กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 655.2 จูเหลี่ยนยามเยาว์วัย
กู้ช่านมองไฉ่ป๋อฝูแล้วก็พลันยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด วันหน้าเดินไปบนมหามรรคาเส้นเดียวกันก็สามารถมาประลองเวทคาถากันได้”
ในเมื่อหลิ่วชื่อเฉิงไม่อยากจะฆ่าอีกฝ่าย กู้ช่านเองก็ไม่มั่นใจว่าหากตัวเองลงมือแล้วจะทำสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้ข้างกายแล้วกัน
อันที่จริงหลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้เห็นค่าในขอบเขตอันน้อยนิดของไฉ่ป๋อฝูเลย ต่อให้อีกฝ่ายกลับคืนมาเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้ แล้วจะอย่างไร? ต่อให้ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เขาหลิ่วชื่อเฉิง ไปถึงนครจักรพรรดิขาวแล้วจะมีความหมายอะไร? ฝึกตนอยู่ในนครจักรพรรดิขาวไม่ได้ใช้เส้นทางแบบการฝึกตนของตระกูลเซียนธรรมดาทั่วๆ ไป ไม่เคยพิถีพิถันในคำว่ากอดกันเพื่อหาความอบอุ่น หรือสามัคคีคือพลังอะไร
เหตุผลแท้จริงที่หลิ่วชื่อเฉิงไม่ฆ่าคนผู้นี้ก็เพราะหวังว่าศิษย์พี่จะอาศัยผลบุญกรรมน้อยนิดที่ไฉ่ป๋อฝูมีต่อหลี่เป่าผิงมาทำการอนุมานใหญ่เทียมฟ้า ช่วยให้วันหน้ายามที่ศิษย์พี่ใหญ่ต้องเล่นหมากล้อมกับ ‘นักพรตวัยกลางคน’ ต่อให้นครจักรพรรดิขาวจะมีโอกาสชนะเพิ่มมาแค่เสี้ยวเดียว แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า
เชื่อว่าลูกคิดรางเล็กๆ นี้ของตน อันที่จริงได้ถูก ‘นักพรตวัยกลางคน’ ผู้นั้นคิดคำนวณมาไว้นานแล้ว ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นก็ให้ศิษย์พี่ใหญ่ปวดหัวไปเองแล้วกัน
ศิษย์น้องทำสุดความสามารถของศิษย์น้อง ศิษย์พี่เล่นหมากล้อมของศิษย์พี่ไป
หลังจากนั้นคนทั้งสามต่างก็ไม่ได้ทะยานลม แต่พากันเดินเท้าไปยังนครลมเย็น
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยชวนคุยว่า “น้องหลงป๋อ วัตถุแห่งชะตาชีวิตหกชิ้นของเจ้ามีลูกเล่นมากมาย สองชิ้นในนั้นกลับมีระดับของวัตถุวิเศษเท่านั้น เรื่องเป็นมาอย่างไรหรือ?”
ไฉ่ป๋อฝูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา จุดเริ่มต้นมักจะยากที่สุดเสมอ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างเอาวัตถุวิเศษชิ้นสองชิ้นมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว รอกระทั่งขอบเขตสูงมากพอ สมบัติอาคมในมือมีมากพอ คิดจะฝืนเปลี่ยนแปลงรากฐานของวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับชีวิตบนมหามรรคา ทำได้ก็จริง แต่ก็ทำร้ายกระดูกและเส้นเอ็นมากเกินไป กลัวว่าศัตรูจะรู้ข่าวมากที่สุด เพราะการปิดด่านแบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าตัวเองรนหาที่ตายหรอกหรือ? ต่อให้ไม่ตาย ขอแค่ถูกพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่กินอิ่มว่างงานสืบสาวเบาะแสมาเจอ แอบสอดมือเข้ามาขัดขวางการปิดด่านกลางคัน ก็ยังได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี”
ไฉ่ป๋อฝูทอดถอนใจ “หากก่อนจะสร้างโอสถทอง ศัตรูที่ไปมีเรื่องด้วยขอบเขตไม่สูง การผลัดเปลี่ยนวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่มีปัญหามากนัก น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราสามารถสร้างโอสถทองได้ ต่อให้ไม่ไปมีเรื่องกับพวกโอสถทองคนรุ่นเดียวกัน แต่ไปมีเรื่องกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบางคนที่พอถูกตีก็ร่ำร้องหาบิดามารดาหาบรรพบุรุษ บางครั้งทอดสายตามองไปโดยรอบก็รู้สึกว่ารอบกายมีแต่ปัญหาและศัตรูจริงๆ”
การไป ‘เยี่ยมเยือนตามบ้าน’ ของตระกูลเซียน ไปแก้แค้นก็ดี ไปหาญาติมิตรก็ช่าง ไม่ได้เหมือนกับชาวบ้านร้านตลาดที่เดินทางร้อยกว่าลี้ก็เท่ากับออกเดินทางไกล ต่อให้พื้นที่ของหนึ่งทวีปจะใหญ่แค่ไหน แต่หากพูดถึงเรื่องการบุกเบิกสถานที่สำคัญ สถานที่แห่งนั้นก็ยังเล็กมากอยู่ดี พื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ปราณวิญญาณดีหน่อย ทั่วทุกหนแห่งล้วนมีแต่งูเจ้าถิ่น ภูเขาใหญ่หนองน้ำลึกที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย มีที่ใดบ้างที่ไม่ถูกภูเขาตระกูลเซียนยึดครองสร้างกิจการมานานหลายปี? ไม่ใช่ภูเขาในทำเนียบวงศ์ตระกูลก็เป็นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ การที่ผู้ฝึกตนอิสระยากจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะไม่เคยได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรหรือคนสามัคคี
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
กู้ช่านยิ้มบางๆ
ไฉ่ป๋อฝูเหม่อลอยไปแค่ครู่หนึ่งก็ถูกหลิ่วชื่อเฉิงเอามือกดศีรษะ ทำลายโอสถทองให้แตกย่อยยับได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายหลังนอนพังพาบอยู่บนพื้น ร่างท่วมเลือด ชักกระตุกไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ขอบเขตถดถอยจากก่อกำเนิดมาสู่โอสถทองมีความลี้ลับมากเกินไป ไฉ่ป๋อฝูจึงไม่ต้องเผชิญกับความทรมานมากนัก คราวนี้จากโอสถทองไปสู่ขอบเขตประตูมังกรก็คือความทรมานเหมือนถูกทอดอยู่ในกระทะน้ำมันเดือดพล่านอย่างแท้จริงแล้ว
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “เอาล่ะ ตอนนี้สามารถเปลี่ยนวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างสบายใจแล้ว ไม่อย่างนั้นคอขวดก่อกำเนิดของเจ้าก็ยากจะฝ่าไปได้ น้องหลงป๋อ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
หลิ่วชื่อเฉิงหมุนนิ้วข้างหนึ่งก็สร้างค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้น้องหลงป๋อบดบังลมปราณ
เวทคาถาที่นครจักรพรรดิขาวถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ค่อนข้างจะซับซ้อนหลากหลาย หลิ่วชื่อเฉิงเคยมีศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งที่คุณสมบัติเรียกได้ว่าเลิศล้ำน่าตะลึง นางตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้ว่าจะต้องเรียนเวทคาถาให้ครบสิบสองชนิดถึงจะยอมหยุด
ผลคือทุกๆ ร้อยปีที่ผ่านไป สีหน้าของศิษย์พี่หญิงคนนั้นก็จะยิ่งไม่น่าดูเพิ่มมาอีกส่วน ถึงท้ายที่สุดจึงกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ที่สุดในนครจักรพรรดิขาว
ไฉ่ป๋อฝูนั่งขัดสมาธิ ภาพบรรยากาศในฟ้าดินขนาดเล็กร่างมนุษย์วุ่นวายอย่างหนัก วันนี้ทั้งก่อกำเนิดและโอสถทองล้วนทยอยกันสลายหายไปและปริแตก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเสียหายของรากฐานมหามรรคาอะไรแล้ว เอาชีวิตให้รอดก่อนแล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น
กู้ช่านนั่งยองอยู่ข้างกายไฉ่ป๋อฝู ถามว่า “ข้าประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่แสร้งปลอมตัวเป็นสวี่หุน แค่อุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่จะโยนความผิดให้คนอื่นก็ไม่มี? แล้วเจ้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระมาได้อย่างไร? หรือว่ามีเรื่องอะไรที่แอบแฝงอยู่?”
กู้ช่านยื่นมือมากดศีรษะของไฉ่ป๋อฝู “เจ้าฝึกคาถาน้ำ ข้าเองก็ได้คัมภีร์สกัดคงคามาพอดี หากอาศัยโอกาสนี้ดึงเอาพลังชีวิตและชะตาน้ำของเจ้ามา แล้วค่อยหลอมเศษชิ้นส่วนโอสถทองของเจ้ามาชดเชยบนมหามรรคา ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องงดงามที่น้ำมาคลองสำเร็จ ว่ามาเถอะ เจ้ากับนครลมเย็นหรือแคว้นหูมีความสัมพันธ์ที่ไม่บอกกล่าวใครไม่ได้แบบใดกันแน่ ถึงได้ทำให้การฆ่าคนช่วงชิงทรัพย์สมบัติของเจ้าครั้งนี้มีคุณธรรมน้ำใจขนาดนี้”
ไฉ่ป๋อฝูที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว ก่อนหน้านี้เพราะเส้นผมที่ขาวโพลน แม้จะทำให้ดูแก่ แต่เส้นผมก็ยังแวววาวเป็นประกาย นั่นคือสัญญาณของความมีชีวิตชีวา ทว่าเวลานี้เส้นผมเกินครึ่งล้วนแห้งกรอบ พอถูกกู้ช่านเอามือกดลงบนศีรษะง่ายๆ ก็ร่วงเผลาะลงมาเป็นปอย ไม่ทันตกลงบนพื้นก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงอยู่กลางอากาศเสียก่อน
กู้ช่านเพิ่มน้ำหนักอีกเล็กน้อย ใช้หนึ่งในเวทก้นกรุของคัมภีร์สกัดคงคาเริ่มทำการสกัดดึงเอาโชคชะตาน้ำของไฉ่ป๋อฝูมาอย่างกำเริบเสิบสาน เดิมทีฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ของไฉ่ป๋อฝูก็วุ่นวายยุ่งเหยิงเหมือนน้ำที่ท่วมทะลักทำนบมากพออยู่แล้ว วิชาของกู้ช่านจึงเหมือนการขุดเจาะโพรงขนาดใหญ่บนเขื่อนที่โงนเงนจะล้มมิล้มแหล่เพื่อดึงเอาโชคชะตาน้ำมาเป็นของตัวเอง ส่วนเรื่องที่ว่ากระแสน้ำเส้นนั้นจะใช้โอกาสนี้กระแทกให้เขื่อนทั้งหมดแตกออก ทำให้เส้นทางการฝึกตนของไฉ่ป๋อฝูต่อจากนี้ยิ่งเป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างลงบนน้ำแข็ง ชีวิตนี้จะมีโอกาสกลับคืนมาเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิดได้อีกหรือไม่ก็ยังไม่รู้ กู้ช่านไม่สนใจแม้แต่น้อย
ไฉ่ป๋อฝูรีบร่ายเรื่องวงในที่ตนรู้มายาวเหยียดราวกับเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ในอดีตข้ากับภรรยาของสวี่หุนเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกัน! ดังนั้นข้าจึงทั้งอยากขุดหลุมเล่นงานเจ้านครอย่างสวี่หุน แต่ก็ไม่ยินดีให้ตลอดทั้งนครลมเย็นตกอยู่ในอันตราย จนเป็นเหตุให้คนทั้งตระกูลสวี่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอความเป็นธรรม การที่แม่นางน้อยคนนั้นมาประสบภัยอยู่ที่นี่ ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง สวี่หุนกลับปกป้องนางไม่ได้ ย่อมยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ทว่ากลับไม่มีโทษทัณฑ์หนักหนาไปมากกว่านั้น แต่หากข้าแสร้งปลอมตัวเป็นสวี่หุนมาช่วงชิงสมบัติ แล้วแสร้งทำเป็นไม่ระวังปล่อยให้แม่นางน้อยหรือเว่ยเปิ่นหยวนรอดชีวิตไปอย่างร่อแร่ นครลมเย็นก็จะต้องสูญเสียอนาคตอันดีงามที่จะได้เป็นตัวสำรองสำนักอักษรจง ข้าไม่อยากให้ความทุ่มเททั้งหมดของศิษย์น้องต้องลอยหายไปกับกระแสน้ำ…”
พอพูดถึงศิษย์น้องคนนั้น ความรู้สึกนับร้อยนับพันก็ประดังประเดเข้าหาไฉ่ป๋อฝู สีหน้าแววตาของเขาเผยความเสียดายอย่างที่ปิดไม่มิด
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “ลุ่มหลงในรัก ช่างเป็นคนที่ลุ่มหลงในรักจริงๆ ข้าชอบ มิน่าเล่าข้าถึงได้ถูกชะตากับน้องหลงป๋อทันทีที่เห็นหน้า ตัดใจฆ่าเจ้าไม่ลง”
กู้ช่านคิดแล้วก็ยิ้มถามว่า “บุตรชายของสวี่หุนคนนั้น?”
ไฉ่ป๋อฝูกล่าวอย่างเดือดดาล “สวี่หุนไม่ใช่คนปัญญาอ่อนเสียหน่อย เขาจะยอมช่วยเลี้ยงลูกชายข้าได้อย่างไร! ข้ากับศิษย์น้องบริสุทธิ์จริงใจต่อกัน เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า ปากมีแต่อาจม!”
กู้ช่านดึงมือกลับมา “น่าเสียดายนัก”
แล้วจู่ๆ กู้ช่านก็ยื่นมือออกไปสกัดเอาโชคชะตาน้ำและเศษชิ้นส่วนโอสถทองของไฉ่ป๋อฝูมาอีกครั้ง พลางถามว่า “เจ้าไม่คิดว่าสวี่หุนเป็นคนปัญญาอ่อน แต่คิดว่าข้าเป็นคนโง่งั้นหรือ? ว่ามาเถอะ ศิษย์น้องของเจ้าคนนั้นเป็นเพราะขอบเขตสูงกว่าเจ้า หรือเพราะนางกุมจุดอ่อนของเจ้าเอาไว้? ไม่อย่างนั้นความจริงใจนี้ของเจ้าก็จะดูเกินเหตุไปหน่อย ผู้ฝึกตนอิสระยอมแหกกฎทำเรื่องที่ไม่เคยทำล้วนต้องมีเหตุผล ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่ลูกชายเจ้า ถ้าอย่างนั้นเหตุผลของเจ้าก็ไม่มากพอแล้ว ความรักชายหญิงงั้นหรือ? หากเจ้าอาลัยอาวรณ์นางจริง ยามที่นครลมเย็นเจอกับหายนะใหญ่ใกล้จะล่มสลายเต็มที สวี่หุนแย่งชิงศิษย์น้องของเจ้าไปก่อน เจ้าแย่งเอาเมียเอาลูกของเขามาเลี้ยงภายหลัง จะทำไม่ได้เลยจริงๆ หรือ?”
ไฉ่ป๋อฝูพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นคล้ายต้องการมองใบหน้าของคนหนุ่มให้ชัดเจน ก่อนยิ้มขื่นเอ่ยว่า “แม้ข้าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนอิสระก่อนกำเนิดอะไร กู้ช่าน กู้ช่าน เจ้าตัวดี เจ้านับเป็นคนแรก!”
ไฉ่ป๋อฝูเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ศิษย์น้องของข้ามีกลอุบายลึกล้ำมาตั้งแต่เด็ก ปีนั้นหลังจากที่ข้าร่วมมือกับนางทำร้ายอาจารย์ให้ตาย ก่อนที่นางจะแต่งเข้าไปอยู่ในสกุลสวี่นครลมเย็น ข้ารู้แค่ว่านางมีการสืบทอดอีกอย่างหนึ่งของสำนักซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกปกปิดไว้เป็นความลับ เพราะข้ากริ่งเกรงนางมาโดยตลอดจึงไม่กล้าไปหาเรื่องนาง”
กู้ช่านหันหน้ามามองหลิ่วชื่อเฉิง ยิ้มเอ่ย “ขอบเขตของข้าต่ำ เห็นข้าเป็นคนโง่ก็แล้วไปเถิด แต่เจ้าล่ะ? ยังคิดว่าน้องหลงป๋อผู้นี้เป็นคนลุ่มหลงในรักอยู่อีกไหม?”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร เดิมทีข้าก็เป็นคนโง่อยู่แล้ว”
กู้ช่านถึงได้ดึงมือกลับมา ลุกขึ้นยืน มองไปทางนครลมเย็นที่มีหวังสูงว่าจะได้เป็นตระกูลเซียนอักษรจง
ไฉ่ป๋อฝูหมดอาลัยตายอยาก ถูกเจ้าตะพาบน้อยกู้ช่านทรมานขู่เข็ญเช่นนี้ แม้แต่ขอบเขตประตูมังกรของตนในยามนี้ก็ยังเป็นดั่งเรือนที่มีรูรั่วรอยโหว่เต็มไปหมด คิดจะซ่อมแซมก็ยากลำบากอย่างยิ่ง
กู้ช่านเอ่ย “ไม่ไปนครลมเย็นแล้ว ข้าจะตรงกลับไปที่เมืองเล็ก”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “ตามใจเจ้า”
กู้ช่านกล่าว “ไปถึงบ้านเกิดของข้า แนะนำเจ้าว่าควรระวังตัวให้มากหน่อย”
สีหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอัน ฉีจิ้งชุนในปีนั้น หลี่เป่าผิง หลี่ซีเซิ่งในวันนี้
บวกกับกู้ช่านข้างกายที่ไม่คิดจะปิดบังจิตสังหารที่มีต่อตนแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่ายังมีหม่าขู่เสวียนที่ไปเข้าร่วมกับภูเขาเจินอู่ ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มของต้าหลี…
มารดามันเถอะ คนพวกนี้ล้วนเดินออกมาจากพื้นที่ใหญ่เท่าก้นแห่งนั้นกันทั้งนั้น
หลิ่วชื่อเฉิงเปลี่ยนความคิดทันใด “มุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือกันไปก่อน จากนั้นข้ากับน้องหลงป๋อจะไปรอเจ้าอยู่ริมอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ไปเมืองเล็กกับเจ้าแล้ว”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ขอแค่ทำตัวสำรวมสักหน่อย ก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนี้”
น้ำเสียงของหลิ่วชื่อเฉิงหนักแน่น “หากเกิดหนึ่งในนั้นหมื่นล่ะ จะทำแบบนั้นไปไย”
กู้ช่านถาม “หากหลี่เป่าผิงไปที่แคว้นหู?”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “แม่นางน้อยคนนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าเห็น พูดถึงแค่ฝีมือของนาง แคว้นหูเล็กๆ ใครที่กล้ายื่นมือออกมา ก็ต้องหางขาดกันทั้งนั้น”
สีหน้าของกู้ช่านมืดทะมึน “หลิ่วชื่อเฉิง แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงเปลี่ยนใจ แต่อย่าลืมว่าข้าเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ อย่าได้ให้ข้าต้องไปเยือนบ้านบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่ถนนฝูลวี่อีกรอบล่ะ”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ “เจ้านี่น้า นิสัยเปลี่ยนสีหน้าไม่จำคนแบบนี้ช่างทำให้คนตกใจกลัวได้ดีจริงๆ”
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็โมโห หลิ่วชื่อเฉิงก้มหน้าลงมองไฉ่ป๋อฝูที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นแล้วยกเท้าข้างหนึ่งเตะลงบนศีรษะของ ‘เด็กหนุ่ม’ เพิ่มน้ำหนักเท้าเล็กน้อยทำให้ร่างทั้งร่างของอีกฝ่ายกระแทกจมลงไปในดิน เผยให้เห็นศีรษะแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไฉ่ป๋อฝูไม่กล้าขยับเขยื้อน หลิ่วชื่อเฉิงทรุดตัวลงนั่งยอง แขนเสื้อของชุดคลุมสีชมพูตัวกว้างปูแผ่อยู่บนพื้น มองดูคล้ายดอกโบตั๋นขนาดใหญ่งดงามแปลกตาที่จู่ๆ ก็โผล่มา หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างหมดความอดทน “จะให้เวลาเจ้าอีกแค่หนึ่งก้านธูป หากถึงเวลานั้นยังทำให้ขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ มั่นคงไม่ได้ ข้าจะไม่คุ้มครองเจ้าแล้ว”
กู้ช่านพลันถาม “เจ้าเคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวไหม?”
หลิ่วชื่อเฉิงไม่แม้แต่จะเงยหน้า บอกตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง “เว้นเสียจากเดินทางไปพร้อมศิษย์พี่ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กล้าไปเด็ดขาด”
ไม่ได้เกี่ยวกับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่รากฐานตัวตนของหลิ่วชื่อเฉิงไม่เหมาะจะเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่
กู้ช่านเอ่ย “หลิ่วชื่อเฉิงจะทำอย่างไร?”
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ย “ไปถึงนครจักรพรรดิขาวแล้ว ข้าย่อมคืนเนื้อหนังมังสาร่างนี้ให้แก่เขา หากโชคดี เขาก็ยังมีโอกาสได้กลายเป็นเพื่อนร่วมสำนักกับเจ้า”
……
ทางฝั่งของกระท่อมในหุบเขา หลี่เป่าผิงและเว่ยเปิ่นหยวนก็ออกเดินทางไปเยือนแคว้นหูที่เป็นพันธมิตรกับนครลมเย็นแล้วเช่นกัน
แน่นอนที่เว่ยเปิ่นหยวนต้องรู้สึกว่าสถานที่หลอมโอสถของตนแห่งนี้ช่างอันตรายนัก ไปเยือนสกุลสวี่นครลมเย็น จะดีจะชั่วก็ทำให้แม่หนูผิงมียันต์คุ้มกันกายเพิ่มมาอีกหนึ่งแผ่น
เว่ยเปิ่นหยวนเรียกเรือยันต์ออกมา เป็นเรือที่งามประณีตอย่างยิ่ง ยามที่ทะยานลมเดินทางไกล บริเวณโดยรอบของตัวเรือจะมีดอกบัวสีหยกเป็นภาพมายาผุดลอยขึ้นมาหลายดอก พวกมันชูช่อบานสะพรั่ง จากนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไป เป็นเหตุให้เมื่อหันกลับไปมองด้านหลังจะเห็นว่าจุดที่เรือยันต์ผ่านไปคล้ายสระดอกบัวที่ถูกเรือลำเล็กแหวกผ่าน
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เป่าผิงขึ้นมาบนเรือลำเล็ก ฉวยโอกาสที่ท่านปู่เว่ยหันหลังให้ตนเพราะเดินขึ้นเรือไปก่อนประกบสองขาเข้าด้วยกัน แล้วกระโดดผลุงขึ้นเรือ
ได้ทำท่าซุกซนที่ไม่ได้ทำมานานทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ได้พบกับพี่ใหญ่ ได้ปกป้องสถานที่ฝึกตนของท่านปู่เว่ย แล้วยังจะได้เจอกับอาจารย์อาน้อย
กระทั่งเว่ยเปิ่นหยวนนั่งลงบนหัวเรือด้านหนึ่ง หลี่เป่าผิงก็ยืนนิ่งเรียบร้อยแล้ว นางไม่ได้นั่งลง ทัศนียภาพงดงามเช่นนี้ไม่มองก็เสียเปล่า ขี่ม้าสามารถมองเห็นภูเขาและแม่น้ำในมุมราบ แต่เทียบกับการทะยานลมก้มลงมองพื้นดินแล้วจะเป็นทัศนียภาพที่ต่างกัน
เว่ยเปิ่นหยวนเล่าเรื่องเล่าลือต่างๆ ที่ได้ยินมาให้หลี่เป่าผิงฟัง ความจริงเป็นอย่างไร คาดว่าแม้แต่ลูกหลานสกุลสวี่ก็ยังไม่รู้แน่ชัด ไม่รู้ว่าบนปฏิทินเหลืองของบ้านตัวเองเขียนอะไรเอาไว้บ้าง
แคว้นหูที่มีภูตจิ้งจอกน้อยใหญ่อยู่อาศัยรวมกันหลายหมื่นตัวแห่งนั้น จิ้งจอกเจ็ดหางตัวนั้นไม่ปรากฏกายบนโลกนานมากแล้ว เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนกองกำลังของที่นั่นถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายหนึ่งหวังว่าจะผสานกลมกลืนกับนครลมเย็นและแจกันสมบัติทวีป อีกฝ่ายหนึ่งหวังจะช่วงชิงฟ้าดินเล็กๆ ที่ตัดขาดกับโลกภายนอก แล้วยังมีอีกฝ่ายหนึ่งที่สุดโต่งอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นคิดอยากจะฉีกสัญญาที่มีกับสกุลสวี่นครลมเย็นทิ้ง สุดท้ายเมื่ออยู่ในมือของสวี่หุนเจ้าประมุขนครลมเย็นคนปัจจุบันก็เหลือแค่สถานการณ์ที่สองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่เท่านั้น กองกำลังฝ่ายที่สามได้ถูกล้อมสังหารและจับตัวมากักขังไว้ ถูกกวาดล้างจนเกลี้ยงเกลา และนี่ก็เป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้นครลมเย็นสามารถผลิตยันต์หนังจิ้งจอกออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ก็คือเมื่อสตรีผู้นั้นเป็นผู้ดูแลงานบ้านงานเรือน นางรู้จักหาช่องทางเพิ่มรายได้ใหม่ๆ ฉลาดเฉลียวในการสร้างกำลังทรัพย์ จำนวนโดยรวมของภูตจิ้งจอกในแคว้นหูจึงมีการเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง นางเป็นตัวแทนนครลมเย็นในการลงนามสัญญาลับกับแคว้นหูหลายฉบับ เรื่องหนึ่งในนั้นเป็นความลับที่ถูกเปิดเผยออกมาครึ่งหนึ่งอยู่นานแล้ว นั่นก็คือสกุลสวี่คอยทุ่มเททรัพยากรในการฝึกตนให้แก่แคว้นหูตลอดเวลา แต่ขอแค่จิ้งจอกทุกตัวฝ่าขอบเขตล้มเหลวก็จำเป็นต้องรักษาหนังจิ้งจอกเอาไว้ให้สมบูรณ์ เพื่อใช้สิ่งนี้มาตอบแทนนครลมเย็น นอกจากนี้ในอาณาเขตของแคว้นหู นครลมเย็นก็ได้สร้างจวนมากมายที่เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวเล่นหาความบันเทิง เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ลงจากภูเขามาฝึกตน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ท่องอยู่ในยุทธภพ บัณฑิตที่มีมาดสง่างาม ล้วนเป็นแขกผู้ทรงเกียรติที่ไม่จำเป็นต้องควักเงินจ่ายเอง นี่ก็เพื่อให้ภูตจิ้งจอกเกิดความหวั่นไหวและความผูกพัน
ในแคว้นหูมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งที่สกุลสวี่สร้างขึ้นอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นการแกะสลักหน้าผาภูเขาใหญ่ของยอดฝีมือด้านการเขียนพู่กัน บทกลอนบทกวีของนักประพันธ์ทั้งหลาย สถานที่พักเก่าแก่ของเซียนผู้บรรลุมรรคา ล้วนมีมากมายจนนับไม่ถ้วน