กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 656.3 จุดสูงไม่มีใคร
โจวหมี่ลี่เอ่ยเสียงเบา “เผยเฉียน ไปถึงอุตรกุรุทวีปอย่าลืมไปดูทะเลสาบคนใบ้ให้ข้าสักครั้งนะ”
เผยเฉียนถาม “เจ้าไม่อยากไปด้วยกันหรือ?”
โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า “ที่นั่นข้าไม่มีเพื่อนนี่นา”
เผยเฉียนลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “หัวสมองนี้ของเจ้า เวลาเจอเรื่องเล็กชอบเลอะเลือน แต่เวลาเจอเรื่องใหญ่กลับฉลาดเฉลียวมากเลยนะ”
อยู่ดีๆ โจวหมี่ลี่ก็ทอดถอนใจออกมา
เผยเฉียนถาม “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ?”
โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะว่าไม่มีเรื่องในใจที่ชวนหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ก็เลยกลุ้มไงล่ะ”
เผยเฉียนเขกมะเหงกลงไป
โจวหมี่ลี่แสร้งทำเป็นเจ็บ กุมหัวร้องโอดโอย กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนหลังคาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เผยเฉียนนอนนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ส่งหมัดขึ้นไปยังม่านฟ้าเบาๆ พึมพำกับตัวเองว่า “ดูท่าคงต้องสูงกว่านี้อีกสักหน่อย”
……
กู้ช่านกับหลิ่วชื่อเฉิงพาไฉ่ป๋อฝูที่ขอบเขตถดถอยสองขั้นเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน
หลิ่วชื่อเฉิงหยุดอยู่ที่ริมอาณาเขตของสองเขตการปกครองอย่างที่บอกไว้จริงๆ
กู้ช่านจึงเดินทางต่อไปเพียงลำพัง
หลิ่วชื่อเฉิงกับน้องหลงป๋อเดินเล่นไปในนครที่เจริญรุ่งเรืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง หลิ่วชื่อเฉิงมาเพื่อชมสาวงามล่างภูเขา ส่วนไฉ่ป๋อฝูที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มผมขาวกลับไม่มีเวลามาร่ายเวทอำพรางตาอะไรแล้ว ตลอดทางมานี้เขาต้องคอยรักษาบาดแผลอยู่ตลอด ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ทันระวังพูดประโยคหนึ่งผิดไปก็ถูกหลิ่วชื่อเฉิงตบมาหนึ่งฝ่ามือ แม้แต่ขอบเขตประตูมังกรก็เกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่ ยังมีกู้ช่านที่ราวกับว่าเตรียมพร้อมขุดหลุมฝังคนอยู่ตลอดเวลา ผู้ฝึกตนอิสระคอขวดก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ หลงป๋อที่เคยงัดข้อกับบุคคลบนยอดเขามากมายของแจกันสมบัติทวีป ช่วงที่ผ่านมานี้ก็ราวกับว่าได้กลับคืนไปยังช่วงเวลาอันน่าเวทนาของตอนที่ยังเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างอีกครั้ง
ตอนที่หลิ่วชื่อเฉิงกลับโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนไปพร้อมกับไฉ่ป๋อฝู หลิ่วชื่อเฉิงที่เดินอาดๆ พลันทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่า
เขาบอกให้ไฉ่ป๋อฝูไสหัวไปไกลๆ
ไฉ่ป๋อฝูที่ต้องอดทนข่มกลั้นมาเป็นอันดับหนึ่งจึงรีบออกไปเดินเล่นข้างนอกเพียงลำพัง แม้แต่ในโรงเตี๊ยมก็ไม่กล้าอยู่
หลิ่วชื่อเฉิงถึงขั้นเก็บเอาชุดคลุมเต๋าสีชมพูนั้นลงไปโดยตรง ได้แต่ปรากฎตัวด้วยรูปลักษณ์ของบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นรูปลักษณ์เดิมของเจ้าของเรือนกายนี้ แล้วเคาะประตูเบาๆ
ในลานบ้านมีคนสองคนนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ พวกเขาต่างก็ไม่ได้สนใจหลิ่วชื่อเฉิง
หลิ่วชื่อเฉิงจึงแข็งใจผลักประตูบ้านเปิดเอง เดินไปหยุดอยู่ด้านหลังบุรุษชุดขาวคนหนึ่ง ก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ
คนที่เล่นหมากล้อมกับบุรุษชุดขาวคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่หน้าตาเคร่งขรึมเข้มงวด
บุรุษชุดขาวยิ้มกล่าว “ชุยฉาน ฝีมือครั้งนี้ไม่เลว หากกู้ช่านได้กลายเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็จะไม่ถือสาที่เจ้าทำเรื่องเกินความจำเป็นด้วยการช่วยให้เจ้าเศษสวะผู้นี้หลุดจากพันธนาการ แต่หากกลายเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า ข้าก็จะตอบตกลงกับเรื่องที่เจ้าขอร้องมา”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
ชุยฉานวางหมากที่คีบอยู่ลงไปก่อน แต่กลับไม่ได้วางลงบนกระดาน เขาจงใจวางไว้เหนือกระดาน ทำให้มันลอยค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น
หลิ่วชื่อเฉิงกลั้นหายใจทำสมาธิ
บุรุษชุดขาวไม่มองกระดานหมาก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่วยนครจักรพรรดิขาวหาตัวอ่อนที่ดีมาได้คนหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยให้ศิษย์พี่เรียกคนผู้นั้นมาเล่นหมากล้อมด้วยได้ ข้าควรจะขอบคุณเจ้าอย่างไร? มิน่าเล่าปีนั้นอาจารย์ถึงบอกกับข้าว่า การที่เลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์เพราะมองเห็นความสามารถในการแหย่รังแตน (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย) ของศิษย์น้องเช่นเจ้า จะได้ทำให้คนเป็นศิษย์พี่อย่างข้าไม่ต้องเบื่อหน่ายมากเกินไป”
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกปากคอแห้งผากเล็กน้อย สีหน้าแข็งค้าง
บุรุษชุดขาวลุกขึ้นยืน “เลิกเล่นเถอะ หมากตานี้เดิมทีก็เป็นหมากทำลายสถานการณ์ที่คนมีความสามารถต้องเหนื่อยมากกว่าคนทั่วไป ในเมื่อเป็นสถานการณ์ยากลำบากที่เจ้าชุยฉานรนหาที่เองก็อย่าหวังจะลากข้าลงน้ำนอกกระดานไปด้วย ราชวงศ์ต้าหลีแห่งหนึ่งมิอาจแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาได้ไหว”
ชุยฉานถอนหายใจ ใส่เม็ดหมากกลับไปในโถ ลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ไปส่งแล้ว”
บุรุษชุดขาวพยักหน้ารับ แล้วร่างก็หายวับไป
หลิ่วชื่อเฉิงถึงได้กล้ายกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ชุยฉานเก็บโถเก็บเม็ดหมากและกระดานหมากกลับมา ชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิง ยิ้มเอ่ย “ความสามารถในการรนหาที่ตายของเจ้า แม้แต่ข้าก็ยังต้องละอายใจที่สู้ไม่ได้”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเจื่อน “ไหนเลยจะรู้ว่าข้าจะต้องเจอกับหนึ่งในหมื่นติดต่อกันมากมายขนาดนั้น”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “ไม่มาก แค่สามครั้งเท่านั้น”
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกจนใจอย่างแท้จริง
ชุยฉานพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ตายไปแล้วก็ไม่ต้องตายอีกแล้ว และยิ่งไม่ต้องกังวลถึงเรื่องไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้น”
หลิ่วชื่อเฉิงกุมมือประสาน เอ่ย “ยินดีกับท่านราชครูที่ฝ่าทะลุขอบเขต”
ชุยฉานกล่าว “อวยพรให้เฒ่าอายุยืนที่มีชีวิตอยู่มาเก้าสิบเก้าปีมีชีวิตยืนยาวร้อยปี ก็ยังเป็นการรนหาที่ตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
หลิ่วชื่อเฉิงเริ่มพูดจาเล่นแง่ “มีศิษย์พี่ของข้าอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ชุยฉานเอ่ย “ให้ศิษย์พี่ของเจ้าฆ่าเจ้า ก็แค่รอคำเดียวจากข้าเท่านั้น”
หลิ่วชื่อเฉิงรีบกุมมือคารวะอีกครั้งทันที พูดอย่างน่าสงสารว่า “ขอราชครูโปรดใช้เหตุผลของบัณฑิตสักหน่อยเถิด ตอนนี้ข้ายินดีจะฟังเหตุผลที่สุดแล้ว”
ชุยฉานกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังคำแนะนำจากข้าสักคำ กู้ช่านไปถึงนครจักรพรรดิขาว ไม่ว่าในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าแค่ปกป้องเขาไม่ให้ตายก็พอแล้ว อย่าได้ไม่ทำ แล้วก็อย่าทำอะไรที่เกินความจำเป็น”
หลิ่วชื่อเฉิงยังคิดจะสอบถามความลับสวรรค์จากบุคคลผู้สูงส่งที่แท้จริงท่านนี้ แต่ร่างของชุยฉานกลับหายไปแล้ว
หลิ่วชื่อเฉิงทอดถอนใจไม่หยุด
สถานที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยาเก่าในเมืองหลวงต้าหลีถูกทางราชสำนักปิดไว้เป็นพื้นที่ต้องห้ามมานานหลายปี บรรยากาศเงียบวังเวง พืชหญ้าขึ้นรกชัฏ เป็นที่อยู่ของจิ้งจอกและกระต่าย
รุ้งยาวสีขาวหิมะเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าอย่างเปิดเผย มองเมินค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของต้าหลีไปอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่อริยะของลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าแห่งนี้ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา
หลังจากบุรุษชุดขาวปรากฏตัวก็ชำเลืองตามองป๋ายอวี้จิงจำลองที่คนในนั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือ แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับคำสั่งลับบางอย่าง ป๋ายอวี้จิงที่เปิดใช้ค่ายกลเรียบร้อยจึงสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
บุรุษที่แท้จริงแล้วไม่ค่อยชอบออกจากนครจักรพรรดิขาวผู้นี้เดินหน้าไปอย่างเนิบช้า พลางพูดทอดถอนใจว่า “ต้นกล้าเติบโตใต้บุปผา เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหญ้าร้าย”
……
ก่อนที่กู้ช่านจะหวนกลับคืนบ้านเกิด
มีคู่นายบ่าวสองคู่รวมแล้วสี่คน สามคนในนั้นก็ถือว่าได้กลับบ้านเกิดเหมือนกัน
ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีและจื้อกุยสาวใช้แห่งตรอกหนีผิง
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา
ส่วน ‘ซู่เตี่ยน’ สาวใช้ของหม่าขู่เสวียนนั้น การเดินทางมาครั้งนี้ทำให้นางดูเป็นส่วนเกินอย่างเห็นได้ชัด
และการที่ซ่งจี๋ซินต้องเดินทางมาพร้อมกับหม่าขู่เสวียนที่ใช้ข้ออ้างว่ามาคุ้มกันเขานั้น ก็ทำให้เขาสะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหว
เรือข้ามฟากจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของภูเขาหนิวเจี่ยว
หม่าขู่เสวียนพาซู่เตี่ยนไปยังศาลเทพลำคลองหลงซวี
ส่วนซ่งจี๋ซินกับจื้อกุยไปที่ตรอกหนีผิง
ทว่าท่ามกลางม่านราตรี จื้อกุยกลับออกจากบ้านมาเพียงลำพัง มองบ้านหลังติดกันที่สะอาดสะอ้านมีกลอนคู่ตัวอักษรฝูติดอยู่ นางก็ยกชายกระโปรงเดินออกไปจากตรอก
หลังจากที่นางออกไปจากตรอกเล็ก กลางดึกที่คนเงียบสงัด ซ่งจี๋ซินก็ยกม้านั่งตัวเล็กมาที่ลานบ้าน เพียงแต่ว่าไม่ได้นั่งลง แต่ไปยืนอยู่บนกำแพงดินเหลืองที่ราวกับว่ายิ่งนานวันก็ยิ่งเตี้ยลง มองไปยังลานบ้านของบ้านข้างๆ ที่ว่างเปล่า
จื้อกุยไปที่บ่อโซ่เหล็กก่อน นางวักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบมือ ชั่งน้ำหนักของมันแล้วเทกลับลงไปในบ่อน้ำที่เยียบเย็น
จากนั้นนางก็เดินออกจากเมืองเล็ก ไปที่ภูเขาเล็กที่ชื่อว่าภูเขาเจินจูซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของหลี่ไหว หัวคิ้วของนางขมวดแน่น
ที่นั่นฝังร่างของมังกรที่แท้จริงที่ถูกอริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักหล่อหลอมแล้วสยบกำราบเอาไว้
ภูเขาเจินจู
จู หวังจู เจินจู ก็คือร่างจริงของหวังจู (เจินแปลว่าจริง)
และร่างกายของหวังจูในทุกวันนี้ก็คือการจำแลงร่างมาจากไข่มุกของมังกรที่แท้จริง ไม่ถือว่าเป็นร่างจริงที่แท้จริงของนาง ยังต้องให้มีคนแต้มนัยน์ตามังกร ถึงจะสามารถเอาร่างจริงกลับคืนมาได้อย่างสมเหตุสมผล
นางถึงจะสามารถกลับคืนสู่สถานะมังกรที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์แบบได้เหมือนปีนั้น เมื่อถึงเวลานั้นโชควาสนาบนมหามรรคาของเผ่าพันธ์เจียวหลงทั้งหมดบนโลกล้วนจะต้องมารวมตัวอยู่บนร่างของนางคนเดียว! ช่วยให้นางฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดจะนับเป็นอะไรได้ คิดจะฝ่าคอขวดขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่ยาก ขอแค่นางทำขอบเขตเซียนเหรินให้มั่นคงได้ พลังการต่อสู้ของนางก็จะเทียบเท่าได้กับขอบเขตบินทะยานเกินครึ่งตัว
คนที่จะถือพู่กันช่วยแต้มนัยน์ตาให้นางก็คือเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ในอดีตเคยทำสัญญากับนาง หลังจากจื้อกุยออกจากบ่อโซ่เหล็กมา คนแรกที่นางมองเห็นท่ามกลางหิมะตกหนักที่หนาวเหน็บคือ เฉินผิงอัน
เพียงแต่ว่าตอนนั้นจิตวิญญาณของเฉินผิงอันอ่อนแอเกินไป โชควาสนาบนร่างของก็ยิ่งเบาบางจนน่าโมโห นางไม่ยินดีจะถูกเขาพาซวยไปด้วย ดังนั้นจึงเลือกซ่งจี๋ซินองค์ชายต้าหลีที่อยู่บ้านติดกันแล้ว ‘ยอมรับเป็นเจ้านาย’
เหตุใดงูสี่ขาที่ถูกซ่งจี๋ซินโยนไปในลานบ้านข้างๆ ก็ยังวิ่งกลับมาด้วยตัวเองทุกครั้งตัวนั้นถูกรังเกียจถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังไม่ยินดีจะไปอยู่ที่บ้านของเฉินผิงอัน?
เป็นหนึ่งในห้าโชควาสนาใหญ่บนมหามรรคาเหมือนกัน เฉินผิงอันมอบหนีชิวน้อยให้กู้ช่าน กู้ช่านไม่เพียงแต่รับไว้ ยังรับติดๆ กันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ตามหลักแล้วซ่งจี๋ซินโยนไปหลายครั้ง เดิมทีควรจะถือเป็นโชควาสนาของเฉินผิงอันถึงจะถูก
แต่งูสี่ขาที่มีเขางอกบนหัวตัวนั้นหรือจะกล้าตีตนเสมอหวังจู?! กล้ายอมรับเฉินผิงอันเป็นนายเหมือนหวังจู?!
การที่หวังจูมีความสัมพันธ์เป็นนายบ่าวกับซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านติดกันมานานหลายปีก็เป็นแค่เวทอำพรางตาเล็กน้อยของหวังจูเท่านั้น ภายหลังที่ถูกซ่งจี๋ซินเปลี่ยนชื่อให้เป็นจื้อกุยก็ยิ่งมีข้อพิถีพิถันใหญ่
สองคำว่า ‘จื้อกุย’ เดิมเป็นชื่อที่มาจากผู้ตรวจการงานเตาเผาซ่งอวี้จาง อันที่จริงชุยฉานเป็นผู้มอบให้ซ่งอวี้จาง จากนั้นซ่งจี๋ซินก็ไปเห็นเข้า ‘โดยบังเอิญ’ พอรู้แล้วก็จดจำไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว และมันก็คอยสะท้อนก้องในใจเขามิอาจลืมได้ลงอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายจึงช่วยตั้งชื่อให้หวังจูว่าจื้อกุย
สองคำว่าจื้อกุยก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘เจาะกำแพงขโมยแสง’ ด้วย
ห้องโถงของเรือนในตรอกหนีผิงแขวนกรอบป้ายคำว่า โถงไหวหย่วน นั่นก็คือลายพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ต้าหลี
ล้วนมีความพิถีพิถันทั้งสิ้น
ดังนั้นในช่วงเวลานั้นจื้อกุยจึงดูดดึงเอาปราณมังกรของสกุลซ่งราชวงศ์ต้าหลีมาอย่างช้าๆ
เป็นเหตุให้ซ่งจี๋ซินพลาดบัลลังก์มังกร การที่เขาได้เป็นเพียงอ๋องไม่ใช่ฮ่องเต้ นี่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ในความมืดที่มองไม่เห็นย่อมมีเจตนารมณ์สวรรค์และโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาอย่างแน่นอนดำรงอยู่
และตอนนั้นจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงที่เจอกับลู่เฉินซึ่งตั้งใจเดินทางมาหานาง ในคำพูดของจื้อกุยถึงได้ยกเอาเฉินผิงอันมาบังภัยตามจิตใต้สำนึก หาใช่ซ่งจี๋ซินไม่
จื้อกุยยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองภูเขาเจินจูลูกนั้น เงียบงันอยู่นาน
ซ่งจี๋ซินเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง
จื้อกุยใช้เสียงในใจบอกเรื่องวงในพวกนี้แก่เขา
หากยังถ่วงเวลาต่อไปคงไม่มีความหมายสักเท่าไรแล้ว ไม่แน่ว่านางกับซ่งจี๋ซินอาจเปลี่ยนจากมิตรมาเป็นศัตรู
คิดไม่ถึงว่าซ่งจี๋ซินจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ถือสา”
หวังจูกะพริบตาปริบๆ “ข้าก็ไม่ถือสา”
ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะ แต่จากนั้นหัวใจก็พลันปวดแปลบ
……
ใต้หล้าแห่งที่ห้า
ซิ่วไฉ่เฒ่าอยู่บนทะเลเมฆ มองภาพขุนเขาสายน้ำอันงดงามยิ่งใหญ่แล้วจุ๊ปากพูด “อาจารย์ยากจนย้ายบ้าน ย้ายหนังสือเหมือนย้ายภูเขา บนชั้นวางมีตำราถึงจะร่ำรวยนะ”
บัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านข้างสองมือว่างเปล่า ไม่ได้มีกระบี่ยาวอยู่ในมือ เพราะใจกลางฟ้าดินที่ห่างไปไกลมากมีแสงกระบี่เส้นหนึ่งคอยค้ำยันฟ้าดินอยู่แล้ว
บัณฑิตเอ่ย “สายน้ำภูเขาที่ยิ่งใหญ่งดงาม ต้องมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นไม่หยุดอีกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “อริยะอยู่ร่วมกับวัตถุไม่ทำร้ายวัตถุ ผู้ที่ไม่ทำร้ายวัตถุ ย่อมไม่ทำร้ายคน”
บัณฑิตส่ายหน้า “อริยะที่เป็นเช่นนี้จะมีได้สักกี่คน?”
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ส่ายหน้า “จุดที่สายตาข้ามองไปเห็น ทุกหนทุกแห่งกลับมีแต่อริยะ นี่จึงแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าสูงกว่า ทว่าวิสัยทัศน์การมองโลกกลับต่ำกว่า”
บัณฑิตพูดไม่ออก ตอนนี้ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีพวกเขาอยู่กันแค่สองคน คำพูดใหญ่โตเช่นนี้ไม่ใช่คำพูดเท็จแน่นอน สมกับเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่หากไม่ฉกฉวยความได้เปรียบก็เสียเปล่าจริงๆ
คำพูดประโยคนี้ซิ่วไฉเฒ่าเป็นคนพูดเอง หาใช่คนบนโลกพูดเสียดสีเขาไม่
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ทำท่ากระฉับกระเฉง “ในเมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าเรื่องลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าให้เจ้าฟังดีไหม?”
บัณฑิตสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เตรียมจะพูดเรื่องเดิมวนซ้ำอีกแล้ว ใช่ว่าตนไม่มีความอดทน แต่เป็นเพราะต่อให้จะอดทนดีเยี่ยมแค่ไหนก็มิอาจทนต่อการพร่ำพูดเรื่องเดิมรอบหนึ่งทุกๆ สามวันห้าวันของซิ่วไฉเฒ่าได้ เขาจึงหันหน้ามาเอ่ยอย่างระอาใจว่า “อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยจะได้ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “นี่มันเรื่องน่าเสียดายในชีวิตเลยนะ!”
บัณฑิตผ่อนลมหายใจโล่งอก
ออกกระบี่ยังไม่เหนื่อยใจเท่าฟังซิ่วไฉเฒ่าพร่ำพูดอยู่ข้างหูเลย
จู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยว่า “ข้าไม่พูด เจ้าเป็นคนพูด? ความคิดนี้แปลกใหม่มากเลยนะ!”