กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 651.2 บ้านเกิดของผู้ฝึกกระบี่อยู่ที่ใด
คนทั้งสองคนที่ไม่รู้จักกัน บวกกับที่นิสัยของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป อันที่จริงจึงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อินเฉินไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็สามารถยกเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งให้อีกฝ่ายได้
อินเฉินพลันเอ่ยขึ้นว่า “ผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าไพศาลล้วนฝึกหมัดกันแบบนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อันที่จริงวิธีการฝึกหมัดมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ก็หนีไม่พ้นเรียนรู้ที่จะโดนซ้อมก่อน ต่างกันแค่ว่าพละกำลังมากหรือน้อยเท่านั้น”
อินเฉินถามอีก “เก็บเศษซากของผุๆ พังๆ มากมายขนาดนั้นต่อหน้าแม่หนูหนิง เจ้าก็กล้าทำด้วยหรือ?”
ถ้าพูดอย่างนี้ก็มีเรื่องให้คุยกันแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ามีนิสัยแย่ๆ อยู่มากมาย ยังดีที่หนิงเหยาไม่เคยถือสา”
อินเฉินถาม “ข้าว่าเจ้าเองก็หน้าตาธรรมดา แค่พอจะไปวัดไปวาได้เท่านั้น จีบนางติดได้อย่างไร? ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าแม่หนูหนิงไปเยือนใต้หล้าไพศาลมารอบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะไปเจอเรื่องร้ายแบบนี้ หากถามข้า เจ้าห่างชั้นกับเฉาสือผู้นั้นไกลนัก ไอ้เด็กนั่นข้าเคยตั้งใจไปเยือนหัวกำแพงเมืองเพื่อไปดูเขามารอบหนึ่ง หน้าตาก็ดี วิชาหมัดก็ช่าง เจ้าล้วนเทียบไม่ติดเลยสักอย่าง”
พูดแบบนี้ก็สนุกล่ะสิ ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังชมเขาอยู่นะนี่
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน ขยับไปนั่งใกล้กับเทพเซียนผู้เฒ่าอินเฉิน กระดกเหล้าดื่มคำหนึ่งแล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “วิชาหมัดมิอาจสู้ได้ ข้อนี้ข้ายอมรับ แต่เรื่องหน้าตา ข้าว่าไม่ต่างกันมากนัก ไม่ต่างกันมากนัก”
คิดไม่ถึงว่าอินเฉินจะเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน “ข้าจะบำรุงกระบี่แล้ว รบกวนใต้เท้าอิ่นกวานขยับไปหน่อย อย่ามาเกะกะลูกตาอยู่แถวนี้ เห็นแล้วรำคาญ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง ครั้นจึงขี่กระบี่จากไป
อินเฉินวางสองมือกำเป็นหมัดไว้บนหัวเข่า คลี่ยิ้ม บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลแม่งล้วนน่าเตะกันทั้งนั้น
เฉินผิงอันไปที่กระท่อมบนหัวกำแพงเมือง ยิ้มเอ่ยทักทายเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยที่ช่วยสนับสนุนร้านเหล้าก่อน
เว่ยจิ้นยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นหมัดหวังปาที่ดีจริงๆ เอาเป็นว่ามองดูแล้วร้ายกาจอย่างมาก มีมาดของเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานอยู่บ้าง ก็แค่บุกฝ่าขบวนรบช้าไปสักหน่อย”
ใช้สองหมัดต่อยให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตาย คุณความชอบครั้งนี้เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ออกกระบี่แล้ว แน่นอนว่าไม่ถือว่าใหญ่ แต่กลับค่อนข้างจะหาได้ยาก
จะกลายเป็นกับแกล้มที่รสชาติไม่เลวจานหนึ่ง
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “คราวหน้าไปที่ร้านจะยกบะหมี่หยางชุนให้ท่านเปล่าๆ ชามหนึ่ง เอาไว้กินแก้เมา ยามเมาเหล้าจะได้พูดน้อยๆ หน่อย”
เว่ยจิ้นชี้ไปยังกระท่อมที่อยู่ด้านหลัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าพูดเก่งก็พูดให้มากๆ หน่อย”
เฉินผิงอันแยกกับเว่ยจิ้น เพิ่งจะพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็เดินออกมาจากในกระท่อม เอาสองมือไพล่หลังตามความเคยชิน “โอ้ เทพแห่งการต่อสู้เฉินมาเยือน นับเป็นเกียรติแก่กระท่อมน้อยๆ อนาถาหลังนี้ยิ่งนัก”
เฉินผิงอันประหลาดใจมาก เมื่อก่อนเวลาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดคุย ไม่เคย ‘เกรงใจ’ กันขนาดนี้เลยนี่นา เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในความทรงจำเป็นผู้มีคุณธรรมชื่อเสียงสูงส่ง ถนอมถ้อยคำราวกับทอง
เฉินชิงตูชำเลืองตามองเฉินผิงอัน อาการบาดเจ็บพอใช้ได้ ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย แล้วจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ติดค้างความลับสองอย่างแก่เจ้า ตอนนี้สามารถบอกให้เจ้าฟังได้แล้ว”
เฉินผิงอันทำสีหน้าสำรวม
ผลคือความลับเล็กๆ ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดถึง แต่ละเรื่องกลับใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก
ข้อแรกนั้นเกี่ยวกับบ้านเกิดของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในอดีตช่วงแรกเริ่มสุด นักโทษอาญายุคบรรพกาลกลับมีถึงครึ่งหนึ่งที่บ้านเกิดมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าที่เพิ่งถูกบุกเบิกในตอนนี้
เฉินผิงอันตะลึงอึ้งค้าง
ถ้าหากพูดแบบนี้ ก็แสดงว่านักโทษอาญาครึ่งหนึ่งและลูกหลานรุ่นหลัง แท้จริงแล้วก็อยู่ที่บ้านเกิดของตัวเองมาตั้งแต่แรกเริ่มน่ะสิ?
ดังนั้นเกิดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ล้วนอยู่ที่บ้านเกิด?
ส่วนลูกหลานของนักโทษอาญาอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ หากคิดจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่ราก ก็จะเกี่ยวข้องกับใต้หล้าแห่งที่ห้า? ขอแค่สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีโอกาสได้หวนคืนสู่บ้านเกิด?
ความลับข้อที่สองใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีก
คำกล่าวของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด เส้นทางการเดินขึ้นสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แท้จริงแล้วก็คือเส้นทางของการกลายเป็นเทพ ซึ่งเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงผู้ฝึกตนสำนักการทหารด้วย
แม้ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันจะพอมีการคาดเดาบางอย่าง แต่รอกระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยออกมาจากปากตัวเอง คราวนี้เขาจึงเรียบเรียงเส้นสายหลายอย่างได้ชัดเจนทันใด ยกตัวอย่างเช่นไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเหตุใดบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธถึงได้มีขอบเขตร่างทอง? และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำบนโลกก็ล้วนต้องสร้างร่างทองร่างหนึ่งขึ้นมา ให้เป็นรากฐานของมหามรรคา ไม่พูดถึงวิญญาณวีรบุรุษที่กลายเป็นเทพ พูดถึงแค่เรื่องที่คนตัวเป็นๆ ยืนกลายเป็นเทพ ซึ่งคล้ายคลึงกับประสบการณ์ที่หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูประสบพบเจอมา ‘เลือดเนื้อหดหายโครงกระดูกตั้งตระหง่าน’ ก็คือเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่าน อันที่จริงนี่ก็เป็นวิธีการที่ไม่ค่อยต่างจากการหล่อหลอมเส้นเอ็นและกระดูกของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักเท่าไรจริงๆ
เฉินชิงตูไม่ได้บอกอย่างกระจ่างแจ้ง เพราะถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ชอบคิด วันหน้ายังมีเวลาอีกมากให้เขาไปใคร่ครวญถึงเนื้อหน้าบนหน้าหนังสือช่วงแรกๆ ของปฏิทินเหลืองเล่มนี้
พาเฉินผิงอันก้าวเดินไปด้วยกันช้าๆ ในเมื่อเริ่มเดินเล่นแล้ว เดินแค่กี่ก้าวแล้วกลับก็คงไม่สมควร ดังนั้นผู้เฒ่าจึงพูดมากขึ้นอีกนิด “นับแต่โบราณมาเทพเซียนมีความแตกต่าง เป็นเทพก่อนแล้วค่อยเป็นเซียน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? หากอิงตามคำกล่าวในทุกวันนี้ วิญญาณของคน ตายไปไม่แล้วไม่สลายหายไป ก็จะกลายเป็นเทพ เสวยสุขอยู่กับควันธูปที่โลกมนุษย์บูชา ไม่จำเป็นต้องฝึกตนก็สามารถสร้างความมั่นคงให้กับร่างทองได้”
“ไม่ตายแล้วกลายเป็นเซียน ก็คือผู้ฝึกลมปราณที่นอนอยู่ในโปงผ้าห่มบนภูเขาของทุกวันนี้แล้ว บัณฑิตเขียนตำราประวัติศาสตร์ มักจะเดี๋ยวลดเดี๋ยวเพิ่ม นานวันเข้าจึงอยู่ห่างจากความเป็นจริงไปไกลมากขึ้นทุกที วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสก็สามารถไปเยือนสถานศึกษาใหญ่ทั้งสามแห่งดูได้ ได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งแล้ว ก็แค่เปิดตำราเก่าๆ ไม่มีค่าแค่ไม่กี่เล่ม หน้าตาน้อยนิดแค่นี้ยังพอมีอยู่บ้าง”
คำกล่าวเหล่านี้ เฉินผิงอันแค่ฟังแล้วก็จำไว้เท่านั้น เพราะตอนนี้มีความหมายไม่มากนัก หากจะพูดให้เป็นรูปธรรมสักหน่อย ก็สามารถบอกได้ว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลย
เพียงแต่ว่าคำกล่าวต่อมากลับทำให้เฉินผิงอันต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังแต่โดยดี ไม่อยากพลาดไปแม้แต่คำดียว
“เดินทางไกลก่อนแล้วค่อยเป็นยอดเขา ต่อมาจึงเป็นขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธ ในขอบเขตนี้แบ่งได้อีกสามขั้น ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน อะไรคือเทพมาเยือน? ข้าจำได้ว่าที่บ้านเกิดของเจ้ามีคำกล่าวหนึ่ง พูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
“ถึงประตู!”
เฉินผิงอันหลุดปากเอ่ยว่า “หากคนผู้หนึ่งมีฝีมือดีพอ ไม่ว่าจะเป็นทำไร่ทำนาหรือเผาเครื่องกระเบื้อง คนอื่นต่างก็ชอบเอ่ยชมว่า ‘ถึงประตูแล้ว’”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ถึงประตูแล้ว ถึงประตูอะไร? เดินไปบนเส้นทางอย่างไร? ใครเป็นคนเฝ้าประตู? คำตอบอยู่ที่เมืองเล็กบ้านเกิดของเจ้า…พูดว่าอะไรแล้วนะ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “เหลือค้างไว้ก่อน”
เฉินชิงตูยิ้มพลางพยักหน้ารับ แล้วก็อธิบายถึงสามขั้นของขอบเขตสิบอย่างละเอียดอีกครั้ง
เพียงแต่ผู้เฒ่ามีสีหน้าของการหวนคำนึงถึงเรื่องในอดีตอย่างที่หาได้ยาก
ที่แจกันสมบัติทวีป มีสหายเก่าอยู่คนหนึ่ง เขาเองก็กักขังตัวเองอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งมาเป็นเวลานานนับหมื่นปีเหมือนกันกระมัง
ดังนั้นเฉินชิงตูจึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่นอกเหนือจากเรื่องที่คุยกัน “ซิ่วหู่ชุยฉาน ร้ายกาจจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “สถานการณ์ถามใจครั้งแรกของปีนั้น เพราะว่ามีอาจารย์ฉีอยู่ด้วย ถึงได้ข้ามผ่านมันมาอย่างได้ปลอดภัย กระทั่งอาจารย์ฉีไม่อยู่แล้ว ครั้งที่สอง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้ และนั่นก็ยังมีเหตุผลมาจากการที่ชุยฉานไม่ได้วางหมากอย่างสุดฝีมือด้วย”
เฉินชิงตูเอ่ย “ความทุกข์ยากทรมานทั้งหลายที่ยากจะผ่านไปได้ แต่สุดท้ายก็ยังผ่านไป นั่นก็คือการทุ่มทุบหัวใจจนเกิดหลุม ยิ่งหลุมขยายใหญ่มากเท่าไร วันหน้าก็ยิ่งสามารถรองรับได้มากเท่านั้น”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าต้องคอยเติมเต็มหลุมนั้นไปตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่นเมื่อวิถีทางโลกติดค้างช่วงเวลาวัยเด็กกับคนคนหนึ่งมากเท่าไร หลังจากที่คนผู้นั้นเติบใหญ่แล้วก็จะต้องคอยปะชุนซ่อมแซมและเติมเต็มมันอยู่ตลอดเวลา
ออกจากหัวกำแพงเมืองมา เฉินผิงอันขี่กระบี่ไปยังเรือนพักส่วนตัวในคฤหาสน์หลบร้อน แล้วเริ่มสงบใจพักรักษาบาดแผล
เวลาสั้นๆ เพียงสองวันผ่านไป เฉินผิงอันก็ไปเยือนคฤหาสน์หลบหนาว เขาไปมาได้อย่างอิสระเสรี ในมือถือป้ายหยกแผ่นหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์ย่อพื้นที่ให้สิ้นเปลือง
เฉินผิงอันเลือกสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งมองดูป๋ายหมัวมัวสอนวิชาหมัดให้แก่พวกเด็กๆ นางกำลังอธิบายว่าอะไรคือ ‘ทั่วร่างคือหนึ่งหมัด’ ความหมายของมันอยู่ที่ใด ควรจะเรียนอย่างไร แล้วควรจะฝึกอย่างไร
เด็กคนหนึ่งในนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน คือเด็กชายตัวปลอมที่ชื่อว่าหยวนจ้าวฮว่า เขาเคยมอบพัดพับสองเล่มให้นาง และนางก็คือแม่นางน้อยเพียงคนเดียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สามารถอาศัยความสามารถของตัวเองหลอกเอาเงินเทพเซียนจากเถ้าแก่รองไปได้
ส่วนเด็กคนอื่นๆ อันที่จริงก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน เพราะล้วนเป็นเมล็ดพันธ์บนวิถีวรยุทธที่เขาและสายอิ่นกวานตั้งใจคัดเลือกออกมา คนหนึ่งในนั้นได้ถูกอวี้เจวี้ยนฟูพาตัวไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือที่เรียนหมัดไม่ถือว่าช้าล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด
ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเยอะมาก แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับมีน้อยมาก
หากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก ฟ้าดินผลัดเปลี่ยน ที่แห่งนี้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วจะให้ทิ้งโชคชะตาบู๊มากมายขนาดนั้นไว้ให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าไม่ได้
เพียงแต่เฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่า การที่มีเรื่องจวนตัวค่อยจุดธูปไหว้พระ ต้องการให้เด็กกลุ่มนี้ช่วงชิงเอาสองคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ มาครอง ความหวังนั้นเลือนรางเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งอยู่ มหามรรคาจึงขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง เมื่อก่อนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงได้ฟังคำชี้แนะจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงได้พอจะเข้าใจ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเยือนเพราะมีการเตรียมการมาก่อน ส่วนเฉาสือ ฝึกหมัดอย่างบริสุทธิ์ ไม่เคยต้องการโชคชะตาบู๊ ข้อนี้เฉินผิงอันยอมรับว่าตัวเองอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเฉาสือได้ติด ตอนนี้ขอแค่โชคชะตาบู๊ยินดีมาหา เฉินผิงอันก็นึกอยากจะเรียกโชคชะตาบู๊ส่วนนั้นว่า ‘ญาติสนิท’ ‘คนในครอบครัว’ ให้พวกมันพุ่งเข้ามาหาเขา เขาจะเปิดประตูต้อนรับ ยิ่งมีมากก็ยิ่งเป็นประโยชน์
แต่ต่อให้เด็กกลุ่มนี้จะฝึกหมัดอย่างฉุกละหุก มิอาจช่วงชิงโชคชะตาบู๊มาได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีวิชาติดตัว ปูรากฐานมาดี ในอนาคตไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีชีวิตอยู่รอดได้ทั้งนั้น หรือควรจะพูดว่าโอกาสรอดชีวิตจะยิ่งมีมาก อยู่ในกลียุค คิดจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ช่วงชิงพื้นที่หยัดยืนที่เป็นของตน หลายๆ ครั้งสถานะตัวตนก็ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไร
ทางฝั่งลานประลองยุทธ ป๋ายหมัวมัวปล่อยหมัดออกไปในระยะที่สั้นมาก แค่ครึ่งแขนเท่านั้น แต่ปณิธานหมัดกลับหนักมาก หวนคืนสู่ความจริง กลมกลืนเป็นธรรมชาติ
เมื่อถึงขอบเขตของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด คิดจะเดินขึ้นไปสู่จุดที่สูงยิ่งกว่า คำกว่ากระบวนท่าหมัด อันที่จริงแล้วก็คือการเปรียบเทียบด้านความตื้นลึกของปณิธานหมัด คล้ายคลึงกับการแสดงออกบนมหามรรคาอย่างเรียบง่าย
หมัดนั้นป๋ายหมัวมัวต่อยใส่เด็กชายท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ฝ่ายหลังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สีหน้าประมาณว่าหากเจ้ามีความสามารถก็ต่อยข้าให้ตายเลยสิ
เจียงอวิ๋นที่มีชาติกำนิดจากตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยง คุณสมบัติถือว่าโดดเด่นมากที่สุด
กระทั่งป๋ายหมัวมัวเก็บหมัดกลับมา เด็กชายก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า เขาที่ในใจไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วเหงื่อกลับไหลเต็มแผ่นหลัง
นี่คือพรสวรรค์แฝงอย่างหนึ่งที่หาได้ยาก
ป๋ายหมัวมัวปล่อยไปอีกหมัด หมัดนั้นแทบจะแนบติดกับหน้าผากของแม่นางน้อยจากถนนอวี้ฮู่ ฝ่ายหลังด้อยกว่าเจียงอวิ๋นเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ขยับเท้าหลบ แต่ร่างกลับโยกเอนเบาๆ
เด็กสิบกว่าคนยืนเรียงแถวกัน ป๋ายหมัวมัวเดินไล่ไปทีละคน เด็กบางคนก้าวถอยหลัง บางคนยืนกัดฟันอยู่ที่เดิม
เพียงแต่มีครั้งหนึ่งหมัดของป๋ายหมัวมัวยังไม่ได้ส่งออกไป
แต่เฉินผิงอันกลับมองออกว่า ตอนที่ป๋ายหมัวมัวเดินไปอยู่ข้างกายเด็กๆ เหล่านั้น หมัดยังไม่ออกแต่ปณิธานกลับไปถึงก่อนแล้ว น่าเสียดายก็แต่เด็กคนหนึ่งที่ชื่อสวี่กงจากตรอกมู่เหมิง ลางสังหรณ์ของเขานั้นถูกต้องแล้ว ในขณะที่ปณิธานหมัดของป๋ายหมัวมัวเคลื่อนขยับเล็กน้อย เขาก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวรออยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นการเลือกที่ตรงกันข้ามกับเจียงอวิ๋นอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ถือว่าเป็นตัวอ่อนที่ดีที่มีหวังว่าปณิธานหมัดจะ ‘ติดตัว’ ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ
แล้วหันมามองเด็กชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าที่ทำท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ เพียงแค่ร่างขึงเกร็ง ปณิธานหมัดของป๋ายหมัวมัวถูกปล่อยออกไปอย่างเงียบเชียบแล้ว แต่กลับยังมิอาจสัมผัสได้ถึง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไร บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธไม่ใช่ว่าจะไม่พิถีพิถันด้านคุณสมบัติหรือฐานกระดูกเสียเลย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เข้มงวดอย่างของผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่อาศัยการเดิมพันชีวิตพึ่งพาโชคชะตาอย่างผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่นั้นไม่ใช่ว่าทนความยากลำบากได้ก็จะเป็นกันได้ แต่การฝึกวิชาหมัด เมื่อมีคุณสมบัติในระดับหนึ่งแล้วก็สามารถเป็นเหมือนน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาว เหยียบลงพื้นอย่างมั่นคง จะเห็นประสิทธิผลได้อย่างช้าๆ แน่นอนว่าขอบเขตสามจะเป็นธรณีประตูขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เพียงแต่เด็กๆ พวกนี้ต้องผ่านขอบเขตสามได้อย่างไม่ยากแน่นอน ต่างกันก็แค่มีช้ามีเร็ว มียากมีง่ายเท่านั้น
เฉินผิงอันเอนตัวพิงเสาระเบียง สองมือสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ มองเด็กๆ เหล่านั้น คนที่ตั้งใจเรียนหมัดจริงๆ ส่วนมากแล้วเป็นเด็กที่มีชาติกำเนิดยากจนจากตรอกเหยียนชือ ตรอกมู่เหมิง คนที่ไม่ค่อยอยากเรียน ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่โตอย่างพวกเจียงอวิ๋น