กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 628 คิดบัญชีกับตลอดทั้งใต้หล้า
บทที่ 628 คิดบัญชีกับตลอดทั้งใต้หล้า
ตอนนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังไม่รู้ว่าบนหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดใต้เท้าอิ่นกวานที่ผลงานการต่อสู้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไปคนหนึ่ง แต่กลับมีใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ที่ขอบเขตต่าที่สุดในประวัติศาสตร์เพิ่มมาอีกคนแล้ว
หรือต่อให้รู้ คาดว่าก็คงแค่มองเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็ยังไม่มีใครเห็นเป็นจริงเป็นจังมากนัก โดยเฉพาะพวกเซียนกระบี่ที่รู้สึกว่านี่ก็คงเป็นแค่การกระทำแบบ ‘ไม่คิดอะไรมาก’ อีกครั้งหนึ่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเท่านั้น
อิ่นกวานคนใหม่เข้ารับตำแหน่งไฟแรงโชติช่วง หลังจากเฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ทำเรื่องสามเรื่องที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป
สายอิ่นกวานมีจวนส่วนตัวสองหลังที่ต่างก็อยู่นอกเมือง แห่งหนึ่งคือหลบร้อน อีกแห่งหนึ่งคือหลบหนาว เอกสารคดีลับทั้งหมดที่เก็บไว้ในช่วงเวลาร้อยปีล้วนถูกย้ายมาที่ทางเดินม้าแห่งนี้ กองทับกันเป็นชั้นๆ วางไว้ด้านหลังเฉินผิงอันเหมือนภูเขา ลูกหนึ่ง
ใต้เท้าอิ่นกวานคนก่อนทั้งไม่ได้นำแผ่นหยกที่สลักสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ ชิ้นนั้นไป แล้วก็ไม่ได้ทำลายห้องเก็บเอกสารที่สืบทอดมานานเป็นพันปี
นอกจาก ‘ภูเขาที่พึ่ง’ ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันลูกนี้แล้ว เฉินผิงอันยังบอกให้คนย้ายสมบัติหนักตระกูลเซียนอีกชิ้นหนึ่งมาด้วย นั่นคือห้องกระบี่
กระบี่บินส่งข่าวสองเล่มที่คนของหอกระบี่สร้างขึ้นเพื่อผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานโดยเฉพาะ ภายใต้ข้อเรียกร้องของเฉินผิงอัน เขาได้ขอให้อาจารย์กระบี่ของหอกระบี่สลักชื่อของทุกคนลงไป
เฉินผิงอัน หมี่อวี้ ผังหยวนจี้ ต่งปู้เต๋อ กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว หลินจวินปี้ เติ้งเหลียง ซ่งเกาหยวน เฉากุ่น เสวียนเซิน
นี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทั้งหมดในตอนนี้แล้ว
เพียงแต่ว่ากระบี่บินสองเล่มที่เป็นของเฉินผิงอันแค่สลักสองคำว่าอิ่นกวาน มิใช่ชื่อของเฉินผิงอัน
เรื่องที่สามก็คือ เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นกับผู้ฝึกกระบี่ ‘ใต้บังคับบัญชา’ ทุกท่าน เอ่ยถ้อยคำที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุดว่า “ทุกท่าน ซึ่งรวมถึงตัวข้าเอง รวมแล้วมีสิบสองคน ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนฉลาดกันทั้งสิ้น ก็น่าจะรู้ดีว่า ความเหมือนร่วมกันของพวกเราก็คือ ขอบเขตไม่ถือว่าสูง พลังพิฆาตของเวทกระบี่ เมื่อต้องอยู่ในศึกโจมตีและพิทักษ์คราวนี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่หัวสมองของพวกเรานับว่ายังใช้งานได้ดี ไม่ว่าเจอกับเรื่องใด พวกเราก็ล้วนยินดีจะคิดให้ มากขึ้น จนกลายเป็นความเคยชินตามธรรมชาติ ความคิดของผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปอาจวนอยู่กับเรื่องหนึ่งรอบหนึ่ง แต่พวกเราอาจวนอยู่หลายรอบ นี่เรียกว่าคุ้นเคยจนเกิดเป็นความชำนาญ การที่มอบสถานะคนของสายอิ่นกวานให้พวกเจ้าทุกคนก็คือการยอมรับที่ใหญ่ที่สุดที่มีต่อพวกเจ้า แต่นี่ไม่ใช่ชามข้าวเหล็ก คำแนะนำของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะกลยุทธที่สามารถส่งผลต่อค่ายกลกระบี่ในแต่ละครั้งได้มากที่สุด จะต้องเกี่ยวพันไปถึงการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่มีมากมายนับหมื่นคน หรือถึงขั้นที่ว่า อาจลากเอาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่นับร้อยนับพัน กระทั่งชีวิตของคนในครอบครัว เซียนกระบี่มากมายมาเกี่ยวข้องด้วย ข้อเรียกร้องของข้ามีเพียงอย่างเดียว ทุกคน อุทิศตนทุ่มเทสุดชีวิตไปด้วยกัน พยายามให้คำเสนอแนะที่มีประโยชน์มากที่สุด หากข้าพบว่ามีคนจงใจแสร้งถ่วงเวลาในช่วงขั้นตอนใดก็ตาม สมองดูเหมือนจะ เฉลียวฉลาดแต่แท้จริงแล้วกลับใช้งานไม่ได้ ข้าจะขับไล่ออกจากสายอิ่นกวานโดยตรง ต่อให้หน้าพวกเจ้าจะมีค่ามากแค่ไหน ก็เทียบกับชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้ เทียบกับกระบี่บินของพวกเขาไม่ได้”
“ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอย่างแน่นอน ขอให้พวกเจ้าเตรียมใจกันให้ดี พวกเราจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อทุกคนที่รบตายไป ปัญหายากที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่พวกผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ไม่สู้ตาย หรือไม่ก็คนที่ญาติหรือสหายรบตายไป ไม่แน่ว่าอาจเกิดใจอาฆาตแค้นต่อผู้ฝึกกระบี่เศษสวะที่ดีแต่ขยับปากอย่างพวกเรา สิบสองคน พวกเขาเกลียดแค้นพวกเราก็เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ พวกเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ตัวพวกเจ้าเองห้ามเกิดความผิดหวังต่อเรื่องนี้ ห้ามให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย หากมีใครเกิดความเคียดแค้นอยู่ในใจเพราะสาเหตุนี้ แล้วจงใจ ก่อเรื่อง หากข้าจับได้ก็จะให้เซียนกระบี่หมี่อวี้ออกกระบี่สังหารคนผู้นั้นโดยตรง ข้าไม่ฟังคำอธิบาย หากข้าสงสัยใคร คนคนนั้นก็ต้องตาย ดังนั้นสุดท้ายนี้ข้าจึงมีคำถามสุดท้าย ใครอยากจะออกไปจากสายอิ่นกวาน? ออกไปตอนนี้ยังทัน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะวางอุบายปัดแข้งปัดขา แข่งกันเรื่องกลอุบายลึกล้ากับข้าเฉินผิงอัน ก็ไม่สู้ ทำอะไรเรียบง่าย ออกจากหัวกำแพงไปสังหารปีศาจดีกว่า คว้าคุณความชอบมาได้เท่าไรก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ดีกว่าผลาญเวลาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ที่นี่แล้วต้องตาย ทำร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่น”
ผู้ฝึกกระบี่อีกสิบเอ็ดคนที่เหลือเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทว่าสายตาของแต่ละคน แน่วแน่หนักแน่น
เฉินผิงอันพยักหน้า “ดีมาก แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่มีความหวังบนมหามรรคาอย่างจวินปี้ก็ยังไม่มีความลังเลใดๆ กล้าเอามหามรรคาและชีวิตมาเดิมพันอยู่ที่นี่ ข้ารู้สึกว่าจิตใจเขาใช้ได้เลย”
หลินจวินปี้พลันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้คงไม่ได้ใช้งานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวกระมัง?
เฉินผิงอันหรี่ตาลง สายตาไล่ไปตามใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนพลางเอ่ย เนิบช้าว่า “พวกเรานั่งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่การฝึกตนอีกต่อไป ยิ่งไม่ใช่การหลอมกระบี่ แค่มาช่วยกำแพงเมืองปราณกระบี่ทำการค้าครั้งที่ใหญ่ที่สุดกับพวกสัตว์เดรัจฉานของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น พวกเราต้องทำการค้าที่ได้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำให้กับ ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องใช้ชีวิตที่น้อยที่สุดของฝั่งตัวเองไปแลกชีวิตที่มากที่สุดของฝ่ายศัตรู! ทุกท่าน โอกาสเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้อาจไม่มี อีกแล้ว ไม่ว่าในอนาคตโชควาสนาของพวกเจ้าจะลึกล้าแค่ไหน จะได้เดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของมหามรรคา กลายเป็นเซียนเหริน กลายเป็นขอบเขตบินทะยาน จากนั้น ก็ปลดภาระลาจากโลกนี้ไป กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก ต่อให้พวกเจ้าจะกลายเป็นเจ้าประมุขของสำนักหนึ่งในใต้หล้าไพศาล มีผู้ฝึกกระบี่ในสำนักมากมายดุจก้อนเมฆ แต่เจ้าจะสามารถเรียกใช้เซียนกระบี่ ให้พวกเขาออกกระบี่เพื่อเจ้า ยอมกระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญด้วยความยินยอมพร้อมใจได้อีกหรือ?! ต้องเห็นค่าและทะนุถนอมโอกาสที่อยู่ตรงหน้าให้ดี เพราะนี่คือวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ต่อให้จะผ่านไปหมื่นปี เกินหมื่นปี ในใต้หล้าทั้งหลายนี้ก็มีเพียงพวกเจ้าและข้าสิบสองคนเท่านั้นที่สามารถทำได้!”
กวอจู๋จิ่วที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสายตาเด็ดเดี่ยว นางพลันกุมหมัดคารวะ แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
ต่งปู้เต๋อเองก็กุมหมัดแล้วชูขึ้นสูงด้วยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา
ทุกคนที่เหลือซึ่งมีหลินจวินปี้ กู้เจี้ยนหลงและหวังซินสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น แม้แต่เซียนกระบี่หมี่อวี้ก็ยังพากันกุมหมัด
พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยต่างทวีปต่างถิ่นก็ยิ่งเกิดความฮึกเหิม
คนต่างถิ่นที่กล้ามาฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศึกใหญ่ผ่านไปแล้วก็ยังออกกระบี่ไม่ยอมไปไหน ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยเท่าไร จิตแห่งกระบี่ก็ยิ่งสูงและบริสุทธิ์มากเท่านั้น!
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนออกคำสั่งให้แก่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเรามาทำความเข้าใจกับสนามรบของทั้งสองฝ่ายกันก่อน พวกเจ้าทำตามที่ หลินจวินปี้แจกจ่ายงานไว้ก่อนหน้านี้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง อีกครึ่งชั่วยามข้าจะตัดสินใจอีกที”
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว แผนการนั้นของหลินจวินปี้หยาบเกินไป แต่นี่ก็คือผลลัพธ์จากสติปัญญาอันเฉียบไวที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของหลินจวินปี้ จึงมิอาจเรียกร้องมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าอีกครึ่งชั่วยามให้หลัง หรือควรจะ พูดว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป กำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องรับมือกับการรวมกำลังระดมความคิดหากลยุทธของกระโจมทัพหกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแบบนี้ เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกว่าสายอิ่นกวานของตนจะมีโอกาสชนะแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเริ่มเปิดอ่านเอกสารคดีเก่าๆ ของสายอิ่นกวาน เขาอ่านเร็วมาก ข้างมือยังมีสมุดที่ด้านในเป็นเพียงกระดาษเปล่าอยู่อีกสิบกว่าเล่ม พออ่านเจอประเด็นสำคัญก็จะคัดลอกลงไป ขณะเดียวกันหางตาก็คอยเหลือบมองไปยังสนามรบบนม้วนภาพวาด แล้วค่อยมองประเมินการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ของคนอีก สิบเอ็ดคน
ตัวอักษรเล็กบอบบางงดงาม เป็นลายมือของเซียนกระบี่จู๋อาน
ตวัดลายเส้นเฉียบคม กลับเป็นลายมือของลั่วซานเซียนกระบี่หญิงคนนั้น
ช่างสมกับคำว่าเห็นอักษรเหมือนเห็นหน้าจริงๆ
เนื้อหากระชับเรียบง่าย สะอาดหมดจด แน่นอนว่าหาข้อข้อตำหนิใดๆ ไม่พบ
ต่อให้เซียนกระบี่ทั้งสามท่านจะทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่หากพูดถึงแค่เรื่องของการบันทึกเอกสารลับนี้ อันที่จริงก็ยังเรียกได้ว่าทำสุดความสามารถในหน้าที่แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งยามตามที่กำหนดไว้ เฉินผิงอันถือพัดที่หุบไว้ ไม่คิดจะคลี่ออก เพียงแค่ยกขึ้นเบาๆ แล้วตีลงบนโต๊ะหนักๆ หนึ่งที “จับตามองสนามรบต่อไป แต่แบ่งสมาธิมาฟังคำพูดของข้า นับแต่บัดนี้ไป ทุกคนต้องทำเรื่องสามเรื่องควบคู่ กันไป เรื่องแรกคืองานหลัก ทุกคนจำเป็นต้องจับตามองม้วนภาพอย่าให้คลาดสายตา เรื่องที่สอง ทุกคนเริ่มยกพู่กันขึ้นมาจดบันทึกเพื่อสะดวกให้ผู้อื่นอ่าน หากมีความจำเป็นก็สามารถขอดูบันทึกของคนอื่นได้โดยตรง เพื่อเอามาเป็นเอกสารอ้างอิง เรื่องที่สามคือปล่อยกระบี่บินส่งข่าวไปให้สนามรบแต่ละแห่งในบางช่วงเวลา”
เฉินผิงอันเอ่ยต่อ “พูดถึงข้อที่สามก่อน กระบี่บินของหอกระบี่สายอิ่นกวาน มีความเร็วอย่างถึงที่สุด นอกจากกลยุทธใหญ่บางอย่างที่ข้าจะเป็นคนส่งข่าวให้แก่ ผู้ฝึกกระบี่ทุกท่านแล้ว การปรับเปลี่ยนค่ายกลกระบี่เล็กๆ น้อยๆ ส่วนที่เหลือ พวกเจ้าต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือหมี่อวี้ ต่งปู้เต๋อ กู้เจี้ยนหลง ที่รับผิดชอบส่งกระบี่บินไปให้แก่คนในพื้นที่ทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แบ่งตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกเป็นสามอาณาเขตใหญ่อย่างซ้าย กลาง ขวา กวอจู๋จิ่ว หวังซินสุ่ยรับหน้าที่ส่งกระบี่บินไปแจ้งให้แก่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกท่าน”
ฟังมาถึงตรงนี้ หมี่อวี้ก็ขมวดคิ้ว เพราะนี่เหมือนจะไม่สมเหตุสมผล ตามหลักแล้วควรเป็นเขาที่รับหน้าที่ติดต่อกับเซียนกระบี่ท่านอื่นๆ
เฉินผิงอันอธิบายว่า “เซียนกระบี่หมี่อวี้ หากเป็นการพูดคุยระหว่างเซียนกระบี่กับเซียนกระบี่ เนื่องจากขอบเขตมีสูงมีต่ำ ในใจย่อมธรณีประตูกั้นขวาง ไม่บริสุทธิ์มากพอก็ง่ายที่จะเกิดปัญหาแทรกซ้อน โอกาสมากมายบนสนามรบมักจะผ่านเลยไปในเวลาเพียงเสี้ยววินาที หากลังเลหรือหยุดชะงัก โอกาสที่ว่าก็จะหายไป พูดอย่างนี้ พอจะเข้าใจหรือไม่?”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ
ในความเป็นจริงแล้วใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้นับว่าพูดจาเกรงใจกันมากแล้ว คำพูดบางอย่างที่ไม่ได้เอ่ยออกมามีเหตุผลยิ่งกว่านี้เสียอีก ยกตัวอย่างเช่นภาพลักษณ์ ของเขาหมี่อวี้ในใจเซียนกระบี่ท่านอื่นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นย่ำแย่มาก
เมื่อเทียบกันแล้ว การที่ให้กวอจู๋จิ่วและหวังซินสุ่ยที่ขอบเขตต่าส่งกระบี่บินไป แจ้งข่าวแก่เซียนกระบี่กลับเป็นการทำตามหน้าที่ที่ตรงไปตรงมามากกว่า หากปล่อยให้เซียนกระบี่อย่างเขาหมี่อวี้ที่ขึ้นชื่อว่างามแต่เปลือกเป็นคนออกคำสั่ง กลับจะมีเซียนกระบี่จำนวนมากที่ไม่ยอมทำตาม
เฉินผิงอันพูดต่อว่า “วันหน้าหากมีข้อสงสัยแบบนี้ก็ถามมาตรงๆ ได้เลย หากสามารถพูดโน้มน้าวให้ข้าเปลี่ยนใจได้ย่อมดีที่สุด นอกจากนี้ผังหยวนจี้รับผิดชอบติดต่อกับทหารที่คอยสังเกตการณ์การศึกของสายอิ่นกวานเก่าและลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่คอยจดบันทึกคุณความชอบทางการทหาร จำนวนคนเหล่านี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น ผังหยวนจี้จึงรับผิดชอบผู้ฝึกกระบี่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพิ่มไปด้วย หลินจวินปี้รับผิดชอบส่งข่าวให้ผู้ฝึกกระบี่ของทักษินาตยทวีป เติ้งเหลียงติดต่อกับ ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปทั้งหมด เกาซ่งหยวนส่งกระบี่บินไปให้ทวีปเกราะทอง เสวียนเซินรับผิดชอบหลิวเสียทวีป เฉากุ่นรับผิดชอบธวัลทวีป”
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นคนของสายอิ่นกวานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนถนัดในเรื่องการอนุมานจิตใจคน การคิดคำนวณ การวางแผนเล่นหมากล้อม ยกตัวอย่างเช่นหลินจวินปี้ เสวียนเซินที่ต่างก็เป็นนักเล่นระดับแคว้นอย่างสมชื่อ
หมี่อวี้มีคำถามอยู่จริงๆ เขาจึงถามใต้เท้าอิ่นกวานต่อหน้าทันที “ทำไมไม่ให้ ผู้ฝึกกระบี่ของแต่ละทวีปติดต่อผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ของทวีปตัวเอง? แบบนั้นจะไม่ยิ่งราบรื่นกว่าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “พวกเติ้งเหลียงเป็นคนต่างถิ่น วิ่งมาที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ก็ไม่เพียงแต่เอาหัวผูกไว้ที่เข็มขัดเอาชีวิตมาเสี่ยงตาย เวลานี้ยังถูกลากให้เข้ามาเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานด้วย ต้องมาทำงานที่เหนื่อยแรงแต่ไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ แบบนี้ แล้วจะยังไม่ยอมให้พวกเขาได้กำไรเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่เพิ่มมานิดๆ หน่อยๆ อีกหรือ?”
ช่างพูดจาได้ตรงไปตรงมานัก
วางท่าของคนทำการค้าที่พูดจาภาษาการค้าอย่างชัดจน
หลินจวินปี้ยิ้มอย่างเข้าใจ
ผู้ฝึกกระบี่ของทวีปอื่นๆ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลาบปลื้มอย่างมากด้วย ซาบซึ้งใจในตัวของใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
หากสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ ใครจะยินดีตาย? หากไม่ต้องตาย อีกทั้งยังมีชีวิตที่ ไม่ต้องละอายใจกับใคร ถ้าอย่างนั้นคิดเรื่องเส้นทางบนมหามรรคาในอนาคตให้ มากหน่อยก็สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินดีแล้ว
หมี่อวี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจความเชื่อมโยงของเรื่องราวนี้ เซียนกระบี่ท่านนี้ ยิ้มอย่างจนใจ ยกมือกุมหมัดด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถือเป็นการแสดงออกว่าตัวเองเข้าใจ ไร้คำถามแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่รับผิดชอบส่งข่าวให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ แต่การส่งข่าวกระบี่บินของคนต่างถิ่นซึ่งรวมหลินจวินปี้เป็นหนึ่งในนั้น กลับซ่อนแฝงความลี้ลับที่มีความพิถีพิถันข้อใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นหลินจวินปี้ส่งข่าวให้กับทักษินาตยทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เติ้งเหลียง ผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือรับผิดชอบส่งข่าวให้อุตรกุรุทวีปที่อยู่ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ การส่งข่าวกระบี่บินล้วนส่งให้กับทวีปใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านกับของทวีปตัวเอง
ความสัมพันธ์ควันธูปที่เป็นเช่นนี้ก็เหมือนเรือข้ามฟากแต่ละลำ เจ้าของเรือข้ามฟากไม่ได้ทำเพื่อเหรียญทองแดงแม้แต่ครึ่งเหรียญ แต่กลับทำการค้าที่ยุติธรรมที่สุดใน ใต้หล้า ความสัมพันธ์ควันธูปที่ซื่อสัตย์จริงใจอย่างถึงที่สุดนี้ แน่นอนว่าต้องสืบเนื่องไปได้ยาวนาน สามารถติดอยู่ในใจอีกฝ่ายได้อย่างยืนยง ส่วนผู้ฝึกกระบี่ในทวีปเดียวกันกับคนต่างถิ่นทั้งหมด สำหรับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในสายอิ่นกวานกลุ่มนี้ พวกเขาก็มองอีกฝ่ายสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งมานานแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้ใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเฉินผิงอันช่วยปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับพวกเติ้งเหลียน เสวียนเซินอีก
หลินจวินปี้คิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่อายุน้อยทั้งหลายสามารถถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่เลือกตัวให้มาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสายอิ่นกวาน ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันพูด ขอบเขตของพวกเขาอาจจะไม่สูง แต่กลับไม่มีสักคน ที่สมองไม่ดี แน่นอนว่าย่อมต้องคิดได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นคนที่จำเป็นต้องถาม แท้จริงแล้วก็มีเพียงหมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบที่ขอบเขตสูงที่สุดเท่านั้นจริงๆ
เฉินผิงอันยกสมุดปึกหนึ่งที่อยู่ข้างมือขึ้นมา มีมากสิบกว่าเล่ม ล้วนเขียนชื่อหนังสือไว้ทุกเล่ม “เรื่องที่สองต่อจากนี้ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญในสำคัญอีกที พวกเจ้าจงฟังอย่างตั้งใจ”
เฉินผิงอันหยิบสมุดสองเล่มที่อยู่ด้านบนสุดขึ้นมา ชื่อหนังสือแบ่งออกเป็น ‘เจี่ยเปิ่นเล่มหลัก’ และ ‘เจี่ยเปิ่นเล่มรอง’ แล้วอธิบายว่า “สมุดสองเล่มนี้ แบ่งออกเป็นบันทึกชื่อแซ่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต วิชาอภินิหารของกระบี่บินของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทางฝ่ายพวกเรา เล่มหลักเป็นของเซียนกระบี่จาก กำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่มรองเป็นของเซียนกระบี่จากต่างถิ่น หน้าหนึ่งจะบันทึกเรื่องราวของคนคนเดียวเท่านั้น มุมขวาล่างของสมุดจะมีเลขหน้าระบุไว้ พวกเจ้าจงจดจำเซียนกระบี่และหน้าที่เป็นเนื้อหาของเขาไว้ให้ขึ้นใจ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็วางสมุดสองเล่มลง แล้วไล่อธิบายการใช้งานของสมุดเล่มที่เหลือ
อี่เปิ่น จดบันทึกเกี่ยวกับปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เคยปรากฏตัวบนสนามรบ
มีสองเล่มคือเล่มหลักและเล่มรองเช่นกัน เล่มหลักนอกจากบันทึกข้อมูลของปีศาจใหญ่ยอดเขาที่ได้ครอบครองบัลลังก์สิบสี่แห่งในตำหนักอิงหลิงแล้ว ยังมี ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหรินทั้งหมด รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเผ่าปีศาจ
เล่มรองคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบทั้งหมดนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
หากไม่รู้ชื่อแซ่ก็ตั้งชื่อให้ได้เลย เขียนรูปร่างหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ ลักษณะของร่างจริง สมบัติอาคมที่สำคัญ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต รวมไปถึงอยู่ในสังกัดค่ายใดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกรบร่วมกับใคร ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี
ปิ่งเปิ่น ไม่มีเล่มรอง
บันทึกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทุกคนฝั่งตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคัดเลือกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกิดมาก็เหมาะกับสนามรบออกมาเป็นพิเศษ ควรจะจับคู่กันอย่างไร สามารถสร้างผลลัพธ์เฉกเช่นการ ‘แต้มนัยน์ตามังกร’ เหมือนกับของคู่รักเซียนดิน คู่นั้นได้หรือไม่
เฉินผิงอันยังยกตัวอย่างอีกสองสามข้อ นั่นก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่าง เฉิงเฉวียน ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่เหมือนเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบซึ่งมีความพิเศษอย่างอู๋เฉิงเพ่ย จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ติงเปิ่น บันทึกเผ่าปีศาจที่เป็นขอบเขตเซียนดินเช่นเดียวกัน
ระหว่างที่เฉินผิงอันอธิบายเกี่ยวกับสมุดเล่มนี้ น้ำเสียงของเขาเน้นหนักจริงจังอย่างมาก บอกว่าการที่ดึงเผ่าปีศาจขอบเขตนี้ออกมาโดยเฉพาะก็เพราะผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนี้สมควรตายมากที่สุด อีกทั้งเมื่อเทียบกับ ปีศาจใหญ่แล้วก็ฆ่าได้ง่าย และในอดีตก็ง่ายที่ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมองข้ามไม่สนใจ หรือควรจะพูดว่าไม่ให้ความสำคัญมากพอ อีกทั้งสงครามในอดีต ก็จำเป็นต้องให้บุคคลที่มีพลังการต่อสู้อันดับสูงๆ จับคู่เข่นฆ่ากันเองมากกว่า ถึงมีใจแต่ก็ไร้กำลัง ยากมากที่จะแบ่งสมาธิมาสนใจได้
แต่หากจะคิดคำนวณกันขึ้นมาจริงๆ สงครามในบางช่วง พลังสังหารของ สัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้อาจมองดูเหมือนไม่สะดุดตา ทว่าหากลองทบทวนกระดาน ไล่เรียงสถานการณ์รบทั้งหมดแบบย้อนกลับ ยิ่งสงครามครั้งหนึ่งยืดเยื้อไปนานเท่าไร พลังพิฆาตที่กองกำลังระดับกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางทีอาจน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจใหญ่บางตนด้วยซ้า
หากพูดตามคำของเฉินผิงอัน ก็คือฆ่าเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ คุ้มค่ามากที่สุด การออกกระบี่ของเหล่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเกินไป แล้วก็สามารถ ฉกฉวยผลงานการสู้รบที่ไม่ธรรมดามาได้ สะสมน้อยเป็นมาก ไม่ฆ่าก็เสียเปล่า
เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับ ‘ติงเปิ่น’ เล่มนี้อย่างถึงที่สุด เขาถือในมือไว้นานมาก ไม่ยอมวางลงเสียที เวลานี้เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ดังนั้นติงเปิ่นเล่มนี้ หากพวกเราสามารถเขียนเค้าโครงที่ค่อนข้างจะละเอียดออกมาได้ อาศัยรายละเอียดที่แม่นยำอย่างถึงที่สุดมาอนุมานเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็สามารถหันกลับไปเปิดอ่านเจี่ยเปิ่นเล่มหลักและเล่มรองใหม่อีกครั้ง แล้วเชิญพวกผู้อาวุโสที่มีพลังพิฆาตสูงสุด ออกกระบี่เร็วสุดมา ให้พวกเขาหาโอกาสสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่บนสมุดเล่มนี้ นี่คือแผนการที่เห็นผลทันตาที่สุดสำหรับสายอิ่นกวานของพวกเราตอนนี้ ดังนั้นทุกท่านลองตรองดูให้ดี ทุกนามแฝงทุกรายงานบนสมุดติงเปิ่นก็คือผลงานทางการศึกที่จริงแท้แน่นอนที่สุดของทุกท่าน!”
เสวียนเซินถาม “หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ต่างคนต่างมีเหตุผล ไม่ยอมออกกระบี่ล่ะ? หากกระบี่บินที่ส่งข่าวไปของพวกเราไม่ได้ผลด้วยเหมือนกัน จะทำอย่างไร? บนสนามรบ สองฝ่ายสะสมความอาฆาตแค้นกันมานานมากแล้ว ข้าแค่พูดถึง หมื่นหนึ่งที่อาจไม่คาดฝัน ถ้าหากเซียนกระบี่ฝ่ายพวกเราหมายหัวศัตรูคู่แค้น แล้วยืนกรานที่จะจับคู่ต่อสู้กับคนคนนั้นให้จงได้ ไม่ยินดีฟังคำสั่งของพวกเรา จะไม่กลายเป็นว่าพวกเราเกิดปัญหาภายในกันเองก่อนหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบาง “มาดใหญ่เกินไป ไม่ยินดีจะย้ายรัง หรือไม่ก็ใช้เหตุผลว่า ไม่กล้าละจากหน้าที่โดยพลการมาปฏิเสธพวกเจ้าอย่างละมุนละม่อม หรือ เกิดสถานการณ์อย่างที่เจ้าเสวียนเซินเอ่ยถึง ทุกท่านก็เอาสถานะของผู้ฝึกกระบี่สาย อิ่นกวานออกมาใช้ นี่คือคำสั่งทหาร หากยังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดิมก็ไม่ควร ทำซ้ำสาม หลังจากใช้กระบี่บินแจ้งข่าวไปเตือนเซียนกระบี่แล้วสองครั้ง ก็ไม่ต้องพูดกันให้เปลืองน้ำลายอีก ข้าย่อมจะเชิญเซียนกระบี่ที่มีมาดใหญ่ยิ่งกว่า พลังสังหารสูง ยิ่งกว่าไปขอร้องให้พวกเขาออกกระบี่เอง หากเชิญไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้อง!”
บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย
แม้ว่าถ้อยคำของใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยผู้นี้จะฟังดูเหมือนคำหยอกล้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องไม่ได้เป็นเรื่องที่ผ่อนคลายอะไรเลย
อดีตใต้เท้าอิ่นกวานคนก่อนก่อกบฏ มีสองเซียนกระบี่ติดตามไป โดยเฉพาะ อย่างยิ่งจั่วโย่วยังบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ขวัญและกำลังใจของทางฝั่งกำแพงเมือง ปราณกระบี่ดิ่งฮวบลงเหว เป็นเรื่องจริงที่แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็น หากยัง เกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกก็คงไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
เฉินผิงอันวางสมุดเล่มนั้นลง ยิ้มกล่าวว่า “แต่ละคนมัวมองข้าอยู่ทำไม ใต้เท้า อิ่นกวานผู้ยิ่งใหญ่ต้องคอยวิ่งไปส่งข่าวด้วยตัวเอง เข้าท่าหรือ? ข้าขายหน้ายัง ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากทุกท่านต้องขายหน้า มโนธรรมในใจข้าคงไม่สงบ ถูกหรือไม่ พี่กู้? นี่ใช่คำพูดที่มีความเป็นธรรมไหม?”
กู้เจี้ยนหลงพยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
เฉินผิงอันหุบยิ้ม “ตอนนี้พวกเจ้าคงยังไม่รู้ถึงน้ำหนักของสี่คำว่า ‘สายของอิ่นกวาน’ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือสี่คำนี้นี่แหละที่ตัดสินเป็นตายของคนได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ในใจคลางแคลง ไม่เป็นไร สามารถรอดูไปได้เลย ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่กลัวที่จะเอาหัวของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาพิสูจน์จริงเท็จของเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนพวกเจ้า มัวมากังวลกับเรื่องพวกนี้ทำไม? ฟ้าถล่มลงมา ลำพังเพียงแค่สิบสองคนในสายอิ่นกวานพวกเรา แน่นอนว่าใครที่เป็นอิ่นกวาน คนนั้นก็ต้องแบกรับเอาไว้”
เฉินผิงอันหยิบสมุดว่างเปล่าเล่มใหม่สุดขึ้นมา ก็คือ ‘อู้เปิ่น’ ซึ่งตามหลังติงเปิ่น
อู้เปิ่น บันทึกสถานการณ์ของสงครามสามครั้งก่อน กลยุทธโจมตีเมืองของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกเรื่องต้องลงบันทึกอย่างละเอียด การกระจายตัวของกองกำลังทหาร สนามรบเล็กๆ หกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ความเร็วในการผลัดเปลี่ยนโยกย้ายกองกำลัง ลักษณะของการโจมตีเมืองคงความหนักแน่นอยู่ตลอดเวลา หรือว่ามักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์อยู่เสมอ ล้วนต้องบันทึกลงในสมุดให้หมด
นี่จึงเป็นเหตุให้สมุดเล่มนี้จะต้องหนามากอย่างแน่นอน อีกทั้งเนื้อหาด้านในจะต้องมีการเพิ่มเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ
จี่เปิ่น
เขียนผลได้ผลเสียทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่สิบสองท่านในสายอิ่นกวาน ทุกเรื่องต้องถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนี้อย่างไม่มีตกหล่น
นี่คือสมุดบันทึกคุณความชอบเล่มหนึ่ง แล้วก็เป็นตำราถามใจเล่มหนึ่ง
คนที่เขียนมีเพียงคนเดียว แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ และผู้ที่สามารถเปิดตำราเล่มนี้ได้ก็มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้น
เกิงเปิ่น
บันทึกชื่อของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่รบตาย หรือไม่ก็กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทำลาย
สมุดเล่มนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่บางเหมือนกัน
เติ้งเหลียงถาม “ผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายและกระบี่บินที่เสียหายในสองศึกก่อนหน้านี้ พวกเราควรจะรีบบันทึกลงไปด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ต้อง วันหน้าค่อยเขียนเพิ่มเติมเข้าไป สมุดเล่มนี้มีเพียงตอนที่พวกเราว่างเท่านั้นถึงจะเอาเวลามาเขียนได้”
คนมีชีวิตมักจะสำคัญกว่าคนที่ตายไปแล้วเสมอ
นี่ก็คือสงคราม
เติ้งเหลียงพยักหน้ารับ ไม่มีความเห็นต่าง อีกทั้งยังแอบถอนหายใจโล่งอก
หากเฉินผิงอันตอบคำถามข้อนี้ผิด ถ้าอย่างนั้นจิตใจของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนซึ่งรวมถึงตัวของเติ้งเหลียงเองที่กว่าจะมารวมเป็นหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องแตกสลายไปในทันที
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่หรือเถ้าแก่รองที่แบกสถานะลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่ง หากไม่อาจสยบพวกเขาได้ทุกเรื่องใน ‘ฟ้าดินเล็ก’ แห่งนี้ อีกทั้งไม่ทำให้คนอื่นยอมศิโรราบทั้งกายและใจ ถ้าอย่างนั้น อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเพียงแค่จี่เปิ่นเล่มนี้ก็เป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าแล้ว สายอิ่นกวานที่ตอนนี้เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างก็จะยิ่งเป็นแค่เครื่องประดับที่มีข้อเสียมากกว่าข้อดี
ด้วยเหตุนี้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจิตใจได้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะใช้เหตุผลสยบผู้คนได้
นับแต่โบราณมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีคำกล่าวที่มองดูเหมือนชวนตลกขบขัน แต่แท้จริงกลับโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
และผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างก็มักจะพร่าพูดประโยคหนึ่งว่า ‘ข้าร้ายกาจกว่า จงหยวน’
ต้องรู้ว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนั้นคือคนที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่เฉินชิงตูมานานที่สุด ฐานะสูงที่สุดตามหลังหลงจวินและกวนจ้าว ถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่มีหวังว่าจะฝ่าทะลุ ‘คอขวดใหญ่เทียมฟ้า’ ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน
ในสงครามอันโหดร้ายที่เผ่าปีศาจใหญ่กรูกันขึ้นมาเต็มหัวกำแพงเมืองครั้งนั้น ก็คือเขาคนเดียวที่พกกระบี่ สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนติด จากนั้นก็ร่วมมือกับเฉินชิงตู ถึงสามารถโจมตีให้เผ่าปีศาจล่าถอยกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้
หากดูตามผลงานด้านการสู้รบ จงหยวนย่อมสามารถแกะสลักตัวอักษรได้ อีกทั้งยังแกะสลักได้ถึงสองตัว เพียงแต่ว่าเขาตายไปแล้ว จึงไม่อาจแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้อีก
เซียนกระบี่ผู้อาวุโส เซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งที่ตายไป ในเมื่อแม้แต่กระบี่ยังเรียกออกมาไม่ได้ แล้วจะร้ายกาจได้แค่ไหนกันเชียว? ไม่ร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันวางสมุดเปล่าเล่มที่อยู่ในมือลง
เกิง ก็คือการเปลี่ยนแปลง เก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงรอคอยฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
คือตัวอักษรหนึ่งที่เดิมทีความหมายดีงาม แต่กลับกลายเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้า
เฉินผิงอันพูดถึงซินเปิ่น เหรินเปิ่นและกุ่ยเปิ่นเล่มสุดท้ายต่ออีกครั้ง
ซินเปิ่น
รวบรวมความเสียหายในการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เหรินเปิ่น
คำนวณทรัพย์สมบัติทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งรวมถึงหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถเป็นหนึ่งในนั้น และยังต้องเน้นไปที่ตระกูลเยี่ยนและตระกูล น่าหลันที่รับผิดชอบเรื่องการค้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
ทำสงครามในแต่ละครั้ง นอกจากการเผาผลาญกองกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังสู้กันที่กำลังทรัพย์สิน เงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษอย่างที่มองไม่เห็นอีกด้วย
กุ่ยเปิ่น
ทุกครั้งในขณะที่ทำสงคราม คนทั้งสิบสองคนของสายอิ่นกวานล้วนสามารถทำการประเมิน อนุมาน คาดเดาสงครามโจมตีและป้องกันครั้งถัดไปได้ ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ขอแค่มีความคิดหรือข้อคิดที่ได้จากประสบการณ์ใดๆ ก็สามารถเขียนลงบนกระดาษได้ทุกเมื่อ แล้วนำมามอบให้กวอจู๋จิ่ว ก่อนที่เฉินผิงอันจะเป็นคนสรุปรวบรวม
เฉินผิงอันวางสมุดทั้งหมดเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “พูดเรื่องที่สองและเรื่องที่สามเสร็จไปแล้ว ต่อจากนี้ก็ควรพูดเรื่องที่หนึ่งได้แล้ว ก่อนหน้านี้การแบ่งหน้าที่ของหลินจวินปี้ ช่วงก่อนหน้าไม่มีปัญหาใดๆ เพียงแต่ว่าในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรปรับเปลี่ยนตามไปด้วย และนี่ก็จะเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุดของสายอิ่นกวานพวกเราในอนาคต พวกเราไม่อาจใช้การไม่เปลี่ยนแปลงมารับมือสารพัดการเปลี่ยนแปลงเหมือนศึกพิทักษ์และโจมตีอย่างก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนต้องเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการที่สายอิ่นกวานของพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันระดมความคิด การส่งข่าวผ่านกระบี่บินทุกครั้งของ พวกเราสิบสองคน ล้วนจำเป็นต้องทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นฝ่ายได้เปรียบ!”
สุดท้ายเฉินผิงอันก็วาดวง ตัดแบ่ง ขีดเส้นจำกัดหน้าที่ของคนทั้งสิบสองคนอย่างละเอียด และนอกจากหน้าที่รับผิดชอบแต่ละอย่างของผู้ฝึกกระบี่แล้ว ทุกคนล้วนต้องจับตามองภาพรวมของสถานการณ์การต่อสู้ไม่ให้คลาดสายตา จะเอาแต่จับจ้องเฉพาะพื้นที่ไม่กี่ไร่ของตัวเองไม่ได้ หากไม่เรียกร้องทั้งสิบสองคนอย่างเข้มงวดเช่นนี้ ก็ง่ายที่จะสร้างผลประโยชน์ในขอบเขตเล็กๆ แต่กลับส่งผลต่อความเสียหายให้แก่สนามรบขนาดใหญ่ทางฝั่งตัวเอง สำหรับสายของอิ่นกวาน นี่จะกลายเป็นบัญชี เลอะเลือนที่มองดูคล้ายว่ามีผลงาน แต่แท้จริงแล้วกลับยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ค่าตอบแทนที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ฝึกกระบี่นับร้อยนับพันคนฝั่งของตนที่ต้องรบตายไปอย่างไร้ซึ่งความจำเป็น
‘วีรบุรุษฟันโจร อยู่ใต้ปลายพู่กัน’
สุดท้ายเฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ค้อมเอวหยิบพัดพับขึ้นมา คลี่พัดพับไม้ไผ่หยกออกยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญทุกท่านมาร่วมคิดบัญชีเล่นงานใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไปพร้อมกับข้า หาเงินจะนับเป็นความสามารถอะไรได้? จะหาก็ต้องหาหัวปีศาจใหญ่ทั้งหลายมาเป็นกำไร!”
จนกระทั่งบัดนี้หลินจวินปี้ถึงจะยอมรับเฉินผิงอันทั้งกายและใจได้อย่างแท้จริง
ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ชุยท่านนั้น
การสืบทอดของทั้งสาย เน้นย้ำในกิจการและคุณความชอบอย่างสูงสุด!
เฉินผิงอันหุบพัดพับ ยิ้มมองไปทางผังหยวนจี้ เอ่ยชื่ออีกฝ่ายโดยตรง “ผังหยวนจี้ จำไว้ว่าบนสมุดอี่เปิ่นเล่มหลัก ให้เขียนว่า ‘เซียวสวิ้น ชื่อเล่นเจิ้งอวิ้น ผู้ฝึกกระบี่ คอขวดขอบเขตบินทะยาน กระบี่แห่งชะตาชีวิตไม่เป็นที่แน่ชัด’ ตัวอักษรพวกนี้อย่าได้บันทึกลงบนสมุดเจี่ยเปิ่นเล่มหลักเด็ดขาด เกี่ยวกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้ หากเจ้ามีเบาะแส แน่นอนว่าสามารถเขียนเพิ่มลงไปในสมุดให้เป็นข้อมูลอ้างอิง และข้าก็จะได้เขียนบันทึกคุณความชอบให้เจ้าในสมุดจี่เปิ่น”
ผังหยวนจี้หน้าซีดขาว เพียงพยักหน้ารับไม่เอ่ยคำใด
ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านก่อน แซ่เซียวนามสวิ้น
นี่คือชื่อที่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์หลายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนลืมเลือนกันไปแล้ว
เพราะเคยชินที่จะเรียกนางด้วยความเคารพว่าใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาถามว่า “พยักหน้า แต่ไม่พูดไม่จา ขออภัยที่ข้าโง่เขลา เดาไม่ออกว่า ผังหยวนจี้รู้เรื่องเกี่ยวกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้หรือไม่”
ผังหยวนจี้ส่ายหน้า “ไม่รู้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ศึกใหญ่ยืดเยื้อนาน คนผู้นั้นน่าจะยังไม่ลงมือ เวลานี้ หากเจ้าไม่ทันระวังหลงลืม แล้วไม่ทันระวังจำขึ้นมาได้อีก คุณความชอบนั้น ก็ยังคงอยู่”
บทสนทนานี้ของทั้งสองฝ่ายทำให้เซียนกระบี่หมี่อวี้และผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เดิมทีวางตัวอยู่นอกสถานการณ์รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สันหลังเสียววาบ
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน โบกพัดเบาๆ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว “ชื่อแซ่ ขอบเขตและภูมิลำเนาของพวกเจ้า ข้าล้วนรู้หมดแล้ว แต่ข้าก็ยังมีคำขอที่ ไม่สมเหตุสมผลอยู่อย่างหนึ่ง ขอพวกเจ้าช่วยพูดข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองออกมา นี่คือเรื่องเล็ก ทุกคนทำเรื่องใหญ่กันไปก่อน แต่พอข้าถาม พวกเจ้าค่อยใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ข้าก็พอ หวังว่าทุกท่านจะสามารถบอกกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา อย่าได้คิดว่านี่เป็นเรื่องเล่นๆ”
หลินจวินปี้รู้สึกกังขาเล็กน้อย
การกระทำนี้ของเฉินผิงอันต้องไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นแน่ๆ
เพียงแต่ไม่นานหลินจวินปี้ก็กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เฉินผิงอันต้องการทำความเข้าใจกับจิตใจคนของสมาชิกสายอิ่นกวานทั้งหมดให้เร็วที่สุด
หากจะบอกว่าการคุมเชิงกันระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสนามรบที่ใหญ่ที่สุด สายอิ่นกวานกับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็เป็นสนามรบแห่งที่สองที่เป็นรองแค่อย่างแรกเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นคนสิบสองคน ในสายของอิ่นกวาน ก็คือสนามรบแห่งที่สาม เพราะความสัมพันธ์ที่ว่าตำแหน่งไม่ ต่ำต้อย และอำนาจก็ยิ่งใหญ่มากกว่า ใจคนที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนสนามรบที่มองดูเหมือนว่าเล็กที่สุดแห่งนี้ ไม่ว่าริ้วกระเพื่อมของจิตแห่งมรรคาเสี้ยวใดๆ ก็ตาม ถึงได้เกี่ยวพันกับสถานการณ์ของสนามรบสองแห่งก่อนหน้านี้
ในฐานะใต้เท้าอิ่นกวาน แน่นอนว่าเฉินผิงอันสามารถอาศัยการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งสิบสองคนต่อจากนี้มาตัดสินนิสัยดีเลวของทุกคน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะ ช้าเกินไป และหากกลยุทธมากมายของสายอิ่นกวานช้าไปเพียงแค่เสี้ยว ขบวนรบ บนสนามรบก็จะยิ่งช้าตามไปด้วย
ทว่าขอแค่ทำเช่นนี้ ไม่ว่าคนทั้งสิบสองจะให้คำตอบว่าอย่างไรก็ล้วนถือเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่เขี้ยวลากดินย่อมสามารถตัดสินใจได้มากกว่านี้
ครู่หนึ่งต่อมาทุกคนต่างก็ให้คำตอบ เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี ทั้งยังไม่ได้ จดบันทึกลงในสมุดจี่เปิ่นทันที แต่เขียนลงบนกระดาษใบหนึ่งแล้วเหน็บใส่ไว้ในจี่เปิ่น
อวี้เจวี้ยนฟูเดินมาตรงนี้ นางเงียบงันไปครู่หนึ่งก็เปิดปากเอ่ยถามว่า “ข้าช่วยอะไรได้ไหม?”
ไม่มีใครหันหน้ามามองสตรีชนชั้นสูงจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนี้ ต่อให้เป็นหลินจวินปี้อย่างมากสุดก็ได้แค่กล้าแบ่งสมาธิออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ความสนใจกับการถามตอบที่จะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็เล็กครั้งนี้
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”
อวี้เจวี้ยนฟูเองก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้ นางเดินไปนั่งตรงมุมเงียบสงบห่างไกลแห่งหนึ่ง ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
เฉินผิงอันมองหมี่อวี้ “เซียนกระบี่หมี่อวี้ รบกวนท่านสร้างค่ายกลกระบี่ในรัศมีสามลี้นี้ที่ ทำเป็นพื้นที่ต้องห้าม จากนั้นดึงตัวผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยมากลุ่มหนึ่ง ขอบเขตต่าก็ไม่เป็นไร จะเป็นห้าขอบเขตล่างก็ได้ แค่สามคนห้าคนก็พอ แค่คอยรับผิดชอบบอกกล่าวกฎใหม่ให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่เดินผ่านที่แห่งนี้ ใครที่ ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “เซียนกระบี่หมี่อวี้ ในบรรดากลุ่มของ พวกเราเป็นเจ้าที่มีขอบเขตสูงที่สุด ตำแหน่งคนเลวนี้ก็มีแต่ต้องให้เจ้ามาเป็นแล้ว หากเกิดความขัดแย้ง เจ้าก็ออกกระบี่ได้เลย หากสู้ไม่ได้ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลกับพวกเซียนกระบี่ด้วยตัวเอง”
ในใจของหมี่อวี้รู้สึกดีขึ้นมาได้เล็กน้อย พอรับคำสั่งแล้วก็ลุกขึ้นไปทำเรื่องนี้
กฎเกณฑ์ของสายอิ่นกวาน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะผ่อนคลายตามแต่ใจ หรือเข้มงวดกวดขัน แต่พอมาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน กลับมีแต่จะยิ่งไม่แยแสใคร เชื่อว่าอีกไม่นานกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็น่าจะรู้ในข้อนี้
เฉินผิงอันหุบพัดวางลงบนโต๊ะเบาๆ อีกทั้งยังปลดแผ่นหยก ‘อิ่นกวาน’ มาวางลงข้างพัด จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือเขียนสมุดเจี่ยเปิ่นเล่มหลักเล่มรองด้วยมือตัวเอง ชื่อของคนทั้งหลายมีอยู่ในใจมานานแล้ว จึงตวัดพู่กันได้อย่างรวดเร็ว
ใช้ตัวอักษรภาคสวรรค์ของแผนภูมิสวรรค์มาตั้งชื่อ บวกกับเล่มรองของเจี่ยเปิ่นกับอี่เปิ่น
รวมแล้วสิบสองเล่มพอดี
ตอนนี้สายของอิ่นกวานก็มีสิบสองคนพอดี
เฉินผิงอันหวังว่าเมื่อศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ทุกคนจะสามารถนำกลับไปกัน คนละหนึ่งเล่ม
หากยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็
จู่ๆ เสวียนเซินก็พูดขึ้นด้วยน้าเสียงทุ้มหนักว่า “ตอนนี้เซียนกระบี่เยว่ชิงออกกระบี่รุนแรงมากที่สุด เพียงแต่ว่าไปกระทบต่อภาพรวมของค่ายกลกระบี่ เซียนกระบี่อีกสองท่านที่อยู่ใกล้ได้แต่ถูกบีบให้ออกกระบี่ติดตามไปด้วย แม้ว่าการร่วมมือกันของเซียนกระบี่ในขอบเขตเล็กๆ จะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหลายท่านและผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านกลับออกกระบี่ได้ช้ากว่ามาก เป็นเหตุให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเสียหายไปค่อนข้างมาก”
และไม่นานก็มีผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนพยักหน้าคล้อยตาม คนหนึ่งเอ่ยว่า “ถูกต้อง” อีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองม้วนภาพแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนสมุดเจี่ยเปิ่นอี่เปิ่นต่อไป เพียงพูดเรียบๆ ว่า “ส่งกระบี่บินไปแจ้งเยว่ชิง”
หวังซินสุ่ยรีบใช้จิตบังคับกระบี่บินเล่มหนึ่งให้ไปส่งข่าว อธิบายต้นสายปลายเหตุอย่างกระชับเรียบง่ายไปรอบหนึ่ง ชำเลืองตามองภาพการจัดแนวกำลังป้องกันของเซียนกระบี่ที่มีคนวาดขึ้นแวบหนึ่ง แล้วกระบี่บินก็พุ่งพรวดไปหาเซียนกระบี่ใหญ่ เยว่ชิง บนหน้าผากของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้มีเหงื่อผุดซึม ถึงอย่างไรก็อดอกสั่น ขวัญแขวนไม่ได้ หวังซินสุ่ยเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกร แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ ผู้มีพรสวรรค์ในยุครุ่งเรืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน แต่ออกคำสั่งให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่รอสำรองอันดับสิบคนบนยอดเขาโดยตรงเช่นนี้ แล้วยังดูเหมือนว่าเป็นการสั่งสอนอีกฝ่ายว่าควรจะออกกระบี่อย่างไร อารมณ์ของเขาจะผ่อนคลาย ได้หรือ?
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นแต่พู่กันยังตวัดเขียนอักษรอยู่เหมือนเดิม สายตาจ้องไปยังม้วนภาพนั้น แล้วจู่ๆ ก็ตวาดเสียงกร้าวขึ้นว่า “หวังซินสุ่ย ส่งกระบี่บินไปแจ้งเยว่ชิงอีกครั้ง ไม่ต้องอธิบายเหตุผล บอกกับเยว่ชิงไปตามตรงว่าหากยังไม่เปลี่ยนวิธีการออกกระบี่ก็ให้เขาไสหัวออกไปจากหัวกำแพงเมือง ก่อนจะออกไปจาก หัวกำแพงอย่าลืมไปฟ้องเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อนด้วย!”
หวังซินสุ่ยส่งกระบี่บินครั้งที่สองออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสบถว่ามารดามันเถอะ แล้วใช้กระบี่บินเล่มนั้นของตนส่งข่าวไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโดยตรง
ก่อนบอกให้กวอจู๋จิ่วส่งกระบี่บินไปแจ้งอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ สอบถามว่าการหลอม ‘น้าค้างหวาน’ ของเขาพัฒนาไปเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จากนั้น ก็พูดกับทุกคนว่า “เรื่องพวกนี้เป็นงานในหน้าที่ของพวกเจ้า ข้าไม่อยากเอ่ยเตือน เป็นรอบที่สอง”
ครู่หนึ่งต่อมาก็ไม่เพียงแต่ทางฝั่งเซียนกระบี่เยว่ชิงเท่านั้นที่พอจะสำรวมลงบ้าง พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ยังมีแขกที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงมาเยือนด้วย
น่าจะเป็นกระบี่บินเล่มนั้นของเฉินผิงอันที่ทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกคำสั่งด้วยตัวเอง เชิญให้บุคคลใหญ่ท่านหนึ่งที่น่าจะป้องกันไม่ให้เรื่องราวประเภทนี้เกิดขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวถึงสองครั้งจึงจะบรรลุตามเป้าหมาย
เฒ่าหูหนวก
แน่นอนว่าหมี่อวี้ไม่กล้าขัดขวาง เขาเตรียมจะนำพาบุคคลยุคบรรพกาลที่อยู่ในอันดับสิบคนบนยอดเขาท่านนี้ไปคุยธุระกับใต้เท้าอิ่นกวาน
ผลกลับพบว่าเฉินผิงอันจ้องมาที่เท้าของตนกับเฒ่าหูหนวกเขม็ง
หมี่อวี้ขนลุกชัน
เฉินผิงอันไล่สายตาขึ้นไปด้านบน พูดกับเฒ่าหูหนวกว่า “เปลี่ยนคน ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”
เฒ่าหูหนวกหยุดเดิน เกาหัว คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย พอได้ฟัง ก็หมุนตัวเดินจากไปทั้งอย่างนั้น พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
เพียงไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ ก็คือสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ ลู่จือ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ลู่จือ คอยป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของพวกเราถูก ปีศาจใหญ่ลอบโจมตี ไม่ว่าใครก็ตามที่ตายไป ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”
ลู่จือพยักหน้ารับ ไปนั่งเฝ้าพิทักษ์สนามรบอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ พูดจาตรงไปตรงมาว่า “จะไม่ให้โอกาสใต้เท้าอิ่นกวานได้ซักไซ้เอาโทษหรอก!”
หลินจวินปี้ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่ไม่คิดจะพูดจากับลู่จือต่ออีกแม้เพียงครึ่งคำ
ในใจให้รู้สึกเลื่อมใส
เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมานั่งยองบนม้วนภาพ “ข้ายังไม่วางใจพวกเจ้า จะจับตามองพวกเจ้าก่อนครึ่งชั่วยาม ดังนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าแค่ ครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากพวกเจ้ายังทำหน้าที่ได้ไม่เท่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ พวกเจ้ายังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน แต่จำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ในมือตัวเองที่ต้องใช้หัวคิดไปให้กับคนอื่น ถ้าคนอื่นทำไม่ได้ ข้าก็จะเป็นคนทำเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่า คนกลุ่มเล็กๆ ที่ถือว่าฉลาดที่สุดในใต้หล้าจะสู้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งไม่ได้! อย่าให้กลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุด สายของอิ่นกวานนอกจากเฉินผิงอันแล้ว ทุกคนล้วนว่างงานล่ะ ข้าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้หากแพร่ออกไปต้องไม่น่าฟังแน่ๆ”
เส้นเอ็นหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนถูกขึงจนตึงแน่น นี่ยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในสนามรบเสียอีก
อารมณ์ของหมี่อวี้ซับซ้อน
คนหนุ่มผู้นี้น่ากลัวจริงๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันไล่วิจารณ์ทั้งสิบเอ็ดคนไปทีละคน แล้วจึงลุกขึ้นยืน ใช้พัดที่พับเข้าหากันเคาะตีฝ่ามือ ยิ้มกล่าวว่า “ดีมาก ทุกท่านมีความสามารถในการตบหน้าคนดีเยี่ยม ที่แท้ข้าต่างหากถึงจะเป็นคนที่ว่างงานที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผังหยวนจี้ หลินจวินปี้และกวอจู๋จิ่วที่ครึ่งชั่วยามมานี้แทบจะไร้ข้อบกพร่องใดๆ ทำเอาข้าได้แต่คอยจับจ้องหาข้อด้อยของพวกเจ้า คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ทำได้ดีเหนือกว่า ที่ข้าคาดการณ์ไว้ พยายามต่อไปให้มาก ถึงอย่างไรก็เหมือนที่คนบางคนพูด หนังหน้าของข้าคนนี้หนานักล่ะ…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ กู้เจี้ยนหลงที่จับจ้องสนามรบฝั่งหนึ่งก็รีบพูดขึ้นอย่าง เร่งร้อนว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอให้ข้าได้พูดประโยคที่เป็นธรรมสักคำได้ไหม?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไสหัวไป”
กู้เจี้ยนหลงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างใจกว้างยิ่งนัก!”
เฉินผิงอันโบกมือ เอ่ยว่า “อีกหนึ่งเค่อต่อจากนี้ ควานหาตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเซียนดินให้ได้ยี่สิบคน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ขัดต่อการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ พวกเราก็ไม่สู้มอบผลงานทางการสู้รบที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาให้เหล่าผู้อาวุโส เซียนกระบี่ ตัวเลือกของทั้งฝั่งเราและฝั่งศัตรู พวกเจ้าร่วมมือกันวางแผน หากได้รายชื่อมาแล้วและแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปให้แก่เซียนกระบี่ฝั่งของพวกเรา ระหว่างนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าใครที่เป็นวิชาคัดลอกศิลา นอกจากจะรับผิดชอบคัดลอกสมุดจี่เปิ่นแล้ว สมุดทั้งหมดสิบเอ็ดเล่มข้างมือข้านี้ ก็พยายามมาคัดลอกเอาไปเป็นระยะๆ พยายามให้บนโต๊ะของทุกคนมีกันทุกเล่ม เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉากุ่นยิ้มกล่าว “ข้าทำได้”
เฉินผิงอันจึงย้ายสมุดสิบเอ็ดเล่มบนโต๊ะตัวเองไปไว้บนโต๊ะของเฉากุ่น จากนั้น ก็นั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้เสียงในใจบอกถึงข้อคิดประสบการณ์บางอย่างของตนเองแก่เฉากุ่น เฉากุ่นรวบรวมสมาธิตั้งใจฟัง บางครั้งก็พยักหน้า บางครั้งก็เอ่ยถาม สองสามคำ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
ปีศาจใหญ่หวงหลวนที่นั่งอยู่บนราวรั้วกับหย่างจื่อก็ยิ้มเอ่ยว่า “อยากด่าคนจริงๆ”
ในใจหย่างจื่อก็ยิ่งเดือดดาลคลั่งแค้น กองทัพใหญ่โจมตีเมืองสองกองใต้บังคับบัญชาของนางที่กระแสคลื่นสมบัติอาคมไหลซัดสาดเป็นปีกอยู่สองด้านนั้น ส่วนใหญ่แล้วเมื่อปล่อยแสงกระบี่ล้อมวนไประลอกหนึ่งก็มักจะทำลายผู้ฝึกตนเซียนดินได้เป็นจำนวนมาก พอหลายๆ ครั้งรวมกันเข้า ความเสียหายนั้นก็จะยิ่งมากมหาศาล แต่นี่ ยังไม่ใช่จุดที่น่าแค้นที่สุด เรื่องที่ทำให้นางเดือดดาลและเจ็บปวดใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่การลงมือของพวกเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเขาแค่ลงมือแบบ ‘ง่ายๆ ตามแต่ใจ’ เพื่อประคองช่องว่างของค่ายกลกระบี่ไว้เท่านั้น!
และความแม่นยำ ความอำมหิตในการออกกระบี่ของเซียนกระบี่พวกนั้นก็ราวกับว่ามีคนของฝั่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคอยไปแจ้งข่าวอย่างไรอย่างนั้น
ปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขาที่ยังคงมีโทษติดตัวผู้นี้ เดิมทีสามารถไปสังหาร พวกเซียนกระบี่ที่สร้างความวุ่นวายในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้แล้ว ทว่าเวลานี้ หย่างจื่อกลับนั่งไม่ติด ยิ่งไม่มีหน้าจะออกจากสนามรบทั้งอย่างนี้ นางลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองไปยังหัวกำแพง ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!”
“เริ่มตกปลาอีกแล้ว หย่างจื่อ ต่อให้เจ้างับเหยื่อก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จ ไม่สู้เจ้าและข้ามาร่วมมือกันดีไหม?”
หวงเหลียนชี้ไปยังมุมหนึ่งบนหัวกำแพง นั่นเป็นจุดที่ลู่จือยืนอยู่ ข้างกายสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้ ไม่รู้ว่ามีคนหนุ่มที่ในมือถือพัดพับคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
หย่างจื่อเงยหน้ามองไปยังลู่จือ
หากนางทำอะไรโดยใช้อารมณ์ โจมตีหัวเมืองเองโดยพลการ อาจเป็นไปได้ว่า ไปแล้วน่าจะไม่ได้หวนกลับ แต่หากเพิ่มหวงหลวนเข้าไปอีกคน สองคนร่วมมือกัน ก็น่าจะไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ต่อให้ไม่ได้เปรียบมากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตัดขาดทางถอยอย่างแน่นอน
ดังนั้นขณะที่นางเตรียมจะตอบตกลง ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง คนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายลู่จือก็ดูเหมือนว่าจะกำลังมองมาทางพวกเขาพอดี
คนหนุ่มยกมือขึ้นสูง คลี่ยิ้มเจิดจ้า แล้วชูนิ้วกลาง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังขยับปากเบาๆ เหมือนจะเอ่ยคำสามคำว่า
ไอ้แม่… (ภาษาจีนใช้คำว่ากั้นหนี่เหนียง 干你娘 เป็นคำด่าที่หยาบคาย ตรงกับภาษาอังกฤษคือคำว่า fuck แปลว่าไอ้แม่… หรือ…แม่มึง)