กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 673.3 ชีวิตคนฝันซ้อนฝัน
น่าหลันเซาเหว่ยเองก็จะสละร่างไปจากโลกใบนี้เช่นเดียวกัน ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตจะถูกผู้พิทักษ์มรรคาของเขาพาไปยังใต้หล้ามืดสลัว แม้จะบอกว่าหลังจากลาโลกนี้ไปแล้ว เมื่อได้เกิดใหม่จะพบเจอกับอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงบนเส้นทางของการฝึกตน ความสำเร็จบนมหามรรคายากที่จะทัดเทียมได้กับชาติก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่ากายดับมรรคาสูญสลาย
เฒ่าหูหนวกเลือกจะไปพึ่งพาเฒ่าตาบอด ไม่ใช่ติดตามกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าไพศาล ไปทำงานใช้แรงงานที่เหนื่อยยากอยู่ในเทือกเขาแสนลี้
อันที่จริงเหตุผลนั้นเรียบง่าย เพราะเขากลัวตาย
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหลายคนเสียดายชีวิตจนถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ ตู้เม่าแห่งใบถงทวีปก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อก็สามารถไม่เลือกวิธีการ ทุ่มสุดพลังความสามารถ
สำนัก ลูกหลาน ลูกศิษย์ ชื่อเสียง ล้วนสามารถสละทิ้งได้
ส่วนลู่จือ หนทางถอยของนางมีเฉินผิงอันคอยช่วยปูทางให้ นอกจากลู่จือแล้ว ถัวเหยียนฮูหยิน เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟาน ล้วนจะเดินทางไปพร้อมกับลู่จือ
เมื่อเอามานึกเชื่อมโยงกับการจัดการก่อนหน้านี้ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีต่อพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ ในที่สุดเฉินผิงอันก็แน่ใจในวัตถุประสงค์ข้อหนึ่ง
แทบทุกคนล้วนต้องแยกย้ายจากกันไป
หลังจากนี้จะเป็นการแยกจากกันไปคนละแผ่นฟ้าอย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นตบะของแต่ละคน ในบางระดับก็คือฝึกตนเพื่อให้ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
ยกตัวอย่างเช่นฉีถิงจี้ต้องไปเยือนฝูเหยาทวีป ทว่าฉีโซ่วกลับต้องหยุดอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว
เฉินซีจะไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า ทว่าเฉินซานชิวกลับต้องไปเยือนใต้หล้าไพศาล
ส่วนเกาเหย่โหวที่ติดตามเฉินซีไป รวมถึงเกาโย่วชิงน้องสาวของเขากลับต้องกลายไปเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ไปอยู่อุตรกุรุทวีป
สงครามใหญ่ครั้งถัดไป ซึ่งก็คือสงครามครั้งสุดท้ายตลอดเวลาหมื่นปีที่ผ่านมาของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่เป็นไร แค่หลบซ่อนตัวไปก็พอ เพียงแต่ว่าเมื่อถึงช่วงท้ายของสงครามในวันหน้า ย่อมต้องมีเผ่าปีศาจที่เป็นปลาหลุดรอดออกจากแหที่ไปเยือนทางเหนือของนครอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าก็ไม่ใช่ว่าใครที่ล้วนมีชีวิตรอดได้เสมอไป
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่าง ใครที่ยินดีตายต้องตาย ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ทว่าฝีมือกลับไม่ได้เรื่อง ก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่ขอแค่อดทนได้จนถึงท้ายที่สุด ทั้งชีวิตและมหามรรคาในอนาคตก็สามารถรักษาไว้ได้แล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง คนที่อยากมีชีวิตรอดจะมีชีวิตรอด คนที่ไม่อาจตาย ต่อให้อยากตายก็ยังตายไม่ได้
มีเพียงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเท่านั้นที่ความเป็นความตายมิอาจตัดสินใจได้เอง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีแผนการสำหรับพวกเขาไว้นานแล้ว
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเดินออกไปจากขั้นบนสุดของบันไดคุก โยนเด็กชายผมขาวที่หิ้วไว้ในมือลงไปบนพื้น ถามว่า “เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ?”
เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นหมอบกราบอยู่บนพื้น เด็กชายผมขาวที่ยามเผชิญหน้ากับเฒ่าหูหนวกและอิ่นกวานหนุ่มล้วนทำตัวตามใจปรารถนา เวลานี้กลับได้แค่กล้าส่ายหน้า ไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำ
ข้างกายเฉินชิงตูมีบุคคลผู้หนึ่งที่มีเมฆหมอกปกคลุมจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงปรากฎกาย มีเพียงกระบี่ยาวที่เขาพกไว้เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เฉินชิงตูเอ่ย “ไม่ดื่มเหล้าก็ไม่มีเรี่ยวแรง ออกกระบี่นุ่มนิ่มแบบนี้ คิดว่ากำลังปักบุปผาอยู่หรือไร?”
เซียนกระบี่ประหลาดที่ถูกสั่งสอนไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันกับเฒ่าหูหนวกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เฉินชิงตูคว้าเด็กหนุ่มสองคนเข้ามาในฟ้าดินแห่งนี้ ทั้งสองคนล้มลงไปนอนกับพื้นลุกไม่ขึ้น อาเจียนไม่หยุด
เฉินผิงอันรู้จักแค่คนหนึ่งในนั้น คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามไร้สัญชาติที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชาติกำเนิดธรรมดา คุณสมบัติธรรมดา เด็กหนุ่มที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองรับผิดชอบหน้าที่แจกจ่ายชุดคลุมอาคมของหอภูษาและกระบี่ยาวของหอกระบี่ แล้วก็มักจะคอยแบกผู้ฝึกกระบี่ที่บาดเจ็บลงไปจากหัวกำแพงเมือง
ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั้น เฉินผิงอันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลย
เฉินชิงตูเอ่ยกับเฒ่าหูหนวกและเซียนกระบี่ว่า “พวกเจ้ารับพวกเขาไว้ข้างกายก่อน ภายในเวลาร้อยปีบูชาพวกเขาเป็นนาย จากนั้นก็แล้วแต่พวกเจ้า”
เฒ่าหูหนวกไม่กล้าละเมิดคำสั่ง
ส่วนเซียนกระบี่ที่มองไม่เห็นโฉมหน้าคนนั้นก็ไม่ออกเสียงใดๆ
สำหรับเด็กหนุ่มสองคนแล้ว นี่ถือเป็นโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า
เฉินชิงตูมองไปยังเทวบุตรมารนอกโลกที่หมอบอยู่กับพื้น “เวลาที่ควรพูดกลับทำตัวเป็นคนใบ้งั้นรึ?”
เด็กชายผมขาวคนนั้นรีบลุกขึ้นมา พูดอย่างเด็ดเดี่ยวเปี่ยมไปด้วยเหตุผล “ใต้เท้าอิ่นกวานคงจะเกิดความไม่พอใจ เหนื่อยยากลำบากเช่นนี้ไปเพื่อใคร เมื่อเทียบกับคนเย็บผ้าแล้วยังต้องตัดชุดแต่งงานเพื่อผู้อื่นมากกว่าเสียอีก โชควาสนาที่ใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงหล่นลงบนหัวของเจ้าลูกกระต่ายน้อยสองคนที่เทียบกับหมูกับหมาก็ยังไม่ได้ เฉินชิงตูผู้นี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แล้วยังให้เป็นใต้เท้าอิ่นกวานกับผายลมนี่อีก ถือโอกาสนี้ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปรับตำแหน่งที่ไม่แพ้ให้กับใต้เท้าอิ่นกวานที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียเลย นั่นต่างหากถึงจะเป็นการกระทำของวีรบุรุษชายชาตรี…”
เฉินผิงอันยกมือกุมขมับ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็มีเซียนกระบี่มาเป็นผู้รับใช้มีท่าทางกระวนกระวายไม่เป็นสุข ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่จะกลายเป็นเจ้านายของเฒ่าหูหนวกกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง
เซียนกระบี่ท่านนั้นปลดกระบี่ของตัวเองลงมาส่งมอบให้เด็กหนุ่ม
ส่วนเฒ่าหูหนวกนั้นยิ้มมองเจ้านายในนามของตน
เฉินชิงตูพาเฉินผิงอันเดินไปทางคุก
เฉินชิงตูเอ่ยเนิบช้าว่า “หากไม่เป็นเพราะร่างอยู่ที่นี่ ตอนนี้คนที่พูดคุยกับเจ้าก็คือเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นแล้ว ชีวิตคนดั่งฝันซ้อนฝัน นับตั้งแต่นาทีที่เจ้าเก็บดวงจิตหล่อหลอมไข่มุกน้ำก็จะต้องถูกเขาฉวยโอกาสเข้ามาสิงร่าง ไม่เชื่อหรือ? คิดหรือว่าตัวเองมีการป้องกันที่เพียงพอต่อเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นแล้ว? ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ”
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนกในกรงออกมา
จากนั้นก็จู่ๆ ราวกับว่าสะดุ้งตื่นจากความฝัน
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พบว่าตัวเองยังคงนั่งขัดสมาธิหลอมไข่มุกน้ำอยู่เหมือนเดิม
เฒ่าหูหนวกยังคงยืนคลี่ยิ้มอยู่ข้างกาย
เด็กชายผมขาวที่ห้อยงูเขียวเป็นต่างหู พกกระบี่สั้นก็ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนไหล่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพียงแต่ว่าฟ้าดินเล็กนกในกรงกลับไม่มีอยู่
คือภาพมายาลวงตา
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
ฟ้าดินเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ร่างของเขามาอยู่ด้านล่างของคุก เหนี่ยนซินที่เพิ่งได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก นางยังคงยอบตัวคารวะอย่างนอบน้อม เพียงแต่ว่ายามเงยหน้าขึ้น สายตากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “ข้าคือตัวปลอมงั้นหรือ? นางจะต้องเป็นตัวจริงเสมอไปงั้นหรือ?”
นาทีถัดมา เฉินผิงอันกำลังประสานสายตากับเด็กหนุ่มในคุกน้ำ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเมื่อสังหารข้าไปแล้ว ใต้หล้าไพศาลก็จะมีหายนะลดน้อยลงไปอย่างหนึ่ง?”
และวินาทีถัดมา เขาก็หวนกลับคืนมายังทะเลเมฆ ‘นักพรตหนุ่มลู่เฉิน’ ยืนอยู่บนไหล่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มรรคกถาของข้าผู้เป็นนักพรตสูงหรือไม่เล่า?”
ไม่รอให้ความคิดใดๆ ของเฉินผิงอันบังเกิด เขาก็มาอยู่ตรงทางเข้าคุก เซียนกระบี่ที่มีเมฆหมอกล้อมวนจนมองเห็นโฉมหน้าได้ไม่ชัดคนนั้นค่อยๆ สลายไอเมฆหมอกทิ้งไป เผยใบหน้าออกมาครึ่งหน้า เอ่ยว่า “เจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดโฉมหน้าของข้าถึงพร่าเลือน เป็นเพราะว่านี่คือรูปโฉมของเซียนกระบี่บนยอดเขาในใจของเจ้าใช่หรือไม่?”
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอันไม่หยุดพัก เพียงแต่ว่ามีถ้อยคำบางอย่างเพิ่มเข้ามาเท่านั้น
เฒ่าหูหนวกยืนอยู่ด้านล่างป้ายศิลาเจ้อกูเทียน เปิดปากเนิบช้าว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ในฐานะผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ดูเหมือนความรู้ของท่านจะสูงไม่มากพอนะ”
ตรงทางเข้าคุก เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกุมลำคอของเด็กชายผมขาวไว้ในมือ เดินช้าๆ ขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันได พลันยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเฉินชิงตูมีวิชาอภินิหารเลิศล้ำนี้อยู่? ไม่นึกเลยว่าส่วนลึกในใจของใต้เท้าอิ่นกวานจะชื่นชมเลื่อมใสเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสขนาดนี้ เพียงแต่ว่าดูเหมือนเขาจะอารมณ์ร้ายไม่เบานะ?”
เด็กหนุ่มสองคนถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคว้าตัวจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็ก เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ขี้ขลาดกว่าพลันยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้เด็กหนุ่มในใจของใต้เท้าอิ่นกวานก็ควรมีจิตใจดีงามเช่นนี้จึงจะดี”
ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ๆ ต่อให้มีอายุเป็นเด็กหนุ่มก็ควรจะมีนิสัยสุขุมหนักแน่นเช่นข้า ไม่อย่างนั้นคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว”
ต่อให้จะแอบรวบรวมดวงจิตเป็นเมล็ดงาไปเยือนจวนน้ำ เด็กๆ ชุดเขียวที่พากันมารวมตัวอยู่นอกประตูใหญ่ของจวนน้ำกลับยังมีแต่ใบหน้าของเทวบุตรมารนอกโลก
ยิ่งนานเฉินผิงอันก็ยิ่งปวดหัวราวกับหัวจะแตก
ร่างเขาโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่ ย้อนกลับมาที่ขั้นบันไดอีกครั้ง พอเฉินผิงอันนั่งลงก็เรียกนกในกรงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ทว่าเขากลับต้องตะลึงงัน ก่อนหน้านี้ข้าเรียกมันออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?
แหงนหน้ามองไป เฉินชิงตูที่ยืนอยู่ด้านล่างขั้นบันไดหันหน้ามาเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเหม่อลอยไร้คำพูด
‘เฉินชิงตู’ คลี่ยิ้มบางๆ “มองออกว่าข้าเป็นภาพมายา เจ้าก็ชนะแล้วรึ? สรุปแล้วเจ้าเคยเดินออกไปจากคุกแห่งนี้สักก้าวหรือไม่? เจ้าเคยมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าในวันนี้ไม่ใช่แค่ความฝันที่ลู่เฉินมอบให้เจ้า? มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ายังคงอยู่ที่ตรอกหนีผิงบ้านเกิด? แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ปลาที่ว่ายน้ำอยู่ใต้สะพานกำลังมองดูคน? หรือว่าเจ้าเข้าฝันไปพิศมรรคาของเซียนบางคน?”
เฉินผิงอันหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วต่อยตัวเองอย่างแรงหนึ่งหมัดจนตัวเองสลบไป
บนขั้นบันได เด็กชายชุดขาวนั่งยองอยู่ด้านข้าง พูดอย่างอัดอั้นว่า “ฉกฉวยโอกาส เอาชนะอย่างไม่มีเกียรติ เจ้าเด็กนี่ก็แค่มั่นใจในข้อหนึ่งว่าข้าไม่กล้าถ่วงเวลาการทำเรื่องเป็นการเป็นงานของเขามากนัก”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แก้ไขปัญหายุ่งยากตรงหน้าให้ได้ก่อน คือข้อดีของเฉินผิงอันตลอดมา”
เฒ่าหูหนวกที่อยู่ด้านข้างเอ่ยชมว่า “อย่างน้อยที่สุดใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราก็แน่ใจได้ว่าตัวเองอยู่ในคุกจริงๆ แค่นี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าอยู่ที่นี่ถูกพันธนาการมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่ก็ไม่มีทางปล่อยหมัดออกมาได้แม้แต่หมัดเดียวหรอก”
เขาถามหยั่งเชิง “เฉินชิงตู เจ้ามีความสามารถทำให้ข้าเข้าไปในความฝันของเขาไหม? หากเขาตื่นขึ้นมาได้ ข้าก็จะเรียกเฒ่าหูหนวกว่าท่านปู่!”
เฉินชิงตูเอ่ย “ไม่มี”
ดังนั้นเด็กชายผมขาวจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดอย่างรู้กาลเทศะ
เพราะต่อให้เฉินชิงตูจะไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่กลับมีความสามารถในการสังหารเทวบุตรมารนอกโลกที่เซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานทิ้งไว้อย่างมันให้สิ้นซากได้
เหนี่ยนซินคนเย็บผ้ามาลอยตัวอยู่ด้านข้าง นางคารวะเฉินชิงตูอย่างนอบน้อมก่อน จากนั้นถึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงต้องทำเช่นนี้?”
เฉินผิงอันที่หมดสติคล้ายกำลังสืบเนื่องความฝันของตัวเองต่อ
สีหน้าจึงเปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่ง มีทั้งเสียใจ โกรธเคือง คิดถึง ปล่อยวาง เศร้าใจ เบิกบาน
เฉินชิงตูขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันต่อยตัวเองไปหมัดหนึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร ถือว่าเขาทำถูกแล้ว
แต่เวลานี้หากถูกคนนอกใช้หมัดหนึ่งต่อยให้ตื่น จะมีภัยซ่อนแฝงที่ไม่น้อย
เด็กชายชุดขาวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ”
สุดท้ายดูเหมือนคนหนุ่มจะฝันหวานจึงหลับสนิท ลมหายใจราบเรียบ ราวกับว่าฝันดีจนไม่อยากตื่นขึ้นมา
เฉินชิงตูขยุ้มหัวของเด็กชายผมขาว ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นมา ถามเสียงหนัก “เจ้าไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เทวบุตรมารนอกโลกพึมพำ จากนั้นเฉินชิงตูก็เพิ่มแรงมากขึ้นอีก มันพลันร้องโอดครวญ ได้แต่พุ่งร่างหายวับเข้าไปในความฝันของคนหนุ่ม
ครู่หนึ่งต่อมามันก็ออกมาจากความฝัน เอ่ยอย่างจนใจว่า “แปลกยิ่งนัก ไม่มีความมหัศจรรย์ใดๆ เลย ก็แค่เด็กน้อยตัวเท่าก้นกระโดดโลดเต้นอยู่ในตรอกเล็กๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นลานบ้านหลังเล็กที่มีหิมะตก เด็กผู้ชายที่ไม่ได้โตกว่าเดิมสักเท่าไรยังคงมีสีหน้าเบิกบาน ท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก ภาพเหตุการณ์สองอย่างนี้เป็นวงโคจรที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน มีแค่สองภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำๆ เท่านั้น”
เฒ่าหูหนวกถามหยั่งเชิง “ในภาพนั้นมีคนนอกอยู่ด้วยหรือไม่? เจ้าสามารถจำแลงเป็นใครบางคนไปเตือนเขาว่านี่เป็นความฝันได้หรือไม่?”
เด็กชายผมขาวส่ายหน้า “ยาก ภาพนั้นพร่าเลือนเกินไป ที่นี่คือฟ้าดินขนาดเล็ก เดิมทีก็มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวางกับใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว แล้วยังดูเหมือนว่าบ้านเกิดของเจ้าเด็กนี่จะเป็นฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง ข้าไม่เคยรู้ถึงชีวิตของเจ้าเด็กนี่มาก่อน จะทำได้อย่างไร? หากลงมือจริงๆ ก็ง่ายที่จะทำให้เขายิ่งจมดิ่งอยู่ในความฝัน ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ลืมตาโพลง ลุกพรวดขึ้นนั่ง เหงื่อเย็นๆ ไหลไปตามสันหลัง
เฉินชิงตูผ่อนลมหายใจโล่งอก ถามว่า “ออกมาจากความฝันได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
เฉินชิงตูส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “วันหน้าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ยากแค่ไหน เจ้าก็น่าจะรู้ดีแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
เฉินชิงตูเงยหน้ามองเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น ฝ่ายหลังรีบรับประกันทันที “วันหน้าเจ้าเด็กนี่ก็คือท่านปู่ของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหลเด็ดขาด”
เฉินชิงตูพาเฒ่าหูหนวกกับเหนี่ยนซินจากไป เด็กชายผมขาวเองก็ไม่กล้าอยู่นาน กังวลว่าเฉินชิงตูที่อารมณ์ไม่ดีจะพานเอาโทสะมาระบายใส่ตน ดังนั้นสุดท้ายจึงทิ้งให้เฉินผิงอันได้อยู่คนเดียว
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว เฉินผิงอันถึงได้หัวเราะออกมา
เขาฝันดี สุดท้ายในความฝันมีคนประสานมือคารวะ และมีคนคารวะกลับคืนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นฝ่ายแรกจึงไม่รับรู้
คือตนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ตอนนั้นยังสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่
หลังจากอาจารย์ฉีประสานมือคารวะกลับคืนต่อเด็กหนุ่มแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยลาลูกศิษย์
เฉินผิงอันจำไม่ได้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย รู้แค่ว่าปีนั้นตนคารวะขอบคุณอาจารย์ฉีจริงๆ
ไม่ใช่ฝันดีแล้วจะเรียกว่าอะไร
——