กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 645.3 ลงจากหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่แล้วสวมหน้ากากของผู้เฒ่าคนหนึ่งอยู่ในลานบ้าน สะพายกระบี่พกของหอกระบี่ สวมชุดคลุมอาคมของหอภูษาเพิ่มเข้าไปอีกตัว
กู้เจี้ยนหลงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ใต้เท้าอิ่นกวาน อันที่จริงสวมหน้ากากอีกอันหนึ่งน่าจะอำพรางสายตาของคนอื่นได้มากกว่า”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มให้ เรือนกายของเขาค้อมงอลงไปแล้วหลายส่วน ความแก่ชราเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าพูดเก่งขนาดนี้ รอข้ากลับมาเมื่อไหร่ พวกเราค่อยมาคุยกันช้าๆ”
ไม่รอให้กู้เจี้ยนหลงพูดเหลวไหลอะไรต่อ กระบี่ยาวที่เฉินผิงอันสะพายอยู่ด้านหลังก็พุ่งออกจากฝักไปแล้ว เขาดีดปลายเท้าเหยียบลงบนกระบี่ยาว แล้วทะยานลมเดินทางไกล
ในห้องโถงใหญ่ ทุกคนหันมามองหน้ากันเอง
ไม่เหมือนคนที่แกล้งเป็นผู้ฝึกกระบี่เลยนะ
เดิมทีในคฤหาสน์หลบร้อน นอกจากอิ่นกวานหนุ่มแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ สายตาน้อยนิดแค่นี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง
โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “มา พวกเรามาเดิมพันกันว่าใต้เท้าอิ่นกวานใช่ผู้ฝึกกระบี่จริงๆ หรือไม่ ครั้งนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง”
จากนั้นโฉวเหมียวก็เอ่ยทันทีว่า “กวอจู๋จิ่วเจ้าห้ามลงเดิมพัน”
ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ได้กำไรเลย ต้องมีขาดทุนอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะขาดทุนแบบสิ้นเนื้อประดาตัว แม่หนูนี่อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ทรัพย์สมบัติกลับมีอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ
กวอจู๋จิ่วที่เตรียมจะลงเดิมพันด้วยทรัพย์สินทั้งหมดถลึงตากว้าง “ทำไมเล่า?!”
ผลคือไม่เพียงแต่กลุ่มของเฉากุ่นเท่านั้น แม้แต่พวกหลัวเจินอี้ สวีชิงและฉางไท่ชิงก็ยังลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว
โฉวเหมียวโบกมือ “เดิมพงเดิมพันอะไรกัน อายุน้อยๆ ขอบเขตก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักทำเรื่องเป็นการเป็นงาน ยังไม่รีบลงมือทำงานอีกหรือ?! กวอจู๋จิ่ว เก็บของเข้าไปในหีบไม้ไผ่ให้หมดเลย!”
กวอจู๋จิ่วกลอกตามองบน
แม้แต่หน้าม้าสักคนก็ยังไม่มี ยังจะกล้ามาเป็นเจ้ามือ อาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่าบนโต๊ะเดิมพันตัวหนึ่ง หากรวมเจ้ามือด้วยแล้วมีกันสักสิบคน ก็ต้องมีหน้าม้าสักแปดคนถึงจะเข้าท่า
กวอจู๋จิ่วเก็บของชิ้นเล็กชิ้นน้อยของตัวเองมาไว้เรียบร้อยแล้ว หัวคิ้วก็ยังขมวดมุ่น กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายก็ยังจำต้องเอ่ยถามเซียนกระบี่โฉวเหมียวที่ขอบเขตสูงที่สุด แต่สมองกลับธรรมดา “เซียนกระบี่ใหญ่โฉวเหมียว คงจะไม่เกิดเรื่องกับอาจารย์ข้าหรอกใช่ไหม?”
โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ”
ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าปั้นยาก
กู้เจี้ยนหลงเอ่ย “ใต้เทาอิ่นกวานจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง ข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่า ขอแค่เป็นคนที่ถูกอาจารย์ของเจ้าหมายหัว ก็ต้องมีเรื่องแน่นอน”
หวังซินสุ่ยพยักหน้า “คำพูดประโยคนี้ของพี่กู้ตรงใจข้าพอดี”
เพียงไม่นานทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง
เพราะบนม้วนภาพวาดปรากฏเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เรื่องหนึ่ง
บนสนามรบมักจะมีปีศาจใหญ่หลายตนที่ชมศึกคอยลงมืออยู่เป็นระยะ
ครั้งนี้ป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวร่ายวิชาอภินิหารอย่างหนึ่ง เป็นวิชาที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เห็นเพียงว่าบนสนามรบที่ใกล้กับกำแพงเมืองพลันมีโครงกระดูกหุ่นเชิดที่มีแต่กระดูกขาวโพลนหลายแสนโครงพากันกระจายตัวไปสี่ทิศ พยายามที่จะช่วยกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจซึ่งเป็นดั่งฝูงมดโจมตีเมือง แม้จะเป็นโครงกระดูกที่ไร้สติปัญญา ลุกผงาดขึ้นมาในสนามรบอีกครั้งด้วยท่าทีแบบนี้ พลังการต่อสู้จึงเป็นรองกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าการคุมเชิงกันของสองกองทัพบนสนามรบเส้นแนวหน้า พริบตานั้นกลับมีกองกำลังทหารเพิ่มมาหลายแสนนาย สำหรับผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายเลย
ผลคือไม่รอให้หุ่นเชิดโครงกระดูกขาวพวกนี้กรูกันเข้ามาใกล้กำแพงเมือง อู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็เป็นคนแรกที่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘น้ำค้างหวาน’ ออกมา
หลังจากที่กระบี่บินของอู๋เฉิงเพ่ยปรากฏกายขึ้นบนโลก ก็เห็นเพียงว่าบนพื้นดิน สนามรบจุดใดก็ตามที่มีเลือดสดจะต้องมี ‘น้ำฝน’ ผุดขึ้นมาจากบนพื้น รวมตัวกันพุ่งเข้าหาม่านฟ้า กลายเป็นสายฝนตกกระหน่ำที่ห้อยกลับหัว ภาพนั้นราวกับว่าฟ้าดินพลิกกลับ มีเพียงฝนปณิธานกระบี่ของอู๋เฉิงเพ่ยเท่านั้นที่ตกลงมาตามปกติ
หลังจากที่ฝนกระหน่ำผ่านพ้นไป ทั้งหุ่นเชิดกระดูกขาวและกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่แนวเส้นเดียวกันตรงมุมกำแพงก็ตายสิ้นแทบทั้งหมดในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากนั้นมาอู๋เฉิงเพ่ยก็ร่ายวิชาอภินิหารของกระบี่บินครั้งแล้วครั้งเล่า จากมุมกำแพงด้านล่างขยับออกไปข้างนอกเรื่อยๆ หลังจากฝนใหญ่เกิดขึ้นติดต่อกันห้าครั้ง พวกที่โชคดีรอดตายอยู่บนสนามรบมีอยู่เพียงหยิบมือ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงมากพอ หรือไม่ก็เผ่าปีศาจที่ยังไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ แต่เกิดมาก็มีเรือนกายที่แข็งแกร่งผิดปกติ พวกที่เหลือรอดเหล่านี้จึงกลายเป็นเป้าโจมตีของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้การโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจึงหยุดชะงักไปแถบหนึ่ง
อู๋เฉิงเพ่ยเองก็เก็บกระบี่กลับมา เปลี่ยนตำแหน่งบนหัวกำแพงเมืองเพื่อหลอมกระบี่ต่อไป
ยากที่จะจินตนาการได้ว่า นี่เป็นการลงมือของเซียนกระบี่ที่มีขอบเขตแค่หยกดิบเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอายุมากคนหนึ่งขึ้นหัวกำแพงเมืองมาอย่างลับๆ ล่อๆ แล้วก็ได้เห็นภาพนี้ในระยะประชิดพอดี
จากนั้นเซียนกระบี่แต่ละท่านกันออกจากค่ายกล กระโจนลงสู่สนามรบ นั่นก็ยิ่งเป็นภาพที่ทำให้คนเลื่อมใส
ต่งซานเกิง เฉินซี ฉีถิงจี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสามท่านที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมือง
พวกเซียนกระบี่ใหญ่อย่างลู่จือ น่าหลันเซาเหว่ย เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋น และหมี่ฮู่ก็พากันออกจากหัวกำแพงเมืองด้วย
นอกจากนี้เซียนกระบี่อย่างพวกโจวเฉิง หยวนชิงสู่ เถาเหวิน ฯลฯ ก็ล้วนไม่ใช่ข้อยกเว้น
อริยะสามท่านของลัทธิพุทธ เต๋า ขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เริ่มร่ายวิชาอภินิหาร เปลี่ยนฟ้าผลัดดิน
ดังนั้นเส้นแนวรบที่เฝ้าพิทักษ์หลังจากเซียนกระบี่เข้าไปในพื้นที่ใจกลางของกองทัพใหญ่แล้วจึงความพิถีพิถันอย่างมาก
บนเส้นแนวรบที่เซียนกระบี่จัดวางค่ายกล พื้นดินเหมือนกระแสน้ำที่ไหลซัดสาด นี่เกิดจากการที่อริยะลัทธิเต๋าใช้แส้ปัดฝุ่นในมือสร้างขึ้นมา สองฝั่งของสายน้ำล้วนมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ติดตามผู้ฝึกกระบี่อาวุโสไป ทัพใหญ่เกรียงไกรพากันขี่กระบี่ออกจากหัวกำแพงเมือง
หลังพลิ้วกายลงบนพื้น ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ถือกระบี่ไว้ในมือก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในเส้นแนวหน้า แต่ก็เรียกกระบี่บินออกมาเล่มหนึ่งให้บินล้อมวนอยู่รอบกาย พอเห็นว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกผู้ฝึกกระบี่ล้วนบุกรุดไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ก็ดูเหมือนว่าจะอับอาย จึงบังคับกระบี่บินให้ติดตามกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ไปแทงเผ่าปีศาจที่ถูกกระบี่บินเล่มอื่นแทงให้ร่อแร่ใกล้ตายมาก่อนแล้ว จึงถูกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งถลึงตาใส่ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสบถด่าแล้วบังคับกระบี่บินให้แทงเผ่าปีศาจที่ใกล้ตายตนอื่นซ้ำอีกที บนสนามรบ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนดินลงมา มีเพียงคนที่สังหารศัตรูได้เท่านั้นถึงจะถือว่ามีคุณความชอบทางการศึก
แม้ว่าจำนวนของกองทัพเผ่าปีศาจจะมีเยอะมาก แต่ที่เป็นผู้ฝึกตนกลับมีอยู่น้อย คุณความชอบทางการรบบางอย่างที่พอจะมีค่าก็แย่งคนอื่นมาไม่ทันจริงๆ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงบ่นพึมพำไม่หยุด
แต่ไปๆ มาๆ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็สามารถเก็บตกความชอบทางการสู้รบจากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจได้อยู่หลายตน จึงหัวเราะปากกว้างทันใด ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรที่อยู่ด้านข้างสบถด่าทันที “มารดาเจ้าเถอะ ไสหัวไปอยู่ให้ไกลจากข้าเลย!”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าด่ากลับ “มารดาเจ้าเถอะ ข้าไม่ไปเสียอย่าง!”
สนามรบด้านหน้า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตประตูมังกรตนหนึ่ง ก่อนหน้านี้จงใจเปิดเผยกายด้วยร่างจริง ในขณะที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นั้นถกเถียงอยู่กับผู้ฝึกกระบี่เฒ่า มันพลันกระโจนมาเบื้องหน้า กลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วยกฝ่ามือขึ้นเตรียมจะตบเข้าที่ศีรษะของขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นั้น
ทว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขอบเขตชมมหาสมุทรก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ แม้ว่าจะพูดคุยกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ทำอะไรไม่เข้าท่าผู้นั้น แต่เขาก็แค่แบ่งสมาธิมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อการสังเกตการณ์สนามรบของเขา เขาบังคับกระบี่ทิ่มไปยังหว่างคิ้วของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลับยกมือมาสกัดขวางกระบี่บินเอาไว้ หนังที่หนาทนทาน เรือนกายที่แข็งแกร่งผิดปกติ แม้ว่าจะถูกกระบี่บินแทงทะลุจนเป็นรู แต่มันกลับกุมกระบี่บินที่หยุดชะงักไปชั่วครู่ไว้ในกำมือแน่น ขณะเดียวกันก็ทะยานลมไล่ตามผู้ฝึกกระบี่ที่ถอยร่นออกไป ยอมให้หมัดระเบิดแตก แต่ก็ต้องตบศีรษะของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นให้แหลกเละให้จงได้
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรยังมีกระบี่ยาวจากหอกระบี่อยู่อีกเล่มหนึ่ง เขาตวัดปาดออกไปในแนวขวาง คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตประตูมังกรที่บุกพุ่งมาอย่างดุดันจะพลันเบี่ยงเท้า ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมพุ่งไปยังด้านข้างของผู้ฝึกกระบี่ แล้วเหวี่ยงแขนปาดออกไป หมายจะปัดหัวของอีกฝ่ายให้ร่วงลงบนพื้น
ผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาโผล่อยู่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ใช้สองนิ้วประกบกันสกัดขวางแขนข้างนั้น จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่คืนสติมาในเสี้ยววินาทีก็ใช้กระบี่บินแทงทะลุศีรษะของฝ่ายหลัง
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารีบหันกลับมาด่าทันที “มารดามันเถอะ เจ้าแย่งผลงานของข้า! นี่มันปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเชียวนะ…”
ผู้ฝึกกระบี่ที่กำลังจะเอ่ยขอบคุณเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้กลืนคำพูดกลับลงท้องไปทันที หันตัวขวับจากไป ในใจนินทาไม่หยุด ปีศาจใหญ่กับท่านปู่เจ้าสิ
ทว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลับทำหน้าหนาติดตามเขามา
ทั้งสองฝ่ายจึงจับคู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันชั่วคราว แม้ว่าจะมีอันตรายรายล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งกลับไร้ความเสียหาย กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรจำต้องเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว
เขาชำเลืองตามองไปยังทิศไกล ดูเหมือนว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นจะรับหมัดจากเผ่าปีศาจโอสถทองตนหนึ่งที่พุ่งมาอย่างว่องไว ร่างทั้งร่างลอยกระเด็นออกไปแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้น บนร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น พอลุกขึ้นมายืนแล้วเห็นว่าปีศาจใหญ่โอสถทองถูกผู้ฝึกกระบี่คนอื่นรุมซ้อมก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างโซซัดโซเซ
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก หากเป็นผู้อาวุโสโอสถทองหรือก่อกำเนิดจริงๆ คนที่หน้าไม่อายแบบนี้ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอจะมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนที่นับนิ้วได้ อีกทั้งแต่ละคนยังชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน ยกตัวเช่นท่านผู้นั้นที่พอดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปแล้วก็แต่งกวีบทกลอนเป็นในฉับพลัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือในกลุ่มของผู้อาวุโสผู้ฝึกกระบี่ประเภทนี้ ทว่าท่านผู้นี้มองดูแล้วหน้าตาไม่คุ้นเลย
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเดินเตร็ดเตร่ไปตลอดทาง บางครั้งก็เก็บตกของดีมาได้เล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายก็ถูกเผ่าปีศาจขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งตามตอแย ถูกไล่ฆ่ามาร้อยกว่าจั้ง แต่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลับเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่สอดคล้องจนแทบจะใกล้เคียงกับลมปราณของเขาออกมา คอยหลบเลี่ยงการไล่ฆ่าประชิดตัวจากปีศาจใหญ่ที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามพลางสบถด่าไปด้วย “อย่าให้ข้าออกแรงเต็มกำลังนะ ข้าคนนี้มีกระบี่บินเยอะนักล่ะ!”
นิสัยดุร้ายของเผ่าปีศาจโอสถทองพลันกำเริบ มองดูเหมือนว่าเป็นการโจมตีแบบตามแต่ใจ ทว่าแท้จริงแล้วกลับกำลังจะเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีออกมา เพียงแต่จู่ๆ ก็ต้องอึ้งตะลึง เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นกลับใช้ภาษาทางการของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพูดกับเขาด้วยเสียงในใจ “รีบเก็บกระบี่บินเล่มหนึ่งในนั้นไป พยายามเอาชีวิตรอดกลับไปถึงกระโจมเจี่ยจื่อให้ได้”
เผ่าปีศาจโอสถทองตนนั้นกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องช่วงชิงโอกาสได้เปรียบมาก่อนค่อยว่ากัน ผลคือเพิ่งจะยื่นมือไปคว้ากระบี่บินที่พุ่งมาประชิดตัวซึ่งช้าไปเสี้ยวหนึ่งดังคาด ไหนเลยจะคิดได้ว่าความเร็วของกระบี่บินจะเพิ่มขึ้นพรวดพราด พุ่งทะลุศีรษะของมันไปโดยตรง ปั่นคว้านลูกตาของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโอสถทองตนนี้ให้แหลกเละ
เผ่าปีศาจโอสถทองเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนต้องเผยร่างจริง ขณะเดียวกันก็เรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้โจมตีชิ้นนั้นออกมา แล้วคำรามอย่างเดือดดาลอีกครั้ง หมายจะเรียกกองกำลังเผ่าปีศาจใต้บังคับบัญชาให้มารวมตัวกัน ร่วมมือกันล้อมสังหารเจ้าคนระยำที่ชั่วช้าอย่างถึงที่สุดผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าพอหันไปมองอีกครั้ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสมควรตายคนนั้นกลับหายตัวไปไม่เหลือเงาแล้ว
กระทั่งมันเผยร่างจริงแล้วเรียกรวมเผ่าปีศาจใต้บังคับบัญชาที่อยู่ใกล้เคียงมาได้อีกเจ็ดสิบแปดสิบตน แน่นอนว่าย่อมต้องถูกผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่อยู่ใกล้เคียงหมายหัว
ห่างจากสนามรบจุดนี้ไปไกล ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถูกคนผู้หนึ่งพุ่งชนจนกระเด็นลิ่วออกไป ส่วนตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่กลับถูกวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกระแทกให้เกิดเป็นหลุมใหญ่ นาทีถัดมาผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ถูกผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งประคองร่างเอาไว้ ขณะเดียวกันเผ่าปีศาจที่อยู่รอบด้านก็เริ่มเปิดฉากการล้อมสังหาร บ้างก็วิ่งกระโจนเข้าใส่ บ้างก็ทะยานตัวกระโดดขึ้นสูง พุ่งกรูกันเข้ามามืดฟ้ามัวดิน
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลังทั้งไม่ได้ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก แล้วก็ไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมา เพียงแต่ใช้ฝ่ามือผลักคนหนุ่มผู้นั้นออกไป เป็นเหตุให้ฝ่ายหลังถอยห่างออกจากสนามรบไปในเสี้ยววินาที
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ตั้งกระบวนท่าหมัด ปณิธานหมัดกระจายไปสี่ทิศ สี่ด้านล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
——