กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 627 อิ่นกวานคนใหม่
บทที่ 627 อิ่นกวานคนใหม่
สงครามครั้งนี้ตึงเครียดและจบลงในเวลาอันสั้น เป็นสงครามขนาดเล็กที่คนตายเร็วจนเหมือนกับการพบเจอกันบนทางแคบของทหารลาดตระเวนชายแดน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้เริ่มการโจมตีครั้งถัดไปในทันที
เห็นได้ชัดว่ากระโจมทัพที่สำคัญหลายแห่งน่าจะไม่ได้คาดการณ์ถึงผลลัพธ์นี้ เรื่องไม่คาดคิดมีมากเกินไป จำเป็นต้องปรับรายละเอียดของกลยุทธมากมายภายใต้กรอบใหญ่เสียก่อน
กลับกลายเป็นว่ายอมทิ้งภูเขาที่เหลืออยู่เพียงสามลูกไว้บนสนามรบ ภูเขาใหญ่ ลูกที่อยู่ตรงกลางเพราะจั่วโย่วกับหย่างจื่อประมือกันจึงถูกทำลายอย่างย่อยยับ
ส่วนภูเขาอีกลูกหนึ่งก็เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่นสองท่านของธวัลทวีปที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยสองชีวิตทำลายรากภูเขาชะตาน้า จากนั้นก็ถูกลู่จือใช้แสงกระบี่ ฟันผ่าให้แตกร้าว
ภูเขาที่เหลืออีกแค่สามลูกก็สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ลูกหนึ่งในนั้นก่อนหน้านี้ถูกเซียนกระบี่ลั่วซาน เซียนกระบี่จู๋อานของสายอิ่นกวานทำลายไปมาก คาดว่านี่ก็น่าจะเป็นผลงานทางการสู้รบครั้งสุดท้ายของเซียนกระบี่ทรยศสองท่านนี้แล้ว
ในอนาคตหากยังได้เจอกัน ก็คือต่างฝ่ายต่างต้องถามกระบี่กัน ตัดสินเป็นตายกับสหายร่วมรบและเซียนกระบี่ร่วมรุ่นในอดีต
พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสายยันต์บางส่วนที่โชคดีรอดชีวิตอยู่บนภูเขาทั้งสามลูกได้แต่อยู่เฉยรอความตาย ต่อให้หนีไปได้ไกล แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า ชีวิตของ พวกเขาเกี่ยวโยงกับการดำรงอยู่และการดับสูญของขุนเขามานานแล้ว และในบรรดาคนเหล่านี้ก็ไม่ขาดพวกที่นิสัยดุร้ายเหี้ยมหาญตัดสินใจได้อย่างอำมหิตเด็ดขาด เรียกพวกพ้อง บัญชาการณ์ออกคำสั่งให้เปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอีกครั้ง
แม้ต้องทุ่มด้วยชีวิตก็จะต้องให้เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกกระบี่เพิ่มขึ้นให้จงได้ แม้จะแค่ครั้งเดียวก็ยังดี
เซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋มาหาเฉิงเฉวียน จับมือกันขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังภูเขาลูกหนึ่ง จ้าวเก้ออี๋จะช่วยคุ้มกันให้เฉิงเฉวียน ให้เขาพยายามหลอมขุนเขามาใช้งานให้ได้มากที่สุด
“มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสออกจากเมืองมาตอนนี้ก็เกือบจะรู้สึกว่าตัวเองคือกบฏคนหนึ่งแล้ว!”
ระหว่างที่เฉิงเฉวียนขี่กระบี่ออกมาก็พูดอย่างเจ็บปวดและคลั่งแค้น “เจ้าจู๋อานชาติสุนัข นางแพศยาลั่วซาน ก่อนหน้านี้พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ข้ายินดีเรียกว่าสหายเชียวนะ! จ้าวเก้ออี๋ ไหนเจ้าลองบอกมาสิ วันหน้าเจ้าก็จะแทงกระบี่ใส่หลังข้าด้วย อีกคนหรือไม่ หากว่าใช่ก็ลงมือให้รวดเร็วฉับไวหน่อย ไปถึงภูเขาลูกนั้นเมื่อไหร่ก็ขอร้องเจ้าว่าอย่าอิดออดชักช้าเป็นสตรี ให้ข้าตายเร็วหน่อย”
จ้าวเก้ออี๋สบถด่าเสียงดัง “ซ่งไฉ่อวิ๋นจะชอบเศษสวะเช่นเจ้าได้อย่างไร?!”
เฉิงเฉวียนสีหน้าหม่นหมอง
ฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชนะศึกในช่วงที่สองนี้ ทว่าบนหัวกำแพงเมืองกลับไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนใดที่ปลาบปลื้มยินดี
ไม่มีใครคิดว่าใต้เท้าอิ่นกวานจะทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ นำพาเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานไปสวามิภักดิ์กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
และก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสนามรบ ใต้เท้าอิ่นกวานก็ยิ่งปล่อยหมัดต่อยให้ จั่วโย่วซึ่งแม้จะตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูเพียงลำพังก็ยังเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรให้บาดเจ็บสาหัส!
นอกจากเซียนกระบี่กลุ่มที่จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่างมากพอแล้ว เวลานี้ในใจของ ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์ล้วนมีพยับเมฆแผ่ปกคลุม ไม่ว่าจะ โบกปัดอย่างไรก็ไม่สลายหายไป
เฉินผิงอันเหน็บพัดพับไว้ตรงเอว บังคับเรือยันต์ให้แล่นไปยังกระท่อมหลังนั้น
ในกระท่อมหลังเล็กที่เดิมทีเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะเป็นผู้พักอาศัยชั่วคราว จั่วโย่วนั่งอยู่ริมเตียง กำลังใช้ปราณกระบี่ชดเชยหน้าท้องที่ถูกหมัดต่อยทะลุจนเป็นรู
ปราณกระบี่มิอาจสร้างเลือดเนื้อและกระดูกให้ก่อกำเนิด เพราะนี่ก็คือ ความอันตรายของการเข่นฆ่าในครั้งที่สอง ศิษย์พี่จั่วโย่วจำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่มาต้านทานภัยร้ายแฝงที่หมัดนั้นของใต้เท้าอิ่นกวานทิ้งเอาไว้
ไม่อย่างนั้นสำหรับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เดิมทีการหลอมกระบี่ก็คือ การหลอมเรือนกายของตัวเองแล้ว ต่อให้อาการบาดเจ็บจะสาหัสแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้น ทำให้ต่งซานเกิงที่อยู่ด้านข้างอกสั่นขวัญผวา รู้สึกถึงลางร้ายอย่างรุนแรงได้
ต่งซานเกิงที่เฝ้าอยู่หน้ากระท่อมกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เฉินชิงตู นี่มันเรื่องอะไรกัน?! อิ่นกวานผู้นั้นถูกผีบดบังจิตใจแล้วหรือไร?!”
เฉินชิงตูที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงห่างไปไกลไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง เพียงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย สิ่งที่ตาเห็น นั่นแหละคือความจริง”
ต่งซานเกิงยิ่งเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่ออิ่นกวานมาโดยตลอด รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือคน บนเส้นทางเดียวกันกับตนที่หาได้น้อย
ส่วนหลานชายที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเคยให้ความสำคัญที่สุด ต่งกวานพู่ที่เคยถูก มองว่าจะได้เป็นเซียนกระบี่คนถัดไปที่ได้สลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพง ในอดีตก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อกับอิ่นกวาน
ต่งซานเกิงมองเห็นคนหนุ่มที่พลิ้วกายลงบนพื้นและเก็บเรือยันต์ไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว แต่เขาก็ยังโมโหไม่หาย จึงยังคงพูดเสียงดังลั่นกับเฉินชิงตูต่อ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าก็ควรฆ่านางเสียสิ!”
เฉินชิงตูหัวเราะเสียงหยัน “ต่งกวานพู่สวามิภักดิ์ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรื่องราวถูกเปิดเผย คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรู้กันหมด ข้ารู้หรือไม่? ก่อนที่พวกเจ้าจะสร้างเรื่องใหญ่โต ข้าได้ฆ่าเขาหรือไม่?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ปีนั้นเหล่าเซียนกระบี่มารวมตัวกันอยู่บนหัวกำแพง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสใช้หนึ่งกระบี่สังหารต่งกวานพู่ด้วยมือของตัวเอง นั่นเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันได้เห็นมาเองกับตา
เพียงแต่ว่าในเวลานั้น เฉินผิงอันยังคิดอะไรอย่างตื้นเขิน อีกทั้งตอนนั้นก็ยังไม่ได้เข้าใจกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแท้จริง
และประโยคที่ทำให้เฉินผิงอันสงสัยที่สุดก็คือ หลังจบเรื่องหนิงเหยาบอกว่าท่านปู่เสี่ยวตงเป็นคนดี
ในฐานะเซียนกระบี่ เป็นลูกหลานของตระกูลต่ง ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเรื่องจริง และเป็นคนดี ก็เป็นเรื่องจริงอีกเช่นกัน
บัญชีนี้จะคิดกันอย่างไร?
บางทีสำหรับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว การปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็แค่ปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ให้ได้เท่านั้นจริงๆ
ต่งซานเกิงข่มกลั้นไฟโทสะในใจ พูดกับเฉินผิงอันคำหนึ่งว่าศิษย์พี่ของเจ้าไม่ตายง่ายๆ หรอก แล้วบรรพบุรุษของตระกูลต่งท่านนี้ก็ออกไปจากที่นี่โดยตรง
เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในกระท่อม กลับกันยังหันไปปิดประตูลงเบาๆ
เคยได้เห็นสงครามใหญ่ที่แผ่ขยายลุกลามอันโหดร้าย ซึ่งไม่ว่าเซียนกระบี่หรือปีศาจใหญ่ก็ล้วนตายได้ทั้งสิ้น ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อย
เคยได้เห็นการเลือกในหลายๆ ครั้งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตู เฉินผิงอัน ก็จะรู้สึกว่าสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนปีนั้น หากต้องกลับไปเดินย้อนรอยเดิมอีกครั้ง ต่อให้จะมีตบะและขอบเขตเท่ากับปีนั้น เขาก็สามารถทำตามใจปรารถนาได้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ที่กระท่อมนานนักก็ไปหาพวกหนิงเหยา
หนิงเหยามองเยี่ยนจั๋วแล้วก็หันมาส่ายหน้าให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้า เป็นการบอกให้รู้ว่าตนเข้าใจ
เยี่ยนจั๋วดวงตาแดงก่า สองมือกำเป็นหมัดวางยันไว้บนหัวเข่า
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูล เซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หลี่ถุ่ยมี่ ตายแล้ว
ผู้เฒ่าคนนี้เคยเป็นคนที่เยี่ยนจั๋วเกลียดชังมากที่สุดเมื่อครั้งเป็นเด็ก เพราะคำพูดทำร้ายจิตใจที่กลายเป็นคำติดปากคนมากมาย ล้วนเคยออกมาจากปากของหลี่ถุ่ยมี่ที่ดูแคลนนายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยนอย่างเขามากที่สุด นั่นถึงได้ทำให้ทุกคนเอาไปพูดกันอย่างแพร่หลาย เป็นเหตุให้เจ้าอ้วนน้อยของตระกูลเยี่ยนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในยามนั้น ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะและรากฐาน ของตระกูลเยี่ยนบนถนนเสวียนฮู่ ด้วยนิสัยและกลอุบายของเยี่ยนหมิงเจ้าประมุขตระกูลเยี่ยน บิดาของเยี่ยนจั๋ว
หากไม่เป็นเพราะคนในครอบครัวตัวเองเป็นคนเริ่ม ใครเล่าจะกล้าเหยียบ ย่าเยี่ยนจั๋วที่เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น?
ต่อให้ในศึกใหญ่หลายๆ ครั้งภายหลัง เยี่ยนจั๋วจะอาศัยการต่อสู้สุดชีวิตถึงได้แลกเปลี่ยนมาด้วยการเป็นคนใหม่ กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง เป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกหนิงเหยาเฉินซานชิว แต่หลี่ถุ่ยมี่ที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลก็ยัง ไม่เคยยินดีจะมองเขาเยี่ยนจั๋วเต็มๆ ตา เยี่ยนจั๋วยอมทำตัวอ่อนน้อมเข้าหาอีกฝ่าย ขอร้องให้หลี่ถุ่ยมี่สอนเวทกระบี่แก่เขาหลายต่อหลายครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น หลี่ถุ่ยมี่กลับเอ่ยเพียงแค่ว่าตนมีแค่กระดูกแก่ๆ มีแค่ชะตาชีวิตต่าต้อย ไหนเลยจะกล้าชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่นายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยน นี่จะไม่เป็นการถ่วงรั้งทำร้ายลูกหลานผู้อื่นหรอกหรือ
ไหนเลยเยี่ยนจั๋วจะคิดได้ว่า รอกระทั่งหลี่ถุ่ยมี่ยินดีสอนเวทกระบี่ให้แก่ตน แม้จะตีหน้าเคร่ง แต่ดวงตากลับแฝงรอยยิ้ม ยามที่เขายินดีเอ่ยถ้อยคำที่หากไม่ใช่ คำร้ายๆ ก็เป็นคำดีๆ ที่มีความหมายใหญ่เทียมฟ้ากับตน ผู้เฒ่ากลับจะต้องมาตาย ทั้งอย่างนี้ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนแรกที่รบตายบนสนามรบ
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเยี่ยนจั๋ว แล้วก็ไม่ได้เอ่ยปลอบใจอะไร ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนข้างกายคือเยี่ยนจั๋ว นั่นก็ยิ่งไม่จำเป็น
ไม่ว่าใครก็ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้
คนสนิทญาติใกล้ชิดต้องตายไป เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับใครกัน? นอกจาก หลี่ถุ่ยมี่ที่ตายจากไปแล้ว ยังมีอู๋เฉิงเพ่ย เถาเหวิน โจวเฉิง ฯลฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ใครเล่าที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้?!
ขนาดเซียนกระบี่ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น แล้วนับประสาอะไรกับพวกผู้ฝึกกระบี่? รวมไปถึงคนอีกมากมายที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายพวกนั้น?
ประโยคสุดท้ายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ก็โชคดีที่มีเพียงแค่ตนที่ได้ยิน
เพราะความหมายนอกเหนือคำพูดนั้นมีมากเกินไป ใหญ่เกินไป
ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นทั้งๆ ที่ใต้เท้าอิ่นกวานรู้ดีว่าต่งกวานพู่คือกบฏ แต่กลับไม่ยอมลงโทษเขาเสียที
เขาเฉินชิงตูไม่คิดจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่ออยากถ่วงเวลาไว้ก็ถ่วงไป ต่งกวานพู่เด็กที่มีความคิดมากมายผู้นั้น ต่อให้จะมีโทษสมควรตาย แต่ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ให้เขามีชีวิตไป มีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้าต่งซานเกิงไม่สูงพอ คุณความชอบทางการ สู้รบที่สะสมไว้ไม่มากพอ ทั้งไม่สามารถสยบเซียนกระบี่ตระกูลใหญ่ของถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู่ได้ เป็นเหตุให้ฝูงชนพากันเดือดดาล แล้วยังไม่อาจอาศัย คุณความชอบทางการสู้รบมาปกป้องชีวิตของหลานชายที่เป็นกบฏคนหนึ่งได้ และการที่ต่งซานเกิงไม่อาจรักษาชีวิตของต่งกวานพู่ก็เป็นเหตุให้เซียนกระบี่จับกลุ่มกันไปซักไซ้เอาโทษที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นหากสายอิ่นกวานแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น ไม่ได้ยิน เขาเฉินชิงตูก็ยินดีจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งตามไป ปล่อยให้ตระกูลต่งของเจ้ากักขังตัวต่งกวานพู่หลานชายที่ไร้คุณธรรมกันเอาเอง หรือไม่อย่างมากสุดก็โยนเข้าคุกของเฒ่าหูหนวก แค่นี้เท่านั้น
หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน “เจ้ายังสบายดีใช่ไหม?”
เฉินผิงอันกดเสียงลงต่า “สบายดีมากๆ”
อันที่จริงหนิงเหยามีคำถามมากมาย เพียงแต่เพราะว่ามีมากเกินไป จึงกลับกลายเป็นไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร
เฉินผิงอันพูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยให้ข้าเป็นคนคิดเองเถิด”
คนทั้งสองมองไกลไปยังทิศใต้ด้วยกัน
เยี่ยนจั๋วพลันถามว่า “เป็นก้างขวางคอพวกเจ้าสองคนหรือไม่?”
เฉินผิงอันคลี่พัดออก ไม่ได้พัดลมเย็นๆ ให้กับตัวเอง แต่พัดให้หนิงเหยา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกคนเป็นตัวของตัวเองกันหน่อย”
ต่งถ่านดำที่เพิ่งเตรียมขยับก้นมานั่งข้างกายหนิงเหยาชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ทั้งไม่ลุกขึ้น แล้วก็ไม่นั่งลง จึงค้างอยู่ในท่าที่ออกจะประหลาดอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่าเฉินซานชิวจะขยับมานั่งข้างกายเยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อนั่งลงข้างกายต่งฮว่าฝู ส่วนเตี๋ยจ้างนั่งลงข้างเฉินซานชิว
สุดท้ายทุกคนก็มองไปยังทิศไกลด้วยกัน
รอคอยสงครามครั้งต่อไปเงียบๆ
ผังหยวนจี้อึ้งค้างไร้คำพูดอยู่เป็นนาน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ถูกมองว่าจะต้องได้เป็นอิ่นกวานคนถัดไปของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน เวลานี้จิตแห่งกระบี่หม่นหมอง จิตใจตายด้านเหมือนขี้เถ้ามอด
เกาโย่วชิงตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่อยู่ข้างกายผังหยวนจี้มาโดยตลอดนั่งเหม่ออยู่ ข้างเขา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายแล้วนางก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร
เกาเหย่โหวมานั่งลงข้างกายผังหยวนจี้ เอ่ยแค่สองคำว่า “อดทนไว้”
สายตาของผังหยวนจี้เลื่อนลอย
เกาเหย่โหวเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากอยากรู้คำตอบจริงๆ ก็อย่าเงียบเฉย ไปทั้งอย่างนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องพยายามถามกระบี่ต่ออิ่นกวานด้วยตัวเองให้ได้ใน สักวันหนึ่ง ให้นางบอกคำตอบแก่เจ้าด้วยตัวเอง!”
ผังหยวนจี้พึมพำ “เจ้าไม่ใช่ข้า และข้าก็ไม่ใช่เจ้า ทำไม่ได้หรอก”
เกาเหย่โหวหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป สายของ อิ่นกวานก็ถือว่าควันธูปขาดสะบั้นแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าด้านหลังคนทั้งสองจะมีแม่นางน้อยคนหนึ่งแอบมาที่นี่อย่างเงียบเชียบ นางยกสองมือกอดอก “ข้ามารับควันธูปนี้ต่อเอง ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
ผังหยวนจี้คลี่ยิ้มซีดเซียว หันหน้าไปถามว่า “ลวี่ตวน ตอนนั้นทำไมถึงไม่ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่? ทั้งเซียนกระบี่กวอเจี้ยและเฉินผิงอันต่างก็อยากให้เจ้าออกไปจากที่นี่”
ดวงตาของกวอจู๋จิ่วเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ต่อให้จะเคารพเลื่อมใสท่านพ่อและอาจารย์ของข้าแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นความคิดของพวกเขา ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ ไม่ควรจะมีวิธีใช้ชีวิตและวิธีตายเป็นของตัวเองหรอกหรือ?”
ผังหยวนจี้ได้แต่ยิ้มขมขื่น
เหตุผลล้วนเข้าใจ แต่แล้วอย่างไรเล่า
เกาเหย่โหวยกนิ้วโป้งให้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ลวี่ตวน ประโยคนี้พูดได้ดีมาก!”
กวอจู๋จิ่วมองเกาเหย่โหวแล้วเอ่ยอย่างระอาใจ “มาชมข้าทำไม เจ้าต้องชมอาจารย์ข้าที่สั่งสอนลูกศิษย์ได้ดี เรียกว่าชมทีหนึ่งชมถึงสองคน เจ้านี่ไม่ค่อยรู้ความเอาเสียเลย”
เกาเหย่โหวอึ้งไร้คำตอบโต้ไปชั่วขณะ
พูดคุยกับแม่หนูลวี่ตวนผู้นี้ คนที่ได้เปรียบ คาดว่าคงมีแค่หนิงเหยากับต่งปู้เต๋อเท่านั้น
เกาโย่วชิงอดไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะทั้งน้าตา
กวอจู๋จิ่วชำเลืองตามองแม่นางน้อยแล้วพูดด้วยน้าเสียงเวทนาว่า “เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ สมองเจ้าคงพังแล้วกระมัง ที่แท้ก็เป็นเจ้าโง่น้อยนี่เอง”
เกาโย่วชิงกระตุกชายแขนเสื้อของเกาเหย่โหว เกาเหย่โหวจึงพูดอย่างฉุนๆ ปนขันว่า “ทีนี้รู้จักมาหาพี่แล้วหรือไร?”
กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบอาจารย์ตัวเอง แล้วก็เดินจากมาพร้อมพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าโง่น้อยเอ๋ยเจ้าโง่น้อย แม่นางน้อย ไม่รู้จักโต น้ำที่สาดไม่ออก กลุ้มจริงหนอ”
เกาโย่วชิงหน้าแดงก่ำ
เกาเหย่โหวรู้สึกว่าต้องมาเจอกับน้องสาวที่เห็นคนอื่นดีกว่า ตนก็กลุ้มเหมือนกัน
ผังหยวนจี้ยิ้มอย่างฝืดฝืน หันไปมองทางทิศใต้ต่อ ทิศใต้ที่ห่างไปไกลยิ่งกว่านั้น ราวกับยังหวังว่าจะมองเห็นอาจารย์อีกสักครั้ง
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปทุกคนที่สนิทคุ้นเคยกับ เซียนกระบี่จางเซาและเซียนกระบี่หลี่ติ้งต่างก็เสียใจอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
เซียนกระบี่สองท่านที่เป็นสหายสนิทกันนี้ ยามอยู่ที่บ้านเกิดอย่างธวัลทวีป พวกเขาคือเซียนกระบี่ที่รักอิสระเสรีเป็นที่สุด ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร ผลกลับต้องมาตายอยู่บนสนามรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้ง อย่างนี้
ธวัลทวีปให้ความสำคัญกับการค้าที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือมีคนทำการค้าเยอะ อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเขาสามสิบสองคนนี้ ขอบเขตมีทั้งสูงและต่า ต่างก็ถือว่าเป็นพวกประหลาดของธวัลทวีปแล้ว
ทั้งสองท่านที่ขอบเขตสูงที่สุดก็คือจางเซากับหลี่ติ้งที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ทั้งสองล้วนเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมองผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปที่มีจำนวนน้อยที่สุดอย่างพวกเขาด้วยสายตาที่แปลกแยก แต่ส่วนลึกในใจของพวกเขาก็ยัง ไม่สบอารมณ์อยู่ดี
อุตรกุรุทวีปนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เดิมทีนั่นก็เป็นทวีปใหญ่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆของใต้หล้าไพศาล ไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ทักษินาตยทวีปอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด มีผู้ฝึกกระบี่หลายร้อยท่าน ก็มีเหตุผลให้ไม่ไปเปรียบเทียบเช่นกัน แต่นอกจากนี้แล้ว ฝูเหยาทวีป หลิวเสียทวีป เกราะทองทวีป จำนวนผู้ฝึกกระบี่ของสามทวีปนี้มีเยอะกว่าธวัลทวีปอยู่มากนัก
จำนวนผู้ฝึกกระบี่ที่มีน้อยกว่าของธวัลทวีปก็เหลือแค่สองทวีปแล้ว นั่นคือ แจกันสมบัติทวีปที่อาณาเขตเล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล แต่ก่อนหน้านี้ก็มีเว่ยจิ้น เซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ เซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่สามารถประชันเรื่องคุณสมบัติกับผลสำเร็จบนมหามรรคากับเซียนกระบี่ในพื้นที่ได้ จากนั้นก็มีเฉินผิงอันที่ไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่แต่กลับได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้ฝึกกระบี่
ทวีปใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็คือใบถงทวีปที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบคบหาสมาคมกับทวีปอื่น
แจกันสมบัติทวีปมีปัญหาความวุ่นวายภายใน แต่ใบถงทวีปเกิดปัญหาใหญ่เพราะปีศาจใหญ่ก่อกวน
มีเพียงธวัลทวีปเท่านั้นที่สงบสุขมาโดยตลอด ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้ฟ้าของใต้หล้าไพศาลถล่มลงมา ธวัลทวีปก็ยังเป็นทวีปใหญ่ที่สงบสุขมั่นคงมากที่สุด เพราะห่างจากภูเขาห้อยหัวไปไกลที่สุด มีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่อาณาบริเวณที่กว้างขวาง ผู้โดดเด่นจับกลุ่มดุจดวงดาวคั่นกลางระหว่างพวกเขากับทักษินาตทวีปเอาไว้
เรือข้ามฟากของธวัลทวีปแต่ละลำที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวล้วนทำการค้าอย่างเจริญรุ่งเรือง
ทว่ามีเพียงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เท่านั้นที่ยากจะได้พบเจอคน บ้านเดียวกัน
ก็ถูกแล้ว การฝึกตนเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าชีวิตมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ทัศนียภาพบนเส้นทางการฝึกตนงดงามมหัศจรรย์ สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้เป็นเทพเซียน อย่างมั่นคง แล้วจะพาตัวมาตายที่นี่ทำไม และเอาเข้าจริงแล้วผู้ฝึกกระบี่ที่มาที่นี่ก็ ไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องหรือบังคับพวกคนที่ไม่ได้มา
ตอนนี้เซียนกระบี่ของทวีปทั้งสองท่านอย่างจางเซาและหลี่ติ้งรบตายไปแล้ว ตามหลักนี่คือเรื่องที่มากพอจะทำให้คนรุ่นหลังของธวัลทวีปยืดอกตั้งอย่างภาคภูมิได้แล้ว
แต่กลับไม่มีใครเบิกบาน มีแต่จะยิ่งทำให้ความอัดอั้นในใจของผู้ฝึกกระบี่แห่ง ธวัลทวีปยิ่งทับถม ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม!
มุมหนึ่งบนหัวกำแพง มีบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่กลุ่มหนึ่ง
เฉินฉุนอันที่อยู่ในกลุ่มคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
เฉินซื่อยืนอยู่ข้างกายเพื่อนสนิทอย่างหลิวเสี้ยนหยางและฉินเจิ้งซิว เฉินซื่อกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง พูดเสียงเบาว่า “พิทักษ์ไว้ ก็จะต้องมีคนตายเยอะมาก ยิ่งตายก็ยิ่งมาก แต่หากไม่ปกป้องไว้ ก็ผิดต่อคนมากมายขนาดนั้นที่ตายไป คนที่อยู่ใกล้ตรงหน้าก็มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอย่างหลี่ถุ่ยมี่ จางเซาและหลี่ติ้งแห่งธวัลทวีป หากเปลี่ยนข้ามาเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้น ป่านนี้จิตแห่งมรรคาคงแหลกสลายไปนานแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง ปากคาบหญ้าต้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปดึงมาจากไหน เขาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ต่างก็เคยชินกับการที่มี เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคอยเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เพราะว่าผ่านมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว จึงยากนักที่จะมีคนไปขบคิดว่าแท้จริงแล้วในใจของผู้อาวุโส ท่านนี้รู้สึกอย่างไรกันแน่”
ฉินเจิ้งซิวเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หมื่นปีที่ผ่านมา บวกกับสงครามในตอนนี้ รวมแล้วมีศึกใหญ่เก้าสิบหกครั้ง ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “สนามรบอยู่บนพื้นดินทางทิศใต้ แล้วก็อยู่ในใจคนทาง ทิศเหนือ ดังนั้นจึงชนะมาตลอด แล้วก็จะชนะตลอดไป”
เฉินฉุนอันพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ใต้หล้าไพศาลของเรายากที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับความผิดนี้ และนี่ก็คือความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุด”
ผู้เฒ่าที่ยึดครองตำแหน่งผู้รอบรู้เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าไพศาลท่านนี้ไม่ได้พูดด้วยเสียงในใจ แต่เปิดปากพูดออกมาโดยตรง
นอกจากหลิวเสี้ยนหยางแล้ว ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลเฉินอย่างเฉินซื่อ หรือวิญญูชนลัทธิขงจื๊ออย่างฉินเจิ้งซิวก็ยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้
ใต้เท้าอิ่นกวานพาลั่วซานและเซียนกระบี่จู๋อานเดินอาดๆ เข้ามาในกระโจมเจี่ยจื่อ
ผู้เฒ่าชุดเทายืนอยู่นอกกระโจมหลังใหญ่ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลว่าอยู่กับ พวกเราแล้วจะไม่มีเรื่องให้ต่อยตี ขอแค่เป็นขอบเขตบินทะยาน อีกทั้งยังไม่ได้ออกแรงในการโจมตีเมืองครั้งนี้ เจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย หากฆ่าตายแล้ว ใครที่กล้า พูดมากก็ฆ่าคนผู้นั้นต่อ”
ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้า ยื่นมือมาบิดผมแกละข้างหนึ่งแกว่งเบาๆ แสยะยิ้มเอ่ยว่า “ไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ต้องมอบพื้นที่ครึ่งทวีปให้ข้า ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ล้วนต้องยกให้ข้าเป็นคนสังหาร ไอ้พวกที่ทำตัวเป็นเต่าหดหัว ทั้งเนื้อทั้งกระดองก็จะโดนบดเละไปพร้อมกัน!”
ผู้เฒ่าชุดเทาไม่ได้ปฏิเสธ เหตุใดต้องปฏิเสธเล่า? แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือเมล็ดพันธ์แห่งมหามรรคาที่ดีที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มหามรรคาสอดคล้องผสานเป็นหนึ่งอย่างไร้ที่ติ อยู่ข้างกายเฉินชิงตู
สำหรับนางแล้วคือความทรมานในทุกช่วงเวลา แต่ไหนแต่ไรมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ใช่สถานที่ฝึกตนสำหรับนางอยู่แล้ว แต่เป็นกรงขังขนาดใหญ่ที่กักขังจิตดั้งเดิมของนาง ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้อย่างไร? แต่ทุกครั้งที่เจอกับศึกใหญ่ นางแทบจะไม่เคยเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อย่างมากก็แค่เงื้อกระบี่ยาวของหอกระบี่ขึ้นฟาดฟันแล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นหมัดเท่านั้น
เรื่องเสียดายที่มีน้อยแสนน้อยสำหรับผู้เฒ่าชุดเทา หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่ ใต้เท้าอิ่นกวานที่เติบโตอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ไม่ได้มาถือกำเนิดใน ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่เคยไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นระดับสูงต่ำของบัลลังก์สิบสี่แห่งในบ่อโบราณคงต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้ว
บรรพบุรุษของใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ เวลานี้มีคนติดตามอยู่ข้างกายเพียง คนเดียว ก็คือชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ผู้นั้น
ลั่วซานมองไปยังเซียนกระบี่ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ ถามว่า “เหตุใดทั้งไม่ชักดาบและไม่ออกกระบี่ ปล่อยให้ต่งซานเกิงช่วยจั่วโย่วออกไปได้?”
ชายฉกรรจ์เอ่ยด้วยน้าเสียงเฉยชา “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเซียนกระบี่และเป็นสตรี เลยจะยอมเสียเวลาเปลืองน้าลายเอ่ยกับเจ้าประโยคหนึ่ง ข้าจะฆ่าใครหรือไม่ฆ่าใคร ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับคนนอก”
ลั่วซานกำลังจะพูดต่อ แต่เซียนกระบี่จู๋อานกลับเอื้อมมือมาบีบข้อมือของนางเสียก่อน
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ ตามกฎที่ภูเขาทัวเยว่เป็นผู้กำหนด พวกเจ้าคือแขกผู้มีเกียรติของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเรา ภายในเวลาพันปีจะไม่มีทางมีปัญหาใดๆ หากหลิวชาออกกระบี่ต่อพวกเจ้าก็เท่ากับว่าถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ ถูกหรือไม่?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หันไปมองชายฉกรรจ์เคราดก
หลิวชาไม่เอ่ยคำใด
จากนั้นผู้เฒ่าชุดเทาก็เอ่ยอย่างสบายๆ ประโยคหนึ่ง ซึ่งทั้งเป็นการพูดกับบุรุษนามว่าหลิวชาที่อยู่ข้างกาย แล้วก็พูดกับเซียนกระบี่อย่างลั่วซานกับจู๋อาน ขณะเดียวกันก็ยิ่งพูดให้ปีศาจใหญ่มากมายในกระโจมเจี่ยจื่อฟัง “ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราคือสถานที่ป่าเถื่อนที่ไร้การอบรมสั่งสอนอย่างแท้จริง ทั้งไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ่งไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล กฎเกณฑ์ของข้ามีไม่มาก มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น ทว่าทุกข้อล้วนใช้ได้ผล ผู้ทรยศทุกคนล้วนต้องตาย”
ใต้เท้าอิ่นกวานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใช่แล้ว ผังหยวนจี้ลูกศิษย์โง่ของข้าคนนั้น ต่อให้ตัวเขาเองพยายามรนหาที่ตาย พวกเจ้าก็อย่าได้ฆ่าเขา ข้ายังอยากจะให้วันหน้าเขาได้ถามกระบี่แก่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มอย่างระอาใจ “เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องเอามาพูดกับข้าหรอก เจ้าแค่ให้ลั่วซานกับจู๋อานแยกกันไปแจ้งที่กระโจมเจี่ยจื่อกับกระโจมอู้อู่ก็พอ แค่นี้ทุกคน ก็น่าจะรู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
ใต้เท้าอิ่นกวานถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องทำอะไร?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยว่า “ด้านล่างของบ่อที่ถูกเฉินชิงตูเรียกอย่างเยาะเย้ยว่ารังหนูยังมีปีศาจใหญ่อีกบางส่วนที่สมควรตายแต่กลับโชคดีไม่ตาย หากเจ้ารู้สึกอุดอู้ก็ไปฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วขึ้น”
ใต้เท้าอิ่นกวานกะพริบตาปริบๆ “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเล่นแผนในนอกสอดประสานกับเฉินชิงตู แล้วพวกเจ้าจะถูกข้าเล่นงานจนอ่วมหรือ?”
ไปที่รังหนูสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่แค่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ พวกนั้น ขอบเขตสามารถขยับสูงขึ้นได้อย่างมั่นคง แต่แท้จริงแล้วขณะเดียวกันก็เป็นการ สอดผสานกับมรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างมหัศจรรย์ นับจากนี้ไปชีวิตของนางก็จะเชื่อมโยงติดกับใต้หล้าแห่งนี้แล้ว
หากนางคิดจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยาน กลายเป็นอมตะที่มีขอบเขตเดียวกับเฒ่าตาบอดผู้นั้น นี่ก็คือค่าตอบแทนที่นางจำเป็นต้องจ่าย
ฟ้าดินคือเตาหลอม? ฝึกบำเพ็ญตนก็คือการทำตัวเหมือนโจรชั่ว? ขอบเขตบินทะยาน ก็ยากที่จะหนีพ้นโซ่ตรวนประเภทนี้ไปได้ คิดจะฝ่าด่านนี้ไปให้ได้จริงๆ ก็ต้องสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ ต้องใช้ร่างกายที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กของตนมาหลอมส่วนหนึ่งของ ฟ้าดินขนาดใหญ่! หากหลอมได้ทุกส่วน นั่นก็คือมหาปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อ คือ ศาสดาพุทธ คือมรรคาจารย์เต๋า!
ผู้เฒ่าชุดเทาหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าก็บอกมาเถอะว่าจะไปหรือไม่ไป”
ใต้เท้าอิ่นกวานคลี่ยิ้มเจิดจ้า ทะยานตัวขึ้นจากพื้น กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งตรงไปยังรังหนูแห่งนั้น
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นางสามารถหลอมฟ้าดินอะไรได้? กำแพงเมืองปราณกระบี่? กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นของเฉินชิงตู เฉินชิงตูก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่!
แต่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับไม่เหมือนกัน เพราะผู้เฒ่าชุดเทายังไม่เคยหลอมฟ้าดินทั้งหมดอย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงยังมีโอกาส ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะสามารถงัดข้อกับบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจท่านนี้ก็ได้
หลิวชาขมวดคิ้วถาม “จะต้องหลีกทางให้นางแบบนี้จริงๆ หรือ?”
“หนึ่งวิถีกระบี่ หนึ่งความรู้ ผลประโยชน์สองอย่างที่ใหญ่ที่สุดมากพอให้เจ้ากับโจวมี่กินจนอิ่มแล้ว เรื่องดีๆ จะปล่อยให้พวกเจ้าสองคนยึดครองไปหมดได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “เฉินชิงตูตายอีกครั้ง ข้าไปถึงใต้หล้าไพศาล หลี่เซิ่งก็น่าจะออกจากภูเขาได้แล้ว”
“ข้าอยากจะเห็นนัก คำที่บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลชอบเอ่ยว่า ทุกครั้งที่เกิดกลียุค ย่อมต้องมีวีรบุรุษออกมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ จะเป็นความจริงหรือไม่”
หลิวชาถาม “แล้วไป๋เจ๋อผู้นั้น?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยเย้ยหยัน “ไม่ต่างจากผู้เฒ่าตาบอดสักเท่าไร ผิดหวังอย่างสุดแสน ไม่ช่วยฝ่ายใดทั้งนั้น”
หลิวชาพลันเอ่ยว่า “เมื่อเจอกับความมืดมิดอย่างถึงที่สุด ย่อมต้องปรากฏแสงสว่าง”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ประโยคนี้เหมาะที่จะนำไปใช้ในใต้หล้าแห่งใดมากที่สุด? หากพูดถึงแค่ความบริสุทธิ์ ความคิดและจิตใจของใต้หล้าแห่งใดที่บริสุทธิ์ที่สุด?”
ผู้เฒ่าชุดเทายื่นมือทั้งสองข้างออกมา “ใต้หล้าไพศาล ใจคนกำลังเดินลงเนิน แต่พวกเรา กำลังเดินขึ้นด้านบน นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่ที่ไม่อาจสกัดขวางได้ มากที่สุด”
ผู้เฒ่ากำสองมือเป็นหมัด เอ่ยเบาๆ “เมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลก็ถึงคราวที่เจ้าควรชักดาบออกกระบี่แล้ว”
หลิวชาพยักหน้ารับ “ก็ควรจะเป็นเช่นนี้”
ผู้เฒ่าชุดเทาพลันตบไหล่ของชายฉกรรจ์เคราดก “ไปที่นั่น เล่นงานให้อีกฝ่ายรู้จักคำว่าเจ็บปวดแล้ว เจ้าก็จะมีโอกาสได้เจอกับอาเหลียงผู้นั้น ถึงเวลาที่ต้องตัดสินว่าใครสูงใครต่ำ ข้าก็อนุญาตให้เจ้าใช้อาณาเขตของทวีปหนึ่งในใต้หล้าไพศาลเป็นของรางวัลเล็กๆ ในการประลองกระบี่ของพวกเจ้าสองฝ่าย”
อาเหลียงเคยไปเยือนสถานที่หลายแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สังหารปีศาจไปมากมาย แต่กลับกลายเป็นสหายที่แท้จริงกับจอมยุทธมือดาบคนหนึ่ง ก็คือหลิวชาผู้นี้
หลังจากที่อาเหลียงกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยพูดคุยยิ้มแย้มกับเด็กๆ ตัวเท่าก้นกลุ่มหนึ่งว่า หลิวชาผู้นั้นไม่เคยทำให้คนผิดหวังจริงๆ
เรือนกายใหญ่โต รูปร่างกำยำแข็งกระด้าง แต่กลับให้ความสำคัญกับคุณธรรม น้ำมิตร ใจกว้างผึ่งผายไร้พันธนาการ มากความสามารถด้านการแต่งกาพย์กวี
แน่นอนว่าพอเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ค่อยสำคัญพวกนี้จบ เพียงไม่นาน อาเหลียงก็กลับคืนสู่สันดานเดิม ถ่มน้าลายใส่ฝ่ามือแล้วปาดไปบนเส้นผม ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ กับพวกเด็กๆ ที่รับฟังเรื่องเล่าด้วยอาการตกอกตกใจ เมื่อปูพื้นเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่ควรต้องพูดเรื่องสำคัญที่แท้จริงได้แล้ว
‘ต่อให้ไอ้หมอนั่นจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังมิอาจไม่ศิโรราบให้แก่ความองอาจของข้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง เตรียมจะปลดกระบี่มามอบให้ ข้าไม่รับไว้ เขาก็จะเอาดาบมาใช้ต่างพู่กัน ถือเป็นการจับพู่กันเขียนบทกวี ข้าคือใคร คือบัณฑิตจริงแท้แน่นอน เจ้าหลิวชาทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าสร้างความอัปยศให้ตัวเองหรอกหรือ เห็นว่าข้าไม่พยักหน้าตอบตกลง ไอ้หมอนั่นพอได้เขียนก็หยุดไม่ได้ กระแสน้าจากโบราณกาลสู่ปัจจุบันกาลไหลผ่านฝ่ามือข้า ไอเยียบเย็บเกาะตัวพันลี้ ขัดกร่อนดาบหมื่นปี อย่าใช้ดาบนี้ชำระแค้นเล็ก…อะไรนะ? นี่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินประโยคพวกนี้มาก่อนเลยแม้แต่ ประโยคเดียว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรฝีมือการเขียนของเขาก็ธรรมดาอยู่แล้ว จำไม่ได้ ก็คือจำไม่ได้
แต่วันหน้าหากพวกเจ้าคนใดที่ลงสนามรบแล้วเจอกับหลิวชาก็ไม่ต้องกลัว หากต้องสู้ก็คือสู้ เห็นท่าไม่ดีก็รีบตะโกนให้เขาได้ยินไปเลย บอกว่าพวกเจ้าคือ เพื่อนของอาเหลียง’
แต่อาเหลียงที่บอกว่าตัวเองคือบัณฑิตผู้นั้น เป็นทั้งนักพนัน ผีขี้เหล้า แล้วยิ่งเป็นชายโสด โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานถึงร้อยปีกว่า ไม่เคยสวมชุดสีเขียวพกหยกประดับ แล้วก็ไม่เคยทำตัวเหมือนบัณฑิตที่แท้จริงเลยสักครั้ง
ตอนที่เขาจากไป มือกระบี่กลับไม่มีกระบี่ แค่พกดาบสวมงอบเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่เฉินชิงตูส่งเขาจากไป ได้เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยท่าทางจริงจังว่า ‘ไปแล้วก็อย่าได้กลับมาอีก เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง สามารถมาอยู่ที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ได้นานขนาดนี้ ต่อให้เจ้าไม่จากไป ข้าก็คงต้องไล่คนแล้ว’
บุรุษผู้นั้นเพียงแค่ยื่นมือมาบีบนวดไหล่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพลางยิ้มหน้าเป็นไปด้วย ‘หากมีสุรา ก็ช่วยเก็บไว้ให้ข้าหน่อย จะดื่มหรือไม่ดื่มก็อยู่ที่อารมณ์ของข้า แต่จะเก็บหรือไม่เก็บไว้ กลับเป็นคุณธรรมน้าใจในยุทธภพ’
แต่สุดท้ายบุรุษคนนั้นจับประคองงอบ ก่อนจะออกมาจากกระท่อมหลังนั้น เขาที่หันหลังให้ผู้เฒ่าเอ่ยว่า ‘หากกำแพงเมืองปราณกระบี่หันปลายกระบี่กลับฝั่ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มาแล้ว ต่อให้สุราดีแค่ไหน แต่ข้าอาเหลียงจะหาใครมาดื่ม เป็นเพื่อนได้?’
ตามหลังป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกและหย่างจื่ออดีตผู้ปกครองแม่น้ำเย่ลั่ว ผู้ที่รับบทบาทบัญชาการณ์กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นปีศาจใหญ่ตนที่ได้ครอบครองตำหนักหอเรือนหยกนับร้อยนับพันแห่งตนนั้น นามแฝงของเขาคือ หวงหลวน
หวงหลวนยังคงนั่งอยู่บนราวระเบียงเพียงลำพัง มองดูเหมือนอยู่ในนครบนฟ้าที่มีกลิ่นอายเซียนล้อมวน เสียงนกกระเรียนนกหลวนร้องยาวคลอเป็นระยะ
ในนครมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศยี่สิบสี่ช่วง จวนเซียนบางแห่งมีเสียงจักจั่นในฤดูใบไม้ร่วงร้องระงม ทว่าลานเรือนบางแห่งกลับมีกิ่งหลิวแตกหน่อเหมือนคิ้วบางของสตรี และกลางอากาศของอารามเต๋าบางแห่งก็มีการ ‘ปลูกหยก’ (เป็นคำเปรียบเปรยของภาพบรรยากาศยามหิมะตกลงผืนนาเป็นสีขาวโพลน มองดูใสแวววาวราวหยกเนื้องาม) บนพื้นเต็มไปด้วยหิมะกองทับถม และยังมีคนงามกระดาษยันต์เรือนกายอ้อนแอ้นอีกมากมายที่บ้างก็ส่องกระจกติดดอกไม้บนหน้าผาก บ้างก็โบกพัดไล่หิ่งห้อย
ส่วนจวนที่หวงหลวนนั่งอยู่บนราวระเบียงแห่งนี้มีลำธารลั่วเหยียที่นกหวงหลวนชื่นชอบที่สุดอยู่สายหนึ่ง กระแสน้าใสกระจ่าง มีผู้เฒ่าชาวประมงผมขาวที่จำแลงร่างมาจากกระดาษยันต์ มีหญิงซักผ้า สตรีเก็บดอกบัวหน้าตางดงามที่ทำเรื่องเดิมอยู่ตลอดทั้งปี
ใต้ล่างของนครที่ลอยอยู่เหนือเมฆแห่งนี้ก็คือกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่หลังจากรวมตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็บุกรุดหน้าไปอย่างมั่นคง ล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น อีกทั้งขอบเขตยังไม่ถือว่าต่านัก กองกำลังทหารกว่าห้าหมื่นนาย ผู้ฝึกตนขอบเขตต่าสุดก็คือถ้ำสถิต อีกทั้งยังมีอาวุธวิเศษ สมบัติวิเศษปกป้องกาย
เป็นเหตุให้ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องบุกผ่านค่ายกลกระบี่สามแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่น้อย ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นดั่งกองทัพมดที่คิดจะโจมตีเมือง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีกระแสกระบี่บินไหลกรากซัดเข้าหาทางทิศใต้
ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีแม่น้าสายใหญ่ที่ไม่เป็นรองกันแม้แต่น้อย เกิดจากการรวมตัวกันของอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมจำนวนนับไม่ถ้วน แสงเรืองรองทะยาน ขึ้นฟ้า พุ่งเข้าหาหัวกำแพงทางทิศเหนืออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เจ้ามีแม่น้ำปราณกระบี่ ข้าก็มีนทีแห่งสมบัติ
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะทุ่มพละกำลังครึ่งหนึ่งของใต้หล้าโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่โดดเดี่ยวแห่งนั้น จะไม่มีขบวนรบที่มากพอให้ออกหน้าออกตาเลยได้อย่างไร
ใช้สมบัติอาคมและอาวุธวิเศษแลกเปลี่ยนกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ดูสิว่า ใครจะเสียดายมากกว่ากัน
ไม่มีแผนการร้ายอะไร ไม่มีการวางแผนอย่างเลิศล้ารัดกุม แค่แข่งกันเผาผลาญทรัพย์สมบัติเท่านั้น
หากก่อนหน้านั้นสตรีอย่างหย่างจื่อนั่นมีความสามารถสักหน่อย ไม่ทำตัวเป็น เศษสวะเช่นนี้ สามารถใช้ภูเขาห้าลูกที่หยั่งรากอย่างมั่นคงเป็นที่พึ่ง ทางฝั่งของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมสูญเสียมากกว่านี้
คิดไม่ถึงว่าการออกกระบี่ของหลี่ถุ่ยมี่และจั่วโย่วจะทำลายแผนการทั้งหมดให้พังภินท์ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบดขยี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้มากกว่าเดิม กลับกันยังเกือบจะขาดทุนย่อยยับ ยิ่งเป็นเหตุให้ศึกโจมตีเมืองของเขาหวงหลวนในครั้งนี้ได้รับผลกระทบไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหากขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองได้อีกนิด ความเร็วในการตายไปของคนฝ่ายพวกเขาจะต้องเพิ่มมากกว่านี้อีกเยอะ ทว่ากระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตของทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องเสียหายไปมากยิ่งกว่าเช่นกัน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซานจวินห้าขอบเขตบนทั้งห้าท่าน ชีวิตของผู้ฝึกตนสายยันต์ หลายพันคน การหลอมขุนเขาใหญ่ จากนั้นก็ให้ฉงกวงย้ายภูเขามาโผล่บนสนามรบ บัญชีแต่ละอย่างทางฝั่งกระโจมแม่ทัพล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน
หากไม่เป็นเพราะการหันคมดาบเข้าหาฝ่ายตัวเองของอิ่นกวานซึ่งถือว่าได้ช่วยพวกเขาอย่างมาก ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้
เพราะถึงอย่างไรการโจมตีเมืองในตอนนี้ก็ไม่ได้หยาบกระด้างเรียบง่ายเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว แต่เริ่มมีการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ กระโจมมากมายขนาดนั้นไม่ใช่ของประดับที่เอามาตั้งวางเฉยๆ ผู้ฝึกตนที่อยู่ในกระโจมที่ต่อให้ขอบเขตจะไม่สูง ถึงขั้นที่ว่ายังมีเด็กที่อายุน้อยอยู่หลายคน แต่ในสายตาของท่านบรรพบุรุษและภูเขาทัวเยว่แล้ว ไม่ว่าคำสั่งใด ขอแค่ออกไปจากกระโจมทัพ แม้แต่บุคคลอย่างเขาหวงหลวน หย่างจื่อและป๋ายอิ๋งก็ยังต้องชั่งน้าหนักดูให้ดี
หวงหลวนชูมือขึ้นสูงแล้วโบกไปด้านหน้าเบาๆ
สมบัติของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจล้วนปรากฏออกมาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่ออยู่ในม่านราตรีก็ราวกับธารดวงดาวพร่างพราวสายหนึ่งที่จู่ๆ ก็เปล่งวาบขึ้นมา
ต่อให้เป็นบุคคลเก่าแก่ที่มีอายุยืนยาวอย่างปีศาจใหญ่หวงหลวนก็ยังต้อง ยอมรับว่าภาพตรงหน้านี้คู่ควรกับคำว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกร สดใหม่อย่างยิ่ง ก็แค่ไม่รู้ว่าวันหน้าจะยังมีโอกาสได้เห็นอีกหรือไม่ ขอแค่ไปถึงใต้หล้าไพศาล หากอิงตามการคำนวณและอนุมานก่อนหน้านี้ ก็ดูเหมือนว่าคงยากมากที่จะมีโอกาสเช่นนี้อีก
หวงหลวนร้องเอ๊ะหนึ่งที แล้วเป็นฝ่ายคลายพันธนาการออก หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”
คือหย่างจื่อที่ชุดคลุมอาคมสมบัติเซียนเสียหายไปเกินครึ่งคนนั้น ในศึกใหญ่ ชุดคลุมที่เสียหายย่อยยับถูกสตรีที่เห็นแก่ความผูกพันผู้นี้เก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วน มาได้เป็นส่วนใหญ่ แต่หากคิดจะซ่อมแซมจริงๆ ก็ไม่เพียงแต่เป็นปัญหา ยังไม่คุ้มค่า อีกด้วย ไม่สู้ไปช่วงชิงเอาชุดใหม่มาจากใต้หล้าไพศาล
วันนี้หย่างจื่อที่เผยโฉมด้วยรูปลักษณ์ของสตรีโตเต็มวัยสวมชุดผ้าป่านปักปิ่นไม้ นั่งลงบนราวรั้วด้านข้าง สีหน้ากลัดกลุ้ม
หวงหลวนยิ้มกล่าว “ทำไม คิดจะมาแย่งคุณความชอบไปจากข้ารึ?”
หย่างจื่อเอ่ย “เพียงแค่มาช่วยเหลือเจ้า ช่วงชิงความชอบเล็กๆ น้อยๆ มาเท่านั้น แม้ว่าท่านบรรพบุรุษใหญ่จะไม่ได้พูดจารุนแรงอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อย สบอารมณ์แล้ว หลังศึกนี้จบลง ก็ถือว่าเป็นการแสดงท่าทีต่อท่านบรรพบุรุษแล้ว หลังจากนั้นข้าต้องกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพื่อไปดักสังหารพวกเซียนกระบี่ที่ วิ่งวุ่นก่อความวุ่นวายไปทั่ว”
หวงหลวนมองไปยังมุมหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย บอกตามตรง เรื่องที่อิ่นกวานทรยศต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้แต่เขา ก็ยังถูกปิดหูปิดตา ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
หย่างจื่อถาม “นครทางทิศเหนือ และยังมีที่ภูเขาห้อยหัว เมื่อไหร่หมากของ พวกเราจะลงมือ?”
หวงหลวนกล่าว “ข้าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
แน่นอนว่ากองทัพใหญ่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีทางยืนเฉยไม่ขยับ วัตถุแห่งชะตาชีวิตหลากหลายชนิดถูกร่ายใช้แต่ไกลๆ ตลอดทั้งค่ายกลใหญ่ขยับบุกรุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
กระแสของปราณกระบี่ที่เชี่ยวกรากพุ่งชนกับแม่น้าสมบัติอาคม แสงสว่างพร่างพราวเกินคำบรรยาย ประหนึ่งสะเก็ดไฟนับหมื่นดวงที่สาดกระเซ็นออกมาอย่างต่อเนื่องจากเทพบรรพกาลที่หลอมกระบี่ แล้วพากันร่วงกราวลงมายังโลกมนุษย์ดุจสายฝน สาดสะท้อนให้กำแพงเมืองปราณกระบี่และนครบนฟ้าของหวงหลวนสว่างไสวโชติช่วง
นอกจากนี้แล้วยังมีพวกมดตัวน้อยที่เหมือนกับศึกเปิดฉากคราแรกที่เป็นปีก สองข้างของกองทัพใหญ่บุกตะลุยไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง นี่ก็ไม่ใช่แค่การทำพอเป็นพิธีอะไร แต่คือการเอาชีวิตไปเติมเต็มสนามรบที่แท้จริง และนี่ก็คือคำกล่าวที่ว่า ‘มาช่วย’ ของหย่างจื่อ เพราะมดพวกนี้ล้วนเป็นกองกำลังใต้อาณัติ เป็นกองกำลังจากกลุ่มคนใกล้ชิดของหย่างจื่อ
การทำคุณความชอบเล็กๆ ชดใช้ความผิดมหันต์ของปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขาตนหนึ่ง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แค่มานั่งชมทัศนียภาพอยู่ข้างกายหวงหลวน หรือลงมือต่อกระแสคลื่นปราณกระบี่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น มดตัวน้อยจะตายไปเยอะมาก เท่ากับว่าอดีตกองกำลังใหญ่หลายกองที่ถูกปลูกฝังบ่มเพาะมาอย่างยากลำบากจะถูกทำลายไปสิ้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีที่สุด
ภายใต้กำปั้น ยอมรับชะตากรรมเชื่อฟังแต่โดยดี
ไม่ยินดีพาตัวไปตาย ถ้าอย่างนั้นก็ตายก่อน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่แค่พาตัวไปตายเท่านั้น กระโจมทัพหลายแห่งจะยังบันทึกคุณความชอบและความเสียหายของสนามรบทุกแห่งไว้อย่างละเอียด ตายไป ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบมากนัก หากไม่ตายก็ได้กำไรเป็นเท่าตัว ใต้หล้าไพศาลกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ไปเก็บเกี่ยวมาได้ตามสบาย ขอแค่ผ่านกำแพงเมือง ปราณกระบี่ไปได้ ทุกวันก็สามารถไปหาเงินได้จากทุกที่ วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วน กองกำลังตระกูลเซียนที่รอให้สังหารได้ตามใจชอบ เงินเทพเซียนกอบใหญ่กองโต ล้วนกำลังรอคอยให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกวาดเข้ามาไว้ในกระเป๋า
หวงหลวนพลันคลี่ยิ้มมีเลศนัย “เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ออกกระบี่ต้องเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
บุรุษหล่อเหลาที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นอายของเซียนยื่นมือมาตบราวรั้วเบาๆ แล้วก็ร้องโอดครวญว่า “แย่แล้ว หากเป็นอย่างนี้ ความเสียหายของอีกฝ่ายต้องต่ากว่าที่ กระโจมทัพคาดการณ์ไว้แน่นอน หย่างจื่อ เป็นเพราะว่ากลิ่นอายอัปมงคลของเจ้าเข้มข้นเกินไปก็เลยพาข้าเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่? เจ้าดูสิ พวกคนอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่ และยังมีเซียนกระบี่อีกมากที่เดิมทีว่ากันว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก เวลานี้กลับออกกระบี่อย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงเพียงนี้
พวกเซียนกระบี่ที่พยศยากจะกำราบล้อมสังหารกันในขอบเขตเล็กๆ แล้วร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทว่าภาพเหตุการ์อย่างใน คืนนี้สามารถทำให้เซียนกระบี่แทบทุกคนร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตทับซ้อนกันถึงขีดสูงที่สุดได้แล้ว นี่ทั้งทำให้คนตาลุกวาว แล้วก็ทั้งทำให้เจ้าและข้ารู้สึกย่ำแย่ ใช่หรือไม่?”
หย่างจื่อสีหน้ามืดทะมึน หัวเราะเสียงหยันเย็นชา “รู้ดีว่าต้องตาย แต่กลับยังต่อต้านอย่างดื้อด้าน”
หวงหลวนมองสนามรบอยู่อีกครู่หนึ่งก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เก็บเส้นแนวรบ ผู้ฝึกกระบี่ถอนกระบี่กลับมาสามลี้? นี่ยังใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ข้ารู้จักอีกหรือไม่?”
หย่างจื่อกล่าวอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อยุ่งยากแบบนี้ เจ้ายังจะดูอีกทำไม?”
หวงหลวนยิ้มกล่าว “ให้เจ้าพวกคนหนุ่มสาวในกระโจมทัพเหล่านั้นได้ฝึกปรือฝีมือกันบ้าง เดิมทีก็แสดงให้คนด้านหลังดูอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่คิดว่าสงครามตรงจุดนี้จะแพ้อนาถเกินไปนัก วันหน้าหากต้องคุมเชิงกับใต้หล้าไพศาลจริงๆ จะพึ่งแค่พวกเราไม่กี่คนให้คอยออกแรงก็คงไม่ได้กระมัง”
หยางจื่อหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง ในจุดที่ห่างไปไกลแสนไกล มีขบวนรบที่ใหญ่ ยิ่งกว่าซึ่งยังไม่เคลื่อนมาถึงสนามรบ
ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!
ต่อให้ชีวิตของผู้ฝึกกระบี่จะล้าค่ามากแค่ไหน แต่จะแค่เลี้ยงไว้เป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็คงไม่ได้
สามารถถามกระบี่ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นหินลับมีด ใช้สิ่งนี้มาชำระล้างกระบี่ จากนั้นใครที่มีชีวิตรอดมาได้ก็จะถือว่าเป็น ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภูเขาลูกเล็กแปลกประหลาดที่สร้างขึ้นมากะทันหันมีคนอยู่สิบกว่าคน ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นคนต่างถิ่น
ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานกลุ่มใหม่ล่าสุดมารวมตัวกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สายอิ่นกวานรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น
ส่วนหน้าที่ตรวจตราสถานการณ์การสู้รบ บันทึกรายละเอียดการสู้รบ ยังคงมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเก่าและลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทำหน้าที่ต่อไป เพียงแต่ฝ่ายแรกจะสูญเสียสถานะคนของสายอิ่นกวานไปแล้ว
หลังจากรับผิดชอบเอาคนเหล่านี้มารวมตัวกัน ลู่จือก็จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงม้วนภาพวาดสองม้วนที่อริยะลัทธิเต๋านำมามอบให้
ม้วนภาพที่ใหญ่มากทั้งสองม้วนถูกลู่จือคลี่กางลงบนทางเดินม้า บนม้วนภาพม้วนหนึ่งคือภาพการปะทะกันระหว่างกระแสปราณกระบี่กับแม่น้าสมบัติ
ส่วนอีกภาพหนึ่งคืออยู่ไปทางทิศใต้ยิ่งกว่าสนามรบในเวลานี้ การกระจายตัวกันของกองทัพเผ่าปีศาจเส้นแนวหน้าเส้นแรกของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภาพนั้นค่อนข้าง พร่าเลือน แต่ยิ่งขยับมาทางทิศเหนือกลับยิ่งชัดเจน ราวกับว่ามีเส้นแบ่งที่ช่วยแบ่งฟ้าอำนวยดินอวยพรไว้ให้
ลู่จือบอกแค่ว่าทุกคนยังไม่ต้องออกกระบี่สังหารศัตรู ทุกคนล้วนถือว่าเป็นสายของอิ่นกวาน นอกจากนี้สตรีเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีผลงานการรบเลิศล้าท่านนี้ก็ไม่เอ่ยอะไรมากอีกแม้แต่ครึ่งคำ
ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่หันมามองหน้ากันเองตาปริบๆ
หนึ่งเพราะหลายคนต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน สองเพราะยังมึนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรกันแน่
หมี่อวี้คือคนที่กระอักกระอ่วนที่สุด เพราะว่ามีเพียงเขาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ห้าขอบเขตบน
จะเอาแต่ตาใหญ่จ้องตาเล็กกันอยู่แบบนี้คงไม่ได้ หมี่อวี้ที่ขอบเขตสูงที่สุดจึงเอ่ยว่า “ทุกคนแนะนำตัวเองกันก่อนเถอะ ข้าชื่อหมี่อวี้ ขอบเขตหยกดิบ”
เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลินจวินปี้แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร”
แล้วก็มีคนทยอยเปิดปากอย่างต่อเนื่อง
“เติ้งเหลียงแห่งธวัลทวีป ขอบเขตก่อกำเนิด”
“ซ่งเกาหยวนแห่งฝูเหยาทวีป ขอบเขตโอสถทอง”
“เฉากุ่นแห่งหลิวเสียทวีป ขอบเขตประตูมังกร”
“เสวียนเซินแห่งเกราะทองทวีป ขอบเขตโอสถทอง”
นอกจากนี้แล้วทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีผังหยวนจี้ ต่งปู้เต๋อ ซือถูเหว่ยหรัน กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว
และเฉินผิงอัน
คนที่ดีใจที่สุดก็คือกวอจู๋จิ่ว เพราะว่าอาจารย์ของนางก็อยู่ด้วย
นางนั่งยองอยู่ข้างกายอาจารย์ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กสาวต่างเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน
ส่วนคนที่อกสั่นขวัญผวาที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นกู้เจี้ยนหลง
เมื่ออาจารย์ของนางบอกชื่อแซ่และขอบเขตแล้ว กวอจู๋จิ่วก็ปรบมืออย่างแรง
“เฉินผิงอัน ห้าขอบเขตล่าง”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวกับลูกศิษย์ของตัวเองว่า “สุขุมหน่อย”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง
หลินจวินปี้เอ่ย “ต่อให้ตอนนี้กลุ่มของพวกสัตว์เดรัจฉานจะถอยร่นออกไปแล้ว แต่ก็ยังต้องมีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่มาถามกระบี่กับพวกเราแน่นอน คาดว่านี่ก็คือเหตุผลที่พวกเรามารวมตัวกัน พยายามคิดถึงความเป็นไปได้ของอีกฝ่ายให้มาก รวมถึงแผนการรับมือของฝ่ายพวกเราเอง สถานการณ์ทางการสู้รบน่าจะตึงเครียดมาก นอกจากเซียนกระบี่หมี่แล้ว ขอบเขตของพวกเราต่างก็ไม่ถือว่าสูง ดังนั้นหน้าที่ของพวกเรา แท้จริงแล้วก็คือคอยชดเชยช่องโหว่ การช่วยเหลือในเรื่องใหญ่ๆ นั้น ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องทำไม่ได้แน่ แต่หากพวกเราระดมความคิดกัน ช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะพอทำได้บ้าง”
ในระหว่างที่หลินจวินปี้พูด เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ริมขอบของม้วนภาพ ในมือถือพัดพับเคาะฝ่ามือของตัวเองเบาๆ จ้องนิ่งไปยังสนามรบบนม้วนภาพ
หลินจวินปี้มองไปทางหมี่อวี้ เซียนกระบี่ที่แท้จริงแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดผู้นี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หมี่อวี้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองพอๆ กับกู้เจี้ยนหลงนั่นแหละ
จากนั้นหลินจวินปี้ก็หันไปมองเถ้าแก่รอง
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขายิ้มเอ่ยว่า “คนมีความสามารถย่อมต้อง เหนื่อยกว่าผู้อื่น จวินปี้เชิญสั่งมาได้เลย”
หลินจวินปี้เองก็รู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าก็ไม่ได้พิพักพิพ่วนสักเท่าไร การแบ่งหนักเบาช้าเร็วของเรื่องราว หลินจวินปี้ในเวลานี้เหมือนขยับตัวมานั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อม คุมเชิงอยู่กับตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สามารถช่วงชิงโอกาสชนะเสี้ยวหนึ่งมาให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ก็เท่ากับว่าช่วงชิงชัยชนะนับไม่ถ้วนมาให้ตัวเองและราชวงศ์เส้าหยวน!
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หลินจวินปี้ก็เริ่มแบ่งงานให้ทุกคนอย่างไม่ลังเล
บอกให้ผังหยวนจี้และต่งปู้เต๋อรับผิดชอบรวบรวมและแยกประเภทกระบี่บินและวิชาอภินิหารทั้งหมดของเซียนกระบี่ฝ่ายตรงข้าม ซือถูเหว่ยหรันกับเติ้งเหลียง รับหน้าที่บันทึกอาวุธกึ่งเซียนและสมบัติอาคมที่สำคัญของผู้ฝึกตนฝ่ายตรงข้าม ให้เสวียนเซินและซ่งเกาหยวนคอยบันทึกการเผาผลาญของกระบี่บินและสมบัติอาคมทั้งฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูอยู่ตลอดเวลา เฉากุ่น หวังซินสุ่ยรับหน้าที่สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงขบวนรบของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ หากยังสามารถแบ่งสมาธิมาได้ก็คอย ตามหาผู้ฝึกตนใหญ่ที่อำพรางตบะของฝั่งศัตรูด้วย…
เฉินผิงอันมองกู้เจี้ยนหลงแล้วกวักมือเรียก “พี่กู้ บังเอิญขนาดนี้เชียว ชีวิตคนมีที่ใด ที่ไม่อาจพบเจอกัน”
กู้เจี้ยนหลงวิ่งตุปัดตุเป๋มานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ล้อเล่นอะไรแบบนั้น ไหนเลยจะกล้าให้เถ้าแก่รองเรียกข้าว่าพี่กู้ เรียกข้าว่า น้องกู้เถอะ!”
สุดท้ายบนทางเดินม้าของหัวกำแพงแถบนี้ก็มีโต๊ะตัวเตี้ยหลายตัวถูกนำมาจัดวาง แต่ละคนนั่งขัดสมาธิ หมี่อวี้จำเป็นต้องคัดลอกเอกสารการสรุปข้อมูลรวมของเขา แล้วค่อยมอบให้กวอจู๋จิ่วนำไปแจกจ่าย เพื่อสะดวกให้ทุกคนได้อ่านและทราบข้อมูลทั่วกัน
ส่วนรายงานสำคัญบางอย่าง ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันไม่ไกล สามารถเปิดปากพูดออกมาได้โดยตรง
มีเพียงเฉินผิงอันที่ไม่ได้มีภาระงานอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะหลังจากที่ลู่จือสั่งให้คนเอาโต๊ะ พู่กัน หมึกและกระดาษมาให้ที่นี่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า
“นับจากนี้ไป เฉินผิงอันก็คือใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
หมี่อวี้รู้สึกจนใจอยู่ไม่น้อย
ส่วนผังหยวนจี้รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ขอแค่ไม่ให้ตนรับหน้าที่เป็น อิ่นกวานต่อ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งเป็นเถ้าแก่รองก็ยิ่งดีที่สุด
สีหน้าซับซ้อนปรากฎบนใบหน้าของหลินจวินปี้วูบหนึ่งก็จางหายไป ยิ่งแน่ใจกับการคาดเดาในใจมากขึ้น ตอนนี้การออกกระบี่ของเซียนกระบี่มีการปรับเปลี่ยนไปหลากหลาย นี่ต้องเป็นข้อเสนอแนะของคนผู้นี้แน่นอน
ส่วนกู้เจี้ยนหลงกลับยิ้มบางๆ อย่างฝืนมโนธรรมในใจ
กวอจู๋จิ่วตบมืออยู่คนเดียว ทว่าเสียงปรบมือนั้นกลับดังราวสายฟ้าฟาด
ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยที่สุด ขอบเขตต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น ลุกขึ้นเดินไปรับแผ่นหยกเก่าแก่ที่เป็นตัวแทนของสถานะอิ่นกวานมาแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อ แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ผูกป้ายหยก ไว้ตรงเอว หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเคียงข้างน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ บนโต๊ะเล็ก นอกจากพู่กัน และหมึกแล้วยังมีสมุดเปล่าที่ยังไม่ผ่านการจรดพู่กันวางกองกันอีกเป็นปึก รวมไปถึงพัดพับไผ่หยกที่หุบเข้าหากัน
เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วเข้าด้วยกัน มองการจัดวางบนโต๊ะที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดแล้วก็ยิ้มบางๆ รู้สึกดีมาก ราวกับว่าต่อให้ไม่ได้เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็ได้ นั่งบัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กแล้ว
ใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่อะไรกัน
ก็แค่เปลี่ยนจากร้านผ้าห่อบุญที่ไม่หลอกลวงเด็กสตรีและคนชรามาเป็นนักบัญชี ที่ตนถนัดยิ่งกว่าก็เท่านั้น