กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 643.4 กระดาษขาวแผ่นหนึ่งของชุยตงซาน
หม่าขู่เสวียนกวักมือ บอกเป็นนัยให้นางติดตามมา
หม่าขู่เสวียนเอ่ยว่า “การเปิดประตูของถ้ำสวรรค์หลีจูทุกๆ หกสิบปี พวกเจ้าที่เป็นตัวเลือกกลุ่มสุดท้ายไม่มีความเห็นอะไรบ้างเลยหรือ?”
หม่าขู่เสวียนพึมพำกับตัวเอง “น่าจะไม่เคยคิด ปล่อยไปตามกระแสคลื่น ไม่เคยคิดจะขึ้นฝั่ง”
ซู่เตี่ยนเอ่ย “เคยคิด”
หม่าขู่เสวียนหันหน้ามายิ้มกล่าว “อ้อ? เจ้าก็มีสมองกับเขาด้วยหรือ?”
ซู่เตี่ยนเอ่ย “ในเมื่อจิตใจของเจ้าสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้า เอาแต่เหยียบย่ำข้าอยู่แบบนี้จะมีความหมายอะไร?”
หม่าขู่เสวียนคร้านจะตอบคำถามประเภทนี้ เพียงแค่เอ่ยถามว่า “กลุ่มคนที่เข้าถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อนหน้าพวกเจ้า ยังจำได้หรือไม่?”
ซู่เตี่ยนเงียบไม่ตอบคำถาม
หม่าขู่เสวียนยื่นสองมือออกมา เริ่มปั้นลูกหิมะอีกครั้ง พลางพูดกับตัวเองว่า “ครั้งสุดท้ายที่ราชสำนักต้าหลีเปิดประตูต้อนรับคน คนกลุ่มแรกสุดที่เข้าไปในเมืองเล็ก เข้าไปหาสมบัติในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนใคร มีใครบ้างที่ธรรมดา พวกเจ้าซึ่งเป็นกลุ่มที่ตามมาถึงทีหลัง ก็เป็นคนที่อดีตฮ่องเต้ต้าหลีกับซิ่วหู่ตั้งใจคัดเลือกมาเช่นกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นเศษสวะ แน่นอนว่ายกเว้นเจ้า”
“จะว่าไปแล้ว เจ้าก็คือเศษสวะมาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่สำหรับต้าหลีแล้ว กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาที่ถูกเจ้าทำให้เดือดร้อนกลับพอจะมีประโยชน์ต่อราชสำนักอยู่บ้าง”
หม่าขู่เสวียนส่ายหน้า “น่าเสียดายที่ดันไม่ได้ตายดี ดันมาเจอกับข้า”
ซู่เตี่ยนร้องไห้อย่างน่าเวทนา “เจ้าบอกเองว่าใครทำคนนั้นก็รับไป แล้วก็ยังเป็นเจ้าที่ทำผิดก่อน ปีนั้นเจ้าจงใจลงมือถ่วงการฝึกตนของข้า ต่อให้หลังจบเรื่องข้าจะทำความผิดมหันต์ แต่เหตุใดเจ้าไม่สังหารแค่ข้า เหตุใดต้องฆ่าคนไปมากมายถึงเพียงนี้?”
หม่าขู่เสวียนหันกลับไปคิดเรื่องของตัวเองนานแล้ว ครู่ใหญ่ต่อมาเขาถึงหันหน้ามาถามว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
ซู่เตี่ยนได้แต่เงียบงันไปอีกครั้ง
หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่สนใจ หากจิตแห่งมรรคาของนางแหลกสลายลงอย่างสิ้นเชิง แบบนั้นก็ไม่สนุกแล้วน่ะสิ
หม่าขู่เสวียนพลันถามว่า “ไม่สู้ข้ารับลูกศิษย์ที่ในอนาคตจะต้องชอบเจ้าอย่างแน่นอนมาไว้ ให้เขาช่วยแก้แค้นแทนเจ้าดีไหม?”
ซู่เตี่ยนอึ้งตะลึง
สีหน้าหม่าขู่เสวียนมีชีวิตชีวา รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจอย่างมาก “เป็นอย่างไร? ข้ารับรองว่าก่อนที่เขาจะลงมือสังหารข้า ข้าจะไม่ฆ่าเขาเด็ดขาด และหลังจบเรื่องก็ยิ่งไม่มีทางฆ่าเจ้า เจ้าแค่ดูละครไปก็พอ ข้าแค่จะเตือนเจ้าเรื่องเดียว อย่าปล่อยให้เขาทำสำเร็จโดยง่ายเด็ดขาด ยิ่งห้ามชอบเขาอย่างจริงจัง ข้าน่ะไม่เท่าไรหรอก เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าพอเขาเอียนเจ้าแล้ว อาจเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน อาศัยการสังหารเจ้ามาแสดงความภักดีต่อข้า ถึงเวลานั้นพวกเจ้าสองคนก็จะสละชีพเพื่อความรักมาทำให้ข้าสะอิดสะเอียนตายหรือไร?”
ซู่เตี่ยนจ้องเจ้าคนบ้าผู้นี้เขม็ง
ผู้ฝึกตนต้องตัดขาดอารมณ์ความรู้สึก
แต่จะมีสักกี่คนที่สุดโต่งได้อย่างบุรุษตรงหน้าผู้นี้?
หม่าขู่เสวียนเบ้ปาก “เมื่อไหร่ที่คิดได้แล้วก็มาบอกข้า ข้าจะต้องทำให้เจ้าสมปรารถนาอย่างแน่นอน”
หม่าขู่เสวียนชั่งน้ำหนักลูกหิมะในมือ ทอดสายตามองไปไกล ในสายลมอบอวลไปด้วยเกล็ดหิมะ หนทางเบื้องหน้าพร่าเลือน ฟ้าดินเงียบสงัด
ความคิดของหม่าขู่เสวียนล่องลอยไปไกล
ปีนั้นเจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนของตรอกหนีผิงวิ่งไปรับจดหมายจากเจิ้งต้าเฟิงที่ประตูรั้วของเมืองเล็ก อันที่จริงหม่าขู่เสวียนก็ตามเขาออกจากตรอกซิ่งฮวา จากนั้นก็ไปยืนมองประตูใหญ่อยู่ไกลๆ
เฉินผิงอันมองเห็นทัศนียภาพนอกประตู แน่นอนว่าหม่าขู่เสวียนก็ต้องเห็นด้วย
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของหลิวเหล่าเฉิง ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีปในอดีต ลูกหลานสุกลเจียงอวิ๋นหลิน เจียงอวิ้น
ไอ้หมอนี่เป็นคนที่ได้โชควาสนาจากบ่อโซ่เหล็กไป
เกาเซวียนองค์ชายต้าสุยได้ปลาหลีสีทองไปจากมือของหลี่เอ้อ แล้วยังได้ข้องราชามังกรไปเปล่าๆ อีกหนึ่งใบ ภายหลังต้าสุยกับต้าหลีลงนามในสัญญากัน เกาเซวียนรับหน้าที่เป็นตัวประกันมาพักพิงอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่ของภูเขาพีอวิ๋น วันหน้าก็มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะได้เป็นฮ่องเต้ของต้าสุย
ฝูหนันหัว เจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไป
ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ภูเขาเมฆาเรืองแห่งนั้นคือภูเขาตระกูลเซียนที่ฝึกบำเพ็ญตนด้วยวิถีของลัทธิพุทธซึ่งมีน้อยนักในแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้เมื่อคล้อยตามสถานการณ์ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวสำรองของสี่สำนักใหญ่ ผู้ฝึกตนของภูเขาเมฆาเรือง แต่ไหนแต่ไรมาก็เชี่ยวชาญเรื่องกฎของลัทธิพุทธ รู้วิธีการสร้างวัดวาอาราม พวกเขาจึงพากันลงจากภูเขามาให้ความช่วยเหลือขุนนางกรมโยธาของต้าหลี เริ่มสร้างวัดวาขึ้นมาใหม่อีกครั้งในอาณาเขตต่างๆ ที่อยู่ใต้อาณัติของต้าหลี มีหน้ามีตาดีหรือไม่เล่า?
ภูเขาตะวันเที่ยง วานรเฒ่าย้ายภูเขาคุ้มครองแม่นางน้อยคนหนึ่งมา ชื่อว่าอะไรแล้วนะ เถาจื่อ? จำได้ว่านางอายุน้อยๆ ก็มีบุคลิกเหมือนคนบนภูเขามากแล้ว
และยังมีแม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นคู่นั้น
ภายหลังอาศัยให้บุตรสาวสายตรงแต่งงานกับบุตรอนุภรรยา ในที่สุดก็ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาคานค้ำยันแคว้นของต้าหลี มีความสัมพันธ์เป็นบ้านดองกัน ทุกวันนี้ก็เป็นตัวสำรองของสำนักอักษรจงเช่นกัน
หนิงเหยา
เกาเสวียน ขันทีผู้ติดตาม เจียงอวิ้น ฝูหนันหัว ไช่จินเจี่ยน
วานรย้ายภูเขา เถาจื่อ สตรีออกเรือนแล้วจากสกุลสวี่นครลมเย็นที่พาเด็กชายสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดมาด้วยคนหนึ่ง
ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่หาเงินโดยการส่งจดหมายยืนอยู่หน้าประตู คนทั้งกลุ่มนั้นยืนอยู่นอกประตู
คาดว่าทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในและนอกประตูคงไม่มีใครคิดได้ว่า ในอนาคตพวกเขาจะมีบุญคุณความแค้นพัวพันกันซับซ้อนขนาดนี้
ปีนั้นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนเสียดายมากที่สุดก็คือนครลมเย็นลงมือเบาเกินไป วานรย้ายภูเขาสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง หลิวเสี้ยนหยางก็ดี เฉินผิงอันก็ช่าง พวกเขากลับกำจัดใครไปไม่ได้สักคน
หม่าขู่เสวียนถอนหายใจ “ด้านล่างยอดเขา อันที่จริงขอแค่พอจะมีสมองอยู่สักหน่อย ก็ล้วนวางแผนได้อย่างลึกล้ำและแยบยล ขาดก็แค่ระดับความสูงเท่านั้น จุดที่คนฉลาดพวกนี้น่ารังเกียจที่สุดก็คือเบิกตากว้างมองดูอยู่แล้วแท้ๆ แต่ดันไม่เดินไปให้ถึงตรงนั้น”
“ชะตาไม่ดี แล้วจะมีวิธีอะไรอีกเล่า?”
“ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงเปลี่ยนจากบุตรชายนอกสมรสของผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ถูกแทงข้างหลัง กลายมาเป็นเมล็ดพันธ์มังกรของสกุลซ่งต้าหลี ตอนนี้ก็กลายมาเป็นอ๋องเจ้าเมืองแล้ว ก็แค่เขามีชะตาชีวิตที่ดีเท่านั้น แค่นี้เท่านั้น”
หม่าขู่เสวียนโยนลูกหิมะทิ้งเบาๆ “คิดไม่ถึงว่ายังจะต้องมาให้การช่วยเหลือเจ้าคนโง่ที่ชะตาชีวิตดีผู้นี้ ชะตาชีวิตของข้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยจริงๆ นะ”
……
เกาะกงหลิ่วทะเลสาบซูเจี่ยนเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักเจินจิ้ง
พอเจียงซ่างเจินกลับจากแจกันสมบัติทวีปไปยังใบถงทวีป ฟ้าดินก็พลิกคว่ำคะมำหงาย ไม่เพียงแต่ตัวของสำนักกุยหยกเอง ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ของตลอดทั้งทวีปก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันด้วย
พูดถึงแค่สำนักกุยหยก เหวยอิ๋งเจ้าขุนเขาของยอดเขาจิ่วอี้ก็ได้ถูกเจียงซ่างเจิน ‘ส่งออกนอกอาณาเขตอย่างมีมารยาท’ ด้วยตัวเอง ให้ไปอยู่สำนักเจินจิ้งที่ทะเลสาบซูเจี่ยน รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนใหม่
เหวยอิ๋งออกจากทวีปเดินทางขึ้นเหนือ พาคนไปด้วยไม่น้อย
หนึ่งในนั้นก็คือบุตรชายคนโตของเจียงซ่างเจิน เจียงเหิง
และยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ปีนั้นเจียงซ่างเจินนำตัวออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาอยู่ใต้หล้าไพศาล ยาเอ๋อร์
ลูกศิษย์ของยอดเขาจิ่วอี้มีทั้งสิ้นหกคน ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวยอิ๋งทั้งสิ้น หกคนนี้ คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร อีกคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ผู้ฝึกกระบี่สี่คน และทั้งหกคนก็มีลูกศิษย์เป็นของตัวเอง รวมทั้งสิ้นสิบสี่คน
นอกจากยอดเขาจิ่วอี้แล้ว ยังมีลูกศิษย์ของยอดเขาใหญ่แห่งอื่นในสำนักกุยหยกที่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอายุต่ำกว่าร้อยปี ขอบเขตส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ผู้ฝึกลมปราณเด็กหนุ่มเด็กสาวจะมีจำนวนมากกว่า รวมแล้วหกสิบคน
ตอนที่เหวยอิ๋งพากลุ่มคนไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวเหล่าเฉิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้งก็ไปประชุมที่เมืองหลวงต้าหลีพอดี
แต่หลิวเหล่าเฉิงไม่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน อิทธิพลของเขากลับแทรกซึมอยู่ทั่วทั้งบนและล่างสำนักเจินจิ้งแล้ว ถึงขั้นพูดได้ว่าทุกซอกทุกมุมของทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนมีตราประทับของหลิวเหล่าเฉิงนาบไว้อย่างเข้มข้น
พอเหวยอิ๋งไปถึงสำนักเจินจิ้ง หรือควรจะพูดให้ถูกคือพอเจียงซ่างเจินออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน
ก็กลายเป็นว่ามีภูเขาเกิดขึ้นสามลูก กลุ่มอิทธิพลแบ่งเป็นสามฝ่าย
หลิงเหล่าเฉิงคือหัวหน้าของกลุ่มอิทธิพลทะเลสาบซูเจี่ยนเก่า
หลี่ฝูฉวีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักกุยหยกที่ออกจากใบถงทวีปมาเป็นกลุ่มแรกๆ อันที่จริงปีนั้นคนที่พวกนางติดตามมาไม่ใช่เจียงซ่างเจิน แต่เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักใบถงที่พกเอาสมบัติสยบขุนเขาทรยศเข้าสวามิภักดิ์ต่อสำนักกุยหยกผู้นั้น
หลิวจื้อเม่าที่พอได้กลายเป็นผู้ถวายงาน แล้วเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน สุดท้ายก็ดึงเอาเกาะชิงเสียกลับมาอยู่ในมือได้สำเร็จค่อนข้างจะสนิทสนมกับหลี่ฝูฉวี แล้วก็ถือว่าเป็นเสาคานหลักของภูเขาลูกนี้ด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นกองกำลังที่เป็นดั่ง ‘มังกรข้ามแม่น้ำ’ ของหลี่ฝูฉวีนี้ก็คงไม่สามารถงัดข้อกับงูเจ้าถิ่นอย่างหลิวเหล่าเฉิงได้
นอกจากนี้ก็เป็นกลุ่มของเหวยอิ๋ง เจ้าสำนักคนใหม่ที่ได้ผลประโยชน์สำเร็จรูปไปครองเต็มๆ
ตอนที่เจียงซ่างเจินอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน สถานการณ์ไม่ได้ซับซ้อนเช่นนี้ อะไรที่เป็นของข้าก็คือของข้า อะไรที่เป็นของพวกเจ้าก็ยังคงเป็นของข้า
หลังจากเหวยอิ๋งมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน เขาก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด ถึงอย่างไรสำนักเจินจิ้งก็มีขั้นตอนที่แน่นอนในการจัดตำแหน่งให้กับผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกกลุ่มนี้อยู่แล้ว เกาะมีอยู่มากมาย แทบทั้งหมดล้วนเป็นเกาะใต้อาณัติของหนึ่งสำนัก จะไม่มีสถานที่ให้ขุนนางผู้ประคับประคองมังกรซึ่งเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ลงหลักปักฐานเลยหรือ? หลี่ฝูฉวีมีชาติกำเนิดมาจากสำนักกุยหยก แน่นอนว่านางย่อมมิกล้าแสดงท่าทีไม่เคารพต่อเหวยอิ๋ง แต่เคารพก็ส่วนเคารพ เพราะก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น หลี่ฝูฉวีไม่กล้าสวามิภักดิ์หรือหันมาพึ่งพาเหวยอิ๋งด้วยซ้ำ
วันนี้หลี่ฝูฉวีมาดื่มชาร่วมกับหลิวจื้อเม่าในจวนที่สร้างขึ้นมาใหม่บนเกาะชิงเสีย
หลี่ฝูฉวีกลัดกลุ้มเป็นกังวล หัวคิ้วขมวดมุ่นมิคลาย
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “กลัวเจ้าสำนักเจียงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลี่ฝูฉวีมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับหลิวจื้อเม่า แม้จะไม่ถึงขั้นควักใจออกมาให้กันดู แต่หากเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ก็ยังยินดีจะมอบความจริงใจให้หลายส่วน นางตอบอย่างสัตย์จริงว่า “จะไม่กลัวได้หรือ? กลัวเข้าไปถึงในกระดูกแล้ว”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “ไม่เพียงแค่เจ้าและข้าเท่านั้น อันที่จริงหลิวเหล่าเฉิงก็กลัวเหมือนกัน ดังนั้นก็ปล่อยไปตามนี้เถอะ ควรทำอะไรก็ทำไป สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ควรจุดธูปกราบไหว้แล้ว”
หลี่ฝูฉวียิ้มขื่น “ไม่อย่างนั้นจะยังทำอย่างไรได้อีกเล่า”
ต่อให้นับตั้งแต่ที่สำนักเจินจิ้งก่อตั้งขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน ไปจนถึงตอนนี้ที่เจียงซ่างเจินกลับคืนไปยังใบถงทวีป กลายเป็นเจ้าสำนักกุยหยก เขาจะไม่เคยยินดีพูดคุยกับหลี่ฝูฉวี ยิ่งไม่เคยสั่งความอะไรนาง วางท่าว่าเจ้าหลี่ฝูฉวีอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ทักทายไม่บอกกล่าวก็กลับคืนไปสู่ใบถงทวีปอย่างสง่างามเพียงลำพัง
แต่หลี่ฝูฉวีก็ยังระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้ามีการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่นิดเดียว ยึดมั่นในกฎปฏิบัติตามหน้าที่ เฝ้าพิทักษ์เขตอิทธิพลน้อยๆ ของตัวเองที่มีอยู่แต่เดิม พยายามไม่ให้มันลดน้อยลง แล้วก็ไม่หวังที่จะให้มีเพิ่มมากขึ้น
ต่อให้เหวยอิ๋งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกที่มีคุณสมบัติเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งเป็นเจ้าของยอดเขาจิ่วอี้ และเป็นเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้งในทุกวันนี้ แต่หลี่ฝูฉวีก็ยังไม่กล้ามีการกระทำที่ล้ำเส้น ได้แต่ฝืนใจทำตัวเป็นคนเลวที่ไม่รู้จักดีชั่ว รับหน้าที่คอยคุมเชิงงัดข้อกับเหวยอิ๋งและหลิวเหล่าเฉิง
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นางกลัวว่าตัวเองตายไปอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัว
หลี่ฝูฉวีถึงขั้นรู้สึกได้ว่าต่อให้เป็นเหวยอิ๋งผู้นี้ วันใดวันหนึ่งก็อาจตายอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ยกตัวอย่างเช่นปิดด่านจนตายไป หรือไม่ก็ไม่ทันระวังตกน้ำจมน้ำตาย กินข้าวติดคอตาย ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะหลี่ฝูฉวีไม่รู้เลยว่าเจียงซ่างเจินต้องการอะไร คิดจะทำอะไร หรือลงมือทำไปแล้วเพราะมีวัตถุประสงค์ใดกันแน่
กลับกลายเป็นเหวยอิ๋งที่ฉายประกายเฉียบคมทั่วทั้งตัว ซึ่งความคิดบางอย่างของเขานั้นมีร่องรอยให้สืบหาได้
หันกลับมามองเจียงซ่างเจิน เขามักจะเป็นบุรุษที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ห่างไกลสุดขอบฟ้าเสมอ
ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ ทั้งๆ ที่เจียงซ่างเจินอยู่ไกลสุดขอบฟ้า แต่กลับเหมือนว่านาทีถัดมาเขาจะมาโผล่อยู่ตรงหน้า
ตอนนั้นด้วยความโมโห เจียงซ่างเจินจึงออกจากสำนักกุยหยก เล่าลือกันว่าตู้เม่าเคยเชื้อเชิญให้เจียงซ่างเจินเข้าร่วมกับสำนักใบถงด้วยตัวเอง เขารับปากกับเจียงซ่างเจินที่ในเวลานั้นยังเป็นแค่ขอบเขตโอสถทองว่า ขอแค่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ก็จะได้กลายเป็นเจ้าสำนักใบถงคนถัดไปทันที
เจียงซ่างเจินถามตู้เม่าว่าหากไม่ตอบตกลงก็ต้องตายใช่หรือไม่ ตู้เม่าหัวเราะร่าพลางส่ายหน้า เจียงซ่างเจินจึงไม่ตกลง เขาเดินทางขึ้นเหนือไปต่ออีกครั้ง ท่องเที่ยวไปตลอดทางกระทั่งไปถึงอุตรกุรุทวีป
แต่ว่ากันว่าตอนที่เขากลับมา เจียงซ่างเจินจงใจอ้อมเส้นทาง ไม่เดินทางบนบก แต่เลือกจะแอบลงใต้ผ่านเส้นทางของมหาสมุทร แต่กระนั้นก็ยังถูกผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งของสำนักใบถงมาดักกลางทาง จากนั้นก็ไล่ฆ่าเขาไกลหลายหมื่นลี้ ผลคือเจียงซ่างเจินขึ้นบกมาด้วยสภาพเหมือนขอทาน ส่วนเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตหยกดิบคนนั้นกลับไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว หายไปไร้ข่าวคราวเหมือนวัวดินปั้นที่จมลงสู่ทะเลอย่างแท้จริง จนกระทั่งทุกวันนี้เจียงซ่างเจินก็ยังไม่เคยบอกเล่าต้นสายปลายเหตุ หลังจบเรื่องสำนักใบถงก็ไม่เคยซักไซ้สอบถาม ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น กลายเป็นคดีปิดไม่ลงที่คนนอกเอาไปพูดคุยกันได้อย่างออกรสออกชาติ
สำนักเจินจิ้งยังไม่อาจหยัดยืนอยู่ในแจกันสมบัติทวีปได้อย่างมั่นคง เจียงซ่างเจินที่เป็นเจ้าสำนักก็โยนภาระหน้าที่ออกไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำ ไปเยือนอุตรกุรุทวีปเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็ไม่ทำอะไรสักอย่าง เพียงแค่พาเด็กน้อยในห่อผ้าอ้อมคนหนึ่งกลับมา คุณสมบัติของเด็กน้อยผู้นั้นธรรมดาอย่างมาก แต่เจียงซ่างเจินกลับปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง อีกทั้งเรื่องที่เจียงซ่างเจินปฏิบัติกับเจียงเหิงบุตรชายโทนเพียงคนเดียวอย่างไร ตลอดทั้งสำนักกุยหยกมีใครบ้างที่ไม่รู้?
เกี่ยวกับเรื่องเล่าแปลกประหลาดของเจียงซ่างเจินนั้น แต่ละเรื่องแต่ละวีรกรรม กี่กระบุงใหญ่ก็บรรจุไว้ไม่หมด