กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 639.3 คนที่ตัดไม้แทนช่างไม้ใหญ่
เรือนชุนฟาน
สำหรับเรื่องการตรวจสอบบัญชี หมี่อวี้ระมัดระวังรอบคอบ ตั้งใจมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง
อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่หมี่อวี้ถนัด พูดประโยคที่ไม่น่าฟังหน่อย บัญชีที่ผ่านมือของเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนมาก่อน หากพวกเขาสองคนคิดจะเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนจริง หมี่อวี้สามารถหาข้อผิดพลาดได้ก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคืออิ่นกวานหนุ่มอ่านดูแล้ว จากนั้นก็ให้หมี่อวี้ที่ต้องท่องจำคำพูดของเขานำความมาบอก ดังนั้นน่าหลันไฉ่ฮ่วนกับเยี่ยนหมิงถึงได้เหมาะที่จะร่วมมือกัน แล้วก็ทั้งงัดข้อกันเอง หมี่อวี้ก็เป็นแค่ตะปูที่อิ่นกวานหนุ่มตอกไว้ในเรือนชุนฟานให้พอเป็นพิธีเท่านั้น น่าหลันไฉ่ฮ่วนมองหมี่อวี้ไม่ต่างจากเขาเป็นเซียนกระบี่เกาขุยที่แสร้งทำท่าดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่คนที่สอง ขอแค่เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับอิ่นกวานหนุ่ม ล้วนไม่มีใครที่หวังดีต่อนาง
เพียงแต่ว่าหมี่อวี้มักจะเจอปมข้อสงสัยที่ต้องมาขอเคล็ดลับจากเยี่ยนหมิงอยู่เสมอ
ความประทับใจที่เยี่ยนหมิงมีต่อหมี่อวี้นั้นย่ำแย่มาก รู้อะไรเขาก็แค่บอกไปอย่างนั้น สีหน้าดีๆ ย่อมไม่มีให้เห็นอย่างแน่นอน
คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่เป็นคนที่พอจะมีปณิธานสักหน่อย ไม่ว่าขอบเขตนั้นจะพอให้เป็นเซียนกระบี่หรือไม่ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย ต่างก็ไม่มีใครที่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเซียนกระบี่หมี่ที่ชอบนอนเมาอยู่บนเมฆเรืองรองผู้นี้ไปได้
หมี่อวี้ถึงขั้นตั้งท่าว่าถามไปแล้วสามครั้ง แล้ววันหน้ายังจะมาถามอีกสามสิบครั้ง
นี่ทำให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ่งรู้สึกไม่คุ้นเคยกับหมี่อวี้ตรงหน้าผู้นี้ขึ้นทุกที
และน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็คร้านจะปิดบังอะไรต่อหมี่อวี้ นางจึงถามตรงๆ ว่า “หมี่อวี้ เส้นประสาทในสมองเจ้าหายไปหรือไร?”
ผลคือหมี่อวี้ตอบกลับด้วยประโยคว่า “ก็ไม่ใช่เพิ่งจะวันสองวันนี้เสียหน่อย”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยว่า “หมี่อวี้ เจ้าไม่เหมาะจะคำนวณบัญชีจริงๆ เช่นนั้นก็อย่ามาถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของเจ้าประมุขเยี่ยนอยู่เลย เรื่องการรับรองแขกนั้น อย่าว่าแต่ตอนนี้เส้าอวิ๋นเหยียนไม่อยู่ในภูเขาห้อยหัวเลย ต่อให้เขาอยู่ในเรือนชุนฟาน ถึงอย่างไรเส้าอวิ๋นเหยียนก็เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่น หากฝั่งของพวกเราไม่มีใครปรากฎตัวเสียแต่เนิ่นๆ จะให้เซียนกระบี่ของเรือนชุนฟานปรากฎตัวอยู่คนเดียวก็คงไม่เหมาะ อันที่จริงคำพูดชวนให้สะอิดสะเอียนที่เจ้าพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนหน้านี้ กลับพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
หมี่อวี้ถามอย่างใคร่รู้ “ประโยคไหนรึ?”
เยี่ยนหมิงเอ่ย “ฟ้าร้องมีต้นกำเนิดจากฟ้าแลบ ออกรบต้องสำแดงบารมีอันน่าเกรงขามก่อน”
หมี่อวี้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
คำพูดประโยคนี้เป็นตัวอักษรบนหน้าพัดอันหนึ่งในร้านของตระกูลเยี่ยน การที่หมี่อวี้ยกขึ้นมาพูดก็เป็นแค่คำที่ติดมาเท่านั้น เพราะหลักๆ แล้วยังคงเป็นประโยคอีกฝั่งของพัดที่ว่า ‘คนงามยังไม่มาถึงข้างกายข้า แต่กลิ่นหอมบนร่างนางกลับลอยโชยมาก่อนแล้ว’ ที่ทำให้หมี่อวี้ชอบใจตั้งแต่แรกเห็นมากกว่า ตัวอักษรบนหน้าพัดอันนี้ฝั่งหนึ่งจริงจัง อีกฝั่งหนึ่งใช้ถ้อยคำละมุนละม่อม ทำให้หมี่อวี้รู้สึกว่ามันสร้างมาเพื่อตนโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนใดใช้ช่องทางลัดซื้อไปได้ก่อน โชคดีที่ทางฝั่งร้านค้าตระกูลเยี่ยนขายสมุดตราประทับตัวอักษรบนหน้าพัดด้วย แถมราคายังไม่ใช่ถูกๆ
ในห้องยังมีคนนอกอีกคนหนึ่งที่กำลังตามองจมูก จมูกมองใจ
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟาน เหวยเหวินหลง ผู้มีพรสวรรค์ด้านการคำนวณคนหนึ่ง
เมื่อเทียบกับคนนอกอีกสามคนในห้อง เหวยเหวินหลงระมัดระวังตัวอย่างมาก
เขานั่งอยู่ในห้องบัญชีเพียงลำพัง มีเพียงเผชิญหน้ากับสมุดบัญชีที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติในสายตาคนอื่นเท่านั้น เขาถึงจะเป็นเหมือนปลาได้น้ำ
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเพราะเหวยเหวินหลงไม่ค่อยถนัดเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น สหายสนิทของเขาในชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่ามีเพียงสองสิ่งอย่างตัวเลขและเงินเทพเซียนเท่านั้น
เรื่องของค่าภาษีที่นา การบริหารการเงิน นับแต่โบราณมาก็ถูกมองเป็นหน้าที่ที่ต่ำต้อย ขุนนางในกรมครัวเรือนยังถึงขั้นถูกดูถูกว่าเป็น ‘ขุนนางน้ำขุ่น’ (ขุนนางที่มีตำแหน่งต่ำ แต่งานหนัก งานยิบย่อย) อันที่จริงทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็เป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ดูแลเรือข้ามฟากของแปดทวีป มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนน่าสงสารที่ไร้ความหวังบนมหามรรคา มิอาจเปิดคอขวดของตัวเองออกได้
นอกจากนี้เหวยเหวินหลงก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนโอสถทอง เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าประมุขตระกูลสองท่านที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน กับเซียนกระบี่หมี่ที่หากแค่ฟังยามเขาพูดคุยก็เหมือนคนที่เพิ่งจะเป็นห้าขอบเขตล่าง
เขาก็ไม่ค่อยกล้าหายใจแรงเท่าไรจริงๆ
ผู้ฝึกลมปราณที่เกิดและเติบโตมาในภูเขาห้อยหัว อันที่จริงกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขา แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยเช่นกัน
กลับกลายเป็นว่าสู้คนต่างถิ่นที่จงใจมาหาประสบการณ์ในภูเขาห้อยหัวไม่ได้ เพราะฝ่ายหลังมักจะตรงดิ่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เสมอ
คนของภูเขาห้อยหัวที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมายังไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนอย่างเขาเหวยเหวินหลงนี้ กลับกลายเป็นว่ามีเยอะมาก
คนที่เหวยเหวินหลงกลัวที่สุด แท้จริงแล้วคือเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่ชื่อเสียงระบือไกล
บุรุษเสเพล มักจะแล้งน้ำใจมากที่สุด
แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายยังเป็นเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง
หมี่อวี้รู้สึกว่าสตรีอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดจามีเหตุผล ก็เลยยอมรับคำชี้แนะอย่างคนถ่อมตัว ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
ก่อนที่หมี่อวี้จะออกไป เขาพูดกับเหวยเหวินหลงด้วยสีหน้าเมตตา ถ้อยคำจริงใจว่า “เหวินหลงอ่า เจ้าคือบุคคลมากความสามารถควรค่าแก่การปลูกฝังที่แม้แต่ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราก็ยังให้ความสำคัญ อย่าได้ดูถูกตัวเองเกินไป ตั้งใจทำงานให้ดี ย่อมมีความหวังบนมหามรรคา วันหน้าพวกเราก็คือสหายกันแล้ว”
เหวยเหวินหลงรีบลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าท่าทางระมัดระวังสำรวม มองดูแล้วกล้าๆ กลัวๆ อยู่มาก แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หมี่อวี้ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างถูกชะตาจริงๆ เขาจึงบอกให้เหวยเหวินหลงนั่งลงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้
หมี่อวี้เดินไปถึงห้องโถงใหญ่ที่ไร้ผู้คน ก่อนหน้านี้ตำแหน่งที่นั่งของเจ้าของเรือซึ่งเป็นผู้ฝึกตนหญิงหลายคน หมี่อวี้ได้ชำเลืองตามองอยู่หลายครั้งแล้ว
สุดท้ายหมี่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง หยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งที่เตรียมไว้มอบให้คนอื่นออกมา เรื่องนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย
ป้ายสงบสุขในมือของหมี่อวี้ชิ้นนี้แกะสลักจำนวนเลขเก้าสิบเก้า ก่อนที่ใต้เท้าอิ่นกวานจะจากไปได้กำชับเขาว่า จะต้องมอบมันให้แก่เกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามทวีปของนครมังกรเฒ่า
อย่าว่าแต่เจียงเกาไถเจ้าของเรือหนันจีแห่งธวัลทวีปเลย แม้แต่หน้าตาของเซียนกระบี่เส้าก็ยังไม่มีการไว้หน้ากัน
แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ดูแลตัวเล็กๆ ของเรือข้ามฟากตระกูลติงได้เคยมาหาใต้เท้าอิ่นกวานเป็นการส่วนตัวอย่างระมัดระวัง แล้วตั้งราคา ‘ยุติธรรม’ ที่แม้แต่หมี่อวี้ก็ยังประหลาดใจ
แต่ตระกูลติงก็คาดหวังจากใจจริงว่าในอนาคตเรื่องของการเขียนรายการลงบนบัญชี คงต้องรบกวนให้ใต้เท้าอิ่นกวานเปลืองแรงใจสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลติงกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน ถูกทุกคนเคียดแค้น
อิ่นกวานหนุ่มพยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเรือนชุนฟานจะต้องมอบผลท้อตอบแทนผลหลีอย่างแน่นอน
หลังจบเรื่องหมี่อวี้ถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใต้เท้าอิ่นกวานก็บอกแค่ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์อ่านยาก ตระกูลติงของนครมังกรเฒ่าทำเช่นนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ตระกูลติงไม่มีเจ้าของเรือเป็นสตรี หมี่อวี้จึงคร้านจะคิดให้มากความ
แต่เกี่ยวกับเรือข้ามทวีปของตระกูลฟ่าน หมี่อวี้กลับรู้มาไม่น้อย ช่วยไม่ได้ กุ้ยฮูหยินบนเกาะกุ้ยฮวาผู้นั้นช่างโดดเด่นยิ่งนัก แม้จะไม่ใช่ในเรื่องของรูปโฉมก็ตามที
หมี่อวี้ไม่ใช่คนตื้นเขิน รู้ดีว่าความงามของสตรีแบ่งออกเป็นร้อยพันรูปแบบ
เอาแต่มองใบหน้า หน้าอก ก้นใหญ่ๆ ขายาวๆ แต่กลับไม่รู้ว่าสตรีมีข้อดีนับหมื่น นั่นก็ช่างไม่เข้าขั้นเอาเสียเลย เรียกว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเขาหมี่อวี้ไม่ได้
ตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าไม่โดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางภูเขาและตระกูลที่ทำการค้าเป็นเรือข้ามทวีป
แต่แท้จริงแล้วนอกจากตระกูลฝูที่พอจะมีหน้าตาอยู่บ้างแล้ว เรือข้ามฟากของแซ่ใหญ่ลำอื่นที่พอจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวแล้วก็ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ก็เหมือนอย่างเจ้าของเรือตระกูลติงที่มาปรึกษาธุระในห้องโถงใหญ่ของเรือนชุนฟานก่อนหน้านั้น เทียบกับหลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ แล้วก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสตรีที่น่าประทับใจ หมี่อวี้ล้วนหวั่นไหวทั้งนั้น จะไม่ทำผิดต่อสาวงามเด็ดขาด
และเพียงไม่นานหมี่อวี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าบนเกาะกุ้ยฮวาคล้ายจะมีแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งชื่อว่าจินซู่อะไรสักอย่าง รูปโฉมของนางก็งดงามมากเหมือนกัน
แน่นอนว่าหมี่อวี้ไม่เคยพบนางมาก่อน
แต่หมี่อวี้ก็ไม่ถึงขั้นคิดจะทำอะไรเพื่อให้ได้พบหน้าจินซู่ เมื่อก่อนไม่ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีทาง
ก่อนหน้านี้เรือนชุนฟานสามารถรวบรวมเรือข้ามฟากมาไว้ได้หลายลำในรวดเดียว อันที่จริงนับว่ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่
จิ้งจอกเฒ่าอย่างพวกอู๋ฉิว ป๋ายซี บวกกับสำนักอวี่หลงที่มีตำหนักสุ่ยจิงเรือนส่วนตัวอยู่ในภูเขาห้อยหัว รวมถึงสวนดอกเหมย ทุกคนต่างก็ลงแรงกันทั้งหมด
เพียงแต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีท่าทีจะคิดบัญชีย้อนหลัง
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องเล็ก
ก็เหมือนกับครั้งนี้ มีเพียงเจ้าของเรือสิบสองคนเท่านั้นที่สามารถเชิญตัวมาได้ และคืนนี้ก็ถูกเชิญให้มาเป็นแขกคุยธุระที่เรือนชุนฟาน
เจ้าของเรือบางลำที่มาจอดเทียบท่าภูเขาห้อยหัวนานแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเลือกที่จะรั้งรออยู่นานอีกหน่อยคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ทั้งไม่รีบร้อนขนถ่ายสินค้า แล้วก็ไม่รีบร้อนจากไป นั่นก็เพราะกำลังรอเทียบเชิญจากเรือนชุนฟาน
นอกจากทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว พวกเรือข้ามฟากที่มาเยือนก่อนหน้านี้ก็น่าจะยังกลับไปไม่ถึงทวีปของตัวเอง น่าจะยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ
แจกันสมบัติทวีปนอกจากจะมีเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านแล้ว ยังมีเรือข้ามฟาก ‘แยนหลิง’ ของตระกูลโหวอีกหนึ่งลำ
น่าจะเป็นเพราะได้ข่าวจากกระบี่บินของตระกูลฝูหรือตระกูลติง เรือข้ามทวีปสองลำนี้จึงทยอยกันมาถึงภูเขาห้อยหัวห่างกันเพียงสองวัน
อันที่จริงเรือข้ามฟากลำน้อยลำใหญ่ของแปดทวีปต่างก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับตระกูลเยี่ยน ตระกูลน่าหลัน หรือไม่ก็เซียนกระบี่ที่มีสหายกว้างขวางอย่างซุนจวี้เฉวียนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ เซียนกระบี่หรือลูกหลานของตระกูลใหญ่มักจะมีข้อเรียกร้องที่แปลกประหลาดอยู่มากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อของโบราณหายากมาสะสม ลำพังเพียงแค่อาหารเลิศรสที่ราคาเพิ่มสูงไม่รู้จักกี่เท่าก็มีมากเกือบร้อยชนิดแล้ว นอกจากในเรื่องทรัพยากรแล้ว ‘แยนหลิง’ เรือข้ามทวีปของตระกูลโหวยังนำธูปหอมมาขายโดยเฉพาะ โดยจะให้ภูเขาตระกูลเซียนถักถุงหอมสิบหกชนิด แล้วนำมาขายให้แก่คนซื้อที่แน่นอนของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เกี่ยวกับเรื่องนี้สายอิ่นกวานก็เคยถกเถียงกันไปไม่น้อย หลินจวินปี้กับเซียนกระบี่โฉวเหมียวยืนอยู่บนเส้นแนวรบเดียวกันอย่างหาได้ยาก เสนอให้ตัดขาดช่องทางการจัดหาสิ่งของประเภทนี้ทั้งหมด วันหน้ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่รับสิ่งของใดๆ ที่ไร้ประโยชน์อีกแล้ว
เพียงแต่สุดท้ายแล้วสายอิ่นกวานเลือกจะพบกันครึ่งทาง ลดทอนการค้าขายประเภทนี้ให้น้อยลง แต่ไม่ได้ฟันฉับตัดให้ขาดในดาบเดียว
เกาะกุ้ยฮวาที่ยังคงจอดเทียบท่าที่ศาลาจัวฟ่างได้รับเทียบเชิญจากเรือนชุนฟาน หลังจากที่ผู้ดูแลเรือข้ามฟากตระกูลโหวมาเยือนก็แลกเปลี่ยนข่าวสารให้กันก่อน
ตอนนี้หน้าที่ผู้ดูแลเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาตกเป็นของหม่าจื้อผู้ถวายงานตระกูลฟ่าน
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือ ‘เหลียงอิน’
กุยม่ายเรือนขนาดเล็กบนเกาะกุ้ยฮวาอยู่ในนามของคนต่างถิ่นคนหนึ่ง ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าพักมาหลายปีแล้ว
หม่าจื้อเคยชี้แนะเวทกระบี่ให้เด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งที่นั่น
ในเรือนหลังเล็กอันเรียบง่ายแต่งดงามของกุ้ยฮูหยิน จินซู่ผู้เป็นลูกศิษย์รับหน้าที่ชงชารับรองแขก
หม่าจื้อกับเจ้าของเรือตระกูลโหวกำลังปรึกษากันว่าควรจะมอบของขวัญอย่างไร เพราะได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้สมบัติตระกูลเซียนร้อยกว่าชิ้นของเรือนหลิงจือขายหมดภายในค่ำคืนเดียว ตอนนี้ส่วนที่เหลืออยู่หากไม่เป็นอาวุธวิเศษที่สวยแต่รูปซึ่งถือเป็นของขวัญที่เบาเกินไป อีกทั้งน้ำใจก็ยิ่งไม่มากมายแล้ว ก็เป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่ราคาแพงเกินไปจนทำให้คนได้แต่มองดูด้วยความหวาดหวั่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้โหวเผิงเจ้าของเรือกลัดกลุ้มอย่างมาก ตอนนี้แม้จะบอกว่าตระกูลโหวในอาณาเขตทางทิศเหนือของนครมังกรเฒ่า ทางทิศใต้ของสำนักศึกษากวานหู จะสามารถดำเนินกิจการได้อย่างดีเยี่ยม แต่อันที่จริงเงินฝนธัญพืชนอกบัญชีกลับมีจำกัด หาก ‘แยนหลิง’ เรือข้ามฟากบ้านตนได้ยินเรื่องนี้ก่อนจะออกมาจากนครมังกรเฒ่า รู้ว่าต้องไปเยือนเรือนชุนฟาน ก่อนจะเข้าไปยังต้องเตรียมของขวัญหนักชิ้นหนึ่งด้วย ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะเงินฝนธัญพืชน้อยนิดแค่นี้ยังพอจะควักออกมาได้ แต่โหวเผิงและเกาะกุ้ยฮวาต่างก็เพิ่งได้รับข่าวจากกระบี่บินกลางทาง บอกว่าจำเป็นต้องให้เขาโหวเผิงควักกระเป๋าเอง นี่จึงทำให้เขาปวดหัวจริงๆ หากน้อยไป ของขวัญก็ไม่มีน้ำหนักมากพอ เมื่อลองเอาไปเทียบกับของชิ้นอื่นแล้วอาจทำให้เรือนชุนฟานรู้สึกรังเกียจ หลังจบเรื่องจะต้องถูกศาลบรรพจารย์ตระกูลโหวตำหนิอย่างแน่นอน แต่หากควักเงินฝนธัญพืชออกไปมากเกิน ด่านของเรือนชุนฟานผ่านไปได้แล้ว แต่ทางฝั่งตระกูลกลับต้องมีเรื่องให้ซุบซิบนินทากันอีกเป็นแน่
คนที่ลงมือทำงานอย่างแท้จริงก็มักจะเป็นแบบนี้ ทำมากก็ผิดมาก แต่คนที่เสวยสุขอยู่ในบ้านกลับกลายเป็นว่าปากไม่เคยว่างตลอดทั้งปี
หม่าจื้อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ทุกวันนี้ตระกูลฟ่านมีเรื่องมากมายให้ต้องวุ่นวายใจ แล้วก็เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฟ่านเอ้อว่าที่เจ้าประมุขในอนาคต จึงกลับกลายเป็นว่าต้องเดือดร้อนไปด้วย
ตอนนี้ทุกการกระทำของเขาจึงถูกพวกตาเฒ่าในศาลบรรพจารย์ตระกูลฟ่านจับจ้องไม่วางตา
คุณหนูใหญ่ฟ่านจวิ้นเม่าไม่ปรากฏตัวนานมากแล้ว ตระกูลฟ่านป่าวประกาศแก่คนนอกว่านางออกเดินทางไกลไปเพียงลำพัง
หม่าจื้อพอจะเดาได้คร่าวๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร
ฟ่านเอ้อที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่มก็เริ่มเข้าร่วมการจัดการดูแลงานในตระกูลแล้ว แน่นอนว่าหม่าจื้อย่อมถือว่าเป็นคนบนภูเขาของฟ่านเอ้อ ไม่อย่างนั้นหม่าจื้อก็ไม่อาจเป็นผู้ดูแลเรือข้ามฟากลำนี้ได้ ต่อให้กุ้ยฮูหยินจะเปิดปากเสนอ แนะนำให้หม่าจื้อรับตำแหน่งเจ้าของเรือด้วยตัวเอง แต่ก็น่าจะยังไม่อาจผ่านด่านของศาลบรรพจารย์ตระกูลฟ่านไปได้ แม้จะบอกว่าเกาะกุ้ยฮวาคือกิจการในนามของฟ่านเอ้อมานานแล้ว แต่ตระกูลฟ่านในทุกวันนี้มีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อนายน้อยรองที่ยังไร้ประสบการณ์ผู้นี้อยู่ไม่น้อย เพราะตอนนั้นการที่ให้ภูเขาลั่วพัวของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลียืมเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ขนาดนั้น ศาลบรรพจารย์ก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือด ผู้เฒ่าหลายคนต่างก็รู้สึกว่าฟ่านเอ้อยังอ่อนต่อโลกเกินไป ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ต่อให้จะเป็นว่าที่เจ้าประมุขก็ไม่ควรได้ควบคุมเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาอย่างสมบูรณ์ ควรจะมีผู้อาวุโสของตระกูลฟ่านที่มากประสบการณ์คนหนึ่งคอยช่วยจัดการดูแลเรื่องบางอย่างให้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถึงจะวางใจมอบให้ฟ่านเอ้อเป็นผู้จัดการได้
หากไม่เป็นเพราะตระกูลซุนเองก็ควักเงินจ่ายลอยตามน้ำไปเหมือนกัน บวกกับฟ่านเอ้อใช้เงินส่วนตัวในนามของเขา ก็อย่าหวังว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้