กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 645.1 ลงจากหัวกำแพงเมือง
บนเกาะหลูฮวา ในถ้ำแห่งวาสนาที่เล่าลือกันว่ามียอดฝีมือลัทธิเต๋ามาฝึกวิชาเซียนอยู่นั้น ปีศาจใหญ่คอขวดเซียนเหรินตนหนึ่งที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานถูกจั่วโย่วถามกระบี่ออกไปก่อนหนึ่งครั้ง เพื่อหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายเป็นตัวจริงหรือไม่ จากนั้นก็ออกกระบี่อีกครั้ง บีบให้อีกฝ่ายหลบหนีออกจากเกาะหลูฮวา สุดท้ายก็ยังคงถูกจั่วโย่วสังหารบนมหาสมุทร
หลังจากที่จั่วโย่วและหวังซือจื่อขี่กระบี่ขึ้นฝั่ง สำนักฝูจีก็ทยอยส่งกระบี่บินสองเล่มมาแจ้งข่าวแก่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เดินทางไปเยือนใบถงทวีปร่วมกับจั่วโย่วพยายามที่จะเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ครบถ้วนที่สุดบนจดหมายกระบี่บิน
หลังจากที่จั่วโย่วประมือกับปีศาจใหญ่ตนนั้น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอย่างหวังซือจื่อก็ได้แต่ชมศึกอยู่ไกลๆ ขอบเขตของหวังซือจื่อไม่สูง แต่โลกทัศน์กลับกว้างไกลมากพอ เพราะถึงอย่างไรตอนที่อยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยเห็นการลงมือที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินของปีศาจใหญ่มาแล้วหลายครั้ง จึงพอจะวิเคราะห์ขอบเขตของปีศาจใหญ่ที่อยู่ในถ้ำแห่งวาสนาตนนั้นได้ว่าต้องไม่ใช่ขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปอย่างแน่นอน
ตอนนั้นหวังซือจื่ออยู่ห่างจากสนามรบมาเกือบสามร้อยลี้ แต่กระนั้นคลื่นใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ยังโถมตัวขึ้นสูงเป็นคลื่นยักษ์ เสียงน้ำขึ้นสะเทือนเลือนลั่นดุจเสียงอสนีบาต แล้วยังพอจะสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นปราณกระบี่ที่กระเพื่อมออกมาจากปณิธานกระบี่ของจั่วโย่วได้อย่างชัดเจน
หลังจากจั่วโย่วเก็บกระบี่ก็ตามหาตัวหวังซือจื่อ แล้วเอ่ยแค่ว่าหมดเรื่องแล้ว จากนั้นคนทั้งสองก็ออกเดินทางไปด้วยกันต่อ
หวังซือจื่ออดไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยถาม ‘ผู้อาวุโส’ เซียนกระบี่ ‘คนวัยเดียวกัน’ ข้างกายที่เงียบงันมาตลอดทางไปหนึ่งประโยค
ถามว่าปีศาจใหญ่ตนนั้นเป็นขอบเขตบินทะยานแล้วหรือไม่ จั่วโย่วส่ายหน้า บอกว่ายังขาดอีกเสี้ยวหนึ่ง หากมาถึงเกาะหลูฮวาช้ากว่านี้สักนิด เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี อย่างมากสุดก็สิบกว่าปี ปีศาจใหญ่ที่กระโดดออกมาจากถ้ำแห่งโชควาสนาจะกลายเป็นขอบเขตบินทะยานตัวจริงเสียงจริง แบบนั้นจะยุ่งยากอย่างมาก
จากนั้นจั่วโย่วก็เอ่ยอีกประโยคว่า หากมาเจอกันโดยบังเอิญหลังจากนี้สามปีห้าปี ตนไม่มีอาการบาดเจ็บติดตัว อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสักเท่าไร
เดิมทีจั่วโย่วก็ไม่ใช่คนที่พูดเยอะอยู่แล้ว ขอแค่เปิดปากพูด แต่ไหนแต่ไรมามีหนึ่งเขาก็พูดแค่หนึ่ง ไม่เคยจะคุยโวโอ้อวด แล้วก็คร้านที่จะถ่อมตนด้วย
ส่วนกระบี่บินที่จั่วโย่วส่งข่าวไปให้สำนักฝูจีหลังจบเรื่องก็เรียบง่ายมาก แค่ประโยคเดียว ‘เดินทางไปใบถงทวีปครั้งนี้ ถือโอกาสสังหารเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งไประหว่างทาง ศพไม่เหลือใต้คมกระบี่ข้า คุณความชอบนี้จดให้เป็นของเฉินผิงอันผู้เป็นศิษย์น้อง’
หากเรือนชุนฟานและกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากจั่วโย่วแค่คนเดียว คาดว่าคงจะเห็นอีกฝ่ายเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปจริงๆ
ทางฝั่งห้องบัญชีของเรือนชุนฟาน
เยี่ยนหมิงกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนต่างก็อึ้งตะลึงกันไปก่อน จากนั้นก็มองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ไม่เสียแรงที่เป็นจั่วโย่ว
เหวยเหวินหลงกลับรู้สึกเหมือนกำลังฟังตำราสวรรค์
หมี่อวี้หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เหวินหลงอ่า”
เหวยเหวินหลงรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว เงยหน้าขึ้น “มิทราบว่าเซียนกระบี่หมี่มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
หมี่อวี้ถาม “รู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องเล็กของผู้อาวุโสจั่วโย่วคือใคร?”
เหวยเหวินหลงตอบอย่างคาดเดา “น่าจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน”
ขอบเขตไม่สูง แต่หัวสมองกลับดีเยี่ยม
คำพูดนี้ก็คือกล่าวถึงเหวยเหวินหลงนั่นเอง
หมี่อวี้มองหน้าเจ้าคนที่ทำให้การพูดคุยไปต่อไม่ได้ผู้นี้นิ่ง
เหวยเหวินหลงจึงรีบเอ่ยเสริมเหมือนคนล้อมคอกเมื่อวัวหาย “กระมัง?”
หมี่อวี้ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “เดาได้แม่นจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นคนมีความสามารถที่ใต้เท้าอิ่นกวานหมายตา เหวินหลง เจ้ามีสตรีในดวงใจที่ไม่ได้มาครอบครองบ้างหรือไม่? ต้องการให้ข้าสอนเคล็ดลับแก่เจ้าหรือไม่? วางใจเถอะ ไม่ใช่วิชามารนอกรีตไม่เข้าขั้นอะไรพวกนั้นหรอก รับรองว่าจริงใจต่อเจ้าจริงๆ”
เหวยเหวินหลงรีบส่ายหน้า
ต่อให้มีก็ไม่กล้าให้หมี่อวี้รู้จักเด็ดขาด
หมี่อวี้มือหนึ่งถือพัด ยิ้มถามว่า “หากสตรีที่ชอบพอกันกับเจ้าหันมาชอบข้าแทน นางยังจะมีค่าพอให้เจ้าชอบอีกหรือ?”
เหวยเหวินหลงรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย
น่าหลันไฉ่ฮ่วนรำคาญคนเจ้าชู้ผู้นี้เต็มที จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “มีรูปโฉมเหม็นเน่านี้เสียเปล่า มามัวโอ้อวดอะไรอยู่”
หมี่อวี้หุบพัดอย่างสง่างาม “จิตใจที่รักความงามเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนมี ไม่ทำให้สตรีบนโลกที่พบเจอหมี่อวี้รู้สึกขวางหูขวางตา ก็คือเรื่องเดียวที่ข้าหมี่อวี้พอจะทำได้แล้ว”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหัวเราะเสียงเย็น “แต่ข้ากลับรู้สึกขวางหูขวางตาอย่างถึงที่สุด”
หมี่อวี้คลี่พัดออกอีกครั้ง ยกขึ้นบดบังใบหน้า “ยินดีทำเรื่องที่มากกว่านี้เพื่อแม่นางน่าหลัน”
เหวยเหวินหลงรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
บนภูเขาฉุยซางภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฝูจี
เดิมทีจีไห่เจ้าสำนักฝูจีปฏิเสธข้อเสนอของจงขุยไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรวิชาลับตระกูลเซียนวิชานั้นก็เป็นรากฐานมหามรรคาของเขาจีไห่ จะถ่ายทอดให้แก่ผู้สืบทอดที่เป็นเจ้าสำนักในแต่ละรุ่นเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่อันที่จริงเจ้าสำนักรุ่นถัดไปของสำนักฝูจีที่เขาหมายตาก็คือคนหนุ่มที่ปีนั้นเปิดโปงที่ซ่อนตัวของปีศาจใหญ่โดยบังเอิญ เด็กคนนี้มีวาสนากับสำนักฝูจี การฝึกตนบนภูเขา วาสนาบนมรรคานั้นสำคัญที่สุด
แค่รอให้เด็กคนนั้นกลับมาจากการไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาต้าฝู จีไห่ก็เตรียมจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้ไม่ได้จุดูปกราบไหว้ภาพเหมือนที่ศาลบรรพจารย์ จึงไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของจีไห่อย่างแท้จริง
จงขุยเองก็รู้ว่าแค่อาศัยจดหมายลับสองฉบับจากอาจารย์ในสำนักศึกษากับเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงนั้นย่อมยากมากที่จะทำให้จีไห่ยอมแหกกฎ นอกจากนี้ตามเหตุตามผลแล้วก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่เป็นเพราะถูกอาจารย์ของตนไล่มา แล้วจำเป็นต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้จงได้ ตัวจงขุยเองก็ไม่ยินดีจะทำให้ใครลำบากใจเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคำสั่งของอาจารย์ยากจะปฏิเสธ จงขุยจึงเล่นแง่ไม่ยอมจากไป ทุกสามวันห้าวันจะต้องคอยไปดื่มน้ำชาพูดคุยเรื่องความในใจกับเจ้าสำนักจี จีไห่ที่ถูกตอแยจึงได้แต่อ้างว่าต้องปิดด่าน ผลคือจงขุยกลับเอาโต๊ะน้ำชามาตั้งวางด้านหน้าถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนักฝูจี บนโต๊ะกองตำราไว้จนเต็ม บอกว่าต้องการเฝ้าด่านให้กับเจ้าสำนักจี มานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นทุกวัน
จีไห่ไม่ให้ความสนใจ
เรื่องอื่นๆ ล้วนสามารถพูดคุยกันได้ มีเพียงเรื่องนี้ อย่าว่าแต่ภูเขาไท่ผิงและสำนักศึกษาต้าฝูจะพูดไม่เป็นผลเลย ต่อให้เป็นสวินยวนอดีตเจ้าสำนักกุยหยก กับเจียงซ่างเจินเจ้าสำนักคนใหม่มาขอร้องพร้อมกันก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน
หวงถิงไม่ได้หน้าหนาเหมือนจงขุย จึงลงจากภูเขาออกเดินทางท่องเที่ยวไปเพียงลำพังแล้ว
ไม่รู้ว่าเหตุใด ก่อนหน้านี้ซ่งเหมาผู้เป็นอาจารย์กับบรรพจารย์เทียนจวินผู้เฒ่าที่ร้อนใจกับด่านสำคัญในการฝึกตนของนาง ตอนนี้กลับบอกให้นางไม่ต้องรีบร้อนฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด ให้ค่อยเป็นค่อยไป ผู้ฝึกตนพิถีพิถันในคำว่าเป็นธรรมชาติมากที่สุด จะต้องรีบร้อนไปไย โดยเฉพาะเทียนจวินผู้เฒ่าที่ยิ่งร่ายเหตุผลวุ่นวายยาวเหยียดด้วยความหวังดี สุดท้ายแม้แต่คำพูดน่าอายอย่างคำว่า ‘สตรีมีขอบเขตสูงเกินไปจะหาผู้ชายได้ยาก’ ก็ยังพูดออกมาได้
ในขณะที่จงขุยกำลังแข่งเรื่องความอดทนกับจีไห่ จั่วโย่วกับหวังซือจื่อที่เดินทางมาร่วมกันตลอดทางก็ออกจากมหาสมุทรมาจนถึงสำนักฝูจี จีไห่ถึงได้จำต้องออกจากด่าน
จากนั้นจีไห่ก็ได้ฟังคำบอกเล่าของหวังซือจื่อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของทวีปเล่าว่า ผู้อาวุโสจั่วโย่วสังหารปีศาจใหญ่บนมหาสมุทร จำเป็นต้องส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวแก่ภูเขาห้อยหัว
ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่ง เดิมทีเขาก็ประทับใจในตัวการร้ายที่หลังจากถามกระบี่ไปหนึ่งครั้งก็เป็นเหตุให้สำนักใบถงร่อแร่ใกล้ตายอย่างจั่วโย่วมากแล้ว ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าจีไห่มองคนผู้นี้เป็นดั่งผู้มีพระคุณ
ตอนนี้หากกล่าวถึงคนของใบถงทวีปที่เคียดแค้นปีศาจใหญ่ที่สุด ก็ต้องมีจีไห่เป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน เพราะปีนั้นคู่บำเพ็ญเพียรของเขาก็ตายด้วยน้ำมือของปีศาจใหญ่ และปีศาจใหญ่ตนนั้นก็หลบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง ออกห่างจากพื้นดิน ตอนนั้นจีไห่บาดเจ็บสาหัสไม่สามารถไล่ตามไปสังหารอีกฝ่ายได้ ใบถงทวีปจึงส่งคนสามคนไปไล่ฆ่าปีศาจใหญ่ แบ่งออกเป็นซ่งเหมาเจ้าขุนเขาของภูเขาไท่ผิง บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักใบถงในเวลานั้น และเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก บังเอิญยิ่งนัก ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนนั้นไปเจอกับจั่วโย่วบนมหาสมุทร หากเอ่ยตามคำพูดของเจียงซ่างเจินก็คืออยู่ดีไม่ว่าดีปีศาจใหญ่ตนนั้นที่เห็นผู้อาวุโสจั่วโย่วดันรู้สึกว่าเขาขวางหูขวางตา ไม่ยอมอ้อมผ่านไป จะเข้ามาพุ่งชนให้จงได้ ก็เลยโดนไปหนึ่งกระบี่ จากนั้นก็ซี้แหงแก๋
ตอนนี้จั่วโย่วขึ้นมาบนฝั่ง ข่าวแรกที่นำมาบอกก็คือเขาได้สังหารปีศาจใหญ่คอขวดขอบเขตเซียนเหรินบนเกาะหลูฮวาไปอีกหนึ่งตน
แล้วนับประสาอะไรกับที่พอเห็นท่าทางจะพูดแต่ก็หยุดไป ไม่กล้าพูดอะไรมากของผู้ฝึกกระบี่หวังซือจื่อ ก็เห็นได้ชัดว่าตลอดหลายปีมานี้จั่วโย่วที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องผ่านอะไรต่ออะไรมาอย่างไม่ง่ายเลย
จิตใจของจีไห่จะไม่เบิกบานได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าจั่วโย่วกลับไม่ค่อยสนใจเจ้าสำนักที่มีท่าทางกระตือรือร้นเกินพอดีผู้นี้เท่าไรนัก
สำหรับใบถงทวีป ผู้ที่เขาพอจะมีความประทับใจอยู่บ้างก็มีแค่ภูเขาไท่ผิงเท่านั้น
ดังนั้นก่อนจะลงจากภูเขา จั่วโย่วจึงเป็นฝ่ายเอ่ยกับจงขุยด้วยประโยคหนึ่งว่า “เหล็กหมาดหิมะด้ามที่ศิษย์น้องเล็กของข้าให้เจ้ายืม เจ้าคิดจะทำเลอะเลือนปล่อยผ่านไป ไม่คิดจะคืนแล้วใช่ไหม?”
จงขุยเกือบจะน้ำตาเอ่อคลอ
จะคืนหรือไม่คืน ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนก็ได้ ประเด็นสำคัญคือผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้าผู้นี้คือคนกันเอง
เฉินผิงอันเจ้าเด็กคนนี้ใช้ได้เลยนี่นา ไม่คิดว่าจะกลายเป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสท่านนี้ได้ ข้าจงขุยกับเจ้าเฉินผิงอันคือพี่น้องที่ดีต่อกัน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าจั่วโย่วคือศิษย์พี่ของข้าแล้ว
ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องอะไรที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้อีกหรือ?
ระหว่างที่เดินไปบนเส้นทางลงจากภูเขา จงขุยจึงไม่เกรงใจศิษย์พี่ของตัวเองแม้แต่น้อย เขาเริ่มเล่าถึงสภาพอันน่าเวทนา การที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ การที่ต้องกินน้ำแกงประตูปิด ถูกคนตวัดตามองอย่างดูแคลนซึ่งตนพบเจอในสำนักฝูจีด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ…
ทำเอาจีไห่เจ้าสำนักฝูจีโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ ความรู้สึกผิดน้อยนิดที่เดิมทีมีอยู่ในใจหายวับไปไม่มีเหลือ
จั่วโย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทยอยใช้เสียงในใจสอบถามจงขุยและจีไห่ สุดท้ายเอ่ยว่า “จีไห่ เจ้าสามารถบอกให้จงขุยเอ่ยคำสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายวิชาลับนั้นแก่ใคร ในเมื่อเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแล้วก็สามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของสำนักฝูจีได้ แต่ข้าเป็นแค่คนนอก ก็แค่แนะนำให้เท่านั้น “
จีไห่ถอนหายใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมพยักหน้าตอบตกลงจริงๆ
จงขุยย่อมไม่มีความเห็นต่าง
จีไห่พาจั่วโย่วมาส่งที่หน้าประตูภูเขา จงขุยหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนขึ้นเขามากับหวงถิงก่อนหน้านี้แล้วก็ให้รู้สึกว่าช่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ
จั่วโย่วจะเดินทางไปที่ภูเขาไท่ผิงพร้อมกับจงขุยพอดี
จงขุยจึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านกลายเป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอันได้อย่างไร?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “อาจารย์ยัดเยียดศิษย์น้องเล็กมาให้ข้า ข้าก็เลยฝืนใจรับไว้”
จงขุยหลุดหัวเราะพรืด
……
ต่อให้เป็นมีดหั่นผักที่วางไว้ข้างเขียงในห้องครัวของพวกชาวบ้าน เมื่อหั่นเนื้อหั่นผักมากๆ นานวันเข้าคมมีดก็ต้องโค้งงอ ยิ่งนานยิ่งทื่อ
มีดทื่อต้องถูกลับให้คม
ทว่าการโจมตีที่ทอดยาวเป็นสายซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นอกจากจะใช้โครงกระดูกของเผ่าปีศาจที่กองทับกันเป็นภูเขาแลกเปลี่ยนมาด้วยกระบี่บินและชีวิตของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกมันยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้เซียนกระบี่คนใดบนหัวกำแพงเมืองได้ลับกระบี่ หากคิดจะหล่อเลี้ยงกระบี่สักพักโดยการดึงกระบี่บินออกมาจากสนามรบครู่หนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องเอาชีวิตและกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมาแลก
ในอดีตสงครามโจมตีเมืองของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้มีระเบียบ ขาดๆ หายๆ เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย การระดมกำลังทหารบนสนามรบ การส่งกองกำลังเสริมมาช่วย รวมไปถึงการโจมตีเมืองของปีศาจใหญ่แต่ละตน การออกจากสนามรบโดยพลการ มักจะทำให้ขาดความต่อเนื่องเชื่อมโยง ดังนั้นถึงได้เกิดเหตุการณ์ที่ต้องหยุดพักรบไปเป็นเดือนๆ หรือไม่ก็เกือบครึ่งปี ฝั่งหนึ่งตากแดดเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวที่อีกฝั่งหนึ่งจะได้เห็นแสงจันทร์ ระหว่างที่สงครามระเบิดปะทุ สนามรบก็จะดุเดือดผิดปกติ เลือดเนื้อปลิวว่อนสาดกระเซ็น กระบี่บินแตกสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับคู่เข่นฆ่าระหว่างปีศาจใหญ่กับเซียนกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็จะยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน การแบ่งแพ้ชนะแบ่งเป็นตายของทั้งสองฝ่ายถึงขั้นสามารถตัดสินสถานการณ์การดำเนินไปของสนามรบทั้งหมดได้
แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออกได้เหมือนสงครามใหญ่ครานี้
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถเป็นผู้ตัดสินได้ว่าสุดท้ายสงครามจะเป็นอย่างไร ปีศาจใหญ่แต่ละตนร่ายวิชาอภินิหาร เซียนกระบี่ออกกระบี่อย่างเฉียบคม ใครก็ไม่สามารถเป็นผู้ให้บทสรุปในท้ายที่สุดได้ เป็นๆ ตายๆ แพ้ๆ ชนะๆ สุดท้ายล้วนถูกสนามรบกลืนกินกลบทับไปสิ้น
สงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุด การเข่นฆ่าที่ชวนให้คนอกสั่นขวัญผวามากที่สุดก็คือครั้งที่ปีศาจใหญ่ฉงกวงย้ายห้าขุนเขามาถึงบนสนามรบ หย่างจื่อปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ได้เฝ้าพิทักษ์ภูเขาลูกหนึ่งในนั้น เซียนกระบี่สามคนอย่างพวกหลี่ถุ่ยมี่ทยอยกันอุทิศชีวิตฝ่าสถานการณ์ตาย จากนั้นจั่วโย่วก็เข้าไปในสนามรบ ปีศาจใหญ่แต่ละตนที่อำพรางตัวอยู่พลันเผยกายล้อมสังหารเขา ต่งซานเกิงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าออกจากหัวกำแพงเมืองไปช่วยจั่วโย่ว สุดท้ายจั่วโย่วถูกอิ่นกวานเซียวสวิ้นลอบต่อยหนึ่งหมัดจนบาดเจ็บสาหัส นับจากนั้นสงครามก็ปิดฉากลง