กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 660.2 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง
ห้องหนังสือของจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่า
บนโต๊ะหนังสือวางตำราประวัติศาสตร์ระบบการสืบสันตติวงศ์ของแต่ละยุคสมัย ตำรารวมเล่มร้อยแก้วบทกวี หนังสือภาพ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลเซียนชิ้นใดประดับตกแต่ง
ด้านหลังโต๊ะวางฉากกั้นไว้สี่อัน ฉากกั้นอันหนึ่งเป็นภาพแผนที่ของต้าหลีในอดีต อีกภาพหนึ่งเป็นแผนที่ของแจกันสมบัติทวีป ที่เหลืออีกสองอันแบ่งออกเป็นภาพการกระจายตัวของสำนักและพรรคตระกูลเซียนในใบถงทวีปและอุตรกุรุทวีป
ซ่งจี๋ซินที่เพิ่งจะเดินทางจากบ้านเกิดที่อยู่ทางทิศเหนือกลับมายังพื้นที่ศักดินาทางทิศใต้นั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง ขยับเก้าอี้ให้หันหน้าเข้าหาฉากกั้นทั้งสี่
มือสองข้างของซ่งจี๋ซินจับประคองกาหย่างซินอันเล็กชิ้นหนึ่งเอาไว้ ก้นกาเล็กสลักสองคำว่า ‘ซานเซียว’
ซ่งจี๋ซินหมุนกาเล็กในมือเบาๆ ของชิ้นนี้เป็นของที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมา ถือได้ว่าวัตถุกลับคืนสู่เจ้าของ เพียงแต่ว่าวิธีการที่ใช้กลับไม่น่าดูนัก แต่ซ่งจี๋ซินไม่สนใจสักนิดว่าฝูหนันหัวคิดอะไรอยู่
ปีนั้นฝูหนันหัวเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจู ใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงกับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณหนึ่งชิ้นซื้อกาเล็กอันนี้ไปจากมือของซ่งจี๋ซิน การค้าครั้งนั้น แท้จริงแล้วนับว่ายุติธรรม แน่นอนว่าฝูหนันหัวยังอาศัยความสามารถของตัวเองเก็บตกเอาของอย่างอื่นที่ไม่เล็กไปได้อีก ไม่เหมือนกับสมบัติอาคมมากมายบนภูเขาที่ดีแต่ระดับขั้นสูงเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนเซียนดินแล้วกลับเป็นวัตถุที่ไม่ต่างจากซี่โครงไก่ สมบัติล้ำค่าหายากที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเช่นกาหย่างซินนี้เหมาะให้เซียนดินฝึกฝนจิตใจ บำรุงช่องโพรงลมปราณมากที่สุด ไม่เพียงเท่านี้ ในกายังมีฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่ง ถือเป็นวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น ดังนั้นหลังจากที่ฝูหนันหัวได้มาครองก็ขอให้ยอดฝีมือช่วยตรวจสอบให้ เขาชื่นชอบมันมากจึงรักและทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ
เมื่อวานฝูหนันหัวได้มา ‘พูดคุยเรื่องวันวาน’ กับอ๋องเจ้าแคว้นหนุ่ม ซ่งจี๋ซินจึงพูดถึงกาเล็กใบนี้ วันนี้ฝูหนันหัวเลยให้คนนำมาส่งให้
ซ่งจี๋ซินไม่ได้ละโมบอยากได้กาหย่างซินใบนี้จริงๆ แต่เพราะครั้งนี้ได้กลับไปเยือนบ้านเกิดทำให้อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มที่มองดูเหมือนตั้งใจปกครองบ้านเมือง แต่แท้จริงแล้วทำงานอย่างถูไถขอไปที เปลี่ยนจากซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่ไม่หวังว่าจะมีคุณความชอบ แต่หวังเพียงว่าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดปณิธานอย่างหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็เริ่มเรียกตัวเองว่า ‘ซ่งมู่’ อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีอย่างภาคภูมิใจ ถ้าเช่นนั้นเมื่อได้กาเล็กใบนี้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง ซ่งจี๋ซินคลายมือ ชั่งน้ำหนักเบาๆ นี่ก็คือน้ำหนักของกองกำลังด้านล่างภูเขา
นับแต่โบราณมาตระกูลเซียนก็ดูแคลนอ๋องและโหวมาโดยตลอด
แต่ราชสำนักต้าหลีในทุกวันนี้กลับไม่เหมือนกัน พวกเขาสยบกำราบ งัดข้อและคุกคามจนกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดในหนึ่งทวีปหายใจไม่ออกกันมานานแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็นสำนักตัวอักษรจงอย่างสำนักโองการเทพ สำนักเจินจิ้ง หรือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีที่พึ่งเป็นทวีปอื่น แต่แล้วจะอย่างไรเล่า เมื่อมาอยู่ในห้องประชุมเล็กๆ อย่างห้องทรงพระอักษรของ ‘ซ่งเหอ’ ฮ่องเต้หนุ่ม ก็ยังต้องเรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางครึ่งตัว จะทำอะไรต้องคอยมองสีหน้าคนอื่น จะนั่งจะยืนก็ต้องทำตามกฎอย่างว่าง่าย
ซ่งจี๋ซินโยนกาใบเล็กที่มีมูลค่าควรเมืองขึ้นลงใช้โดยสองมือสลับรับเอาไว้
บนโต๊ะด้านหลังมีเอกสารลับอยู่สองฉบับ ล้วนเป็นรายงานที่ซ่งจี๋ซินขอให้ถงเหรินเผิ่งลู่ไถรวบรวมมาให้ ซ่งจี๋ซินไม่เชื่อใจสายลับของศาลาคลื่นมรกตเลยแม้แต่น้อย เพราะเจ้าของศาลาคลื่นมรกตคนแรกสุดก็คือเหนียงเนียงแห่งต้าหลี ไทเฮาในทุกวันนี้ ยิ่งเป็นมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซิน แม้ว่าทุกวันนี้ทั้งศาลาคลื่นมรกตและหนิวหม่าหลันจะเป็นของใต้เท้าราชครูทั้งหมด แต่ซ่งจี๋ซินก็รู้ดีว่า คนเก่าแก่หลายคนของศาลาคลื่นมรกตที่ยังไม่ถูกไล่ออกล้วนรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร ระหว่างฮ่องเต้ซ่งเหอกับไทเฮา และซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่มีกองกำลังน้อยนิดเช่นเขา พวกเขาควรจะเลือกและสละอะไร ขนาดคนโง่ก็ยังรู้
แต่เผิ่งลู่ไถกลับเป็นองค์กรสายลับที่มีเฉพาะในกองทัพของต้าหลี รับฟังคำสั่งจากซ่งจ่างจิ้งเสด็จอาของเขาเพียงคนเดียว แต่ไหนแต่ไรมาแม้แต่ราชครูชุยฉานก็ยังไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก
ซ่งจี๋ซินหันหน้ามาชำเลืองตามองเอกสารสองฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเป็นรายชื่อของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของอุตรกุรุทวีป บันทึกไว้ละเอียดมาก อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มชุยตงซาน’ เขียนไว้อย่างกระชับสั้นได้ใจความอย่างยิ่ง
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ หลี่อวี๋แห่งสายไท่เสียตายจากโลกนี้ไปแล้ว หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน นอกจากนี้ยังมีป๋ายอวิ๋นเถาซานอีกสองสาย โชคดีที่หนึ่งในนั้นมีแค่ขอบเขตก่อกำเนิด ไม่อย่างนั้นสายของฮว่อหลงเจินเหรินนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
เทียนจวินเซี่ยสือ
สำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูก เจ้าสำนักจู๋เฉวียน บรรพจารย์สองท่าน
นครจิงกวานของหุบเขาผีร้าย เกาเฉิง
อารามและวัดสองแห่งในป่าท้อที่หลบๆ ซ่อนๆ สรุปแล้วรากฐานของพวกเขาเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ ได้เดินทางไกลไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
สำนักกระบี่ไท่ฮุย หันไหวจื่อเจ้าสำนัก บรรพจารย์หวงถง หลิวจิ่งหลงเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนใหม่ และหันไหวจื่อก็อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปีแล้ว
ป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งพื้นที่ทางทิศเหนือ อาจารย์ผู้มีพระคุณของสวี่เสวี่ยน
เจ้าสำนักฉงหลิน
ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน เจ้าประมุขสกุลหยาง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียง
ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หวงจวีหรัน
นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่ไม่ต่างจากวัดและอารามในป่าดอกท้อสักเท่าไรอยู่อีกมาก รวมไปถึงยอดฝีมือที่ปิดด่านเก็บตัวอย่างสันโดษไม่เผยกายบนโลกบ่อยนัก รายงานของราชสำนักต้าหลียากที่จะแทรกซึมเข้าไปถึงพื้นที่ใจกลางของอุตรกุรุทวีปเพื่อไปสืบหาความจริงที่ถูกฝุ่นเกาะมานานหลายปีพวกนั้น และยังมีประวัติศาสตร์ลับบางอย่างที่อยู่ในการเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ทุกคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว
ส่วนชุยตงซานผู้นั้น เผิ่งลู่ไถเขียนใส่กระดาษมาแค่แผ่นเดียว
แต่มีกระดาษสองแผ่นที่ส่งต่อจากกรมอาญามาถึงห้องหนังสือแห่งนี้ แผ่นหนึ่งเขียนบรรยายอย่างเรียบง่ายว่าคนผู้นี้เคยปรากฎตัวที่ใด เคยเอ่ยคำพูดใด มีการกระทำใด รวมไปถึงชีวิตของการไปศึกษาต่อในสำนักศึกษาที่มีมากที่สุด อันดับแรกนั้นปรากฎตัวในถ้ำสวรรค์หลีจูตอนที่ยังไม่ปริแตกร่วงหล่นลงพื้น จากนั้นก็พาเด็กหนุ่มอวี๋ลู่รัชทายาทสกุลหลูผู้สิ้นแคว้นและเด็กสาวที่เปลี่ยนชื่อเป็นเซี่ยเซี่ยเดินทางไปเยือนสำนักศึกษาต้าสุยด้วยกัน อยู่ที่นั่นเคยเกิดความขัดแย้งกับไช่จิงเสินผู้ถวายงานของสกุลเกาต้าสุย ทุ่มห่าฝนสมบัติอาคมที่พร่างพราวอย่างถึงที่สุดใส่เมืองหลวง ภายหลังไล่ฆ่าผู้ฝึกตนคอขวดก่อกำเนิดคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งไปพร้อมกับหร่วนซิ่ว สามารถสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จที่ชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง
ถ้อยคำประโยคสุดท้ายบนกระดาษหน้าแรกของเอกสารกรมอาญาแผ่นนั้นคือ คนผู้นี้ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วมาก สมบัติอาคมเยอะมาก และนิสัยก็ประหลาดมาก
กระดาษแผ่นที่สองตัวอักษรเขียนเต็มพรืด ล้วนเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับสมบัติอาคมทั้งหลาย
ซ่งจี๋ซินถอนสายตากลับมา หันหน้าไปมองฉากกั้นทั้งสี่อัน ตอนนี้ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เข้าออกจวนอ๋องเจ้าเมืองได้มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน หลายคนอำพรางตัวตนที่แท้จริง หากอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดปากบอกด้วยตัวเอง ต่อให้คิดจนหัวแตกซ่งจี๋ซินก็เดาไม่ออก มีทั้งผู้ถวายงานลับในศาลบรรพจารย์ของสำนักใบถงที่แฝงตัวอยู่ในแจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี และยังมีผู้ดูแลกิจการของสำนักฉงหลินอุตรกุรุทวีปที่มาอยู่แจกันสมบัติทวีป
แรกเริ่มนั้นซ่งจี๋ซินเหมือนคนโง่ ได้แต่พยายามเอ่ยถ้อยคำที่ฟังดูแล้วเหมาะสม แต่ภายหลังเมื่อลองมาทบทวนเหตุการณ์ดู ซ่งจี๋ซินกลับค้นพบว่าถ้อยคำที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม กลับกลายเป็นไม่เหมาะสมมากที่สุด คาดว่าคงทำให้ยอดฝีมือหลายคนที่ไม่ยินดีจะเปิดเผยตัวตนรู้สึกว่าการคุยกับอ๋องหนุ่มอย่างตนก็คือการสีซอให้ควายฟัง
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาซ่งจี๋ซินก็ไม่เคยคิดให้เข้าใจกระจ่างว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
กลับมาใช้ชื่อซ่งเหอชื่อเดิมที่เป็นของตน? ช่วงชิงบัลลังก์มังกรกับน้องชาย? ซ่งจี๋ซินไม่มีความสนใจ หรือควรจะพูดว่าซ่งจี๋ซินกลัวมากว่าจะเดินซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยได้อ่านตำราประวัติศาสตร์ทั้งหลายมาก่อนล้วนรู้ดีว่ายามที่พี่น้องในครอบครัวจักรพรรดิแตกหักกัน จะต้องมีคนตายเยอะมาก โอรสสวรรค์ในตอนนี้ก็ดี ไทเฮาก็ช่าง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นญาติสนิทของตน ซ่งจี๋ซินค้นพบว่าดูเหมือนชีวิตของตนจะอืดอาดชักช้าแบบนี้มาโดยตลอด รักใครก็ล้วนเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์จริงใจ เกลียดใครก็ไม่เด็ดขาด ถึงท้ายที่สุดกลายเป็นตนที่ต้องคอยชดใช้ให้พวกเขา ซ่งอวี้จางผู้ตรวจการ เพื่อนบ้านเฉินผิงอัน สาวใช้จื้อกุย…
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ซ่งจี๋ซินกำกาหย่างซินที่อยู่ในมือแน่น ถลันลุกพรวดขึ้นยืน
จื้อกุยอยู่ตรงหน้าประตูห้องหนังสือ อันที่จริงนางมายืนเงียบๆ อยู่ตรงนี้นานแล้ว เวลานี้ถึงเพิ่งเปิดปากพูด “คุณชาย มีคนขอพบท่าน มารอนานมากแล้ว คือบุตรสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ภรรยาในนามของฝูหนันหัว อืม สตรีผู้นั้นมองดูเหมือนอวบอิ่ม แต่เป็นเพราะยอดฝีมือร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ รูปโฉมที่แท้จริงก็นับว่าพอใช้ได้อยู่กระมัง”
ซ่งจี๋ซินเดินยิ้มไปที่หน้าประตู
ตอนที่เดินเคียงไหล่ไปกับนาง ซ่งจี๋ซินถามเบาๆ ว่า “หินดีงู เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ต้องการเท่าไร?”
ดวงตาจื้อกุยเป็นประกาย ยิ้มเอ่ยว่า “คุณชาย แน่นอนว่าต้องเหมือนเงินเหรียญตำลึงในอดีต ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ทรัพยากรเหล่านี้ ทางราชสำนักควบคุมอย่างเข้มงวด ท้องพระคลังที่เมืองหลวงไม่มีทางเอาออกมาให้ง่ายๆ หรอก”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ เรื่องเล็กแค่นี้หาเหตุผลง่ายๆ สักข้อก็พอ ข้าสามารถทำการค้ากับซานจวินขุนเขาใต้ได้ เอาฟ่านจวิ้นเม่ามาเป็นข้ออ้าง แล้วพยายามสกัดดึงเอาโชคชะตาส่วนหนึ่งมามอบให้เจ้า”
ดูเหมือนว่าจื้อกุยจะประหลาดใจ นางแอบมองซ่งจี๋ซินแวบหนึ่ง วันนี้คุณชายแตกต่างไปจากปกติไม่น้อย
เส้นสายตาของนางสอดส่ายไปที่อื่นต่อ เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ออกมา
บุคคลในแจกันสมบัติทวีปที่ทุกวันนี้สามารถทำให้นางเกิดใจกริ่งเกรงได้ มีน้อยจนนับนิ้วได้ และที่นั่นก็มีอยู่คนหนึ่งพอดี อีกทั้งยังเป็นคนที่นางไม่เต็มใจจะไปมีเรื่องด้วยที่สุด
หลังจากที่ซ่งจี๋ซินเดินห่างจากห้องหนังสือมาไกลแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็เดินอ้อมออกมาจากหลังฉากบังตา ตรงมุมห้องยังมีเด็กชายหน้าตาทึ่มทื่อที่ไม่ต้องหายใจมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
มือข้างหนึ่งของชุยตงซานถือพัดพับ เอาเคาะหลังตัวเองเบาๆ มือข้างหนึ่งพลิกหมุนข้อมือ เสกพู่กันด้ามหนึ่งออกมาแล้วเริ่มวาดวงกลมลงไปบนฉากบังตา ช่วยเขียนชื่อของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่เป็นรากฐานของอุตรกุรุทวีปเพิ่มเข้าไปบนฉากกั้น จากนั้นก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ อ่านกระดาษสามแผ่นที่เขียนเกี่ยวกับตัวเอง อันดับแรกก็เขียนรายละเอียดเสริมเข้าไปในหัวข้อสมบัติอาคมจำนวนมากที่ไม่มีชื่อบอกแน่ชัดบนกระดาษสองแผ่นของกรมอาญา สุดท้ายเขียนประโยคหนึ่งลงไปบนที่ว่างบนกระดาษของหนิวหม่าหลันว่า ชุยฉานเป็นตะพาบเฒ่า ไม่เชื่อก็ลองไปถามเขาดู
เขียนเสร็จเขาก็ค่อนข้างจะพึงพอใจ
กวักมือเรียกให้น้องเกามาข้างกายตน ชุยตงซานค้อมเอว วาดรูปลงบนใบหน้าของเด็กชาย
จากนั้นก็ยิ้มบางๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้น “หม่าขู่เสวียน เสวยสุขกับข้อดีของการไม่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์มาจนชิน สักวันหนึ่งเจ้าต้องเจอความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง”
หม่าขู่เสวียนปรากฏตัว เอนตัวพิงกรอบประตูของห้องหนังสือ “ความลำบากใหญ่แค่ไหนล่ะ? ร่างดับมรรคาสิ้นสูญ? ผลกรรมพัวพัน? ใต้เท้าราชครู คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเถิด เพราะเป็นกบใต้บ่อที่กระจุกตัวอยู่ในน้ำตื้น แต่ท่านจะไม่รู้หรือว่าข้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้มากที่สุด?”
ชุยตงซานยังคงวาดรูปเต่าลงบนใบหน้าของน้องเกา “ระหว่างที่เดินทางมาข้าเจอบัณฑิตที่เด็ดเดี่ยวผึ่งผายคนหนึ่ง นับว่าพอจะมีความสามารถในการมองใจคนและสถานการณ์ใหญ่อยู่บ้าง ยามเผชิญหน้ากับปลายดาบปลายหอกของกองทัพม้าเหล็กที่ชี้ใส่ ก็แสร้งทำเป็นกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ยินดีจะสละชีพเพื่อบ้านเมือง เกือบจะทำให้เขาหลอกเอาชื่อเสียงที่ดีงามไปได้แล้วจริงๆ ข้าก็เลยสั่งให้คนเก็บดาบใส่ฝัก เพียงแค่ใช้ด้ามดาบทุบนิ้วมือข้างหนึ่งของบัณฑิตผู้นั้นให้หัก เอ่ยกับท่านขุนนางผู้นั้นสองสามคำว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ได้มีแค่สองเรื่องอย่างเป็นตายสักหน่อย ระหว่างเป็นกับตายยังมีหายนะอยู่อีกมากมาย ขอแค่อดทนจนผ่านความเจ็บปวดที่นิ้วหักมาได้ก็วางใจได้เลย ข้ารับรองว่าชีวิตนี้เขาจะต้องได้เป็นผู้นำวงการการประพันธ์ในแคว้นเล็กใต้อาณัติ พอตายไปก็ยังได้รับอวยยศว่าเหวินเจิน (บรรดาศักดิ์ที่ตั้งย้อนหลังให้คนตายสำหรับขุนนางฝ่ายบุ๋น ซึ่งยศเหวินเจินนี้นับเป็นยศสูงสุด) แต่ผลเป็นอย่างไรเจ้าลองเดาดูสิ?”
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว
ชุยตงซานวาดเสร็จก็พยักหน้า ไม่ว่าตรงจุดไหนฝีมือการวาดของเขาก็ราวกับมีเทพคอยช่วยเหลือ ไม่เสียแรงที่เป็นการแสดงออกของทักษะตลอดชีวิต แล้วถึงได้หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าตัวเองไม่กลัวกายดับมรรคาสลาย ข้าเชื่อ เพียงแต่กระทั่งความร้ายกาจของการถูกผลกรรมตามติดเป็นอย่างไรเจ้าก็ยังไม่รู้ กบใต้บ่อจะมีคุณสมบัติมาบอกว่าตัวเองกลัวหรือไม่กลัวกับข้าได้อย่างไร? พูดถึงแค่เรื่องของหม่าหลันฮวา ใครเป็นคนจัดการ? ไม่ใช่ว่าข้าข่มขู่เจ้า หากอาศัยเพียงแค่ขอบเขตสูงมีความสามารถมาก มีคนสักกี่คนที่สามารถฆ่าข้าได้? ต่อให้ในอนาคตเจ้าจะมีขอบเขตเชื่อมโยงไปสู่สวรรค์ ข้าก็ยังทำให้เจ้ากลุ้มใจนานร้อยปีพันปีได้ง่ายๆ อยู่ดี เพราะฉะนั้นนะ จงฉลาดหน่อย ทำให้ข้าเหนื่อยใจน้อยลงหน่อย ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลา มีวันที่เจ้าหวาดกลัวจริงๆ สำหรับข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หนึ่งในวัตถุประสงค์อันเป็นรากฐานของทฤษฎีคุณความชอบ ก็คือพยายามไม่ให้คนทำตัวโง่ จะต้องให้เจ้าที่เป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์ได้รับผลประโยชน์ให้จงได้”
หม่าขู่เสวียนพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
——