กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 642.5 จูเหลี่ยนมีหมัดให้ต้องถาม
ซูเตี้ยนเอ่ยถาม “ศิษย์พี่มาหาอาจารย์หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ได้มาหาอาจารย์หรอก เพียงแต่ว่าบนภูเขานั้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก เวลานอนห่มผ้าอย่างไรก็ไม่อุ่น หนาวเกือบแข็งตายอยู่แล้ว นี่ก็เลยลงจากเขามายืดเส้นยืดสายบ้างไงล่ะ แม่หนูซู เจ้าเองก็จริงๆ เลยนะ อยู่ห่างจากศิษย์พี่แค่ไม่กี่ก้าวกลับไม่รู้จักไปเที่ยวหาศิษย์พี่บ้างเลย บ้านของศิษย์พี่หลังใหญ่ขนาดนั้น จะยังไม่พอให้แม่หนูซูที่ผอมบางราวกิ่งหลิวไปพักหรือไร?”
ซูเตี้ยนส่ายหน้า “ไม่กล้าไปพักค้างคืนที่นั่นหรอก กลัวว่าตรงมุมกำแพงด้านนอกจะมีหนูวิ่งให้พล่าน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่หนูซู ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่อาศัยความอาวุโสมาตำหนิเจ้าจริงๆ นะ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ แล้วยังต้องหลอมจิตแห่งวีรุบุรุษนั่นอีก เจ้าจะขี้ขลาดแบบนี้ได้อย่างไร ไปกันเถอะ คืนนี้ไปพักที่บ้านศิษย์พี่ ฝึกขัดเกลาความกล้าของตัวเองเสียหน่อย”
ซูเตี้ยนกล่าวอย่างระอาใจ “ศิษย์พี่ หากมีธุระจริงๆ ก็รบกวนท่านพูดมาตรงๆ เลยเถอะ”
หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าศิษย์พี่ที่ไม่ยี่หระสิ่งใดผู้นี้เก่งแต่ปาก มือไม่เคยไม่อยู่สุข ป่านนี้ซูเตี้ยนก็คงชักสีหน้าใส่เขาไปนานแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเอาสองมือไพล่หลัง เห็นม้านั่งตัวเล็กก็อยากจะนั่งลงไป น่าจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อย
ผลกลับกลายเป็นว่าซูเจี้ยนใช้ปลายเท้าเกี่ยวขึ้นมาถือไว้ในมือ
เจิ้งต้าเฟิงเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นสือหลิงซานแล้วก็ส่ายหน้า “ต่างก็พูดกันว่าศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน เจ้ากลับดีนัก แม้แต่ศิษย์พี่หญิงที่อยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่รู้จักเฝ้าให้ดี เจ้าก็คอยดูเถอะ วันหน้าเจ้าต้องได้เสียใจแน่ มีนิยายยุทธภพเล่มใดบ้างที่ไม่เขียนว่า ศิษย์พี่หญิงหรือไม่ก็ศิษย์น้องหญิงออกท่องยุทธภพแล้วถูกจอมยุทธน้อยที่เก่งกาจร่ำรวยหลอกเอาไปทั้งกายทั้งใจ? สือหลิงซาน ตื่นได้แล้ว ศิษย์พี่หญิงของเจ้าจะออกเรือนแล้ว!”
สือหลิงซานโมโหจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ด หยุดการฝึกตนกลางคัน หันหน้ามามองอย่างเดือดดาล “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าหยุดพูดจายุแยงตะแคงรั่ว ปลุกปั่นคนอื่นส่งเดชเสียที!”
เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน “ขนาดด่าคนยังด่าไม่เป็น แล้วจะทำอะไรเป็น”
สือหลิงซานกำลังจะเอ่ยพูด
คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หญิงจะเอ่ยขึ้นมาก่อน “ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า หากข้าอยากฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสี่หรือเลื่อนสู่ขอบเขตห้า ก็ควรจะเลือกซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ศิษย์พี่มั่นใจหรือไม่? ข้าอยากจะออกเดินทางสักครั้ง”
สือหลิงซานปากอ้าตาค้าง
เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองเด็กหนุ่ม “ก่อนลงจากเขาศิษย์พี่กินไม่อิ่ม เลยเข้าห้องส้วมไม่ได้ เจ้าคงไม่มีอะไรให้กินหรอก”
สือหลิงซานทั้งเสียใจทั้งโมโหระคนกันไปหมด จึงเกือบจะอดใจไม่ไหวท้าให้เจิ้งต้าเฟิงผู้นี้มาประลองฝีมือกัน เพียงแต่เห็นสภาพหลังค่อมของอีกฝ่าย สือหลิงซานก็ให้เวทนา ช่างเถิด
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะ หันมาพูดกับซูเตี้ยนว่า “มั่นใจก็มั่นใจอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าย่อมคิดเอาไว้แล้ว ไม่ถึงคราวที่ข้าต้องมาสิ้นเปลืองแรงใจหรอก”
ซูเตี้ยนถาม “ศิษย์พี่คิดว่าตอนนี้ข้าสามารถออกจากบ้านเกิดไปเพียงลำพังได้แล้วหรือยัง?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “พาเจ้าตัวถ่วงไปด้วยเถอะ จะดีจะชั่วก็มีคนช่วยดูแลกัน ตอนนี้ขอบเขตของพวกเจ้าตื้นเขินเกินไป สมองก็ไม่เฉียบแหลม อันตรายของวิถีทางโลกด้านนอกไม่ได้อยู่ที่ขอบเขตหรือตบะ แต่อยู่ที่ใจคนมากกว่า สือหลิงซานยังดี เพราะเวลาปกติเป็นคนใจอ่อน แต่พอถึงช่วงเวลาคับขันกลับตัดสินใจอำมหิตได้ กลับเป็นเจ้าที่เวลาปกติใจแข็งเสียอีกที่จะกลับกลายเป็นปัญหา แม่หนูซู หลังจากที่เจ้าทั้งสองออกเดินทางไกลไปแล้วก็บอกกับคนอื่นไปว่าสือหลิงซานคือลูกชายของเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกคนโสดหน้าด้านทั้งหลายมาตามตอแยเจ้า ศิษย์พี่ที่อยู่บนภูเขา พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดใจจนนอนไม่หลับแล้ว”
ซูเตี้ยนไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรต่อ
สือหลิงซานก็ยิ่งเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว
เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมองม่านไม้ไผ่แวบหนึ่งแล้วหมุนกายออกมาจากร้านตระกูลหยางทันที
เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนซุ้มประตูกรอบป้ายสี่แผ่นที่ไม่เหลือความลี้ลับมานานแล้ว เขาเดินวนหนึ่งรอบ ถึงอย่างไรกรอบป้ายยังคงอยู่ คำกล่าวทั้งสี่นั้นก็ยังมีความหมายชวนให้ขบคิดลึกซึ้ง
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ไปที่บ่อโซ่เหล็ก ตอนนี้ที่นั่นกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนบุคคลของภูเขาบางแห่ง ก่อนหน้านี้ได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเอาไว้ ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง คำว่าสมองมีรูก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง เจ้าโง่เจียงอวิ้นผู้นั้นนับว่ามีโชควาสนาไม่น้อย พอนึกถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เจิ้งต้าเฟิงก็แยกเขี้ยว เห็นว่ารอบด้านไม่มีใครก็เอื้อมมือไปกุมเป้า ขอโทษนะน้องชาย เป็นพี่ชายที่ผิดต่อเจ้า อ่านตำราอย่างยากลำบาก เรียนวรยุทธศิลปะการต่อสู้มาสิบแปดอย่าง คิดไม่ถึงว่าวิชาเลิศล้ำที่มีเต็มกายจะเสียเปล่า ไร้โจรให้เจ้าได้สังหาร
แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ออกมาจากเมืองเล็ก ไปเยือนสุสานเทพเซียน ตอนนี้ที่นี่ไม่มีชื่อเรียกเช่นนี้แล้ว ต้าหลีทำให้คำเรียกขานเก่าแก่นี้ค่อยๆ เลือนหายไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ตอนนี้เทวรูปที่แตกพังทั้งหลายก็ถูกประคองขึ้นมา ต่อให้ซ่อมแซมก็ซ่อมให้ออกมาแบบเก่า สร้างขึ้นใหม่ก็อิงตามแบบเก่า นับว่าราชสำนักต้าหลีทุ่มเทแรงใจไปไม่น้อย ส่วนศาลบู๊ใหม่เอี่ยมที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างถึงที่สุดแห่งนั้นไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว ไม่มีอะไรให้พูดคุย ตาใหญ่จ้องตาเล็ก มองยังไงก็ไม่มีบุปผาแง้มบาน
จากนั้นก็เดินอ้อมไปยังน้ำตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวี
ไปนั่งยองโยนก้อนหินอยู่ที่นั่น
ดอกหยางลงน้ำกลายเป็นจอกแหน ช่างเป็นคำกล่าวที่ดีจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงเปลี่ยนตำแหน่งหาจุดที่น้ำไหลค่อนข้างลึกและเนิบช้า เขาจ้องนิ่งไปบนผิวน้ำ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีบุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้? ทำให้คนมองยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าน่าเตะจริงๆ”
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงก็เดินผ่านร้านหลอมกระบี่ร้านแรกสุดของหร่วนฉง
เดินไปถึงสะพานหินโค้ง สะพานแบบคานถูกถอดออกไปนานแล้ว กลับคืนสู่สภาพของสะพานหินที่แท้จริง
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่บนสะพานหินเพียงลำพัง
หันหน้าไปมองทางทิศเหนือของเมืองเล็ก ที่นั่นมีภูเขากระเบื้องเคลือบและเตาเผามังกรมากมายอยู่ใกล้เคียง
เจิ้งต้าเฟิงถอนสายตากลับมา
เมื่อสามพันปีก่อน เซียนกระบี่ที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็วแล้วก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็วปานกันผู้นั้น ไม่รู้ว่าเส้นประสาทเส้นใดเคลื่อนผิดตำแหน่ง หลังจากที่อยู่ดีๆ ก็มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มุ่งมั่นสังหารเจียวหลงโดยเฉพาะ เข่นฆ่าจนมืดฟ้ามัวดิน ว่ากันว่าเขาคิดอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยานไปให้ได้
บัณฑิตที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่บัณฑิตเท่านั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้
เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องลับนี้ ตาเฒ่าที่ต้องรู้คำตอบอย่างแน่นอนกลับไม่ยอมเอ่ยถึง ในอดีตเจิ้งต้าเฟิงเคยขอร้องหลี่เอ้ออ้อมๆ หวังให้ศิษย์พี่ไปถามแทนหน่อย หลี่เอ้อรับปากแล้วก็จริง แต่ภายหลังเรื่องนี้กลับเงียบหายไป
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยังนับว่าดี จะดีจะชั่วก็ยังถูกด่าสองสามคำ ในอดีตตาเฒ่ายินดีพูดคุยกับเขา ขอแค่พูดยาวเกือบๆ สิบคำก็ทำให้เจิ้งต้าเฟิงดีใจเหมือนได้ฉลองปีใหม่แล้ว
ดังนั้นเจิ้งต้าเฟิงจึงรู้แค่ว่ามังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกไม่ได้พยายามจะไปเยือนพื้นที่ลับใต้ทะเลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนั้น กลับกลายเป็นว่าขึ้นบกตรงนครมังกรเฒ่า ทะลุทะลวงให้เกิดเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน สุดท้ายก็มาตายอยู่ในอาณาเขตของต้าหลี
นั่นก็เพื่อขอให้ได้รับการปกป้อง พยายามจะให้บุคคลในยุคบรรพกาลท่านหนึ่งเปิดแท่นบินทะยานอีกครั้ง จะได้หลบหนีเข้าไปยังสถานที่ลึกลับที่แม้แต่อริยะก็ยังหาไม่พบ
เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคนนั้นไม่ยอมให้มันได้สมปรารถนา เลือกที่จะนิ่งดูดาย
สุดท้ายก็สร้างถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กขึ้นมา
สามลัทธิหนึ่งสำนักสี่อริยะร่วมกันตั้งกฎ สร้างกรอบป้ายสี่แผ่นแขวนไว้บนซุ้มประตูที่ถูกคนรุ่นหลังในท้องถิ่นของถ้ำสวรรค์หลีจูเรียกกันอย่างขำขันว่าซุ้มก้ามปู
สกุลซ่งต้าหลีสร้างสะพานแบบคานขึ้นมาบนสะพานหินโค้งดั้งเดิม ก็เพื่อสืบทอดชะตาแคว้นของต้าหลีให้ทอดยาวออกไป ให้พลังอำนาจของแคว้นเป็นดั่งลมโชยน้ำขึ้น ช่วงชิงสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้ามาเป็นของตน
ก่อนที่ซ่งจ่างจิ้งจะพาซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุยจากไปได้ตั้งใจให้องค์ชายซ่งจี๋ซินมาจุดธูปกราบไหว้ด้านล่างสะพานแบบคานนั้น
คนที่เขากราบไหว้ก็คือลูกมังกรหลานมังกรของสกุลซ่งต้าหลีที่ต้องตายไปอย่างอเนจอนาถเหล่านั้น
ซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผารับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง นั่นก็เท่ากับว่าเป็นผู้ควบคุมเรื่องวงในที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของสกุลซ่งต้าหลีเรื่องนี้
สุดท้ายถูกเหนียงเนียงที่เก่งกาจเรื่องให้กำเนิดบุตรชายยิ่งกว่าเรื่องใดผู้นั้นออกคำสั่งให้หวังอี้ฝู่องค์รักษ์แม่ทัพบู๊ผู้สิ้นแคว้นของสกุลหลูตัดหัวซ่งอวี้จาง บรรจุลงกล่อง ส่งไปที่เมืองหลวงต้าหลี
และหลังจากที่ซ่งอวี้จางถูกฆ่า ก็ใช้ร่างของวิญญาณวีรบุรุษกลายมาเป็นเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอดีตฮ่องเต้ต้าหลีคิดจะชดเชยให้แก่ขุนนางผู้มีคุณูปการคนนี้ หรือเป็นการลงโทษในอีกรูปแบบหนึ่งกันแน่ เพราะถึงอย่างไรซ่งอวี้จางก็ไปแตะเกล็ดย้อนมังกรของอดีตฮ่องเต้ในเรื่องบางเรื่องเข้าให้แล้ว นั่นก็คือเรื่องที่ซ่งอวี้จางถึงขั้นกล้าเกิดความรู้สึกฉันท์พ่อลูกกับซ่งจี๋ซิน และซ่งจี๋ซินเองก็มีความรู้สึกซับซ้อนที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกต่อซ่งอวี้จางอยู่จริงๆ ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานนั้น ซ่งจี๋ซินที่อยู่ในสถานะบุตรนอกสมรสของผู้ตรวจการ ใช้ชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลอยู่ในตรอกหนีผิงมาโดยตลอดก็เห็นซ่งอวี้จางเป็นบิดาแท้ๆ ของตนจริงๆ ส่วนลึกในใจจึงมีทั้งความเจ็บแค้นและความเลื่อมใส
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงร้านยาฮุยเฉินที่นครมังกรเฒ่าขึ้นมา
อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงอดคิดถึงมันไม่ได้
ก็คนนี่นะ เรื่องดีๆ อย่างแท้จริงมักจะคิดถึงไม่มาก อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านล้วนเลยไป กลับกลายเป็นเรื่องเสียใจที่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ดันจดจำได้ไม่ลืม
เจิ้งต้าเฟิงทิ้งตัวนอนหงายหลัง สองมือสอดรองต่างหมอน หลับตาลงพึมพำว่า “ไม่เห็นตัวเองเป็นคนเหนือคน ไม่เห็นคนอื่นเป็นคนโง่ ยากขนาดนี้เชียวหรือ? โลกใบนี้ก็แปลกเสียจริง”
……
หร่วนซิ่วกลับมายังสำนักกระบี่หลงเฉวียน
นัดหมายไปเจอกับเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง
วันนี้คนทั้งสามนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูร้านด้วยกัน
หร่วนซิ่วสังเกตเห็นว่าดูเหมือนหมี่ลี่น้อยจะหลบเลี่ยงตน เวลาเล่าเรื่องภูเขาสายน้ำของอุตรกุรุทวีปกลับเล่าไม่คล่องเหมือนเวลาปกติ หร่วนซิ่วมองอีกครั้งก็พอจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุได้คร่าวๆ แล้ว
ถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแห่งนั้น ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร หร่วนซิ่วไม่ใคร่รู้ แล้วก็คร้านจะถาม ในเมื่อหมี่ลี่น้อยไม่อยากพูด จะทำให้แม่นางน้อยคนหนึ่งลำบากใจไปไย
หร่วนซิ่วเพียงแค่กินขนมดอกท้อที่ไม่ต้องจ่ายเงิน
หากจะคิดกันขึ้นมาจริงๆ นางก็คือตัวแทนเถ้าแก่คนแรกสุดของทั้งสองร้าน
เผยเฉียนเอ่ย “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ได้เดินทางไปไกลมากๆ เลยล่ะ”
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “ร้ายกาจจริงๆ เลย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ร้ายกาจสิ ร้ายกาจสิ ขนาดข้ายังนับถือตัวเองเลยนะ”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงซิ่ว ท่านเองก็ออกเดินทางไปไกลมากเหมือนกันหรือ?”
หร่วนซิ่วคิดแล้วก็เอ่ยตอบง่ายๆ “บนฟ้าล่างดิน ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ภูเขาใหญ่หุบเหวโบราณ ไม่มีที่ใดที่ไม่ได้ไปเยือน สถานที่ที่แสงตะวันสาดส่อง ล้วนมีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ แสงไฟส่องสว่างก็คืออาณาเขตของข้า”
โจวหมี่ลี่รีบยกสองมือขึ้นมา ไม่ได้ปรบมือ แต่พูดรัวเร็วว่า “ว้าว พี่หญิงซิ่วซิ่ว ท่านร้ายกาจที่สุดเลย! พี่หญิงซิ่วซิ่วคงต้องเปลี่ยนรองเท้าหลายคู่เลยกระมัง”
หร่วนซิ่วหัวเราะ “ก็ไม่เท่าไรหรอก”
โจวหมี่ลี่เค้นสมองครุ่นคิดเล่าเรื่องนั้นจนจบแล้วก็ไปคุยเล่นกับจิ่วเอ๋อร์ในร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกัน
เผยเฉียนไม่อนุญาตให้นางพูดเรื่องที่เมืองหงจู๋ อันที่จริงโจวหมี่ลี่ก็ลืมไปหมดแล้ว ผลคือพอเผยเฉียนพูดแบบนี้ ตอนนอนนางก็ยังท่องจำอยู่ไม่ลืม ทำเอานางกลัดกลุ้มจนช่วงนี้กินข้าวไม่อร่อย แทะเมล็ดแตงก็ทำให้หายหิวไม่ได้ ดังนั้นวันนี้พอเจอกับพี่หญิงซิ่วซิ่ว นางก็เลยอึดอัดแทบแย่
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน “ไป ไปเล่นกัน”
เผยเฉียนลุกขึ้นตาม “พี่หญิงซิ่วซิ่ว อย่าไปแม่น้ำอวี้เจียงนะ”
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี ลูบศีรษะของแม่นางน้อย “ชอบเรื่องเล่าของเจ้าและของหมี่ลี่น้อยคือเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะวางตัวเป็นคนอย่างไร ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง”
นาทีถัดมา
เผยเฉียนก็ร้อนใจจนต้องกระทืบเท้า นางเกาหัวตัวเองแรงๆ จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี
โชคดีที่จูเหลี่ยนมาถึง พูดกับเผยเฉียนว่า “ไม่เป็นไร”
เผยเฉียนค่อยๆ คลี่ยิ้ม “พ่อครัวเฒ่า ทำตัวลับๆ ล่อๆ จนติดใจแล้วใช่ไหม?”
จูเหลี่ยนเดินเข้าไปในร้านยาสุ้ย
เผยเฉียนตามไปด้านหลัง หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “คนกันเอง ลดแปดส่วน”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อันที่จริงข้าก็พอจะทำขนมเป็นอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นคือขนมพุทรากวนก้อนทองที่พอจะมีชื่อเสียง ข้าเป็นคนคิดสูตรขึ้นมาเอง”
เผยเฉียนกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “คือขนมพุทรากวนที่ปีนั้นในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนขายแพงมากๆ เลยน่ะหรือ?”
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองขนมหลากหลายสีสันในร้าน แล้วพยักหน้า “คิดไม่ถึงล่ะสิ?”
เผยเฉียนเอ่ยชื่นชม “พ่อครัวเฒ่า เจ้าเกิดมาก็มีชะตาเป็นพ่อครัวจริงๆ น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้จะอายุมากไปหน่อยก็คงไม่มีทางเป็นชายโสดขึ้นคานแน่!”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที
สือโหรวมีสีหน้าปั้นยาก
หร่วนซิ่วทะยานลมไปถึงแม่น้ำอวี้เจียง ลังเลอยู่ชั่วขณะ รู้สึกไม่ค่อยอยากจะร่ายเวทอำพรางตาสักเท่าไร
ร่างพลันผลุบหายเข้าไปในแม่น้ำอวี้เจียง
น้ำของแม่น้ำทั้งสายพลันเดือดพล่านราวกับมีดวงอาทิตย์จมลงไปเบื้องล่างแล้วต้มน้ำให้เดือดระอุ
พลานุภาพสวรรค์ยิ่งใหญ่ไพศาล
หร่วนซิ่วเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ของจวนวารี เหนียงเนียงเทพวารีที่ก่อนหน้านี้กำลังใช้โชคชะตาน้ำซ่อมแซมร่างทองคุกเข่ากราบกรานอยู่บนพื้น ถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงได้พบเจอกับสตรีผู้นี้ แล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ขอให้สตรีผู้นี้ประทานความตายให้นางเร็วหน่อย!
หร่วนซิ่วเดินผ่านเทพวารีที่หมอบกราบตัวสั่นสะท้าน เดินเหยียบขึ้นบันได หมุนตัวนั่งลงบนตำแหน่งประธานของตำหนักใหญ่ โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ยกมือข้างหนึ่งเท้าคาง จ้องนิ่งไปยังทิศไกล