กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 651.3 บ้านเกิดของผู้ฝึกกระบี่อยู่ที่ใด
พวกเด็กๆ เริ่มฝึกเดินนิ่งกันอีกครั้ง บางครั้งป๋ายหมัวมัวก็จะช่วยดัดกระดูกบิดเส้นเอ็น เด็กคนนั้นก็จะเริ่มลงไปนอนกลิ้งร้องไห้โหยหวนอยู่บนพื้น
ทำเอาเฉินผิงอันที่เดิมทีจิตใจอยู่ในสภาพสงบนิ่ง เปลี่ยนมาเป็นมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แล้วก็มีความสุขมากจริงๆ
เพียงแต่พอเห็นว่าเด็กชายตัวปลอมและเด็กจากตรอกคนหนึ่งทยอยกันลงไปฟุบอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ก็เริ่มรู้สึกสงสารบ้างแล้ว
ป๋ายหมัวมัวมองไปตามทิศทางที่ท่านเขยของตัวเองมองไปด้วยสีหน้าเมตตา ในสายตาของหญิงชราแฝงไว้ด้วยแววสอบถาม
เฉินผิงอันรีบโบกมือ บอกเป็นนัยว่าตนแค่แวะมาดูเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าป๋ายหมัวมัวกลับยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวาน ที่นี่มีคนบอกว่าอยากจะเรียนหมัดกับท่าน รังเกียจว่าวิชาหมัดของข้าอ้อนแอ้นเกินไป ไม่สู้ท่านลองมาสอนดูดีไหม?”
เฉินผิงอันกำลังจะปฏิเสธ เจียงอวิ๋นผู้นั้นกลับยกสองมือกอดอก ตะเบ็งเสียงดังลั่น “อิ่นกวานอยู่ที่ไหน?!”
มารดาเจ้าเถอะ ไอ้ลูกกระต่ายน้อย สรุปแล้วใครกันแน่ที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน
เฉินผิงอันมองเด็กชายตัวปลอมที่ลุกขึ้นมานั่งแล้วยกมือสั่นเทาขึ้นเช็ดฝุ่นและเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองเงียบๆ
ใบหน้าของป๋ายหมัวมัวประดับรอยยิ้มน้อยๆ
เฉินผิงอันทำได้เพียงก้าวเท้ายาวๆ ไปยังสนามประลองยุทธ
และเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพียงแค่บอกเล่าถึงความเข้าใจในวิชาหมัดท่าเดินนิ่งหกก้าว สั้นกระชับเรียบง่าย เป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น
เจียงอวิ๋นคิดว่านี่เพิ่งจะเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าอิ่นกวานคนนั้นหุบปากไปแล้ว เด็กชายอดไม่ไหวถามว่า “พูดจบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดิมทีสัจธรรมแห่งหมัดก็มีอยู่ไม่มาก นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับที่ว่ายิ่งเป็นหนังสือเล่มบาง ความรู้ที่แฝงอยู่ภายในก็ยิ่งยิ่งใหญ่นั่นแหละ”
เขาเอ่ยเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ความรู้ของสามลัทธิเมธีร้อยสำนัก ยิ่งเป็นวัตถุประสงค์ของความรู้ โลกรุ่นหลังก็ยิ่งมีคำอธิบายมากเท่านั้น สุดท้ายจึงแตกกิ่งก้านสาขา ครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่งอย่าง
เพียงแต่ว่าการคบค้าสมาคมกับพวกเด็กๆ ยิ่งอธิบายละเอียดยิบย่อยมากเท่าไรกลับยิ่งจะทำให้พวกเขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะคล้อยตามใครมากเท่านั้น
ป๋ายหมัวมัวยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน หากไม่รีบกลับไปที่คฤหาสน์หลบร้อน พอดีกับที่วันนี้ฝึกท่ายืนนิ่งมาได้พอสมควรแล้ว สามารถสอนท่าเดินนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาได้แล้ว”
มีคนนอกอยู่ด้วย แน่นอนว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านเขยไม่ได้
เฉินผิงอันครุ่นคิด อยู่ที่นี่สักครึ่งชั่วยามย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน จึงพยักหน้าตอบตกลง ยิ้มเอ่ยว่า “ท่าเดินนิ่งนี้มาจากวิชาหมัดเขย่าขุนเขา”
เจียงอวิ๋นผู้นั้นพูดสอดขึ้นมาทันที “เดี๋ยวนะ ชื่อวิชาหมัดนี้ไม่เผด็จการเอาเสียเลย เขย่าขุนเขา? กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา มีผู้ฝึกกระบี่คนใดบ้างที่ไม่ได้ปล่อยกระบี่ทีเดียวก็สามารถทำให้ภูเขาราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาสอนวิชาหมัดให้ข้าดีไหม?”
เจียงอวิ๋นขมวดคิ้ว “พูดคุยกันดีๆ ใช้เหตุผลบ้างสิ!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “บางทีชื่อของวิชาหมัดอาจไม่ได้เผด็จการสักเท่าไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอธิบายให้มากอีกหน่อยแล้วกัน”
เขาอธิบายคร่าวๆ ถึงสภาพการณ์ของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าไพศาล พูดถึงผู้ฝึกยุทธในหมู่ชาวบ้านที่ไม่ได้มีชาติกำเนิดจากตระกูลสูง วิชาหมัดหลากหลาย ขอแค่สามารถใช้หมัดต่อยให้อิฐแตก กระทืบให้ก้อนหินปริแยกก็ถือว่าเป็นนักต่อสู้ที่มีฝีมือไม่เลวแล้ว ดังนั้นคำว่าเขย่าขุนเขา แท้จริงแล้วน้ำหนักของมันจึงไม่น้อยเลย ในถ้อยคำที่เอ่ยได้สอดแทรกความเห็นของตัวเฉินผิงอันเองเข้าไปด้วย ดังนั้นพวกเด็กๆ จึงรับฟังอย่างตั้งใจ แน่นอนว่าอุตส่าห์ได้แอบอู้ทั้งที ใครไม่ยืนนิ่งต้องโดนตี เวลานี้ไม่ต้องเดินนิ่งที่น่าเบื่อหน่าย ใครบ้างจะไม่ชอบ
พูดจบเฉินผิงอันก็สาธิตท่าเดินนิ่งให้ดูสองสามรอบ จากนั้นจึงช่วยชี้แนะข้อบกพร่องจากท่าเดินนิ่งของพวกเด็กๆ เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ระหว่างที่พัก ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้เล่าถึงยุทธภพในหมู่ชาวบ้านไปบ้างแล้ว คราวนี้จึงเล่าถึงทัศนียภาพของยอดเขาวิถีวรยุทธอย่างขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบบ้าง พวกเด็กๆ ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรมาอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวก็เหมือนอยู่ในกรงขัง จะหนีไปไหนก็ไม่ได้อยู่แล้ว เจียงอวิ๋นเคยชวนแม่หนูจากตรอกอวี้ฮู่ผู้นั้นให้หนีไปด้วยกัน ตอนกลางดึกเพิ่งจะปีนขึ้นไปถึงบนหัวกำแพงก็ถูกหญิงแก่ดุร้ายผู้นั้นลากตัวกลับไป ลงโทษให้พวกเขายืนนิ่ง แม่นางน้อยยืนจนเป็นลมหมดสติ ส่วนเจียงอวิ๋นก็ยืนจนหลับไป
ตอนนั้นห่างจากจุดที่พวกเจียงอวิ๋นสองคนที่ถูกลงโทษให้ยืนไปไม่ไกล ก็มีเด็กสองคนที่เป็นฝ่ายขอมาฝึกยืนนิ่งด้วยตัวเอง เพียงแต่ฝ่ายหลังถูกป๋ายหมัวมัวไล่กลับไปพักผ่อน
ฝึกหมัดมีข้อต้องห้ามคือคำว่าตาย
เด็กจากบ้านยากจนเรียนรู้วิชาความรู้ให้มาก เด็กจากบ้านคนมีเงินเรียนรู้วรยุทธให้มาก การเรียนวรยุทธจำเป็นต้องมีวิสุทธิจารย์เป็นผู้นำทาง การขัดเกลากระดูกและเส้นเอ็นก็ยิ่งสิ้นเปลืองเงินทอง ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะเดินทางผิด กลับกลายเป็นว่าทำร้ายร่างกายตัวเอง เผาผลาญพลังชีวิตไปโดยไม่จำเป็น ปณิธานหมัดยังไม่ติดตัว กลายเป็นฝึกหมัดจนผีสิงร่าง นี่ก็คือความทุกข์ยากใหญ่หลวงที่สุดของผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ไม่ได้กราบอาจารย์เข้าสำนัก
เฉินผิงอันคำนวณเวลาไว้อย่างแม่นยำแล้วจึงขอตัวลาจากไป
ป๋ายหมัวมัวช่วยสอนวิชาหมัดให้พวกเด็กๆ ต่อ
เจียงอวิ๋นบ่นพึมพำเบาๆ “ได้เจอหน้ากันแล้ว ผิดหวังมากเลยแหะ”
ป๋ายหมัวมัวยิ้มกล่าว “รอจนวันใดที่เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะถามหมัดกับอิ่นกวาน เจ้าก็จะรู้เองว่าอะไรที่เรียกว่าสิ้นหวัง”
เจียงอวิ๋นส่ายหน้า “ช่างเถิด เถ้าแก่รองเจ้าเล่ห์จะตายไป รอวันใดที่ขอบเขตของข้าสูงจนไล่ตามเถ้าแก่รองทันแล้ว ข้าจะต้องลองถามหยั่งเชิงเขาดูก่อน ขอแค่เขาตอบตกลงว่าจะยอมถามหมัดกับข้า ข้าก็จะไม่สู้กับเขาแล้ว”
ป๋ายหมัวมัวส่ายหน้า สกุลเจียงเป็นตระกูลเที่ยงตรงไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง เหตุใดถึงได้เลี้ยงเจ้าตะพาบน้อยที่ปากไร้หูรูดเช่นนี้ออกมาได้
เจียงอวิ๋นชำเลืองตามองหญิงชรา เวลานี้เด็กชายยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดปีนั้นท่านปู่ของตนถึงได้ชอบหญิงแก่เช่นนี้ได้นะ?
เฉินผิงอันกลับมาถึงคฤหาสน์หลบร้อน จากนั้นก็เรียกเซียนกระบี่โฉวเหมียวให้ไปที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวด้วยกัน ถือโอกาสเลยไปที่สวนดอกเหมยด้วย สมุดเล่มที่ถัวเหยียนฮูหยินส่งมาให้คฤหาสน์หลบร้อนไม่บางเลย ดังนั้นการเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวของเฉินผิงอันคราวนี้จึงพกวัตถุจื่อชื่อมาเพิ่มด้วยสองชิ้น เป็นของที่ยืมมาจากเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วน อยู่ในสวนดอกเหมยที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน เซียนกระบี่โฉวเหมียวมองใต้เท้าอิ่นกวานที่เคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยสายตาเป็นประกายแล้วอดไม่ไหวถามว่า “ตอนอยู่ในคลังลับของจวนหนิง เจ้าก็เป็นแบบนี้หรือ?”
เฉินผิงอันคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา
จะเหมือนกันได้อย่างไร?
มาถึงเรือนชุนฟานก็ตรวจบัญชีอย่างละเอียด เหวยเหวินหลงคอยอธิบายรายละเอียดอยู่ด้านข้างเบาๆ ทำเอาเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่ฟังอยู่ด้วยเริ่มง่วง
ผลลัพธ์ที่โฉวเหมียวและหลินจวินปี้เป็นกังวลมากที่สุด ตอนนี้ยังไม่ปรากฏ
เรือข้ามฟากของแปดทวีปยังคงเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวได้อย่างราบรื่น
ระหว่างที่เดินทางมา โฉวเหมียวเสนอว่าสามารถขึ้นราคาอย่างเหมาะสมได้แล้ว เฉินผิงอันรู้สึกว่าสามารถทำได้จึงปรึกษารายละเอียดของเรื่องนี้กับเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนและเส้าอวิ๋นเหยียน ราคาของทรัพยากรที่สำคัญบางอย่างยังคงเดิม ไม่อย่างนั้นการหมุนเวียนทรัพย์สินเงินทองของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีแรงกดดันมากเกินไป ต่อให้รวมกับกำลังทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์จากเรือนส่วนตัวสองแห่งทั้งเรือนชุนฟานและสวนดอกเหมย ก็ยังคงอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ แต่หากคิดจะยอมเสียกำไรเพิ่มขึ้นในระดับที่เหมาะสมต่อทรัพยากร ‘เหลือว่าง’ ระดับรองบางอย่างของเรือข้ามฟากแต่ละลำจากแปดทวีป ก็สามารถค่อยๆ ทำไปได้
กลับไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้หอมายาทางทิศเหนือของนคร ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน เพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
เซียนกระบี่โฉวเหมียวเงยหน้ามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง แล้วจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่พูดถึงระดับสูงต่ำของพลังพิฆาตจากการออกกระบี่ พูดถึงแค่ตัวของเรื่องราว เจ้าสามารถทำได้ถึงขั้นของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยากที่จะทำได้”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของหนิงเหยาขี่กระบี่นำกลับมาที่หัวกำแพงเมืองก่อน
ทุกคนล้วนบาดเจ็บ เตี๋ยจ้างได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด
เฉินชิงตูเดินออกมาจากกระท่อม
เฉินซานชิวเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านบรรพบุรุษ เฉินชิงตูอืมรับหนึ่งคำ
เพียงแค่นี้เท่านั้น
หากคนต่างถิ่นมาเห็นเฉินซานชิวยามดื่มเหล้า คงยากจะจินตนาการได้ว่า ผีขี้เหล้าหนุ่มที่หล่อเหลาสง่างามผู้นี้ หากสืบไปถึงต้นบรรพบุรุษของตระกูลกันจริงๆ บรรพบุรุษของเขาก็คือเฉินชิงตู
เฉินซีเซียนกระบี่ใหญ่ที่สามารถแกะสลักคำว่า ‘เฉิน’ ไว้บนหัวกำแพงเมืองได้เคยสอบถามบรรพบุรุษเฉินชิงตูเป็นการส่วนตัวว่า สามารถให้เฉินซานชิวออกไปจากที่นี่ ติดตามอริยะของลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งไปขอศึกษาต่อที่ใต้หล้าไพศาลได้หรือไม่?
เฉินชิงตูถามเพียงคำถามเดียว
วันหน้าเฉินซานชิวจะยังใช้แซ่เฉินหรือไม่?
สุดท้ายเฉินซีก็ได้แต่ออกจากหัวกำแพงเมืองไปอย่างหม่นหมอง
เฉินซานชิวเอ่ยลาอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขี่กระบี่ไปจากหัวกำแพงเมือง
ลูกหลานสกุลเฉิน แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ
มีบรรพบุรุษที่เวทกระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้าอย่างแท้จริง แต่กลับเหมือนไม่มี หรือถึงขั้นพูดว่าไม่มีเสียเลยยังดีกว่า
พวกต่งฮว่าฝูเยี่ยนจั๋วก็จากไปเช่นกัน พวกเขาจะกลับไปพักรักษาตัวในนครสองสามวัน ส่วนเตี๋ยจ้างนั้นต้องพักรักษาตัวนานยิ่งกว่า
เหลือเพียงหนิงเหยาคนเดียว
เฉินผิงอันขี่กระบี่มาที่หัวกำแพงเมือง
นั่งลงบนหัวกำแพงเมืองเป็นเพื่อนหนิงเหยา สองขาของเฉินผิงอันแกว่งเบาๆ
หนิงเหยาถาม “หนึ่งปีกว่ามานี้อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนตลอดเวลา เพราะเก็บซ่อนเรื่องบางอย่างไว้ในใจ เลยไม่กล้ามาเจอข้าหรือ?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หนิงเหยาเอ่ย “นอกจากเจ้าไปชอบคนอื่น ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เดิมทีไม่คิดจะพูด แต่จู่ๆ ก็พบว่าไม่ว่าตัวเองจะรู้สึกว่ามันดีที่สุดอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มักจะแย่ที่สุดเสมอ เพราะถึงอย่างไรคนสองคนที่ชอบพอกันได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของคนใดคนหนึ่งแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงจะพูดกับเจ้า เจ้าฟังไปแล้วจะตีข้าก็ได้ แต่ห้ามโกรธ”
หนิงเหยาฟังจบแล้วก็พยักหน้า
เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องนั้น ซึ่งถือว่าเป็นคำสัญญาอย่างหนึ่งที่เขามีกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ไม่โกรธหรือ?”
หนิงเหยาย้อนถาม “โกรธแล้วมีประโยชน์หรือ?”
เฉินผิงอันคิดตาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์จริงๆ
เพียงแต่เขาไม่กล้าพูดออกมา
หนิงเหยาเลิกคิ้ว
แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ
แต่นางเองก็ไม่ได้พูดออกมาเหมือนกัน
ส้นเท้าของเฉินผิงอันกระทบกับหัวกำแพงเบาๆ
การได้อยู่กับหนิงเหยา รวมถึงช่วงก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ที่ได้พบเจอนาง ชอบนาง กระทั่งเดินมาอยู่ข้างกายหนิงเหยา ขึ้นเขาลงห้วย ท่องไปทั่วทิศ ฝึกฝนวิชาหมัด แม้ว่าจะเหนื่อยกายอยู่บ้าง แต่ไม่เคยเหนื่อยใจเลยสักนิด
หนิงเหยาเอ่ย “วันหน้าหากมีเรื่องในใจที่ใหญ่แบบนี้อีกก็พูดมาตามตรง ต่อให้ข้าโกรธ ก็จะบอกให้เจ้ารู้”
เฉินผิงอันกุมมือนางไว้เบาๆ จากนั้นทั้งสองคนก็ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกันเงียบๆ
เฉินชิงตูสาวเท้าเดินเล่น ฝีเท้าเนิบช้า ทุกครั้งจะเดินห่างไปไม่ไกล แล้วจะย้อนกลับมาทางเดิม
ชำเลืองตามองแผ่นหลังของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น
เฉินชิงตูก็พลันคลี่ยิ้ม เพราะคิดถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากขึ้นมา
การที่ปีนั้นได้พบเจอเฉินผิงอันครั้งแรกแล้วมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันถามหมัดเฉาสือสามครั้งติด กล้าออกหมัด กล้ายอมรับความพ่ายแพ้
แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่าเด็กหนุ่มตัวคนเดียวเดินทางไกลมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อนำกระบี่มามอบให้กับสตรีที่รัก
ถึงขั้นที่ว่ายังไม่เกี่ยวกับการที่เฉินผิงอันมีความเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสท่านนั้น
ปีนั้นเฉินชิงตูมองเด็กหนุ่มที่เดิมทีมีคุณสมบัติของเซียนดิน แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะกลับถูกทำลาย โดยเฉพาะยามที่ได้เห็นสายตาและความมีชีวิตชีวาบนร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น ล้วนทำให้เฉินชิงตูรู้สึกว่า…ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่เหมือนกับคนเก่าแก่ในยุทธภพหรือผู้อาวุโสบนภูเขามากมายที่มองเฉินผิงอัน บางทีเฉินชิงตูอาจเป็นคนเดียวที่มองเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีกลิ่นอายของความนิ่งขรึมแก่เกินวัย กลับกันยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตสดใส
ปีนั้นเฉินผิงอันที่ยังเป็นเด็กหนุ่มคล้ายกำลังสอบถามฟ้าดินอยู่เงียบๆ อีกทั้งยังเป็นการสอบถามที่สดชื่นแจ่มใสที่สุด
ข้าเองก็จะสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ ข้าจะสามารถทำให้แม่นางที่ตัวเองชอบมาชอบตัวเอง อีกทั้งยังชอบได้ตลอดไป ในอนาคตข้าจะสามารถปกป้องแม่นางที่ตัวเองชอบ จะไม่ทำให้ใครบางคนผิดหวัง ข้าจะต้องทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?!
เฉินชิงตูรู้สึกว่าแบบนี้ ดีมากๆ
ก็ไม่แปลกที่ทำไมก่อนซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นจะจากไป ถึงได้ทำหน้าหนาตื๊อถามเขาเฉินชิงตูว่า ‘ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้ ประเสริฐหรือไม่? อิจฉาหรือไม่? ประเสริฐยิ่งนัก อิจฉามากเลย ใช่หรือไม่? เฮ้อ น่าเสียดายที่ต่อให้อิจฉาไปก็เปล่าประโยชน์ หากข้าเป็นพี่ใหญ่เฉินนะ มารดามันเถอะ ป่านนี้ก็คงปล่อยหมัดแสกหน้าไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะกำจัดความอิจฉาริษยาในใจได้!’