กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 643.3 กระดาษขาวแผ่นหนึ่งของชุยตงซาน
ทางฝั่งนั้นกินข้าวกันอิ่มแล้ว นอกจากสือโหรวที่เก็บโต๊ะถ้วยชาม คนอื่นๆ ล้วนพากันเดินไปที่ร้าน
หร่วนซิ่วกำลังเลือกขนม
เผยเฉียนพาโจวหมี่ลี่ไปยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้านหลังโต๊ะคิดเงินด้วยกัน ไม่อย่างนั้นโจวหมี่ลี่ที่ตัวเตี้ยเกินไปก็คงมองไม่เห็นอะไรเป็นแน่
จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ยิ้มเปิดปากพูดว่า “การทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด หมัดหนึ่งต่อยลงบนร่างของใคร เจ็บมากน้อยเท่าไร กับการประลองเวทของตระกูลเซียน ใครที่โดนสมบัติอาคมโจมตี อันที่จริงก็คือหลักการเหตุผลเดียวกัน หากจะคิดเอาจริงเอาจังกันขึ้นมาจริงๆ เหตุผลก็ไม่ได้แบ่งแยกเล็กใหญ่หรือยากดีมีจน ฮูหยินเทพวารี เข้าใจหรือไม่?”
เหนียงเนียงเทพวารีพยักหน้ารับ
ไม่เข้าใจแต่แกล้งทำเป็นเข้าใจ ต่อให้เข้าใจแล้ว แต่อันที่จริงนางก็ไม่คิดจะยอมรับ ทว่าด้วยสถานการณ์บีบคั้น นางจะยังทำอย่างไรได้อีก
หากโจวหมี่ลี่ผู้นั้นไม่ได้เป็นลูกศิษย์ในทำเนียบของภูเขาลั่วพั่ว หากภูเขาลั่วพั่วไม่มี ‘นาง’ ช่วยพวกเจ้าลงมือสั่งสอนข้า ไหนเลยจะมีเหตุการณ์อย่างตอนนี้เกิดขึ้นได้
ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ต่างก็ชอบใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่นเหมือนกัน
หร่วนซิ่วที่หันหลังให้ทุกคนขมวดคิ้ว
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เผยเฉียน พาหมี่ลี่น้อยไปอยู่ข้างหลังเถอะ”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วตบศีรษะหมี่ลี่น้อยเบาๆ
เหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าไปทางโต๊ะคิดเงิน “ข้าผิดไปแล้ว”
เผยเฉียนเกาหัว กล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมต้องเปลืองแรงขนาดนี้ด้วย ก็แค่ยอมรับผิดอย่างจริงใจ มันยากขนาดนั้นเชียวหรือ?! อาศัยอะไรถึงได้คิดว่าแค่ทำตัวมีมารยาท แสดงออกภายนอกแค่เป็นพิธี เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
จากนั้นเผยเฉียนก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะด้วยท่าทางอ่อนระโหย “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลย เดิมทีก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ เท่านั้น ก็แค่เสมียนของจวนเทพวารีผู้นั้นมาขอโทษหมี่ลี่น้อย เอ่ยคำว่าขอโทษ แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? ผลกลับกลายเป็นว่าหญิงชราผู้นั้นก็ดี เสมียนนั่นก็ช่าง กลับมีแผนการโสมมมากมายขนาดนั้น ไม่ยอมรับผิดก็ช่างเถิด ทว่าแต่ละคนกลับมีความคิดชั่วร้าย น่ากลัวราวกับพืชน้ำที่จับกลุ่มกันเป็นสีดำทะมึนอยู่ใต้น้ำ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ผิดแล้ว นี่ยังไม่ใช่จุดที่พวกเราทำให้ผู้อื่นลำบากใจมากที่สุด หากไปเล่าให้คนอื่นฟังหรือมีคนอื่นเห็นเข้า ก็จะรู้สึกว่าพวกเราเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ บีบบังคับผู้อื่นทุกย่างก้าว และเรื่องที่จะทำให้เจ้าอัดอั้นมากกว่าเดิมก็คือจิตใจคิดร้ายของคนนอกเหล่านี้ กลับไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะมันคือเส้นบรรทัดฐานต่ำสุดที่ไม่ทำให้วิถีทางโลกย่ำแย่เกินไปนัก”
เผยเฉียนฟังแล้วก็ปวดหัว จึงพูดอย่างอัดอั้นว่า “แต่ก็ไม่ควรทำให้เรื่องราวใหญ่โตกระมัง สังหารเหนียงเนียงเทพวารีตนหนึ่ง คนนอกจะมองภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอย่างไร? เจ้าเองก็บอกแล้วว่าคนนอกจะต้องช่วยแม่น้ำอวี้เย่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็รู้สึกว่าต่อให้เหนียงเนียงเทพวารีผู้นี้พูดว่าไม่ยอมรับผิด ก็คงไม่ต้องถึงขั้นฆ่าแกงนางกระมัง หากอาจารย์พ่ออยู่ด้วย เขาจะจัดการอย่างไรนะ”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “นายน้อยก็คงจะช่วยจัดระเบียบให้กับตลอดทั้งจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ตั้งแต่บนลงล่าง ตั้งแต่ในยันนอกไปรอบหนึ่งกระมัง ความถูกความผิด ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป”
เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่าง จูเหลี่ยนยังไม่ได้เอามาพูดกับเผยเฉียน
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในที่เกี่ยวพันไปถึงสกุลสวี่นครลมเย็น ภูเขาตะวันเที่ยง หรือไกลห่างไปยิ่งกว่านั้น
โจวหมี่ลี่ที่มึนๆ งงๆ แอบย่อหัวเข่าลง เอาหัวไปซ่อนอยู่หลังโต๊ะคิดเงินอย่างเงียบเชียบแล้ว
ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่อยู่ในร้าน พวกเจ้าไม่ว่าใครก็มองไม่เห็นข้า…
จูเหลี่ยนไม่รีบร้อน
ทั้งหมดนี้สามารถช่วยให้เผยเฉียนฝึกอบรมจิตใจตนเองได้เหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นป่านนี้จูเหลี่ยนก็คงลงมือตามรอยแม่นางหร่วนไปนานแล้ว
ก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนเองก็รู้ดีว่า ศัตรูใหญ่ที่แท้จริงของจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ก็คือพี่หญิงซิ่วซิ่วของนาง
อาจจะทุบทำลายร่างทองของเหนียงเนียงเทพวารีผู้นี้ให้แตกสลายไปโดยตรง หรือไม่ก็หลอมแม่น้ำอวี้เย่ตลอดทั้งสาย เก็บเทพวารีให้เหลือรอดชีวิตอยู่เพียงลำพัง ชอบคิดว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนไม่เป็นเรื่องไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เหตุผลของตนไปพูดคุยกับราชสำนักต้าหลีก็แล้วกัน
เปลี่ยนเอาองค์เทพวารีองค์ใหม่ที่ทุ่มเทกายใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับราชสำนักต้าหลีในทุกวันนี้อีกหรือ?
ส่วนความเป็นไปได้บางอย่าง คนธรรมดาไม่มีทางคิดถึง ยกตัวอย่างเช่นภูตน้อยถูกลักพาตัวไป ถูกเขียนรายงานร้องเรียน ภูเขาลูกหนึ่งต้องย่อยยับลงไปนับแต่นี้ สรุปก็คือขอแค่ไม่เกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่ถือว่าเป็นเหตุผล นับแต่โบราณมาจะทำเรื่องหนึ่งให้สมใจสมเหตุสมผลพร้อมกันได้ก็ยากมาโดยตลอดอยู่แล้ว
เผยเฉียนถามหยั่งเชิง “พ่อครัวเฒ่า ไม่อย่างนั้นก็แล้วกันไปเถอะ ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ รอให้อาจารย์พ่อกลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าค่อยถามอาจารย์พ่ออีกที”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางพยักหน้ารับ แล้วจึงหันไปมองหร่วนซิ่ว
หร่วนซิ่วคีบขนมดอกท้อชิ้นหนึ่งวางลงในปาก หันหน้ามาพูดเสียงอู้อี้ “ข้ายังไงก็ได้นะ”
หร่วนซิ่วมองไปยังเหนียงเนียงเทพวารีที่นั่งคุกเข่าไม่ขยับ “ยังไม่ไปอีกรึ?”
เหนียงเนียงเทพวารีเดินโซซัดโซเซจากไป
ในใจนางเคียดแค้นผู้ถวายงานสกุลสวี่นครลมเย็นนั่นจะตายอยู่แล้ว ยิ่งเกลียดชังเสมียนใต้บังคับบัญชาที่ก่อเรื่องหาหายนะมาให้นางในครั้งนี้
ส่วนภูเขาลั่วพั่ว นางไม่กล้าเกลียดแม้แต่น้อย
ส่วน ‘หร่วนซิ่ว’ ผู้นั้น แม้แต่คิดนางยังไม่กล้าเลย
จูเหลี่ยนพูดกับเผยเฉียน “เรื่องของการฝึกตน ไม่ใช่ว่าฝึกตนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้เหตุผล แต่ฝึกตนเพื่อให้ใช้เหตุผลได้ดียิ่งกว่าเดิม ทำในสิ่งที่ความสามารถของตัวเองเอื้ออำนวย ช่วยให้คนอ่อนแออธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ ขอบเขตสูงมากพอ หมัดแข็งมากพอก็ล้วนถือว่ามีเหตุผลแล้ว สองอย่างนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็ยิ้มเอ่ยอีกว่า “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ การกระทำความดีของคนทุกคน บางทีอาจมีใหญ่มีเล็ก แต่จิตใจที่ดีงามมีเพียงแค่จิตใจที่ดีงามเท่านั้น ไม่มีการแบ่งแยก”
หร่วนซิ่วหันไปเลือกขนมต่อ พลางเอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอกนะ”
เผยเฉียนถาม “พี่หญิงซิ่วซิ่ว หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
หร่วนซิ่วเอ่ย “ตั้งใจฝึกตนให้ดี”
จูเหลี่ยนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่าแม่นางหร่วนผู้นี้จะยกเหตุผล ‘บริสุทธิ์’ ที่น่าตะลึงพรึงเพริดอะไรออกมาพูด
หร่วนซิ่วคีบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ขนมสดใหม่ อร่อยกว่าจริงๆ ด้วย”
เผยเฉียนเริ่มกลัดกลุ้ม “การฝึกตนของข้าเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน”
โจวหมี่ลี่ยื่นหัวออกมา เอ่ยว่า “อันที่จริงเต่าว่ายน้ำได้ ขึ้นบกก็วิ่งได้เร็ว เร็วมากๆ เลยล่ะ! ตอนอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้ ข้าเคยไล่ตามพวกมันตั้งหลายครั้ง!”
เผยเฉียนยื่นมือมากดหัวโจวหมี่ลี่ “เป็นยังไงนะ?”
โจวหมี่ลี่โคลงศีรษะ แล้วจู่ๆ ในหัวที่โคลงเคลงของนางก็นึกคำถามเล็กๆ ที่นางมักจะคิดได้แต่ก็ลืมไปบ่อยๆ ออก “ทำไมถึงได้มีคนที่ชอบรังแกคนอื่น?”
จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด
คำถามข้อนี้ ตอบไม่ง่ายเลยจริงๆ
หร่วนซิ่วเอ่ย “คนเราพอหิวแล้ว หมื่นสรรพสิ่งก็ล้วนกินได้”
โจวหมี่ลี่หัวเราะฮ่าๆ “ยังคงเป็นพี่หญิงซิ่วที่ดีที่สุด ชอบกินแค่ขนมเท่านั้น”
จูเหลี่ยนไม่พูดอะไรแล้ว
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ
หร่วนซิ่วคลี่ยิ้ม
……
หนึ่งเจ้านายหนึ่งสาวใช้ คนสองคนขี่ม้าลงใต้ท่ามกลางพายุหิมะ
เป้าหมายคือนครมังกรเฒ่าที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป แต่ม้าทั้งสองตัวเดินทางอ้อมเส้นทางไปไกลมาก ไปท่องเที่ยวแคว้นหูที่ตั้งของสกุลสวี่นครลมเย็น แล้วก็ผ่านแคว้นสือหาว ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนมารอบหนึ่ง
บุรุษหนุ่มนั่งอยู่บนหลังม้า กำลังงีบหลับ
ส่วนม้าตัวที่สาวใช้ควบขี่นั้นได้แต่กล้าตามมาด้านหลัง ไม่กล้าขี่มาเคียงข้างบุรุษหนุ่มเด็ดขาด
ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงมีสาวใช้ติดตามอยู่ข้างกาย หม่าขู่เสวียนของตรอกซิ่งฮวาผู้นี้ก็ทำแบบเขา รับสาวใช้มาคนหนึ่งแล้วตั้งชื่อให้ว่าซู่เตี่ยน
คาดว่าต่อให้คิดจนหัวแตก สาวใช้ซู่เตี่ยนที่อยู่ด้านหลังก็คงคิดไม่ถึงว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงวันนี้จะเป็นเหตุผลข้อนี้
ตลอดทางที่เดินทางลงใต้มานี้ ไม่มีการลอบฆ่าเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะคนที่ยินดีออกหน้าเพื่อนางล้วนตายกันหมดสิ้นแล้ว
วิถีทางโลกของแจกันสมบัติทวีปเปลี่ยนจากกลียุคครั้งใหญ่ค่อยๆ ดำเนินไปสู่ความสงบสุข ทว่าตลอดทางมานี้เนื่องจากหม่าขู่เสวียนไม่เคยนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียน เพียงแค่เดินทางด้วยการขี่ม้าเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ชอบใช้เส้นทางถนนหลวงที่กว้างใหญ่ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอบุคคลในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง ภูตผีปีศาจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ใช้ชีวิตอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่าศาลของตัวเองจะถูกตัดสินให้เป็นศาลเถื่อน พวกชาวบ้านลี้ภัย ลูกหลานอ๋องผู้สิ้นแคว้นที่เดินตามป่าเขาอยู่ดีๆ ก็แผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญ แล้วก็มีลูกหลานของตระกูลท้องถิ่นบางส่วนที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริม มีหวังว่าจะเปลี่ยนตระกูลให้กลายเป็นชนชั้นสูงที่เย่อหยิ่งทระนงตน กล่าววาจาว่าต้าหลีของข้าร้ายกาจแค่ไหน
หม่าขู่เสวียนฆ่าคนไม่เคยอิดออดชักช้า อาศัยแค่ความชื่นชอบเท่านั้น
พวกที่ขอบเขตสูง ขวางหูขวางตา ฆ่า พวกที่ขอบเขตต่ำ ก็ฆ่าเหมือนกัน พวกที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตน มาเจอเข้ากับเขาหม่าขู่เสวียน ก็ฆ่าไม่มีละเว้น
แต่ซู่เตี่ยนก็ยังคงไม่รู้ว่าเหตุใดลูกรักแห่งสวรรค์ที่จิตสังหารเข้มข้นผู้นี้ถึงได้ชอบนอนกลางดินกินกลางทราย เวลาอารมณ์ดีก็ยังสามารถพูดคุยกับพวกคนตัดฟืน พวกชาวนาที่อยู่ริมคันนาได้เป็นนาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในแคว้นสือหาว หม่าขู่เสวียนก็สังหารคุณชายสูงศักดิ์ที่ขึ้นเขามาชมหิมะไปกลุ่มหนึ่ง พวกเขามองเห็นซู่เตี่ยนที่รูปโฉมงดงาม อีกทั้งเห็นว่าหม่าขู่เสวียนจูงม้ามากับสาวใช้แค่สองคน น่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนตระกูลเซียน เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนที่ฐานะทางบ้านพอมีอันจะกินในแคว้นสือหาวบ้านตัวเอง แต่พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่ได้มาจากตระกูลผู้มีอำนาจในเมืองหลวง จึงเกิดความคิดชั่วร้าย แคว้นสือหาวเพิ่งผ่านไฟสงครามชำระล้างมาหมาดๆ คนปกติยามออกจากบ้าน หากจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
หม่าขู่เสวียนพลิกตัวขึ้นหลังม้า เขามอบทางเลือกให้ซู่เตี่ยนแค่สองทาง หากไม่ถอดเสื้อผ้าให้คนเหล่านั้นย่ำยี ก็จงเอามาดของผู้ฝึกตนตระกูลเซียนออกมาใช้ สังหารคุณชายกลุ่มนั้นทิ้งไปซะ
ซู่เตี่ยนสีหน้าซีดขาว ขาวยิ่งกว่าสีของหิมะเสียอีก
หม่าขู่เสวียนไม่ค่อยมีความอดทนนัก เขาดีดนิ้วหนึ่งที ดีดให้คุณชายคนหนึ่งร่วงตกไปจากหน้าผา ร่างลอยละลิ่วเหมือนนกบิน เพียงแต่ว่า ‘เสียงร้องของนก’ อาจจะฟังอเนจอนาถไปบ้าง คนอื่นๆ ก็พากันตามไป ห่มหนังจิ้งจอกขึ้นเขามาด้วยกัน แล้วก็พลัดตกจากเขาไปด้วยกัน ระหว่างนั้นมีเทพแห่งผืนดินท่านหนึ่งรีบร้อนออกมาขัดขวาง ช่วยขอร้องแทนคุณชายสูงศักดิ์กลุ่มนั้น แต่ก็ถูกหม่าขู่เสวียนใช้หนึ่งฝ่ามือตบให้ร่างทองแหลกเละ โชคชะตาระหว่างฟ้าดินมีการแว้งกลับมาทำร้าย ทว่าแค่ขยับเข้าใกล้หม่าขู่เสวียนผู้นั้นก็ต้องสลายหายไปด้วยตัวเอง
สุดท้ายซู่เตี่ยนจึงถูกหม่าขู่เสวียนสยบตบะขอบเขตเอาไว้ เอาเชือกมัดสองมือของนาง ใช้ม้าลากนางให้ไถลลื่นลงจากภูเขาตามมาด้านหลังไปตลอดทาง
มาถึงตีนเขา หม่าขู่เสวียนถึงได้ถอนวิชาอภินิหารนั้นออก ถึงอย่างไรซู่เตี่ยนก็เป็นผู้ฝึกตน ไม่ถึงขั้นเนื้อเหวอะเลือดโชก แต่สภาพก็กระเซอะกระเซิงไม่น้อย ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางกองหิมะ
ดูเหมือนว่าหม่าขู่เสวียนจะลืมสาวใช้ผู้นี้ไปแล้ว ถึงได้ควบม้าจากไปไกลเพียงลำพัง
ซู่เตี่ยนลังเลอยู่นาน แต่กระนั้นก็ยังขี่ม้าติดตามหม่าขู่เสวียนไปท่ามกลางลมหิมะ
ตอนนั้นหม่าขู่เสวียนเพียงแค่ยิ้มเอ่ยประโยคเดียวว่า “ข้าฆ่าคนพร่ำเพื่อเป็นเรื่องจริง แต่หากจะบอกว่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อล่ะก็ นั่นเป็นการใส่ร้ายข้าแล้ว”
ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ซู่เตี่ยนจึงร้องไห้พลางแผดเสียงตะโกนใส่เขาว่า “เจ้าฆ่าคนมากมายขนาดนั้น มีหลายคนที่โทษไม่สมควรตาย!”
หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “คนที่ตายอย่างอยุติธรรมจริงๆ ไม่ได้โชคดีอย่างเจ้าที่ไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วยังได้แหกปากพูดเสียงดังขนาดนี้ด้วย”
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนแหงนหน้ามองฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฆ่าคนแบบนี้ ฟ้าดินควรต้องขอบคุณข้าแล้ว”
ซู่เตี่ยนนั่งบนหลังม้าอย่างห่อเหี่ยว จิตใจเซื่องซึม พูดเสียงสะอื้น “เจ้ามันบ้า คนบ้า”
หม่าขู่เสวียนอ้าปากหาวหวอด แล้วขี่ม้าออกเดินทางอย่างเกียจคร้านต่ออีกครั้ง
ซู่เตี่ยนบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าจะตายไม่ได้ ห้ามตายเด็ดขาด จะต้องได้เห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าคนบ้าที่ทำชั่วมามากผู้นี้ถูกเวรกรรมตามสนองพิฆาตตัวเองตาย คนอย่างหม่าขู่เสวียนผู้นี้สมควรถูกสวรรค์ลงโทษ!
จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าดูเหมือนเจ้าคนบ้าจะอารมณ์ไม่เลว
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากเดินทางผ่านทะเลสาบซูเจี่ยน หม่าขู่เสวียนก็ยิ้มแย้มมากขึ้น
ตอนอยู่ที่ภูเขาใหญ่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระรวมตัวกันมากมาย หม่าขู่เสวียนยังมีอารมณ์ไปเป็นแขกที่ภูเขาลูกหนึ่ง เขานั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ถามเรื่องบางอย่างแล้วก็ยิ่งอารมณ์ดี
เจ้าคนของตรอกหนีผิงผู้นั้นอยู่ที่นี่มาประมาณสามปี ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตไม่ราบรื่นอย่างยิ่ง
ถ้าอย่างนั้นหม่าขู่เสวียนก็ยิ่งอารมณ์ดี
หม่าขู่เสวียนยื่นมือไปกอบหิมะมาปั้นเป็นลูก หันตัวกลับแล้วขว้างลูกหิมะใส่หัวซู่เตี่ยน นางไม่กล้าหลบ ลูกหิมะแตกออก เกล็ดหิมะสาดกระจายจึงบดบังการมองเห็นของนางเล็กน้อย
หม่าขู่เสวียนยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนอยู่ที่เมืองเล็ก ข้าไม่เคยเล่นปาหิมะกับใครมาก่อน ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเคย เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีก็มักจะถูกคนขว้างหิมะใส่ประจำ เห็นพวกเขาสนุก ข้าก็สนุกไปด้วย”
พอคิดถึงเมืองเล็กแห่งนั้น คิดถึงถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น สาวใช้ซู่เตี่ยนก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งร่าง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับนางในวันนี้ ล้วนเป็นผลมาจากการเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในครั้งนั้นทั้งสิ้น