กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 629 หนึ่งในหมื่น
บทที่ 629 หนึ่งในหมื่น
การที่หวงหลวนเสนอให้สองฝ่ายจับมือกันไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ นับว่ามีพลังการล่อลวงใจอย่างยิ่ง
ค่ายกลกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชื่อมโยงกันแนบแน่นเกินไป แทบไม่มีเซียนกระบี่คนใดที่มีเวลาว่าง
หย่างจื่อยืนอยู่บนราวรั้ว นางถึงขั้นถอนเวทอำพรางตาออก เผยให้เห็นมาด อันสง่างามของกษัตริย์ผู้สวมมงกฎจักรพรรดิ สวมชุดคลุมมังกร
เพียงแต่ว่าหย่างจื่อไม่ได้ลงมือทันที นางมองไกลๆ ไปยังคนหนุ่มที่อยู่บน หัวกำแพงเมือง ถามหวงหลวนว่า “เซียนกระบี่บนหัวกำแพงออกกระบี่ไม่แน่นอน แต่กลับเป็นขั้นเป็นตอน หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของคนผู้นี้? อาศัยอะไร เขาไม่ใช่คน ต่างถิ่นที่แค่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นหรอกหรือ? หน้าตาสายเหวิ่นเซิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในใต้หล้าไพศาลตั้งแต่เมื่อไหร่? ไหนเล่ากันว่าลู่จือมีความประทับใจที่ไม่ดีนักต่อบัณฑิตมาโดยตลอดอย่างไรล่ะ”
ก่อนหน้านี้ศึกระหว่างเฉินผิงอันกับหลีเจินผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ ปีศาจใหญ่ยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนเป็นแขกที่มาชมศึกอย่างสบายอุรา แน่นอนว่า ล้วนต้องเห็นอยู่ในสายตา เพียงแต่ว่าเวลานั้นบุคคลในยุคโบราณเก่าแก่อย่างหย่างจื่อยังคงไม่รู้สึกว่ามดน้อยที่ตัวใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อยผู้นี้จะมีความสามารถมาสร้างอิทธิพลอะไรให้กับการดำเนินไปของสถานการณ์การศึกในครั้งนี้ ภายใต้การพุ่งชน การปะทะกันระหว่างหนึ่งใต้หล้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ ห้าขอบเขตบน ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ใช่บุคคลที่ขาดไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ สามคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่นึกจะตายก็ตายไป แล้วก็ได้แค่กระตุ้นให้เกิด ริ้วคลื่นเล็กๆ เท่านั้น
เคยมีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งไปโจมตีหัวกำแพงเมือง แต่ต้องกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็หายไปท่ามกลางกระแสน้าแห่งกาลเวลา ก่อนตายได้ยิ้มเอ่ยคำพูดสุดท้ายจากใจจริง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากเฉินชิงตูแล้ว คนอื่นๆ ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่นอกจากผู้เฒ่าชุดเทาที่ค้าฟ้ายันดินผู้นั้นแล้ว ก็ไม่มีใครที่นับเป็นตัวอะไรได้เช่นกัน
เซียนกระบี่ ปีศาจใหญ่ สำหรับในเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะหัวเราะเยาะใคร
รู้ว่าหย่างจื่อไม่มีความคิดที่จะลงมือแล้ว หวงหลวนจึงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตายอย่างสุดความสามารถ ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกระโดดโลดเต้นอยู่ได้อีกนานเท่าไร”
หวงหลวนมองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกายลู่จือ “ดูท่าเจ้าเด็กนี่จะอาฆาตแค้นข้า ไม่น้อยเลย คงจะโทษที่ข้ามอบของขวัญพบหน้าให้เขาตอนที่เขาต้องจับคู่ต่อสู้กับ หลีเจิน และตอนนี้ก็เอาเรื่องที่ศิษย์พี่อย่างจั่วโย่วบาดเจ็บสาหัสมาโทษให้เป็นความผิดของข้าด้วย ไร้มารยาทเสียจริง ไม่เพียงแต่ไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณ ยังไม่รู้จักดีชั่ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องทักทายเขาสักหน่อยแล้ว”
จิตของหวงหลวนขยับเล็กน้อย ในนครเหนือเมฆ อารามเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งที่ผนังเป็นสีแดงกระเบื้องสีเขียว มีควันธูปลอยกรุ่นอบอวลแห่งหนึ่ง รวมไปถึงยอดเขาเดียวดายที่ตั้งป้ายศิลาสลักคำว่า ‘บรรพบุรุษแห่งแนวคิดใบไม้ร่วง’ ไว้บนยอดเขา บนภูเขามีเพียงแค่ต้นไม้เหี่ยวเฉาใบไม้เหลืองกรอบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเปลี่ยวเหงาเงียบสงัดพากันหายวับไป
อารามพุ่งตรงเข้าหาหัวกำแพงเมืองจุดที่ลู่จือกับเฉินผิงอันยืนอยู่ ส่วนภูเขาเดียวดายพุ่งไปหาจุดที่กระท่อมสองหลังตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน
อารามเก่าแก่ถูกลู่จือใช้หนึ่งกระบี่ฟันจนขาดออกเป็นสองท่อน มันกระแทกใส่ มุมหัวกำแพงใต้ฝ่าเท้าคนทั้งสองอย่างแรงจึงแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี
ส่วนเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะก็มาปรากฎอยู่ข้างป้ายศิลาบนยอดเขาเดียวดายลูกเล็กนั่น นาทีถัดมา ตามร่องระหว่างก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้าก็มี แสงกระบี่นับไม่ถ้วนผุดสว่างสาดส่อง จากนั้นก็หายวับไปอย่างเงียบเชียบ
บุคคลอันดับหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปตามหลัง หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าผู้นี้ ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังคงเป็น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ทว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี อาศัยอยู่ในกระท่อม หลังเล็ก แค่เข้าร่วมสงครามพิทักษ์และโจมตีหนึ่งครั้ง หลอมกระบี่เป็นเพื่อนบ้านกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและจั่วโย่ว ก็มีภาพบรรยากาศของคนที่กำลังจะทะลุขอบเขตเป็นเซียนเหรินแล้ว
หย่างจื่อขอตัวกับหวงหลวน ก่อนจะจากไป นางหันไปมองคนหนุ่มผู้นั้นอยู่หลายครั้ง นางจดจำเขาเอาไว้แล้ว
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อพอสมควร กลับกันยังเอาพัดที่หุบเข้าหากันทำท่าปาดคอ เคลื่อนไหวเนิบช้า จึงเป็นท่าทางที่บาดตาคนมองอย่างถึงที่สุด
หวงหลวนกลั้นยิ้ม น่าสนใจแหะ หย่างจื่อคือผู้ครองแม่น้ำเย่ลั่วเก่า ยิ่งเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด หากนางบุ่มบ่ามลงมือทำเรื่องใด ตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะงัดข้อกับเฉินผิงอันผู้นั้น ย่อมต้องระดมพลเคลื่อนกำลังใหญ่โต แน่นอนว่า หวงหลวนย่อมยินดีที่จะได้เห็น เพราะคนที่จะเสียหายก็มีแต่กองกำลังใต้อาณัติของ หยางจื่อ ทว่าคุณความชอบทางการสู้รบกลับตกเป็นของเขาหวงหลวน ขายุงก็ยังเป็นเนื้อ อีกทั้งเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล ต่างฝ่ายต่างยึดครองอาณาเขตเป็นของตนเอง ใครที่กองกำลังทหารและคนใกล้ชิดมีมากกว่า ใครที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กองกำลังตัวเองได้มากกว่า
คนนั้นก็จะหยัดยืนอย่างมั่นคงได้เร็วกว่า ต้องใช้คนมาช่วงชิงกับฟ้าดิน สุดท้าย ก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
เพียงแต่ว่าหวงหลวนไม่คิดจะเอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งการกระพือลมให้ไฟโหมแรงพวกนี้ออกมา เพราะมีแต่จะได้ผลในทางตรงกันข้าม ทำให้สมองของหย่างจื่อ กลับคืนสติ และยิ่งจะเคียดแค้นตนเอง
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไร้กฎเกณฑ์ สะดวกสบายอย่างมาก แต่บางครั้งก็เป็นปัญหายุ่งยากเช่นกัน
หย่างจื่อยิ้มกล่าว “หวงหลวน หากเจ้าจับเจ้าเด็กนี่ได้แล้วจงมอบให้ข้าเป็นคนจัดการ นอกจากจะชดเชยสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายเป็นค่าตอบแทนไปแล้ว ข้าจะยังเอาภูเขา ที่มีสำนักอักษรจงแห่งหนึ่ง บวกกับเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่อีกแห่งหนึ่งของ ใต้หล้าไพศาลมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า เป็นอย่างไร?”
หวงหลวนส่ายหน้า “หากเป็นก่อนที่เฉินผิงอันจะปรากฏตัว ข้าย่อมต้องตอบ ตกลงรับทำการค้านี้อย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ ราคาที่เจ้าเสนอมาออกจะต่ำไป สักหน่อย”
สีหน้าของหย่างจื่อมืดทะมึน
หวงหลวนไม่คิดจะมองกษัตริย์หญิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นี้แม้แต่น้อย
หย่างจื่อทะยานลมจากไป เพียงทิ้งประโยคหนึ่งที่ดังก้องอยู่ทั่วบริเวณราวรั้วที่หวงหลวนนั่งอยู่ว่า “อย่าเสียใจภายหลัง จำไว้ว่าหากวันหน้าเจ้ากล้าแตะต้อง เมืองหลวงของราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งใดก็ตาม ก็ถือว่าเจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าแล้ว”
สิ่งที่หวงหลวนปฏิเสธ ไม่เพียงแค่เฉินผิงอันคนเดียว ยังหมายถึงความต้องการอยากเป็นพันธมิตรที่หย่างจื่อแสดงให้เห็นด้วย
หวงหลวนไม่แยแสคำขู่ของหย่างจื่อแม้แต่น้อย
กระแสสมบัติอาคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลายหมื่นตนยังคงมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด
แต่เมื่อเทียบกับน้าตกปราณกระบี่ที่พุ่งมาอย่างเป็นระเบียบมีขั้นมีตอนแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าฝ่ายแรกออกจะวุ่นวายยุ่งเหยิงไปสักหน่อย
การออกกระบี่ของเซียนกระบี่แทบทุกคนล้วนเริ่มปล่อยวางสองคำว่าสาแก่ใจไปแล้ว ไม่ได้แสวงหาพลังพิฆาตส่วนบุคคล ไม่ได้หวังในความสะใจเต็มคราบราวกับฟ้าดิน ไร้พันธนาการอีก แต่แทบจะใกล้เคียงกับความหมายที่ว่าการส่งกระบี่ออกไปทุกครั้งล้วนเต็มไปด้วยการวางแผนเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ควรจะทำอย่างไรให้การออกกระบี่ทุกครั้ง นอกจากจะทะลวงขบวนรบแล้วยังสามารถปกป้องผู้ฝึกกระบี่ ห้าขอบเขตกลางของฝ่ายตัวเองได้มากขึ้นด้วย ควรจะร่วมมือกับเซียนกระบี่ที่ตำแหน่งอยู่ห่างจากตัวเองไปค่อนข้างไกล ร่วมแรงกันทำลายสมบัติหนักที่สำคัญ บางชิ้นอย่างไร ควรทำอย่างไรถึงจะสามารถถอนกระบี่ออกจากขบวน แต่ในขณะเดียวกันกระบี่บินยังสามารถบุกเข้าไปในกระแสสมบัติอาคมที่เป็นปีกใหญ่ทั้งสองข้างบนพื้นดินเพื่อตัดหัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบางตนให้ได้
แน่นอนว่าหวงหลวนต้องนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นปวดหัว เรื่องที่ต้อง ปวดหัวอย่างแท้จริง ภารกิจเร่งด่วนที่เป็นดั่งไฟไหม้ลามขนคิ้วซึ่งต้องแก้ไขโดยด่วน ก็คือกระโจมทัพทั้งหลายของฝ่ายตัวเอง
เกี่ยวกับการลงมือของพวกเขาทั้งสิบสี่คน ผู้เฒ่าชุดเทาได้ตั้งกฎเล็กๆ ข้อหนึ่งเป็นการส่วนตัว ซึ่งน่าเบื่ออย่างยิ่ง สามารถไปเดินวนแถวๆ หัวกำแพงเมืองได้รอบหนึ่ง แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ลงมือเต็มกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตและวิธีการอันเป็นสมบัติก้นกรุ ทางที่ดีที่สุดค่อยเอามาใช้ตอนไปถึงใต้หล้าไพศาล
กระบี่ยาวที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างในมือของลู่จือไม่อาจแบกรับแรงโจมตีระหว่างปณิธานกระบี่ของนางกับอารามทั้งหลังได้ หลังเก็บกระบี่กลับมา ตัวกระบี่จึง แตกสลายไปในเสี้ยววินาที ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองกับเฉินผิงอัน ลู่จือหันหน้ามามองคนหนุ่มที่ยืนโบกพัด “ใต้เท้าอิ่นกวานอยากตายขนาดนี้เชียวหรือ หรือจะบอกว่า ไม่คิดจะออกจากเมืองไปเข่นฆ่ากับศัตรูในสงครามต่อจากนี้แล้ว? ข้าฟังคำสั่งจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้มาปกป้องคนที่อยู่ที่นี่ คนที่ต้องปกป้องคือผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานทั้งสาย ไม่ใช่แค่เฉินผิงอันคนเดียว เจ้าลองตรองดูให้ดี อย่าได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์อีก”
สันดานของปีศาจใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง ก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันสังหารหลีเจินก็ดี หรือภายหลังจั่วโย่วปล่อยกระบี่ไปถามกระบี่กับปีศาจทั้งหมดก็ช่าง อันที่จริงสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่เคยถือสากับความผิดความถูกใหญ่อะไร แต่สำหรับความแค้นส่วนตัวแล้ว ยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ขอบเขตสูงก็จะยิ่งจดจำได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นการกระทำนี้ของ เฉินผิงอันจึงเป็นการผูกปมแค้นนกับปีศาจใหญ่สองตนชัดๆ
เฉินผิงอันใช้พัดพับเคาะหัวเบาๆ ไม่คิดว่าสตรีปีศาจใหญ่ตนนั้นจะอดทนข่มกลั้นไม่ยอมลงมือ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ไม่อย่างนั้นก็แค่ต้องให้ลู่จือรับผิดชอบขัดขวางปีศาจใหญ่หย่างจื่อครู่หนึ่งเท่านั้น เพราะต่อจากนั้นจะมีเซียนกระบี่สามท่านที่ ‘อิ่นกวาน’ ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวไว้ นานแล้วลงมือ เยว่ชิง หยวนชิงสู่ อู๋เฉิงเพ่ย พวกเขาจะร่ายใช้วิชาอภินิหารของตัวเองเพื่อตัดขาดทางถอยหนีของปีศาจตนนั้น ถึงเวลานั้นใครจะเป็นคนสังหารปีศาจใหญ่ แน่นอนว่าไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่บางท่าน แต่เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่มากมายกลุ่มใหญ่ ก่อนจะขึ้นมาบนหัวกำแพง เฉินผิงอันก็สั่งความกวอจู๋จิ่วและหวังซินสุ่ยไว้ก่อนแล้ว หากมีปีศาจใหญ่ขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมือง ก็จะมีกระบี่บินส่งข่าวไปแจ้งเซียนกระบี่ในพื้นที่ทุกคนให้มาล้อมสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้น
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในเวลานี้ ต่อให้มองดูแล้วเซียนกระบี่ทุกคนจะมีหน้าที่ของตัวเอง แต่ละขั้นตอนเชื่อมโยงติดต่อกัน ถึงได้สร้างสถานการณ์ที่ดีที่น้ำตก ปราณกระบี่สยบกระแสสมบัติอาคมเอาไว้ได้ แต่หากกระบี่บินของสายอิ่นกวานถูกส่งออกไปก็จะมีเซียนกระบี่หลายสิบท่านที่จำเป็นต้องหันปลายกระบี่กลับใน เสี้ยววินาที
ต่อให้อาจเป็นต้นเหตุให้ค่ายกลกระบี่ได้รับความเสียหาย แต่เซียนกระบี่ทุกท่าน ก็ต้องรับฟังคำสั่งนี้
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เหามีเยอะก็ไม่คัน หนี้มีมากก็ไม่กลุ้ม แค่เคยชินก็ดีไปเอง หวงหลวนกับหย่างจื่อ ขอแค่มีคนหนึ่งวู่วาม ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นยวนยางที่ตายคู่ ไม่ใช่คู่รักเทพเซียนแต่ก็คล้ายคู่รักเทพเซียน”
มีเรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ กระบี่บินสองเล่มของ ‘อิ่นกวาน’ นั้นได้พุ่งตรงไปหาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หากมีปีศาจใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ นอกจากเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่ที่จะออกกระบี่แล้ว ยังต้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกคำสั่งแก่เฉินซีและฉีถิงจี้ด้วยว่าต้องออกกระบี่สังหารปีศาจตนนั้นให้จงได้ ภายใต้สายตา จับจ้องของคนมากมาย เซียนกระบี่ทุกคนล้วนออกกระบี่ขัดขวางหมดแล้ว เจ้าประมุขที่เคยสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงสองท่านนี้ก็แค่มาเก็บตกในช่วงท้ายเท่านั้น ถึงเวลานั้นใครจะออมแรง? ไม่กล้าหรอก
นอกจากเฉินผิงอันจะวิเคราะห์ว่าเซียวสวิ้นผู้นั้นเป็นกบฏแล้ว อันที่จริงก็ไม่เชื่อใจเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีพลังพิฆาตสูงอย่างถึงที่สุดสองท่านนี้เหมือนกัน เดิมทีนี่มองดูเหมือนเป็นเรื่องเลวร้ายที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่เชื่อใจ ก็มีวิธีการสำหรับคนที่เชื่อใจ คนที่ไม่เชื่อใจ ก็มีการจัดการสำหรับคนที่ไม่เชื่อใจเช่นกัน
หากหย่างจื่อรู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้ยังคงเป็นกำแพงเมือง ปราณกระบี่เมื่อหมื่นปีก่อน รู้สึกว่ามีโอกาสที่จะได้หวนกลับไปอย่างปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง
ไม่ได้บอกว่าตลอดหมื่นปีมานี้การออกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่สูงมากพอ
ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้า ก็เพราะว่าเมื่อหมื่นปีก่อนเซียนกระบี่ออกกระบี่อย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย ถึงได้มีพื้นที่ว่างให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานในทุกวันนี้เอาชนะในเรื่องการวางแผนได้
ลู่จือส่ายหน้า “เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว สัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่อดทนจนมีอายุและขอบเขตเท่าหย่างจื่อนี้ ไม่มีใครที่โง่หรอก”
“เป็นข้าที่มองอย่างตื้นเขินเกินไป”
แล้วเฉินผิงอันก็หัวเราะร่า “ยังดีที่พวกเราไม่ได้เสียหายอะไร”
ลู่จือโบกมือ “ใต้เท้าอิ่นกวานไปทำงานต่อเถอะ สถานที่แห่งนี้มีข้าเฝ้าพิทักษ์ให้เอง”
สำหรับใต้เท้าอิ่นกวานที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ท่ามกลางอันตรายท่านนี้ ลู่จือรู้สึกว่าเขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทำได้ดียิ่งกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้ แต่หากพูดถึง แค่ความชื่นชอบส่วนตัว ลู่จือก็มีความประทับใจที่ธรรมดามากต่อเฉินผิงอัน
เหตุผลนั้นง่ายมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เซียนกระบี่ ถึงขั้นไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากหัวกำแพง กลับมานั่งที่โต๊ะแล้วยิ้มกล่าวว่า “ทำให้ ทุกคนต้องเหนื่อยเปล่ากันไปรอบหนึ่ง ในเมื่อไม่สำเร็จก็ช่างเถิด เดิมทีก็เดิมพันกับหนึ่งในหมื่นอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาคัดตำรา ด้านหนึ่งก็อาศัยโอกาสนี้มาช่วยทบทวนกระดานให้กับผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดของสายอิ่นกวาน บอกเส้นสายบนทางหัวใจของตัวเองให้พวก ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ รู้มากขึ้นด้วยการเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า
“การโจมตีเมืองของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ได้เข้าสู่ช่วงที่สามแล้ว ก่อนหน้านี้ปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งรับผิดชอบศึกเปิดฉากครั้งแรก นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลง ฟ้าอำนวยดินอวยพรในระดับที่แน่นอนแล้ว ที่มากไปกว่านั้นคือการมาตรวจสอบและยืนยันให้แน่ใจในรายละเอียดด้านการป้องกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บวกกับกระบี่บินส่งข่าวจากผู้ฝึกกระบี่ทรยศบางคนที่แอบส่งไปให้อย่างลับๆ เป็นเหตุให้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างช่วงชิงความได้เปรียบไปหมด อันที่จริงนี่ก็เป็นงานละเอียดที่ทดสอบกำลังไฟอย่างถึงที่สุด นี่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของป๋ายอิ๋งในประวัติศาสตร์ อย่างมาก ในบรรดาปีศาจใหญ่ทั้งสิบสี่ตน เมื่อเทียบกันแล้วป๋ายอิ๋งไม่ชอบใช้กำลังสังหารศัตรู แต่ชอบเล่นสนุกกับการโจมตีจิตใจคนมากกว่า ดังนั้นหากป๋ายอิ๋งเป็น ผู้เฝ้าพิทักษ์สงครามช่วงนี้ ข้าจะไม่มีทางปรากฏตัวแน่นอน”
เฉินผิงอันหยุดเขียน ใคร่ครวญอยู่เล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบพัดพับที่วางอยู่บนโต๊ะ เอาชี้ไปยังซากปรักหักพังจุดหนึ่งบนภูเขาทั้งห้าที่อยู่บนม้วนภาพ “จากนั้นก็ให้ หย่างจื่อเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ภูเขาห้าลูกบนสนามรบ เมื่อเทียบกับป๋ายอิ๋งที่ต้องคอยส่งข่าวให้กับหกสิบกระโจมอยู่ตลอดเวลาแล้ว เห็นได้ชัดว่าหย่างจื่อไม่จำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนแปลงของขบวนรบมากนัก ภูเขาห้าลูกนั้นซ่อนตัวปีศาจใหญ่ทั้งห้าเอาไว้ นี่ก็เพื่อสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินของฝ่ายเรา นี่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวหยางจื่อเองสักเท่าไร แต่เป็นแผนการที่พวกสัตว์เดรัจฉานวางไว้นานแล้ว ต่อมาก็เป็น ปีศาจใหญ่หวงหลวน เห็นได้ชัดว่าหยางจื่อเป็นคนตรงไปตรงมาที่สุด ต่อให้จะเป็นการวางอุบายทำร้ายกันและกันระหว่างแม่น้าเย่ลั่วกับปีศาจใหญ่ที่เป็นคู่อาฆาต ในสายตาของพวกเรา แผนการที่ว่านั้นก็ยังตื้นเขินอยู่ดี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่หย่างจื่อจะลงมือ โอกาสมีมากกว่าหวงหลวน หากทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นหวงหลวนหรือหย่างจื่อที่ต้องมาตายอยู่บนหัวกำแพงเมือง ขอแค่เป็นปีศาจใหญ่บนยอดเขา สักตน หากตายไปใต้เปลือกตาของผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดโดยตรง นั่นก็คือการได้กำไร เป็นกอบเป็นกำสำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภัยร้ายที่ทิ้งไว้จากการที่เซียวสวิ้น ก่อกบฏ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานใหม่อย่างพวกเราก็สามารถเติมเต็มมันได้ใน รวดเดียว”
“ข้าเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นนั้น ไม่ได้เดิมพันว่าสมองของหย่างจื่อไม่ดีพอ โง่เง่าจนถึงขั้นไม่รู้หนักเบา แต่เดิมพันกับความผิดที่ติดตัวนาง เดิมพันว่านางไม่มีอิสระในตัวเอง เดิมพันว่าหวงหลวนจะราดน้ามันลงบนกองเพลิงเล็กๆ ตั้งสมมติฐานว่า กำแพงเมืองปราณกระบี่รักษาเอาไว้ไม่ได้ เผ่าปีศาจรุกรานใต้หล้าไพศาล ต้องการอะไร? แน่นอนว่าต้องการภูเขาลำน้าหมื่นลี้ พวกปีศาจใหญ่ต่างก็มีความต้องการบนมหามรรคา แล้วจะไปเรียกร้องเอาจากใคร? อาศัยกองกำลังที่แข็งแกร่ง? อาศัย ผลการสู้รบจากการโจมตีนคร? แน่นอนว่าใช่ แต่กุญแจสำคัญที่แท้จริงยังคงเป็นประโยคนั้นของภูเขาทัวเยว่ พูดให้ถูกต้องก็คือ ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบและอารมณ์ของบรรพบุรุษเผ่าปีศาจตนนั้น เพียงแต่ว่าน่าเสียดายมากที่หย่างจื่อผู้นั้น ไม่ยอมงับเหยื่อ นางระมัดระวังตัวอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่าปีศาจใหญ่ของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเน้นปฏิบัติไม่เน้นทฤษฎีแค่ไหน นี่คือจุดที่ข้าและทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต้องยืมมาใช้เป็นบทเรียน ยิ่งเป็นจุดที่จำเป็นต้องเตือนอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเราไม่อาจคิดว่าผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แน่นอนเสมอไป”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สายตาของเฉินผิงอันเฉียบคม พูดซ้าประโยคสุดท้ายว่า “ดังนั้นพวกเราไม่อาจคิดว่าผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แน่นอนเสมอไป”
แล้วใบหน้าของเฉินผิงอันก็พลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นศึกครั้งที่สี่ครั้งที่ห้า ต่อจากนี้ ต่อให้มีปีศาจใหญ่รับผิดชอบเฝ้าบัญชาการณ์ การโจมตีโดยภาพรวมของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะรสชาติเป็นอย่างไร ช้าเร็วมีลำดับ เชี่ยวชาญวิถีแห่งยุทธการ หรือยังคงก้มหน้าก้มตาพาตัวมาตายอย่างโง่เง่า อันที่จริงพวกเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนได้ แต่อีกฝ่ายมีกระโจมทัพถึงหกสิบแห่ง มีการคิดคำนวณที่แม่นยำกว่าพวกเราเสียอีก การคาดการณ์ที่ว่านี้มีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยกระมัง”
ตรงฝั่งของหัวกำแพงทางทิศใต้ ลู่จือไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้สังเกตสีหน้าท่าทางของนาง แล้วรู้สึกว่าไม่มีโอกาสจะพูดกับนาง ผลคือผ่านไป ครู่เดียวก็กลายเป็นว่านางไม่อยากฟังก็ต้องฟังเขาเสียแล้ว
ความประทับใจที่มีต่อเฉินผิงอันไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นดีขึ้น
แต่ความรู้สึกที่ลู่จือมีต่อ ‘ใต้เท้าอิ่นกวาน’ กลับดีขึ้นมาหลายส่วนอย่างที่มองไม่เห็น
ลู่จือทอดสายตามองไปยังสนามรบทางทิศใต้ จากนั้นก็หันหน้ามามอง ‘ฟ้าดินเล็ก’ ที่ไม่มีใครออกกระบี่ เมื่อนางหันหน้ากลับไปอีกครั้ง บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มน้อยๆ
คาดว่าผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ก็คงจะเป็นคนรุ่นเยาว์ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคาดหวังมากที่สุดกระมัง
ส่วนนางลู่จือ กับเซียนกระบี่มากมายในทุกวันนี้ ก็อาจเคยเป็นหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เฉินผิงอันมองไปยังทุกคน เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าตื่นตะลึง พูดอย่างสงสัยว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่มีความคิดกันอีกหรือ? ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง ลงมือบ่อยขนาดนี้ต้องเผาผลาญความคิดจิตใจไปไม่น้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าหากใช้สมองมากไป ยิ่งนานจะยิ่งเชื่องช้าหรือไม่”
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียว หมี่อวี้คือคนที่สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ใช่ว่าขอบเขตสูง แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว ต่อให้ใต้เท้าอิ่นกวานเกิดความไม่พอใจ อยากจะคิดบัญชีย้อนหลังขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องเป็นพวกตะพาบน้อยที่อายุไม่มาก แต่กลับใจดำ ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมดอย่างพวกหลินจวินปี้ เสวียนเซินที่ต้องเป็นคนแบกรับไว้
เติ้งเหลียงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กองทัพใหญ่ที่จัดขบวนรบครั้งถัดไปของเผ่าปีศาจจะมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ การเปลี่ยนแปลงขบวนรบของพวกเราครั้งนี้ สำหรับศัตรูกลุ่มนี้ แท้จริงแล้วกลายเป็นพวกเราที่ป้อนกระบี่ให้พวกเขาได้เรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่น การออกกระบี่ของพวกเซียนกระบี่จะใช้ค่าตอบแทนในการเก็บกระบี่ของเซียนกระบี่มาแลกเปลี่ยนเป็นพลังพิฆาตที่สูงที่สุดสำหรับตลอดทั้งค่ายกลกระบี่อย่างไร การออกกระบี่ของเซียนกระบี่ชั้นสูงที่มารวมตัวกันจะพยายามสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน ฝ่ายศัตรูโดยไม่มีลางบอกเหตุได้อย่างไร เรื่องพวกนี้จะต้องถูกพวกเขาเรียนรู้เอาไปอย่างแน่นอน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นแค่ตัวอ่อนที่เรียนรู้ไปได้แค่ท่าทางภายนอกเท่านั้น แต่หากไม่มีแผนการรับมือสำหรับการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ครั้งถัดไป ความเสียหายของพวกเราจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีแน่ๆ”
เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่หลินจวินปี้ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จวินปี้ อยากพูดอะไรก็พูดได้ตามสบายเลย”
หลินจวินปี้เตรียมคำพูดคร่าวๆ ไว้ก่อนนานแล้ว เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ พวกเราตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แน่นอนว่า ค่ายกลกระบี่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนมาด้วยวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสร้างกับดักเป็นชุดๆ อำพรางไว้ล้อมรอบพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่สำคัญของพวกเราทุกคน หลังจากนี้เซียนกระบี่ทุกคนของฝ่ายเราจะมีหน้าที่ อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั่นคือช่วยคุ้มกันผู้ฝึกกระบี่บางคน ไม่เพียงเท่านี้ การคุ้มกันไม่ใช่แค่คุ้มกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น เพราะนั่นไม่มีความหมายใดๆ การกระทำ ทุกอย่างจะย้อนกลับคืนไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่พวกเราต้องรับมือต่อจากนี้ ไม่ใช่ ผู้ฝึกตนเซียนดินในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายศัตรู แต่เป็นคนที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดอย่างแท้จริงอย่าง เซียนกระบี่!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เดิมพันหนึ่งในหมื่น สังหารหงหลวนและหย่างจื่อไม่สำเร็จ เปลี่ยนมาเป็นสังหารเซียนกระบี่หลายคนของฝ่ายศัตรูแทน ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว
อันที่จริงเฉินผิงอันรอคอยคำพูดประโยคนี้ของเติ้งเหลียงและหลินจวินปี้มาโดยตลอด
หากมีคนแก้ปัญหายากได้ คนอื่นๆ ก็จะคอยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ไล่ตามได้ทันแล้ว
กู้เจี้ยนหลงชำเลืองตามองการคุมเชิงกันระหว่างกระบี่บินกับสมบัติอาคมบนม้วนภาพวาด จากนั้นก็เริ่มเปิดสมุดเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรต้องรีบอ่านปิ่งเปิ่นเล่มนี้และจำให้ขึ้นใจ พยายามคัดเลือกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของฝั่งเราให้ได้สักสิบถึงยี่สิบคน เอามาใช้เป็นเหยื่อล่อให้ได้โดยเร็วที่สุด เดิมทีคนที่รับผิดชอบเขียนปิ่งเปิ่นคือหวังซินสุ่ย คาดว่าต่อจากนี้คงจะให้หวังซินสุ่ยเขียนแค่คนเดียวไม่ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราก็สามารถแสดงฝีมือและทดสอบ พวกเซียนกระบี่ของฝั่งตัวเองได้ พยายามทดลองหาความเป็นไปได้ที่มากขึ้น เมื่อก่อนยามที่เซียนกระบี่สังหารปีศาจยังเน้นในเรื่องบุคคลเกินไป อย่างมากสุดก็คือรบ เคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายเซียนกระบี่ที่คุ้นเคยกันแค่คนสองคนเท่านั้น แต่ใน ความเป็นจริงแล้วนี่อาจไม่ใช่การจับคู่ที่ดีเสมอไป ปิ่งเปิ่นจะกลายเป็นสมุดที่สำคัญ ในสำคัญของสงครามครั้งต่อไป ภาระนี้ไม่ควรกดลงบนบ่าของหวังซินสุ่ยคนเดียว ใต้เท้าอิ่นกวานคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ข้อศอกวางยันไว้บนโต๊ะ นั่งตัวเอียงคล้ายกำลังเขียนบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง และด้านข้างกระดาษแผ่นนั้นก็วางจี่เปิ่นที่ด้านในสอดกระดาษเอาไว้หลายแผ่น เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรไม่หยุด เขามอง กู้เจี้ยนหลงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้ายิ้มให้ “ถือเป็นคำพูดที่เป็นธรรม ข้าจะช่วย หวังซินสุ่ยเขียนปิ่งเปิ่นให้เสร็จ และกำหนดตัวผู้ฝึกกระบี่เซียนดินยี่สิบคนที่ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อเอง”
เสวียนเซินคิดตามข้อเสนอของกู้เจี้ยนหลงแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้โอกาสที่พวกเราจะพิสูจน์ผลลัพธ์จากการจับคู่ออกกระบี่ของเซียนกระบี่ฝ่ายตัวเองยังมีน้อย ไปหน่อย สามารถอาศัยโอกาสนี้มาลองขัดเกลาดูได้ จะทำให้พวกเซียนกระบี่ร่วมมือกันราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีผลการสู้รบที่จริงแท้แน่นอน ในใจของเซียนกระบี่ก็คงไม่อึดอัดนัก ไม่อย่างนั้นหากสายอิ่นกวานพวกเราใช้กระบี่บินส่งข่าวนานเข้า เมื่อความสดใหม่ผ่านไปแล้ว นิสัยของเซียนกระบี่นั้นสูงส่งเย่อหยิ่งแค่ไหน ตอนนี้ พวกเราก็แค่ได้เปรียบเพราะเป็นขุนนางใหม่ที่มารับตำแหน่งเท่านั้น เมื่อครู่ผลลัพธ์จากการออกกระบี่ของพวกเซียนกระบี่ไม่เลวเลยจริงๆ แต่หากว่าหยุดลงแค่นี้ ผลงานการสู้รบที่พวกเราสะสมมาคงไม่พอให้เอามาใช้งาน พวกเซียนกระบี่มีแต่จะยิ่งคร้านจะสนใจพวกเรา ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานพูดถูกแล้ว ศัตรูของพวกเราสายอิ่นกวาน นอกจากพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว หากว่ากันตามเนื้อผ้า ขอบเขต ฐานะและความคิดของเซียนกระบี่ฝ่ายเราก็คือศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราสาย อิ่นกวาน! จะไม่ตรวจสอบไม่ได้! เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะรอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อนแล้วพวกเราคิดอะไรได้ก็ทำไปอย่างนั้น คอยแก้ไขซ่อมแซมไม่ได้ เพราะมีแต่จะทำให้พลาดโอกาส จำเป็นต้องมีคนที่รับผิดชอบศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
ต่งปู้เต๋อเอ่ย “เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการ”
หลินจวินปี้ลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ต่งปู้เต๋อรับผิดชอบแค่เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลินจวินปี้รับผิดชอบเซียนกระบี่ต่างถิ่น หากจวินปี้มีข้อสงสัย ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคนซึ่งรวมถึงเติ้งเหลียงจะต้องตอบคำถามให้ได้ นี่เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวภายในของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ พวกเราควรจะเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าหรือเปล่า? ความกังวลพวกนี้ พวกเจ้าสามารถวางลงไว้ก่อนชั่วคราวได้ ต่อให้เซียนกระบี่จะ อับอายจนพานเป็นโกรธ ในใจเกิดเคียดแค้นเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่หล่นไป บนหัวพวกเจ้า
อิ่นกวานเช่นข้าไม่กลัวถ้าจะต้องถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่ผลประโยชน์ของพวกเจ้าเอง หากข้ายังคุ้มครองไว้ไม่ได้ จะยังเป็นใต้เท้าอิ่นกวานอะไรอีก”
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากว่าอีกฝ่ายก็คิดคำตอบได้เหมือนกับพวกเรา การล้อมสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเป็นเรื่องเท็จ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เป็นเรื่องจริง แต่กลับกลายเป็นว่าวางกับดักเล่นงานเซียนกระบี่ของพวกเรากลับเป็นเรื่องจริง ยิ่งกว่าล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร? หากเปลี่ยนไปเป็นการแลกชีวิตของเซียนกระบี่อีกฝ่ายสามารถแบกรับราคาที่ต้องจ่ายนี้ได้ แต่พวกเราแบกรับไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ กวอจู๋จิ่วก็มองอาจารย์ของตัวเองหรือใต้เท้าอิ่นกวานในทุกวันนี้ด้วยความเป็นกังวล
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกครั้งที่เดินหนึ่งก้าว คิดคำนวณถึงแค่ก้าวสองก้าวต่อจากนั้น จะเอาชนะหมากล้อมได้หรือ? ข้าว่ายากมากเลยล่ะ ดังนั้นความคิดนี้ของ กวอจู๋จิ่วดีมาก พวกเราจะต้องกลัวหนึ่งในหมื่นมากกว่าพวกสัตว์เดรัจฉานใน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่เสมอ อีกฝ่ายสามารถแบกรับหนึ่งในหมื่นนั้นได้มาก แต่พวกเราได้แค่แบกรับหนึ่งในหมื่นที่มาเยือนอย่างกะทันหันเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นการวางแผนและหยาดเหงื่อแรงใจทั้งหมดของสายอิ่นกวานก็จะไหลหายไปกับสายน้าอย่าง เสียเปล่า”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผังหยวนจี้ที่ค่อนข้างเงียบขรึมพูดน้อย “ผังหยวนจี้ พวกเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ในเจี่ยเปิ่นเล่มหลัก ควรปรับตำแหน่งบนหัวกำแพงอย่างไร และใครกับใครที่ควรออกกระบี่ร่วมกัน เจ้าสามารถลองคิดดูได้ กฎเดิม พวกเจ้าคิดแผนการ ส่วนข้าจะเป็นคนเลวเอง”
ผังหยวนจี้พยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ตามการพัฒนาไปของสงคราม อย่างมากสุดครึ่งเดือน พวกเราทุกคนก็น่าจะเดินไปถึงสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็จะรู้สึกว่าตัวเองคือสตรีที่มีฝีมือ แต่เมื่อไร้วัตถุดิบก็ไม่อาจปรุงอาหารให้อร่อยได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะคุ้นเคยกับเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทุกท่านจนคุ้นเคยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลานั้นควรจะทำอย่างไร? ไปทำความเข้าใจกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรให้มากกว่าเดิมหรือ? สามารถทำความเข้าใจได้ แต่ต้องไม่ใช่จุดสำคัญอย่างแน่นอน จุดสำคัญนั้นยังคงอยู่ที่สนามรบทางทิศใต้ อยู่ที่อี่เปิ่นเล่มหลักและเล่มรอง โดยเฉพาะติงเปิ่นที่สุดท้ายแล้วจะหนาจนเหมือนไม่มีหน้าสุดท้าย”
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างพวกเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องผิดหวังกับใจคน นี่ก็ต้องดูที่การฝึกฝนจิตใจของแต่ละคนแล้ว ต่างกันแค่ว่าผิดหวังมากหรือน้อยก็เท่านั้น เพราะพวกเราไม่ว่าใครก็ล้วน ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครก็ล้วนผิดพลาดกันได้ และความผิดพลาดเล็กๆ ทุกอย่างของพวกเราล้วนไม่ใช่ความผิดที่สามารถเอาความผิดอย่างอื่นมากลบทับได้ หากมันเกิดขึ้น เมื่ออยู่บนสนามรบแห่งนี้ก็จะกลายเป็นหายนะที่ทำให้มีคนตายไปเป็นร้อยเป็นพันคน ความทุ่มเทอุทิศตน การวางแผนที่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจทุกอย่างที่ทำให้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับชัยชนะมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผลงานทางการสู้รบที่ สะสมมาอย่างยากลำบากของพวกเราก็จะถูกคนของพวกเรากันเองเลือกที่จะลืมเลือน หากพวกเขาไม่วิ่งมาด่าก็อาจจะไม่พูดไม่จา แต่สายตากลับฉายแววตำหนิอาฆาตแค้น แต่จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือความเงียบงัน ความเงียบงันของคนมากมาย”
หมี่อวี้ที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากที่สุดอดไม่ไหวเปิดปากพูด “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ผิด แต่พวกเราถูกยิ่งกว่า!”
เฉินผิงอันคลี่พัด โบกลมเข้าหาตัวไม่หยุด “ใครยังกล้าพูดว่าเซียนกระบี่หมี่อวี้ของพวกเราเป็นส่วนเกินอีก? ใคร ยืนขึ้นมาได้เลย ข้าจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาเอง!”
นอกจากหมี่อวี้ที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มคลุมเครือ
หมี่อวี้หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอบคุณเจ้านะ”
เฉินผิงอันโบกมือ “พี่ใหญ่หมี่คือเสาเทพสยบมหาสมุทรของสายอิ่นกวานพวกเรา อย่าได้พูดจาเกรงใจกันเลย จะห่างเหินกันเสียเปล่าๆ !”
กู้เจี้ยนหลงพยักหน้า “คำพูดที่เป็นธรรม”
ในเมื่อมีกู้เจี้ยนหลงที่ไม่รู้จักกลัวตายเป็นคนนำ เพียงไม่นานก็มีคำพูดของคนอื่นๆ สายอิ่นกวานดังขึ้นมา
“เห็นด้วย”
“ถูกต้อง”
“นั่นสิ”
“ไม่มีความเห็นต่าง”
เฉินผิงอันหุบพัด วางลงข้างมือตัวเองเบาๆ “เริ่มงานหาเงินได้!”
บนหน้าพัดมีตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเท่าหัวแมลงวัน หากไม่ตั้งใจมองก็เหมือนหน้าพัดเปล่าๆ
คนมาจากบนฟ้า บรรทุกฤดูใบไม้ผลิ กระบี่ไปยังล่างภูเขา ฤดูร้อนมิกล้ากล้ากราย
เรือยันต์ลำหนึ่งมาจอดตรงหัวกำแพงทางทิศเหนือ คนผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมา ชุดเขียวพกกระบี่ สีหน้าซีดเซียว ปณิธานหมัดคลายตัว คล้ายคนที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก เขาเก็บเรือยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วเดินมาหาคนของสายอิ่นกวานช้าๆ
ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเท่านั้น แม้แต่หมี่อวี้ที่เป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก
ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ร่วมกับทุกคนมานาน กลับเป็นแค่จิตหยินที่ออกจากร่างของเฉินผิงอันเท่านั้นหรือ?
ต้องเป็นเวทอำพรางตาที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสร่ายขึ้นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
จิตหยินเฉินผิงอันยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ในมือถือพัดพับ ก้าวถอยหลัง รวมร่างเป็นหนึ่ง กับร่างจริงที่เดินมาข้างหน้า
เฉินผิงอันกุมพัดไว้ในมือเบาๆ เดินมาหยุดหน้าที่นั่งแล้วนั่งลงขัดสมาธิ ยิ้มกล่าวว่า “คิดถึงทุกท่านอย่างมาก”