กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 650.1 คนบนเส้นทางเดียวกัน
ทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อไม่มีการตอบกลับมา เฉินชิงตูมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย แทบตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนเป็นของไอ้หมอนี่ ตนก็แค่ได้ครอบครองกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็ไม่กล้าขึ้นมาสู้กันบนหัวกำแพงอย่างนั้นรึ?
บุรุษหากไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ
เฉินชิงตูเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันถามขึ้นว่า “คอขวดขอบเขตหยกดิบฝ่าได้ยากขนาดนี้เชียวหรือ?”
เว่ยจิ้นตอบกลับไปตามตรง “สำหรับข้าแล้ว ยากมาก ปีนั้นบังเอิญได้พบเจอกับผู้อาวุโสอาเหลียง จึงฝ่าคอขวดก่อกำเนิดไปได้ นั่นถือเป็นความโชคดีแล้ว ยึดคุณความชอบใหญ่ค้ำฟ้ามาเป็นของตน ผู้น้อยรู้สึกละอายใจมาโดยตลอด”
เดิมนึกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะพูดเหน็บแนมตนสักคำสองคำ คิดไม่ถึงว่าเฉินชิงตูจะพยักหน้า “เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ก็ล้วนยากทุกขอบเขต”
เว่ยจิ้นถาม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพอจะชี้แนะผู้น้อยสักสองสามคำได้หรือไม่?”
เฉินชิงตูหันหน้ามามองบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป คนหนุ่มที่กล้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองถูกความรักพันธนาการผู้นี้
ส่วนเรื่องที่ว่าเว่ยจิ้นสามารถเลื่อนเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนตอนอายุสี่สิบปีในใต้หล้าไพศาลที่โชคชะตาบนวิถีกระบี่ค่อนข้างเบาบางได้นั้น เมื่อเอามาวางไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จใหญ่ที่ถือว่าเก่งกาจมากแล้ว
เว่ยจิ้นทำได้อย่างไรกันแน่? นอกจากคุณสมบัติของตัวเองดีพอ ยังต้องยกคุณความชอบให้กับแผนการอันแยบยลที่เจ้าตะพาบอาเหลียงผู้นั้นถ่ายทอดให้ ลองเปิดปฏิทินเหลืองเล่มนั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดู จะต้องเห็นว่ามีกฎเหล็กต่อผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาลระบุเอาไว้ แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติจะพลิกเปิดปฏิทินเหลืองนี้ด้วย แน่นอนว่าอาเหลียงไม่มีปัญหา พอเขาเปิดอ่านแทบจะหมดทั้งเล่มแล้วยังพูดให้ดูดีว่าบัณฑิตแอบอ่านตำราก็ยังถือว่าเป็นโจรที่สง่างาม
อาเหลียงช่วยให้เว่ยจิ้นให้วิธีการสองอย่างทับซ้อนกันอย่างการดึงเอาเสบียงปีหน้ามาใช้ก่อนและการบังคับช่วงชิงมา เสี่ยงอันตรายฝ่าทะลุขอบเขตก่อกำเนิด ช่วงชิงให้ตัวเองได้กลายเป็นผู้นำแห่งวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปก่อนใคร หากจะว่ากันตามความหมายที่เข้มงวดแล้ว วิธีการเช่นนั้นไม่ถือว่าน่าดูนัก แล้วก็ไม่ถือว่าสูงส่งสักเท่าไร เฉินชิงตูมีชีวิตอยู่มานานนับหมื่นปี แน่นอนว่าสามารถมองทะลุรากฐานการฝึกตนของเว่ยจิ้นได้ในปราดเดียว คำกล่าวที่บอกว่าผู้แข็งแกร่งมีชะตาที่แข็งแกร่ง นับว่ายังจะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ขอแค่เว่ยจิ้นได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน จากนั้นอยู่ต่อที่แจกันสมบัติทวีปก็สามารถยึดครองอาณาเขตของทวีปหนึ่งมาได้ วางตนอยู่บนยอดเขา ลมฝนจากแปดด้านสี่ทิศเรียกเมื่อไหร่ก็ต้องมาหา สามารถช่วงชิงรากฐานวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปมาได้อย่างเผด็จการ เว่ยจิ้นแค่ต้องทำไปตามลำดับขั้นตอน ถึงอย่างไรคุณสมบัติของตัวเขาเองก็ดีพออยู่แล้ว ร้อยปีต่อจากนี้แค่ค่อยๆ พัฒนาไป หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ขอบเขตเซียนเหรินก็หนีไม่พ้นแน่
เว่ยจิ้นผู้นี้มหัศจรรย์ก็ตรงที่ว่ารู้จักหยุดเมื่อพอสมควร ก็แค่ไปถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปครั้งหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ตบะขอบเขตหยกดิบของตัวเอง จากนั้นก็สละบันไดบนมหามรรคาที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองนี้ทิ้งไม่ยอมเดินต่อ กลับแล่นมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากไม่เป็นเพราะอิ่นกวานคนใหม่โผล่มากะทันหัน ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเว่ยจิ้นจะต้องมารบตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถึงท้ายที่สุดอย่างมากก็แค่ทิ้งเรื่องราวของเซียนกระบี่ที่ห่างไกลพร่าเลือนเรื่องหนึ่งไว้ให้แก่แจกันสมบัติทวีปเท่านั้น
เฉินชิงตูชื่นชมคนหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ช่วงชิงสถานการณ์ใหญ่มาให้กับตัวเอง แล้วก็ตัดใจยอมตายได้!
ย้อนกลับมามองเจ้าตะพาบน้อยบางคนที่ตัดใจยอมตายไม่ได้ ก็แค่ยินดีจะใช้ชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตาย ไม่ยอมตายๆ ให้จบไป ในสายตาของเฉินชิงตู เขาพอจะยอมรับได้ ก็เหมือนตนนี่นะ
เฉินชิงตูได้ยินคำขอร้องของเว่ยจิ้นแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดต้องรอจนถึงวันนี้ถึงเพิ่งจะถาม? เจ้าเว่ยจิ้นฉลาดยิ่งนัก ให้เจ้าอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กด้านหลังนั่น เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่านี่ถือเป็นการยอมรับอย่างหนึ่งจากข้า ตอนแรกก็เฉาสือ แล้วก็ตามมาด้วยเฉินผิงอัน บวกกับเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นเพื่อนบ้านของข้าเฉินชิงตูได้”
เว่ยจิ้นทอดสายตามองไปยังสนามรบทางทิศใต้ เอ่ยเสียงเบา “ในฐานะเซียนกระบี่เพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป ข้าหวังว่าจะเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยใจที่ไร้ปรารถนาไร้ความเห็นแก่ตัว สุดท้ายก็ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างผึ่งผาย นี่คือข้อแรก นอกจากนี้ก็คือหวังว่าตัวข้าจะอาศัยการออกกระบี่แลกเปลี่ยนมาด้วยการชี้แนะจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ปีนั้นผู้อาวุโสอาเหลียงช่วยชี้แนะไขข้อข้องใจให้ข้า ข้าไม่หวังให้คราวหน้าที่ได้พบเจอกันจะทำให้ผู้อาวุโสอาเหลียงรู้สึกว่าปีนั้นเขาช่วยเหลือเศษสวะคนหนึ่ง แล้วเศษสวะผู้นั้นก็ยังคงไม่ได้ความ กลายมาเป็นเซียนกระบี่ที่เอาแต่นอนอยู่บนเสื่อขอบเขตรอความตายไปวันๆ”
คำพูดบางอย่าง เว่ยจิ้นไม่ได้เอ่ยออกมา
ปีนั้นผู้อาวุโสอาเหลียงเคยดื่มเหล้ากับเขาแล้วเอ่ยสัพยอกตน บอกว่าพวกคนที่ลุ่มหลงในรักของใต้หล้านี้ แท้จริงแล้วล้วนยากนักที่จะได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า เพราะถึงอย่างไรด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทราทุกวันนี้ก็พันกันมั่วซั่ว อีกทั้งยังไม่สามารถจับสตรีมัดขึ้นเกี้ยวได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถอยไปหนึ่งก้าว ให้ตัวเองได้ดิบได้ดีสักหน่อย ให้แม่นางที่พลาดตนไปในปีนั้นรู้สึกเสียใจในอนาคต ไม่แน่ว่าวันหน้ายามที่นางทะเลาะกับสามีของตัวเองขึ้นมา นางจะได้พูดประโยคหนึ่งว่าปีนั้นมีใครๆๆ บ้างที่ก็เป็นคนที่ชื่นชอบข้าเหมือนกัน
เฉินชิงตูชอบความตรงไปตรงมาของเว่ยจิ้น ดังนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าทุกๆ สามวันห้าวัน ทุกครั้งที่เจ้าสะสมคุณความชอบทางการสู้รบเล็กๆ ได้ ข้าก็จะถ่ายทอดวิชากระบี่หนึ่งบทให้แก่เจ้า ระดับขั้นไม่ต่ำ เป็นรากฐานมหามรรคาของสหายเก่าคนหนึ่งของข้าในอดีต”
เว่ยจิ้นกุมหมัดคารวะ ไม่ได้เอ่ยคำใด
ในสายตาของเว่ยจิ้น นิสัยใจคอและคำพูดคำจาของผู้ฝึกกระบี่ล้วนอยู่ที่การออกกระบี่
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไรเลยนะ”
ผู้เฒ่าลูบคลึงปลายคาง จุ๊ปากพูด “ตอนแรกก็มีอาเหลียงมาคอยพูดกวนใจอยู่ข้างหู พอเขาจากไปก็มีเถ้าแก่รองมาแทนที่ ดูท่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นอดออมคงเป็นเรื่องยากจริงๆ”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างจนใจ “ผู้น้อยทำตามไม่ได้เลย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ต้องทำตาม อีกอย่างต่อให้คิดจะทำตามก็ใช่ว่าจะทำได้”
เว่ยจิ้นถาม “ผู้อาวุโสอาเหลียงจะกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
เฉินชิงตูย้อนถาม “เคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดอาเหลียงถึงได้สอนวิชาปิดด่านฝ่าด่านให้แก่เจ้า?”
เว่ยจิ้นตอบ “ผู้น้อยเคยคิดมาก่อน เพียงแต่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ”
“อาเหลียงไม่ได้พบเจอกับเจ้าโดยบังเอิญ แต่เขาจงใจไปหาเจ้า จากนั้นก็สอนเวทกระบี่ให้เจ้า ไม่ใช่ว่าคิดวางแผนทำอะไรต่อเจ้า คิดว่าเจ้าจะต้องมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน ยิ่งไม่คิดว่าเจ้าไม่มีทางประสบความสำเร็จได้สูงก็เลยทำบุญทำทานแก่เจ้า จะได้ให้ผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่รวบรวมวิถีแห่งกระบี่ของหนึ่งทวีปไว้ที่ตัวเองในอนาคตอย่างเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของเขา แต่เป็นเพราะเขาหวังอย่างแท้จริงว่าในอนาคตเจ้าเว่ยจิ้นจะสามารถยืนเคียงบ่ากับเขาอาเหลียง กับเจ้าเว่ยจิ้นเป็นเช่นนี้ กับคนบนเส้นทางเดียวกันทุกคนที่เดินตามมาเบื้องหลัง อาเหลียงล้วนปฏิบัติอย่างเท่าเทียม”
เฉินชิงตูเอ่ย “นี่ก็คือคำตอบ นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้าสอนวิชากระบี่บทนั้นให้แก่เจ้า ผู้ฝึกกระบี่จำเป็นต้องจับคู่กับคนอ่อนแอ ถามกระบี่ต่อผู้แข็งแกร่ง คนที่มองคนอื่นเป็นมดตัวเล็ก เดิมทีเขาเองก็คือมดตัวเล็ก หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล บนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่ใช่มดตัวเล็กใต้ฝ่าเท้า?”
เว่ยจิ้นคล้ายจะกระจ่างแจ้ง
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ชำเลืองตามองม่านฟ้า ถอนสายตากลับมามองพื้นดินทางทิศใต้
มือกระบี่ มือกระบี่ เวทกระบี่อยู่บนฟ้า เป็นแขกอยู่บนดิน (คำว่ามือกระบี่ภาษาจีนใช้คำว่าเจี้ยนเค่อ 剑客 คำว่าเป็นแขกคือคำว่าจั้วเค่อ 做客 ตัวอักษรเดียวกัน ออกเสียงแบบเดียวกัน แต่ต่างความหมายเมื่ออยู่ในคนละบริบท)
เมื่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเซียนกระบี่ แต่กลับยินดีเรียกตัวเองว่าเป็นมือกระบี่อย่างภาคภูมิใจ นี่ค่อนข้างน่าสนใจแล้ว
ในสายตาของเฉินชิงตู เว่ยจิ้นขาดความน่าสนใจที่ว่านี้ไป ต่อให้เซียนกระบี่อายุน้อยผู้นี้จะอยู่ในยุทธภพตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วเว่ยจิ้นไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนของยุทธภพ แต่เป็นแค่คนที่ผ่านทางมาบนโลกใบนี้เท่านั้น สุดท้ายจะยังต้องไปเป็นเทพเซียนบนภูเขา พกกระบี่ขึ้นเขาไปด้วยกัน ตัดขาดเรื่องทางโลกทั้งหมด พยายามจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เพราะกลัวความพัวพันของผลกรรมมากที่สุด
แต่ว่า
เฉินชิงตูทอดสายตามองไปไกล หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งตอนที่ตัวเองยังเยาว์วัย
ผู้ฝึกกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง ถามกระบี่ต่อผืนฟ้า คนที่ขอบเขตสูงที่สุด ยิ่งมีความพัวพันกับโลกมนุษย์มากเท่าไร สุดท้ายแล้วจะเดินก้าวออกไปแต่ละก้าวได้เชื่องช้ายิ่ง เพราะดูเหมือนว่าต้องคอยอาศัยเส้นใยซับซ้อนที่เชื่อมโยงอยู่ในใจของคนเหล่านั้นกระชากวิถีทางโลกให้ขึ้นสู่ที่สูงตลอดเวลา
นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ในช่วงแรกเริ่มสุด นี่ต่างหากจึงจะเป็นจิตแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ใช้ความเด็ดเดี่ยวความแน่วแน่อันยิ่งใหญ่มาแบกภาระอันยิ่งใหญ่ แบกรับความทุกข์ยากยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องทำให้โลกมนุษย์ทั้งใบเดินขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมให้จงได้
ผู้ฝึกกระบี่ตอนนี้ก็ดี ผู้ฝึกลมปราณแบบอื่นๆ ก็ช่าง มีใครบ้างที่ไม่อยากสงบจิตใจตัดขาดความปรารถนา ตัดเรื่องทางโลก เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่แตะต้องฝุ่นโลกีย์?
ต่อให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในใต้หล้าจะมีนิสัยใจคอเช่นนี้ อันที่จริงก็ยังคงไม่มีปัญหา แต่หากทุกคนเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง ใช้ฝ่ามือตีฝ่ามือเบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ฝ่ายแรกสามารถมีมากกว่าหน่อย ฝ่ายหลังมีน้อยกว่าหน่อย ต้องมีคนทั้งสองแบบ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
บนสนามรบทางทิศใต้
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เป็นนักรบเดนตายคนนั้นแลกกระบี่กับหนิงเหยาไปคนละทีแล้วก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่คิดอาวรณ์การต่อสู้ รีบร่ายใช้วิชาหลบหนีลับเฉพาะที่แปลกประหลาดในทันที บางจุดของสนามรบที่เลือดสดไหลนองทยอยกันเกิดริ้วกระเพื่อมเล็กจาง เห็นได้ชัดว่าเป็นจุดที่จิตวิญญาณของนักรบเดนตายผู้นั้นไปแฝงอยู่ อีกทั้งทิศทางการหลบหนีก็ไม่ได้เป็นเส้นตรง คล้ายกับใช้ค่ายกลอย่างหนึ่ง
กระบี่ที่สองของหนิงเหยากลับฟันลงบนความว่างเปล่า ไม่เพียงเท่านี้ ในแอ่งน้ำจุดหนึ่งที่อยู่ห่างด้านหลังหนิงเหยาไปหกสิบจั้งยังเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม สำหรับผู้ฝึกกระบี่แล้ว ระยะห่างเท่านี้เรียกได้ว่าใกล้ในระยะประชิด หากเซียนกระบี่นักรบเดนตายคิดจะโจมตีสุดชีวิต และหนิงเหยาตัดสินใจได้อย่างอำมหิต ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะสามารถใช้อาการบาดเจ็บแลกกับชีวิต และยังหลบพ้นได้ทันเวลา และนางก็ยังจงใจหยุดชะงักครู่หนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้กับเซียนกระบี่เผ่าปีศาจคนนั้น
เพียงแต่ว่านักรบเดนตายกลับทิ้งโอกาสนี้ไป ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารนางแล้วเลือกจะหนีออกห่างสนามรบไปอย่างสิ้นเชิง
ตามบันทึกที่ระบุไว้ในสมุดของกระโจมเจี่ยจื่อ ชุดคลุมอาคมสีทองบนร่างของหนิงเหยาคืออาวุธเซียนที่สมชื่อ สำหรับนักฆ่าชั้นยอดซึ่งแสวงหาความสำเร็จในการโจมตีเดียวอย่างเขาแล้ว ถือเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างใหญ่หลวง
หนิงเหยาหาร่องรอยของอีกฝ่ายไม่พบ กวาดตามองไปรอบด้าน สนามรบบริเวณใกล้เคียงไม่มีเงาร่างของอีกฝ่าย นางจึงหยุดมือแต่เพียงเท่านี้
ทว่าก็แอบอนุมานเส้นทางการหลบหนีของเซียนกระบี่นักรบเดนตายผู้นั้นไว้ในใจเงียบๆ
หากมีโอกาสได้ประมือกันอีกครั้ง หนิงเหยาก็จะออกกระบี่ได้รู้จังหวะหนักเบามากขึ้น
จุดที่ทำให้หนิงเหยาโมโหอย่างแท้จริงอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เล่นงานเฉินผิงอันคนนั้น อีกฝ่ายโจมตีครั้งหนึ่งไม่สำเร็จก็เลือกจะถอยหนีอย่างเด็ดเดี่ยว กองทัพใหญ่ช่วยทำหน้าที่เป็นปราการธรรมชาติให้แก่เขา หนิงเหยาส่งกระบี่ที่สามออกไป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็หลบพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด แล้วพอยกสองมือทำมุทรา ผู้ฝึกกระบี่ก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่ร้อยพันเส้นที่แยกกันหลบหนีไปสี่ทิศด้วยความเร็วสูงสุด หนิงเหยายกมือขึ้น เศษซากอาวุธแตกพักนับร้อยนับพันชิ้นที่ถูกทิ้งไว้บนสนามรบกลายเป็นเหมือนกระบี่บินที่ไล่ฆ่าแสงกระบี่ไป
กลางอากาศเหนือสนามรบเหมือนมีฝนกระหน่ำห่าใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยกระบี่บินเล็กละเอียดหนาแน่นตกลงมา
เวลาเดียวกันนั้นหนิงเหยาก็พุ่งตัวออกไปด้านข้างสิบกว่าจั้ง อ้อมห่างเฉินผิงอันออกไปไกล แล้วปล่อยกระบี่ฟันใส่เบื้องหน้า
เพียงแต่ว่ากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดลอบสังหารเฉินผิงอันไปก่อนหน้านี้ คำที่บอกว่าไม่สำเร็จก็เพียงแค่เพราะไม่สามารถสังหารเฉินผิงอันได้เท่านั้น ร่างของเฉินผิงอันตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองทัพใหญ่ การออกกระบี่อย่างฉับพลันของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งย่อมไร้ที่ให้หลบเลี่ยง สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้น ดังนั้นตลอดทั้งหัวไหล่ของเขาจึงถูกกระบี่บินแทงทะลุให้เป็นรู เนื้อเหวอะหายไปแถบใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่ใช้กระบี่บินทำร้ายคนไม่เพียงแค่คมกระบี่เท่านั้น ยังทิ้งปราณกระบี่เอาไว้ด้วย ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของคนที่ได้รับบาดเจ็บมาเป็นสนามรบ ปราณกระบี่เล็กๆ ยิบย่อย ปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ประหนึ่งมังกรข้ามแม่น้ำจำนวนนับไม่ถ้วน ปราณกระบี่ก็ยิ่งเหมือนน้ำที่ทะลักท่วมทำนบซัดกรากเข้าใส่ช่องโพรงลมปราณ
บาดเจ็บเพราะกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ บาดแผลรักษาให้หายดีได้ยากที่สุด นี่คือความจริงที่ทุกคนให้การยอมรับ ผู้ฝึกกระบี่สามารถเป็นอันดับหนึ่งของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขาได้ ก็ถือว่าสมชื่อสมศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว