กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 662.2 ล้อมฆ่าหนึ่งคนกับหนึ่งคนล้อมฆ่า
ตรงลำคอของจวินทานค่อยๆ มีหยดเลือดหลั่งออกมาติดกันเป็นสาย
กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มเริ่มสั่นสะเทือนราวกับถูกมหามรรคาของฟ้าดินสยบกำราบ
กายธรมร่างทองของเทพหญิงที่ปกป้องเด็กหนุ่มเอาไว้ก็เริ่มเกิดลางว่าจะหลุดลอกออกไปทีละชุ่น เรือนกายสีทองพร่างพราวที่เดิมทีไร้ตำหนิถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว
จวินทานบังคับกระบี่เข้ามาอยู่ในมือ อีกมือหนึ่งปาดเลือดบนลำคอออกเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘สถานที่ไร้กฎเกณฑ์’ แห่งหนึ่งที่มีไว้เล่นงานผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนโลก
แล้วยังเกือบจะถูกไอ้หมอนั่นตัดหัวไปได้
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เข้าใจความรู้สึกของพวกคนที่ต้องรับมือกับอิ่นกวานหนุ่มแล้ว
จริงๆ เท็จๆ ภาพมายาหรือสิ่งที่จับต้องได้จริง ล้วนเป็นการถามใจ ล้วนเป็นแผนการทั้งสิ้น
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว่ยจิ้นเอ่ยถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส “ไม่ต้องให้ข้าไปช่วยเขาฝ่าวงล้อมจริงๆ หรือ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ฝ่าวงล้อม? ฝ่าวงล้อมของใคร? เฉินผิงอันหรือเจ้าเว่ยจิ้นกันแน่? เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางหนีทีไล่รออยู่หรือ? พูดถึงแค่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดห้าคนนั้น ใครเป็นคนรับผิดชอบพาพวกเขาออกไปจากที่นี่? หากใครคนใดคนหนึ่งตายไป กระโจมเจี่ยจื่อย่อมต้องเจ็บปวดรวดร้าวทั้งนั้น”
เว่ยจิ้นเอ่ย “มีลู่จือช่วยคุมหลังให้ ข้าก็สามารถลองดูได้”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “รอไปก่อนเถอะ ใครลงมือทีหลัง คนนั้นก็ได้เปรียบ”
เฉินชิงตูทอดสายตามองไปยังกระโจมทัพเผ่าปีศาจที่ตั้งเรียงรายทางทิศใต้ ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สิบสี่ตน ต่อให้เป็นโจวมี่ที่ลงมือก็ยังพูดได้ง่าย มีเพียงหลิวชาผู้นั้นที่หากเขามีเหตุผลให้ออกกระบี่ ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ก็จะยุ่งยากแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่หลิวชาฝากความหวังไว้มากตายไป
ถึงเวลานั้นเขาเฉิงชิงตูย่อมไม่สะดวกจะออกกระบี่
ถ้าอย่างนั้นใครจะเป็นคนขัดขวาง? ต่งซานเกิงถูกลากตัวไปอยู่ที่แม่น้ำเส้นยาวสีทอง ลู่จือ? อยู่ไกลเกินกว่าจะพอ ต่อให้บวกกับคนคุกเฒ่าหูหนวกที่มีเหตุผลให้ออกกระบี่ตามกัน ก็ยังไม่พออยู่ดี
……
ตีนเขาของภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากจวินทานไปไกลมาก เฉินผิงอันที่ไปและกลับเพียงแค่เสี้ยววินาที เวลานี้ยืนอยู่บน ‘เส้นสายภูเขาเส้นหนึ่ง’ ที่ค่อนข้างจะเล็กบาง
ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็คือศพของโหวขุยเหมินที่พอตายไปแล้วก็เผยร่างจริงของเผ่าปีศาจ ส่วนเสื้อเกราะ กวานม่วงทองและขนนกสองชิ้น ก่อนหน้านี้พอพุ่งชนพื้นดิน แม้จะเสียหายแต่ยังไม่แหลกสลาย ตามหลักแล้วป่านนี้ย่อมต้องถูกใต้เท้าอิ่นกวานเก็บเอามาใส่ไว้ในกระเป๋าหมดแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันกลับไม่เก็บเอามาทั้งหมด เอาแค่ขนนกมาเก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อที่เยี่ยนหมิงใช้การแลกเปลี่ยนมาให้เขา ‘ยืมใช้ชั่วคราว’ เท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ข้าวของทั้งหมดที่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อก่อนหน้านี้ก็ล้วนถูกขนย้ายออกไปจนหมด
ส่วนเสื้อเกราะและกวานม่วงทองของโหวขุยเหมินนั้นได้ถูกเฉินผิงอันใช้เวทย้ายขุนเขานำไปวางไว้ยังตำแหน่งที่ห่างไกลจากศพของโหวขุยเหมิน
เวลานี้เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัสมาก สีหน้าของเขาซีดขาว เป็นเหตุให้แขนขวาทั้งแขนไม่อยู่ในการควบคุม มันสั่นเบาๆ อยู่ตลอดเวลา สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด
การลงมือของโหวขุยเหมินก่อนหน้านี้อำมหิตอย่างยิ่ง นั่นเท่ากับว่าเฉินผิงอันต้องรับหมัดเต็มกำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างจัง หากไม่เป็นเพราะขยับเบี่ยงหลบมาได้เล็กน้อย ป่านนี้ก็คงถูกหมัดนั้นของโหวขุยเหมินต่อยทะลุหัวใจไปแล้ว
หากเกิดบนสนามประลองยุทธ โดนหมัดขอบเขตสิบขั้นสูงสุดแล้วไม่ตาย รสชาตินั้นย่อมดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด แต่เวลานี้มองดูเหมือนเขากำลังปั่นหัวเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่อยู่ในกำมือ แต่แท้จริงแล้วเฉินผิงอันก็ยังยากจะหนีพ้นจากสถานการณ์ล้อมสังหารครั้งนี้ไปได้ ถ้าอย่างนั้นรสชาติย่อมแย่อย่างถึงที่สุดแล้ว
เมื่อครู่นี้โจมตีเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ไม่สำเร็จ เฉินผิงอันเองก็จนใจมากเหมือนกัน หากเป็นช่วงที่ร่างกายของตนอยู่ในสภาวะพร้อมอย่างเต็มที่ ป่านนี้หัวของผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์คนนั้นคงมาอยู่ในวัตถุฟางชุ่นของเขาแล้ว
แต่ยิ่งเด็กหนุ่มถูกพันธนาการอยู่ที่นี่ ไม่อาจฝ่าฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ออกไปได้นานเท่าไร เฉินผิงอันก็ยิ่งฟื้นตัวได้มากเท่านั้น
เฉินผิงอันมองท่วงท่าที่เด็กหนุ่มถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันเอาไว้เป็นนานก็ยังไม่ยอมถอนสายตากลับ
จวินทานไม่มองกายธรรมบนยอดเขาที่แสร้งทำท่าหลับตาคล้ายทำสมาธินั่นอีก
เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปยังจุดห่างไกลที่ยังมีลมปราณเสี้ยวหนึ่งหลงเหลืออยู่ แม้จะมองเห็นภาพเหตุการณ์ตรงตีนเขานั่นได้ไม่ชัดเจน แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจเลยว่าร่างจริงของอิ่นกวานหนุ่มต้องซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
กายธรรมบนยอดเขาลืมตาขึ้น สองนิ้วทำมุทรากระบี่ กระบี่ยักษ์หลายเล่มที่อยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลังพากันแหวกอากาศพุ่งเข้าหาจวินทาน
กายธรรมของนักดนตรีที่ใช้สองมือปกป้องเรือนกายของเด็กหนุ่มหมุนตัวหันหลังให้กระบี่บินที่ใหญ่ราวกับเรือข้ามฟากตระกูลเซียน
จวินทานกัดฟัน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง
กระบี่พกที่มีแสงสายฟ้าตัดสลับกันพลันลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน ระหว่างปลายกระบี่และหางของด้ามกระบี่มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนจะแยกตัวสาดยิงไปยังม่านฟ้าและพื้นดิน
เฉินผิงอันจึงใช้วิชาอภินิหารพับขุนเขาสายน้ำที่ทำได้ตามใจปรารถนา พยายามเปลี่ยนแปลงวิถีการโคจรของแสงกระบี่ทั้งสองเส้น หากเปลี่ยนเส้นทางสักเล็กน้อย แสงกระบี่ไม่พุ่งออกมาเป็นเส้นตรง เฉินผิงอันก็จะสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนนั้นมิอาจสำรวจตรวจสอบเส้นอาณาเขตของฟ้าดินแห่งนี้ได้
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะระเบิดกระบี่พกเล่มนั้นของตัวเองทิ้งโดยตรง แสงกระบี่จึงพลันขยายใหญ่ ค้ำยันอยู่ระหว่างฟ้าดินคล้ายเสาต้นหนึ่ง
อันที่จริงกระบี่พกเล่มนั้นคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองของจวินทาน
ขณะเดียวกันกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เจี่ยฉี’ ก็เปลี่ยนจากกองทัพม้าเหล็กมารวมตัวกันเป็นหนึ่งกระบี่ หวนกลับเข้ามาในช่องโพรงลมปราณแห่งหนึ่งของจวินทาน
กายธรรมของเทพธิดาประกบสองมือปกป้องจวินทานผู้เป็นเจ้านายที่ยอมทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งอย่างไม่เสียดายเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าแสงกระบี่ที่พุ่งเร็วราวสายฟ้าแลบคิดจะเปิดทางเพื่อให้เขาได้หนีไป
กายธรรมบนยอดเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือที่หงายขึ้นฟ้าถูกแสงกระบี่ของเด็กหนุ่มจวินทานทะลวงจนเป็นรู ฝ่ามือของมืออีกข้างหนึ่งวางแนบติดยอดเขา ซ่อมแซมหลุมใหญ่บนพื้นดินห่างไปไกลที่ถูกเด็กหนุ่มเจาะเอาไว้
ฝ่ามือสองข้างของร่างกายธรรมเฉินผิงอันที่แม้จะไม่โดนแสงกระบี่อย่างแท้จริง แต่กลับถูกกัดกร่อนให้สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง
ฟ้าดินขนาดเล็กถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นสามชั้น จากในไปนอกแบ่งออกเป็นชั้นที่ใช้ปกป้องเรือนกายที่แท้จริง จากนั้นก็เป็นพันธนาการเปิดประตูใหญ่ ใช้กายธรรมครึ่งๆ กลางๆ มารับมือกับเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่ตกมาอยู่ในกับดักเป็นคนแรก ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นที่เบาบางที่สุด เป็นเวทอำพรางตาที่ช่วยบดบังสายตาของผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์อีกสี่คนที่เหลือ
สิ่งที่เขาต้องการก็คือพยายามจะช่วงชิงเวลาพักฟื้นบาดแผลมาให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็โจมตีแต่ละฝ่ายไปด้วย หากทำให้บาดเจ็บได้ก็ทำให้บาดเจ็บ ฆ่าได้ก็ฆ่าเลย สรุปก็คือหากเขาฆ่าใครได้สักคนก็ถือว่าได้กำไรแล้ว
เพียงแต่ดูจากตอนนี้ ลำพังเพียงแค่สังหารเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว มีความเป็นไปได้มากด้วยว่าต้องเก็บฟ้าดินชั้นที่สามที่อยู่ด้านนอกสุดมาสร้างความมั่นคงให้กับฟ้าดินชั้นที่สอง ถึงจะมีโอกาสสังหารเด็กหนุ่มได้
เฉินผิงอันยังไม่ยินดีจะแสดงวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตทั้งหมดของกระบี่บินสองเล่มออกมาเร็วเกินไปนัก
ทว่าสถานการณ์แตกต่างก็ต้องใช้แผนการรับมือที่ต่างกันไป การเลือกของเด็กหนุ่มทำให้เขาประหลาดใจ ในเมื่อผลลัพธ์เลวร้ายทั้งสองอย่าง เฉินผิงอันจึงต้องเลือกอย่างที่ให้โทษน้อยสุด ฆ่าให้ได้คนหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อจวินทานใช้การทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งเป็นค่าตอบแทนหมายจะฝ่าออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้
แสงกระบี่เส้นนั้นก็ได้แหวกม่านฟ้าชั้นที่สองของฟ้าดินขนาดเล็กได้แล้ว
สองมือของเฉินผิงอันกุมมีดสั้น หมายจะดักสังหารเด็กหนุ่ม แต่จู่ๆ จิตก็ขยับ พลันหยุดร่าง
และเวลานี้เองวัตถุจื่อชื่อที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันชิ้นนั้นก็ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
ไม่เพียงเท่านี้ เสื้อเกราะและกวานม่วงทองที่ถูกเฉินผิงอันโยนทิ้งไปไกลก็ระเบิดแตกไปพร้อมกันด้วย
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาจากด้านนอกประหนึ่งจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่กลางอากาศ ฟันผ่าสิ่งกีดขวางสองชั้นของฟ้าดิน พุ่งมาฟันลงบนจุดที่เสื้อเกราะวิเศษแหลกสลายพอดี
แต่เฉินผิงอันกลับมองไปอีกจุดหนึ่ง ตำแหน่งที่กวานม่วงทองทำลายตัวเองเกิดร่องรอยของกระบี่บินที่เล็กมากๆ ปรากฏขึ้นมา ไม่มีแสงกระบี่ที่เจิดจ้าสะดุดตาใดๆ ไม่มีปราณกระบี่แม้สักเสี้ยว ไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อม
หากไม่เป็นเพราะอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่ตัวเองเป็นผู้บัญชาการณ์ เฉินผิงอันคงสัมผัสถึงมันไม่ได้แม้แต่น้อย
กระทั่งเฉินผิงอันหมายจะจับวิถีการโคจรของกระบี่บินเล่มนั้น มันกลับหายไปไม่เหลือเบาะแสใดๆ ให้ตามหาได้แล้ว
บัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กประหนึ่งอริยะที่ไม่ว่าเกิดความคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สามารถยกฝ่ามือขึ้นมาดูภูเขาสายน้ำได้ตลอดเวลา ทุกเหตุการณ์ล้วนปรากฏอยู่ในสายตา
นี่ทำให้เฉินผิงอันเกิดใจระแวงภัยต่อกระบี่บินไม่ทราบชื่อเล่มนั้นอย่างยิ่ง ให้ความสำคัญกับมันยิ่งกว่ากระบี่เล่มที่ฝ่าสิ่งกีดขวางที่เขาสร้างไว้มาได้ ฝ่ายแรกเหมือน ‘ซินเซวียน’ กระบี่บินของฉีโซ่วในแบบที่เกินจริงยิ่งกว่า หากคุมเชิงกันบนสนามรบแล้วถูกกระบี่บินเล่มนี้หมายหัว ต้องรับมือได้ยากมากอย่างแน่นอน ไม่ใช่อวี่ซื่อ ไม่ใช่หลีเจิน ไม่ใช่จู๋เชี่ยที่ปล่อยกระบี่ออกมาอย่างดุดัน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ถูกเด็กหนุ่มเรียกว่าหลิวป๋ายแล้ว
มิน่าเล่าเด็กหนุ่มถึงเตือนให้หลิวป๋ายเป็นคนดักฆ่าตน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวป๋ายผู้นี้น่าจะมีวิธีการไม่ต่างจากเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงจากอุตรกุรุทวีปที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ตนมาสักเท่าไร
เชี่ยวชาญการบำรุงปณิธานกระบี่ ออกกระบี่อย่างว่องไว พลังพิฆาตสูงมาก แสวงหาการปลิดชีพศัตรูด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แบ่งเป็นตายในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันล้มเลิกความคิดที่จะสังหารเด็กหนุ่ม ในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มบาดเจ็บสาหัส เก็บเขาไว้บนสนามรบย่อมมีประโยชน์อย่างมาก
เด็กหนุ่มผู้นี้จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ได้ แต่ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นต้องฆ่าให้ได้
หลีเจินพลันขยับมาอยู่ข้างกายหลิวป๋ายในชั่วพริบตา ไล่ตามร่องรอยของปณิธานกระบี่ที่จู๋เชี่ยใช้หนึ่งกระบี่ผ่าปราการฟ้าดินเล็กเข้าไป หลีเจินลองคิดคำนวณอยู่ในใจก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ “ก่อนหน้านี้เรื่องที่พวกเราใช้เสียงในใจพูดคุยกัน มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินผิงอันจะได้ยินด้วย ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ไม่ใช่ว่าเขายืมมาจากใคร แต่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กของตัวเขาเอง”
หลิวป๋ายพลันเอ่ยเตือน “อวี่ซื่อรออยู่ด้านบน!”
หลังจากที่หลิวป๋ายส่งเสียง เด็กหนุ่มจวินทานที่จู๋เชี่ยพุ่งเข้ามาปกป้อง กับหลิวป๋ายที่มีหลีเจินปกป้อง สองฝ่ายเดิมทีอยู่ห่างกันไกลมาก อีกทั้งยังลอยตัวอยู่เหนือทะเลเมฆ เวลานี้อยู่ดีๆ กลับมายืนอยู่ในหลุมลึกที่ห่างกันแค่ไม่กี่จั้ง
ระหว่างนี้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งสี่คนก็รู้สึกเหมือนมีลมโชยมาปะทะใบหน้า คือเบาะแสที่แสดงให้รู้ว่าฟ้าดินเล็กสามชั้นมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน
ทันใดนั้นทั้งสองฝ่ายก็กลับมาอยู่ในสภาวะแบบเดิม ผู้ฝึกกระบี่สี่คนสองกลุ่มอยู่ห่างกันไกลบนทะเลเมฆอีกครั้ง
จู๋เชี่ยเอ่ย “หลีเจิน อย่ามัวอำพรางฝีมืออีกเลย นอกจากค่ายกลแล้วก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กที่ใหญ่ยิ่งกว่าขึ้นมาอีกชั้น จากนั้นค่อยลดขนาดไปเรื่อยๆ”
หลีเจินพยักหน้ารับ ร่ายวัตถุแห่งชะตาชีวิตเจ็ดชิ้นที่เพิ่งหลอมได้สำเร็จไม่นานออกมา พวกมันพลันลอยตัวขึ้นกลางอากาศประหนึ่งดวงดาวลอยอยู่บนฟ้า หลังจากเชื่อมโยงกันกลายเป็นเส้นหนึ่งก็สาดแสงสะท้อนกับค่ายกลบนพื้นดินที่หลีเจินจัดวางไว้ก่อนหน้านี้ ท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นช่วงเวลากลางวันพลันเปลี่ยนเป็นม่านราตรีหนาหนัก แต่นาทีถัดมาฟ้าดินก็กลับคืนมาสว่างไสวอีกครั้ง
ร่างของหลีเจินค่อยๆ สลายหายไป จิตวิญญาณแบ่งแยกกันออกไปเจ็ดทิศทาง พลางเอ่ยเตือนพวกจู๋เชี่ย “อย่างมากสุดภายในหนึ่งก้านธูป ข้าก็สามารถทำให้ฟ้าดินเล็กของเฉินผิงอันเผยรูปลักษณ์เดิม เพียงแต่ว่าช่วงเวลาระหว่างนี้ข้าจะไม่สามารถออกกระบี่ได้แล้ว”
ฟ้าดินเล็กสองแห่งเกิดการช่วงชิงกันบนมหามรรคา ฟ้าดินจึงโยกคลอนตามไปด้วย ภาพที่ปรากฎในคลองจักษุของผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายเริ่มบิดเบือน ราวกับม้วนภาพหนึ่งที่คลี่กางไว้บนโต๊ะ แต่อยู่ดีๆ กับถูกคนจับที่ปลายด้านหนึ่งของแกนภาพแล้วเขย่าอย่างแรง
กระบี่ยาวแต่ละเล่มที่อยู่บนชั้นวางกระบี่ด้านหลังจู๋เชี่ยพากันพุ่งออกไปยังทิศไกล ลากเอาแสงรุ้งเป็นเส้นๆ ตามหลังไปด้วย ทะเลเมฆและภูเขาทั้งหมดที่อยู่ภายในฟ้าดินเล็กล้วนถูกกระบี่ยาวทำลาย นอกจากแสงกระบี่แล้ว ปณิธานกระบี่ก็ยังปริแตกสาดกระจายออกมาด้วย
ภูเขาและสายน้ำบางส่วนที่ถูกกระบี่บินพุ่งผ่านกลายเป็น ‘ซากปรักหักพัง’ เพิ่งจะคิดสร้างภาพมายากลับมาอีกครั้งกลับถูกปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ทำลายจนสิ้นซาก
ดูเหมือนว่าจู๋เชี่ยคิดจะใช้ปณิธานกระบี่อันท่วมท้นไร้ที่สิ้นสุดอัดใส่ฟ้าดินเล็กให้เต็มแน่น ต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นอริยะของที่แห่งนี้ ก็ยังมีพื้นที่แค่ให้พอหยัดยืนเท่านั้น ยากที่จะขยับตัวไปมาตามใจชอบได้อีก
ชั้นวางกระบี่ที่อยู่ด้านหลังไม่มีกระบี่ยาวเหลืออยู่แล้ว
จู๋เชี่ยถือกระบี่ยาวไว้ในมือ พลิ้วกายลงบนพื้นดิน ใช้ปลายกระบี่ค้ำยันพื้น ตัวกระบี่ผลุบหายเข้าไปในพื้นดินช้าๆ ริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่ขึ้นมาเป็นวง ก่อนที่จะซัดออกไปแปดทิศอย่างว่องไว
ท่ามกลางริ้วคลื่นที่อยู่บนพื้นดินมีหยดน้ำที่ก่อตัวจากปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ลอยขึ้นมา ถือกำเนิดแล้วไล่ติดตามวงริ้วน้ำไปไม่หยุด ประหนึ่งม่านฝนที่ลอยอยู่บนดิน
เห็นได้ชัดว่าจู๋เชี่ยไม่ยินดีจะรอหลีเจินแล้ว
เด็กหนุ่มจวินทานนั่งขัดสมาธิ หลิวป๋ายจึงเข้ามาแทนที่หลีเจิน ยืนอยู่ข้างกายจวินทานคอยเฝ้าพิทักษ์เขา
อวี่ซื่อที่ก่อนหน้านี้รับปากว่าตัวเองจะออกกระบี่เป็นคนสุดท้าย
เรือนกายที่กระเซอะกระเซิงเต็มไปด้วยคราบเลือดในมือถือกระบี่ยาวพลันไถลออกมาจากทะเลเมฆ ราวกับถูกคนถีบเข้าที่หน้าท้อง อวี่ซื่อจึงพุ่งทะลุปราการฟ้าดินเข้ามา สุดท้ายมาหล่นกระแทกห่างจากหลิวป๋ายไปไม่ไกล
หลิวป๋ายเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกขนานนามเล่มนั้นออกมาโดยตรง แล้วแทงทะลุผ่านหลังของ ‘อวี่ซื่อ’ ผู้นั้นไป
จวินทานเองก็เรียกกายธรรมของเทพหญิงที่ประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาออกมาอีกครั้ง ให้นางลอยตัวอยู่ด้านหลังตนกับหลิวป๋าย มือข้างหนึ่งของกายธรรมปกป้องพวกเขาข้างละคน
กายธรรมของนักดนตรียุคบรรพกาลตนนี้คล้ายจะไม่ธรรมดา เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาราวกับคนตัวเป็นๆ ก่อนหน้านี้ใช้แผ่นหลังต้านรับกระบี่บินที่มาจากคนชุดเขียวบนยอดเขา สีหน้ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ยามนี้นางก้มหน้าจ้องมองเจ้านายของตน สีหน้าก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน
‘อวี่ซื่อ’ ผู้นั้นมาเยือนอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อนปานกัน
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งของจู๋เชี่ยที่ก่อนหน้านี้อยู่ตรงจุดเปิดประตูพลันเปล่งแสงวาบแล้วหายไป
ในฟ้าดินขนาดเล็กชั้นที่ลึกที่สุด เฉินผิงอันยื่นมือมากุมชายโครงที่ถูกกระบี่บินแทงทะลุเป็นรูแล้วก็ได้แต่ยิ้มขื่น
หลิวป๋ายตัวดี
เดิมทีขอแค่นางออมมือสักเล็กน้อย ต่อให้นางจะมีความระมัดระวังและใจอำมหิตมากพอ แต่จากการคาดการณ์ของเฉินผิงอัน ทำร้าย ‘อวี่ซื่อ’ ให้บาดเจ็บเบาๆ เพื่อหยั่งเชิงจริงเท็จ ถ้าอย่างนั้นระยะห่างสิบกว่าจั้งก็เพียงพอให้เฉินผิงอันที่รับกระบี่หนึ่งของนางขยับเข้าประชิดตัว หากขยับเข้าใกล้นางได้ ไม่ว่าจะฆ่านางก็ดี หรือฆ่าเด็กหนุ่มก็ช่าง ล้วนเป็นโอกาสดีอันใหญ่หลวง
คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของหลิวป๋ายจะพุ่งตรงเข้าหาช่องโพรงลมปราณอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของ ‘อวี่สื่อ’ โดยตรง เฉินผิงอันจึงได้แต่เบี่ยงตัวเล็กน้อย แล้วถอยร่นมาอย่างเด็ดขาดด้วยการจ่ายค่าตอบแทนเป็นอาการบาดเจ็บเบาๆ
ถือว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวเปลือกอีกหนึ่งกำมือ
ส่วนกระบี่ยาวของจู๋เชี่ยที่ตามมาติดๆ นั้น เฉินผิงอันคิดจะหลบย่อมไม่ยาก เพียงไม่นานก็ถูกเขา ‘ส่งออกนอกอาณาเขตอย่างมีมารยาท’
ส่วนในฟ้าดินขนาดเล็กที่เฉินผิงอันอยู่เวลานี้ สภาพการณ์ของอวี่ซื่อก็น่าเวทนายิ่งกว่าจวินทานก่อนหน้านี้เสียอีก
เพราะเฉินผิงอันที่เรือนกายเริ่มฟื้นตัวไม่ได้ใช้ลูกเล่นอะไรอีกแล้ว ในฟ้าดินขนาดเล็กล้วนมีแต่กระบี่บินอยู่ทั่วทุกหนแห่ง