กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 634.3 คนหนุ่มที่นั่งลงบนตำแหน่งประธาน
เว่ยจิ้นดื่มเหล้าเพียงลำพัง ยังคงเป็นเหล้าที่แพงที่สุดของร้านที่ชอบต้มตุ๋นคนร้านนั้น เหล้าหนึ่งกาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย
วันนี้ทุกคำพูดของทุกคนล้วนมีข้อพิถีพิถัน คิดจะพูดคุยเรื่องในวันวานกับคนบ้านเดียวกันก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องเอ่ยเนื้อหาที่เขียนไว้บนกระดาษในมือให้จบก่อนค่อยว่ากัน
ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ เว่ยจิ้นจะมาพูดเรื่องที่ตัวเองกำลังจะฝ่าทะลุขอบเขตอันน่าเบื่อกับพ่อค้าสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเลยได้อย่างไร
แต่เรื่องที่เขาคิดอยากจะถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือนั้น กลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
ในเรือนที่ใหญ่ที่สุดของเรือนชุนฟานล้วนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เมื่อเทียบกับบรรยากาศแปลกประหลาดเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายสังหารของเรือนทวีปอื่นแล้ว ผู้ฝึกตนที่เป็นพ่อค้าของที่นี่ แต่ละคนมีสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ และยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอายุมากอีกสองคนอย่างอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียนที่มาเฝ้าพิทักษ์เรือข้ามทวีปของสำนักด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้สวมตำแหน่งผู้ดูแลอะไร เพราะถึงอย่างไรการทำเช่นนั้นก็เป็นการลดทอนคุณค่าในตัวเองมาเกินไป อู๋ฉิวก็ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ เคยเห็นคลื่นลมมรสุมมาจนชินชาแล้ว เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านนั่งข้างกัน พูดจาปราศรัยยิ้มแย้ม เสียงที่พูดคุยไม่เบาเลยทีเดียว
นอกจากจะเป็นเพราะสถานะคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ยังเป็นเพราะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มารับรองแขกอยู่ที่นี่มิอาจข่มพวกเขาได้เลย
ก็แค่หมี่อวี้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ยังห่างชั้นกับน่าหลันเซาเหว่ยเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่คาดการณ์ไว้ถึงสองขอบเขต
บวกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแห่งราชวงศ์เส้าหยวนบ้านตัวเอง เขาจะช่วยใครกันแน่ ยังบอกได้อยาก เหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ส่งสองคนนี้มารับรองแขกกันนะ?
นี่แสดงให้เห็นว่า คืนนี้เรือนชุนฟานไม่มีทางเกิดคลื่นมรสุมใหญ่อะไรได้แน่นอน
ผู้ฝึกตนเฒ่าห้าขอบเขตบนสองคนอย่างอู๋ฉิวและถังเฟยเฉียนพอจะคลายใจได้หลายส่วน แล้วยังมองประเมินหมี่อวี้กับผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดคนหนึ่งด้วยสายตามีเลศนัย ฝ่ายหลังรูปโฉมงดงามยิ่งนัก แต่ดันมาเป็นผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่ภาระงานระหกระเหิน เหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ได้ผลประโยชน์เช่นนี้ เพราะอะไร? ก็ยังไม่ใช่เพราะติดกับความรักซึ่งเป็นกับดักชั้นต่ำหรอกหรือ คนรักเดียวใจเดียวดันมาชอบคนเจ้าชู้หลายใจ หายนะแท้ๆ จะต้องลำบากตัวเองเช่นนี้ไปไย ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีวีรบุรุษมากมายดุจก้อนเมฆ ไยต้องมาลุ่มหลงหมี่อวี้ผู้นี้ หากจะบอกว่าหมี่อวี้สามารถออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยินดีจะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนาง ก็ถือว่าสตรีผู้นี้ได้ป่ายปีนกิ่งไม้สูงแล้ว ทว่าถึงแม้หมี่อวี้จะทิ้งเยื่อใยให้สตรีเรี่ยราด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะไปอยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้อย่างไร?
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่ถนัดเรื่องการพูดคุย
ตามคำสั่งที่คนผู้นั้นกำชับมาไว้ล่วงหน้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ขู่เซี่ยพูดอะไรมากเช่นกัน เขานั่งอยู่ตรงนี้ก็แค่มานั่งอยู่เป็นเพื่อนแขกเท่านั้นจริงๆ
อู๋ฉิวหันหน้ามายิ้มถามเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง “เหตุใดเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนถึงได้ไม่ปรากฎตัวล่ะ? หรือว่าอยู่ในห้องโถงกลาง รอให้พวกเราดื่มชาเสร็จ?”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
อู๋ฉิวพยักหน้ารับ “ไม่รีบร้อน”
เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับมีสถานะพิเศษที่พาให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าใครก็มิกล้าดูแคลน
ศิษย์หลานของโจวเสินจือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
และไม่ว่าอาจารย์โจวจะดูแคลนศิษย์หลานที่ ‘โง่เขลาเกินเยียวยา’ ผู้นี้แค่ไหน ก็ไม่ควรเป็นเหตุผลให้คนนอกอย่างพวกเขาดูถูกเซียนกระบี่ขู่เซี่ยตามไปด้วย
ยิ่งเป็นคนดีอย่างเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยิ่งไม่ควรไปมีเรื่องผูกปมแค้นกับเขา
ดังนั้นหากมองเช่นนี้ คราวนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้ขู่เซี่ยออกหน้า รับผิดชอบมาต้อนรับพวกเขา ก็ถือว่าเป็นวิธีการอันยอดเยี่ยมที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะปล่อยกลเม็ดเด็ดพรายในเรื่องเงินๆ ทองๆ หน้าตาของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยคงใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไรแล้ว เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่ใช่โจวเสินจือ
ขู่เซี่ยถอนหายใจอยู่ในใจ
อีกเดี๋ยวพอได้เจอกับคนหนุ่มผู้นั้นก็ถึงคราวที่พวกเจ้าต้องปวดหัวกันบ้างแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่อารมณ์ซับซ้อนถึงขั้นรู้สึกว่าหากปีนั้นคนที่เป็นตัวแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่มารับมือกับบรรพบุรุษของถ้ำซานสุ่ยแห่งฝูเหยาทวีปในอนาคตผู้นั้นไม่ใช่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าน่าหลันเซาเหว่ย แต่เป็นคนหนุ่มที่เวลานี้น่าจะอยู่ในห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน ก็ควรต้องมีการงัดข้อกันบ้างแล้ว เพราะเซียนกระบี่ขู่เซี่ยมิอาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีวันที่หลินจวินปี้ยินยอมอยู่เบื้องล่างคนอื่น
สตรีก่อกำเนิดผู้นั้นใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจเอ่ยกับหมี่อวี้ “หมี่อวี้ เจ้าต้องได้จ่ายค่าตอบแทนแน่ ข้ายอมให้สำนักลงโทษหลังจบเรื่อง แต่ก็ต้องทำให้เจ้าขายหน้าให้จงได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอนาคตก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ แต่เจ้าไม่มีทางลอยตัวไปได้แน่”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ในถ้อยคำของสตรีก็แฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ประโยคนี้ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ หมี่อวี้ เจ้าเองก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันนี้เหมือนกันกระมัง?!”
หมี่อวี้หันไปมองสตรีผู้นั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดระคนเสียดายสุดแสน ใช้เสียงในใจเอ่ยถ้อยคำจากความรู้สึกอันลึกล้ำ เพียงแต่เสียงในใจนั้นกลับเป็นเสียงกระซิบแผ่วต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของหมี่อวี้ “นึกไม่ถึงว่าแม่นางที่ในปีนั้นนิสัยอ่อนโยนจะกลายเป็นคนไม่น่ารักแบบนี้แล้ว ต้องโทษข้าจริงๆ”
สตรีบื้อใบ้ ใบหน้ายิ่งฉายความเดือดดาล ทว่าหัวใจกลับสั่นไหว คำพูดร้อยพันมารออยู่ตรงริมฝีปาก แต่ราวกับว่าถูกนางขบจนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว จึงพูดอะไรไม่ออกอีกแม้แต่ครึ่งคำ
ชอบคนคนหนึ่ง อีกทั้งตัวเองยังเป็นฝ่ายที่มีความรู้สึกลึกล้ำยิ่งกว่า พออีกฝ่ายไม่ชอบตนกลับคืน ก็ราวกับว่าชีวิตนี้ชาตินี้จะไม่มีโอกาสชนะอีกแล้ว
หมี่อวี้ไม่เอ่ยอะไรอีก มองนางด้วยสีหน้าหม่นหมอง จากนั้นก็เคลื่อนสายตาออกไปราวกับว่าใช้หางตาเหลือบมองนาง ทั้งสามารถมองเห็นนาง แต่กระนั้นก็ไม่กล้ามองนางให้เต็มตา
ทางฝั่งห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน
คนหนุ่มผู้นั้นเอนตัวพิงกรอบประตู ตรงเอวห้อยแผ่นหยกเก่าแก่แผ่นหนึ่ง
เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่อยู่ในห้องนั่งลงเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้นั่งบนตำแหน่งประธานที่อยู่ด้านข้างโต๊ะสี่เซียน ไม่เพียงเท่านี้ ตำแหน่งที่นั่งของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดทั้งสองท่านยังค่อนไปทางด้านหลังอีกด้วย
ในใจของน่าหลันไฉ่ฮ่วนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เยี่ยนหมิงกลับไม่ได้คิดอะไรมาก
ก่อนหน้านี้นางถูกเจ้าคนที่พูดจาเหลวไหลได้เต็มปากเต็มคำผู้นั้นหลอกเอา หลังจบเรื่องน่าหลันไฉ่ฮ่วนจึงไปรายงานรายละเอียดกับน่าหลันเซาเหว่ย ผลคือถูกบรรพบุรุษบ้านตนมองด้วยสายตามองคนโง่อยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน ด้วยความโมโห น่าหลันไฉ่ฮ่วนจึงคิดจะล้มเลิกเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษกลับบอกให้นางปล่อยไป คุยอะไรไปบ้างก็ทำไปอย่างนั้น
เจ้าของเรือนชุนฟานอย่างเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียน เวลานี้ยืนอยู่ข้างกายกับคนหนุ่มที่นอกประตู
ไม่ถือสาสักนิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นนกพิราบที่มายึดรังนกกางเขนหรือไม่
คนทั้งสองที่เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรกกำลังคุยกันเรื่องขิงหลิวจิ่งหลงแห่งอุตรกุรุทวีปกับเทพธิดาหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิง พูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก
เส้าอวิ๋นเหยียนบอกว่าหลิวจิ่งหลงมีความหวังบนมหามรรคา ในอนาคตอาจจะได้กลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนแรกของอุตรกุรุทวีป
คนหนุ่มก็บอกว่าเทพธิดาหลูอ่อนโยนน่าประทับใจ เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี เหมาะสมกับหลิวจิ่งหลงราวกับกิ่งทองใบหยก แล้วก็ถือโอกาสเอ่ยชื่นชมอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเทพธิดาหลูไปหลายคำด้วย
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่สนใจว่าคนพูดจริงใจหรือไม่ ตลอดเวลาหลายร้อยปีมานี้ ต่อให้เป็นถ้อยคำที่เอ่ยตามมารยาท แต่ได้ฟังแล้วก็ดีเหมือนกัน
หิมะใหญ่เท่าขนห่านในภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ไม่เคยหยุดชะงักเลยแม้แต่เค่อเดียว
คนงามกับหิมะขาวโพลน นับแต่โบราณมาก็เข้าคู่กันได้ดีอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว
แล้วก็พูดถึงน้ำเต้าเถานั้นกับสุราเลิศรสของพื้นที่มงคลหวงเหลียง จากนั้นเส้าอวิ๋นเหยียนก็ถามว่า “เรียกพวกเขามาได้แล้วหรือเปล่า?”
คนหนุ่มยิ้มตอบ “ไม่รีบ ไม่อาจให้เหล่าเซียนกระบี่เดินทางมาภูเขาห้อยหัวอย่างเสียเที่ยวได้ ให้พวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่ลูบคลำเงินเทพเซียนมาจนชินเหล่านั้นได้สัมผัสกับมาดของเซียนกระบี่เหมือนข้าให้มากหน่อย”
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้ารับ “ควรจะเป็นเช่นนี้มานานแล้ว”
คนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้คุยเล่นมาหลายเรื่องกลับปิดปากเงียบในเรื่องนี้ เพียงแต่นิ้วมือของมือสองข้างที่สอดกันไว้ในชายแขนเสื้อกลับเคาะกันเบาๆ ทอดสายตามองหิมะใหญ่
หากที่ตกลงมาคือเงินเกล็ดหิมะก็ดีน่ะสิ
เส้าอวิ๋นเหยียนก็แหงนหน้ามองตามไปด้วย จิตใจสงบลงอย่างที่หาได้ยาก
ฝันเก่าของปีก่อน ฝันเห็นข้างกายข้า พลันนึกว่าอยู่ต่างถิ่น
ฝันใหม่ของปีนี้ พลันถึงขุนเขาเก่าสุ่ยจิง เห็นนางยังคงยิ้มดุจบุปผาผลิบาน
คนหนุ่มพลันเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เส้า เมื่อผ่านเรื่องในคืนนี้ไป เรื่องที่ท่านเคยรับปากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ในอดีต พวกเรามาปรึกษากันหน่อย สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เรื่องราวยังคงเป็นเรื่องราวนั้น แต่จุดจบกลับไม่เหมือนกัน ทั้งสามฝ่ายไม่ว่าใครก็ไม่ต้องลำบากใจ”
เส้าอวิ๋นเหยียนขมวดคิ้วถาม “เจ้าตัดสินใจได้หรือ?”
คนหนุ่มยิ้มกล่าว “หากข้าตัดสินใจไม่ได้ แล้วใครจะทำได้?”
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เซียนกระบี่ที่เดิมทีตัดสินใจไว้แล้วว่าจะตายอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวถอยหลังไปหลายก้าว กุมหมัดขอบคุณคนหนุ่ม
คนหนุ่มรับคำขอบคุณมาอย่างผึ่งผาย เพียงแต่ยื่นมือออกจากชายแขนเสื้อ กุมหมัดคารวะกลับคืน
ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องเป็นตาย เส้าอวิ๋นเหยียนที่พอไม่มีภาระร่างกายก็เบาสบายจึงตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายกลับคืน “เรื่องของการค้า สามารถนับรวมส่วนของเรือนชุนฟานไปด้วยได้”
คนหนุ่มรีบยื่นมือมาวางลงบนแขนของเส้าอวิ๋นเหยียน “มีน้ำใจ สมกับมาดของเซียนกระบี่ยิ่งนัก หิมะครานี้ไม่ได้มาชมอย่างเสียเปล่า รอคอยประโยคนี้ของเซียนกระบี่เส้ามานานมากแล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
คาดว่าคืนนี้พวกพ่อค้ากลุ่มนั้นคงต้องเจอกับอภิมหาซวยแล้ว
เพราะนอกจากพวกคนที่ไปรับรองแขกแล้ว ยังมีเซียนกระบี่อีกสองท่านที่จับมือกันกลับมาจากการชมทัศนียภาพ ซุนจวี้เฉวียนและเกาขุย
นอกจากนี้
เซียนกระบี่หมี่อวี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ขู่เซี่ยแห่งราชวงศ์เส้าหยวนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หยวนชิงสู่แห่งทักษินาตยทวีป ผูเหอแห่งพายัพหลิวเสียทวีป เซี่ยจื้อแห่งหรดีฝูเหยาทวีป เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงอุตรกุรุทวีป
เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีป
เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่และเซียนกระบี่ต่างถิ่นกลุ่มใหญ่ อยู่ๆ กลับออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มารวมตัวกันที่ภูเขาห้อยหัวทั้งอย่างนี้
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยขอตัวหนึ่งคำแล้วเดินเข้าไปในห้องก่อน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นของตน ถึงอย่างไรก็แค่เดินไม่กี่ก้าว เพราะที่นั่งของเขาอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของห้องโถงกลางนี้มากที่สุด
คืนนี้ในบรรดาเซียนกระบี่ที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว ไม่มีคนของใบถงทวีป
เพราะใบถงทวีปเป็นทวีปใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ไม่มีเรือข้ามฟาก ซึ่งก็พอดีกับที่ไม่มีเซียนกระบี่ของทวีปนี้มาฝึกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน
ก็ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว
แต่บุรุษที่ผงกศีรษะทักทายกับเทียนจวินใหญ่ท่านนั้น เขาที่เก็บปราณกระบี่ไว้ภายในลึกล้ำอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ได้ออกจากภูเขาห้อยหัวไปพร้อมกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางของใบถงทวีปที่เป็นคนเดียวที่เดินทางมาท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ มุ่งหน้าไปยังสำนักใบถงที่ตกอับที่สุดในใบถงทวีปทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อถามกระบี่ แต่เพื่อช่วยออกกระบี่ ทั้งเป็นการช่วยใบถงทวีป ยิ่งเป็นการช่วยใต้หล้าไพศาล หากไม่เป็นเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะยินดีออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วทิ้งศิษย์น้องเล็กให้อยู่ต่อเพียงลำพัง
บัณฑิตกลัวสัจธรรมใหญ่เป็นที่สุด
แต่ไหนแต่ไรมาจั่วโย่วก็ยอมรับแค่ว่าตนคือบัณฑิตด้านล่างภูเขา ไม่ใช่เซียนกระบี่บนภูเขาอะไร
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อไปถึงใบถงทวีป การออกกระบี่ในอนาคตต่อจากนี้มีแต่จะมากกว่าเดิม อีกทั้งอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนเดียวที่พกกระบี่ ข้างกายไม่มีเซียนกระบี่คนใดอยู่อีก
ศิษย์น้องเล็กใช้กลอุบาย ต้องการให้ศิษย์พี่อย่างเขาไปที่ทักษินาตยทวีป บอกว่าสถานการณ์ของที่นั่นอันตรายที่สุด เพียงแต่พอจั่วโย่วฟังถ้อยคำบางอย่างของเจ้าตะพาบน้อยนั่นแล้วกลับตัดสินใจจะไปใบถงทวีป
ศิษย์น้องเล็กเสียใจจนไส้เขียวแล้ว
ตอนนั้นเฉินชิงตูอารมณ์ดียิ่งนัก
การจากไปครั้งนี้ หนทางช่างยาวไกล
ระหว่างทางต้องผ่านร่องเจียวหลง สำนักอวี่หลง จะไม่หยุดพักอยู่ที่ใดทั้งสิ้น
มีเพียงหยุดอยู่บนเกาะหลูฮวาเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าในถ้ำแห่งวาสนานั้นมียอดฝีมือลัทธิเต๋าในตำนานหรือเป็นปีศาจใหญ่ที่อำพรางตัวอยู่อย่างที่ชุยตงซานบอกกันแน่
หากเป็นยอดฝีมือก็นั่งลงถกมรรคา แต่หากเป็นปีศาจใหญ่ก็ฟันให้ตายด้วยกระบี่เดียว
น้อยครั้งนักที่จะมีเรื่องใดทำให้จั่วโย่วลำบากใจ
คนที่เดินทางไปพร้อมกับจั่วโย่วในครั้งนี้คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยคนหนึ่งของใบถงทวีป แม้จะบอกว่าอายุน้อย แต่ในความเป็นจริงก็อายุพอๆ กับจั่วโย่ว จึงไม่ถือว่าแก่อะไร