเอ่ย “ไปเล่นเองเถอะ”
ใต้เท้าอิ่นกวานงอสองเข่าลงเล็กน้อย หัวกำแพงพลันเกิดแรงสะเทือนรุนแรง ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ในร่างของแม่นางน้อยออกจากหัวกำแพงเมืองไปไกล
พุ่งทะลุภูเขาลูกหนึ่งไปโดยตรง
แม่นางน้อยที่ตัวเล็กบอบบางเพียงเท่านั้น พอร่วงลงพื้นแล้วก็ปัดฝุ่นมากมายที่ติดอยู่บนหัวตัวเอง จากนั้นก็เริ่มวิ่งตะบึงกลับไปกลับมาอยู่บนพื้นดิน ใช้หัวโหม่งทะลุ ตัวภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่แม่นางน้อยเจาะภูเขา ใบหน้าจะมอมแมมเล็กน้อย แต่ก็ยังเล่นสนุกไปเรื่อย มองดูแล้วอารมณ์ดีอย่างมากจริงๆ
สหายสนิทสองคนที่มาจากธวัลทวีปอย่างเซียนกระบี่จางเซาและเซียนกระบี่หลี่ติ้ง ที่มองดูแล้วไม่เหมือนเซียนกระบี่แม้แต่น้อย กลับเหมือนชาวประมงและคนตัดฟืนมากกว่า เวลานี้หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
หากเป็นการเข่นฆ่าที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนทั่วไปก็แล้วไปเถิด พวกเขาสองคนมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนก็นานแค่นั้น สังหารพวกสัตว์เดรัจฉานได้บ้าง ก็ไม่ถึงขั้นถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย หรือมโนธรรมในใจยากจะสงบลงได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิธี ยกขุนเขาสายน้ำนี้มาพอดี แล้วจะยอมให้พวกสัตว์เดรัจฉานที่ใต้หล้าของพวกมันมีหนังสือแค่ไม่กี่เล่มเอาชนะด้านชื่อเสียง ได้ชื่อเสียงที่ดีงามไปเพียงลำพังได้อย่างไร?
ไม่ได้ๆ
นี่จึงเป็นเหตุให้ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย เซียนกระบี่สองท่านจึงขี่กระบี่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบจะเวลาเดียวกัน ประหนึ่งดาวตกสองดวงที่พุ่งหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว เลือกภูเขาลูกหนึ่ง คนหนึ่งพลิ้วกายลงที่ตีนเขา อีกคนพลิ้วกายลงที่กึ่งกลางภูเขา
ชาวประมงบนโลกมักชอบพายเรือ จางเซาที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่การท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำครั้งสุดท้ายของชีวิตกลับไม่จำเป็นต้องจงใจให้มีมาดอันสง่างามที่ธรรมดาสามัญนั้นอีกแล้ว
เซียนกระบี่จางเซาก้าวตรงเข้าไปในแม่น้าที่เป็นสายน้าใต้อาณัติของแม่น้ำเย่ลั่ว แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จางเซา ผู้ฝึกกระบี่แห่งธวัลทวีป”
ส่วนหลี่ติ้งที่เดินขึ้นเขาช้าๆ หันหลังให้กับจางเซาที่ต่างคนต่างเดินหน้าไป เวลานี้แสงกระบี่สาดประกายออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและทุกช่องโพรงของกระดูก เขาคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ “บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่จากธวัลทวีปเหมือนกัน”
เซียนกระบี่ทั้งสองท่านที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างเยือกเย็นถึงกับทำลายรากภูเขาเส้นสายน้ำของภูเขาทั้งลูกไปได้โดยตรง
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหรี่ตาจ้องไปยังจุดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ผู้เฒ่าชุดเทาที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางทิศเหนือของกระโจมเจี่ยจื่อหัวเราะ “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าและข้าแค่รอเก็บฉากปิดงานก็พอ ขอแค่เจ้าไม่ลงมือ ข้าก็ไม่มีทางลงมือแน่นอน ถึงอย่างไรความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเฉินชิงตูก็มีเพียงมองดูคน รุ่นหลังแต่ละคนตายไปต่อหน้าต่อตาอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าชุดเทามองไปยังปีศาจใหญ่หย่างจื่อที่อยู่ขุนเขากลาง แล้วเอ่ยสั่งความนางคำหนึ่ง
ในภูเขาทั้งห้าลูก ท่าไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดล้วนไม่อำพรางตัวอีกต่อไป บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน บ้างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่พากันออกมาจากจุดที่ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะหยั่งรากภูเขาปักหลักลงบนสนามรบต่อไปได้หรือไม่ ความเป็นความตายของผู้ฝึกกระบี่สายยันต์หลายพันคนบนภูเขา ค่ายกลใหญ่จะสามารถต้านรับการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ได้นานเท่าไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ปีศาจใหญ่สี่ตนบินไปยังขุนเขากลางอย่างพร้อมเพรียงกัน หมายจะไปรวมตัวกับหย่างจื่อที่เผยร่างจริงอยู่ในขุนเขากลาง
เพื่อล้อมสังหารจั่วโย่ว!
อาณาเขตของขุนเขากลางมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคนหนึ่งเผยตัว แล้วทันใดนั้นร่างของเขาก็ขยายสูงไปอีกสิบกว่าจั้ง ทั้งเส้นผมและขนคิ้ว ล้วนเป็นสีขาว บนบ่าแบกกระบองสีแดง ค่อยๆ ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ ระหว่างนี้ทุกครั้งที่อ้าปากสูดลมหายใจก็จะมีสตรีอุ้มผีผาหลายสิบคนถูกสูดเข้าไปในปากของเขา ก่อนจะถูกเขาเคี้ยวเหมือนเมล็ดถั่วเหลือง
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงดัง “ไอ้ลูกพันธ์ผสม”
เฉินซีกับฉีถิงจี้อยากจะติดตามต่งซานเกิงออกไปจากหัวกำแพงเมืองด้วย
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งสามท่านนี้ต่างก็เคยสลักตัวอักษรใหญ่ไว้บนกำแพงเมืองแล้ว
แต่เฉินชิงตูกลับเอ่ยว่า “ให้จั่วโย่วใช้ความเป็นความตายหลอมกระบี่ไป ใต้หล้าไพศาลไม่มีใครสู้ได้ แต่ที่นี่กลับมีให้เลือกมากมายนัก ชีวิตราบรื่นเกินไป ไปไหนมาไหน เพียงลำพัง เวทกระบี่ไม่มีทางสูงได้หรอก”
ต่งซานเกิงที่กระโจนสู่สนามรบ กับใต้เท้าอิ่นกวานที่ยังเล่นสนุกอยู่บนสนามรบ บวกกับจั่วโย่ว
จำเป็นต้องคุมเชิงกับปีศาจใหญ่บนยอดเขาสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองตนอย่างหย่างจื่อและผู้เฒ่าขี่กระบี่ รวมไปถึงปีศาจใหญ่อีกสี่ตน
บนหัวกำแพงเมือง เยี่ยนจั๋วกัดริมฝีปาก เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
อีกจุดหนึ่ง เฉิงเฉวียนและฉีโซ่วต่างก็เพ่งสมาธิไปที่สนามรบ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยวดิ้นรน
เมื่อจิตหยินที่ออกจากร่างของเฉินผิงอันสามารถขยับได้ดังใจต้องการ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
บนสนามรบเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขาโผล่มากะทันหัน
ใต้เท้าอิ่นกวานใช้หนึ่งหมัดต่อยผ่านปราณกระบี่ทะลุทะลวงหน้าท้องของจั่วโย่ว
หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่วหลบเส้นแบ่งเป็นตายนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หมัดนี้ ย่อมต่อยหัวใจของเขาให้แหลกเละ
จั่วโย่วที่ถอยกรูดออกมาหลายลี้ในเสี้ยววินาทีถูกต่งซานเกิงคว้าจับหัวไหล่ และต่งซานเกิงก็ยิ่งต้องต้านทานการโจมตีสุดแรงของผู้เฒ่าถือกระบองยาวเพื่อพาจั่วโย่วออกจากสนามรบ
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากผู้ฝึกกระบี่เพียงไม่กี่หยิบมือแล้ว ทุกคนที่เหลือล้วนตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก ตกใจจนตกใจไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็เอียงศีรษะมองเฉินชิงตู ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย “เจ้าแก่หนังเหนียวสมควรตายที่สุด เจ้าไปตายซะเถอะ!”
เฉินชิงตูสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ปรายตามองอิ่นกวานแวบหนึ่ง แล้วก็มองเลยไปทางต่งซานเกินกับจั่วโย่ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “จั่วโย่ว ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเคยบอกกับข้าว่า ให้ระวังใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น”
นอกจากต่งซานเกิงแล้ว ต่อให้เป็นเฉินซีและฉีถิงจี้ก็ยังต้องระวัง เพราะเฉินซี มีความอาฆาตแค้นอย่างใหญ่หลวง ฉีถิงจี้ทะเยอะทะยานมากเกินไป ที่สำคัญที่สุด ก็คือเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีผลงานการรบเหี้ยมหาญสองท่านนี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความละอายใจใดๆ ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับอาฆาตแค้นใต้หล้าไพศาลอย่างยิ่ง แค้นลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ แต่เกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเซียนกระบี่สองท่านนี้ เขาเฉินผิงอันเพียงแค่สรุปเรื่องน้อยใหญ่รวมแล้วสามสิบเจ็ดเรื่อง กับถ้อยคำที่เป็นกุญแจสำคัญได้หกประโยคเท่านั้น ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าทั้งสองจะต้องสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายศัตรู จึงยังต้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตัดสินใจเอาเอง
บนพื้นดิน ใต้เท้าอิ่นกวานกวักมือ เซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซาน ที่เดิมทีโจมตีภูเขาลูกที่อยู่ใกล้เคียงรีบหยุดกระบี่ มาหยุดอยู่ข้างกายนาง พากัน หันหลังให้กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วมุ่งหน้าไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผังหยวนจี้ร่างโงนเงน สุดท้ายทรุดนั่งลงบนหัวกำแพง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้น้าตาไหลอาบหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันที่ไม่มีการสยบกำราบจากฟ้าดิน ในที่สุดก็สามารถขยับตัวได้ แต่เขา ทั้งไม่ได้ด่าเฉินชิงตูที่จงใจปิดบังความจริง แล้วก็ไม่ได้ไปดูศิษย์พี่จั่วโย่วที่บาดเจ็บสาหัส ความถูกความผิดบนโลก ดีเลวพลิกกลับสลับเปลี่ยน มีหรือจะเรียบง่าย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทำเพียงแค่นั่งอยู่ที่เดิม คลี่พัดพับออก ยกขึ้นบังใบหน้าเกินครึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องเขม็งไปยังสนามรบทางทิศใต้ เอ่ยเนิบช้าว่า “ต้องได้ตีกันแล้ว”