กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 675.1 เสวยสุขให้ดี
เฉินผิงอันกับเหนี่ยนซินเดินไปถึงกรงขังแห่งหนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ แทบไม่มีลมหายใจ เรือนกายผอมแห้งราวท่อนฟืน หนังหุ้มกระดูก แต่ปณิธานหมัดกลับเปี่ยมล้น ปณิธานหมัดแต่ละเสี้ยวแต่ละเส้นรวมตัวกันจนจับต้องได้จริงประหนึ่งเจียวหลงขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้อมพันอยู่รอบกายคน
คือขอบเขตเดินทางไกลจริงแท้แน่นอน
ท่ามกลางศึกสงครามก่อนที่เฉินผิงอันจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นี้ใช้หมัดสังหารผู้ฝึกกระบี่ไปหกคน คนหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินด้วย
บุรุษลืมตาขึ้น ถามว่า “มาฆ่าข้าหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
บุรุษชำเลืองตามองสตรีคนเย็บผ้าที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแล้วเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “แน่จริงก็มาเอาหัวข้าไปด้วยตัวเอง”
สตรีอัปลักษณ์ที่จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิงผู้นั้น เขารู้ดีว่าตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ วิธีการของสตรีอำมหิตโหดเหี้ยม ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานมาไม่น้อย
เฉินผิงอันเอ่ย “มาถามหมัดกันครั้งหนึ่งเพื่อตัดสินเป็นตาย”
บุรุษเอ่ยเย้ยหยัน “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดจะเอาข้าเป็นหินลับมีดอย่างนั้นหรือ? ข้ากลัวว่าต่อยหมัดหนึ่งออกไปแล้วเจ้าจะกอดเอวสตรีผู้นั้นร้องคร่ำครวญว่าเจ็บ ฮ่าๆ น่าเสียดายที่สารรูปของสตรีผู้นี้ไม่ถือว่างดงามเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสเหนี่ยนซิน เชิญปิดประตูคุก รอให้มีคนตายเมื่อไหร่ค่อยเปิดออกอีกครั้ง”
เหนี่ยนซินปิดประตูใหญ่ลง ราวรั้วแสงกระบี่เป็นเส้นๆ ก็ปรากฏขึ้น ในกรงขังแห่งนั้นคือผู้ฝึกยุทธสองคน
บุรุษลุกขึ้นยืน “นับว่าเป็นคนใจเด็ดไม่น้อย”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาล”
บุรุษผู้นั้นตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะกุมหมัดคารวะกลับคืน “หงอิ่นแห่งนครจินซีใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
ขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งกับคอขวดขอบเขตร่างทองคนหนึ่งออกหมัดแทบจะเวลาเดียวกัน
พายุหมัดพัดกระโชกแรงอยู่ในกรงขัง
ชั่วพริบตานั้นต่างฝ่ายต่างก็ปล่อยหมัดออกไปสิบกว่าหมัด เฉินผิงอันใช้หมัดและเท้ารับมือการออกหมัดของอีกฝ่าย ส่วนใหญ่ป้องกันมากกว่าโจมตี สุดท้ายก็ถูกหงอิ่นฟาดแข้งเข้าที่กลางบั้นเอว ทว่าขาสองข้างของเขายังคงปักตรึงอยู่บนพื้นดิน เพียงแต่ร่างท่อนบนขยับไปด้านข้างจั้งกว่า หงอิ่นยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบพื้น ขยับตัวเข้ามาใกล้ แต่เฉินผิงอันกลับเบี่ยงตัวหลบฉาก ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น งอเข่าถีบเข้าที่หน้าท้องของหงอิ่น ถ่ายเทพละกำลังไปที่ขาข้างนั้นแล้วถึงขั้นกดหงอิ่นไว้บนพื้นได้ด้วยเท้าข้างเดียว
เฉินผิงอันไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ไล่โจมตีต่อ กลับกันยังก้าวถอยไปสองก้าว เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง เปลี่ยนหมัดข้างหนึ่งเป็นฝ่ามือวางไว้ด้านหน้าตัวเอง
โครงท่าหมัดค่อยๆ ลดลงต่ำ
ทว่าปณิธานหมัดกลับค่อยๆ ยกขึ้นสูง
หงอิ่นที่ไม่ได้เป็นอะไรมากใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบพื้น พลิกตัวลุกขึ้นยืน ถามว่า “จะหยุดแค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้ารู้รากฐานของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้พื้นฐานของข้า ดังนั้นจึงปล่อยให้เจ้าได้ลองหยั่งเชิงดู นับแต่นี้ไป จะให้เจ้าออกหมัดอีกร้อยครั้ง ส่วนการหยั่งเชิงความหนักเบาของหมัดข้า เป็นหลังจากนั้น”
หงอิ่นบิดหมุนข้อมือ ข้อต่อกระดูกทั่วร่างซึ่งรวมถึงกระดูกสันหลังและกระดูกซี่โครงเหมือนเต่าอ๋าวพลิกกระดอง พายุหมัดพลันระเบิดออก ปณิธานอันน่าเกรงขามล้นทะลัก
ก่อนหน้านี้การออกหมัดและเปลี่ยนกระบวนท่า เขาต้องการจะหยั่งเชิงอีกฝ่ายจริงๆ เวลานี้หงอิ่นจึงยิ้มเอ่ยว่า “คำกล่าวนี้ของเจ้า หากจะให้มีความมั่นใจมากพอจริงๆ ก็ต้องเป็นขอบเขตเก้าถึงจะได้”
บุรุษแค่เคยได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถูกจำกัดอยู่ที่เรือนกายแต่ที่อ่อนแอมากำเนิด จึงเหมือนกระดาษเปียกกันทั้งหมด
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ายังไม่ได้เป็นขอบเขตเดินทางไกล แต่ตอนอยู่ในสนามรบได้สังหารโหวขุยเหมิน เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนไม่น้อย เป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่จะบอกกับเจ้าตามตรงว่า ยามที่ข้าเผชิญหน้ากับศัตรู ไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ ก็ไม่เคยส่งผลอะไร”
หงอิ่นเดินหน้าไปอย่างเนิบช้า เฉินผิงอันเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม แม้แต่เส้นสายตาก็ยังไม่ได้ขยับมองไปทางอื่น ปล่อยให้หงอิ่นเดินออกไปจนกลายเป็นแนวเส้นโค้งที่ระยะห่างไม่มาก
ในฐานะขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด หงอิ่นย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของโหวขุยเหมินที่แต่งตัวฉูดฉาดคนนั้น หงอิ่นไม่เคยพบเจออีกฝ่ายมาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าอีกฝ่ายชอบสวมชุดเสื้อเกราะสีแดงสด สวมกวานม่วงทองขนหงส์ เสียบขนนกสองชิ้นที่ยาวมาก ตลอดทั้งร่างล้วนมีแต่สมบัติหนัก ดังนั้นหงอิ่นจึงไม่แยแสโหวขุยเหมินแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ไม่ควรมีของนอกกาย มีเพียงสองหมัดก็พอแล้ว อย่างเช่นคนหนุ่มตรงหน้าที่เปลือยเท้าม้วนชายแขนเสื้อผู้นี้ที่ทั่วตัวสะอาดสะอ้าน บริสุทธิ์อย่างยิ่ง
หงอิ่นถาม “หรือว่าการจับคู่เข่นฆ่าของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแบบเจ้า ต้องอธิบายให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยลงมือ? มีข้อพิถีพิถันที่ประหลาดแบบนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่ให้เจ้าออกหมัดได้อย่างสะใจก่อนตายก็เท่านั้น”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ยังบอกกับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าไม่ได้ลงมือมานานเกินไป ทั้งหมัดทั้งเท้าต่างก็ไม่คล่องแคล่ว อีกทั้งในใจยังกริ่งเกรงสตรีที่อยู่นอกกรงขังเกินไป ปณิธานหมัดจึงอยู่ไกลเกินกว่าจะไปถึงขอบเขตสูงสุด ข้าแค่ออกหมัดไม่กี่ทีก็ต่อยเจ้าตายได้แล้ว จะมีความหมายอะไร”
หงอิ่นไม่พูดอะไรอีก
การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธ เหตุผลน้อยใหญ่นั้นก็แค่ต้องดูว่าหมัดหนักหรือไม่ วิชาหมัดสูงหรือไม่
ร้อยหมัดต่อจากนั้น หงอิ่นออกหมัดอย่างว่องไว พลังอำนาจประดุจปลาวาฬสูบกินสายรุ้ง เข้ากับชื่อของเขาอย่างมาก (หงอิ่น รุ้งกินน้ำ)
เข่าหนึ่งกระแทกเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่าย คนหนุ่มชุดเขียวไถลกรูดออกไปหลายสิบก้าว เพียงแค่ตั้งโครงหมัดยังไม่ได้ปล่อยหมัด กระดูกสันหลังทั้งเส้นก็เหมือนเส้นทางมังกรที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตัดทอนพละกำลังทั้งหมดจากเข่าของเขาทิ้งไป
หมัดหนึ่งของหงอิ่นต่อยลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรงในเวลาเดียวกัน ฉวยโอกาสที่เรือนกายของอีกฝ่ายขยับเล็กน้อย ปณิธานหมัดของหงอิ่นก็เพิ่มพรวดขึ้น พุ่งเข้ามาเอาตัวกระแทก ทำให้คนหนุ่มชุดเขียวเกือบจะชนเข้ากับรั้วแสงกระบี่
ทว่าสีหน้าและสายตา รวมไปถึงปณิธานหมัดของอีกฝ่ายกลับเหมือนคนตาย แน่นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย
สุดท้ายหงอิ่นเหวี่ยงเท้าฟาดเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย ทำให้ร่างของอีกฝ่ายหมุนกลับหัวหลายตลบ ไม่นึกว่าสุดท้ายคนชุดเขียวจะใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้น หัวทิ่มดินเท้าชี้ฟ้า ร่างแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
สองตาปิดแน่น มือซ้ายที่เหลืออยู่ทำมุทรากระบี่อยู่เบื้องหน้าตัวเอง
หลายหมัดสุดท้ายในร้อยหมัด หงอิ่นหมุนร่าง แขนยาวเหวี่ยงออกไปฟาดให้คนหนุ่มปลิวไปด้านข้าง ฝ่ายหลังกดลมปราณลงต่ำ สองนิ้วแตะพื้น ทุกครั้งที่หมุนตัวล้วนทำเช่นนี้ คอยเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างต่อเนื่อง หลบพ้นหมัดหลายหมัดที่หงอิ่นกระโจนเข้ามาต่อยได้พอดี สุดท้ายคนหนุ่มพลิ้วกายยืนนิ่ง ยืนอยู่บนเส้นตรงเดียวกับหงอิ่นและเหนี่ยนซินพอดี
เวลานี้การประลองฝีมือกันร้อยหมัดสิ้นสุดลงแล้ว ใช่ว่าหงอิ่นจะไม่อยากตัดสินเป็นตายกับอีกฝ่ายในเสี้ยววินาที แต่ลางสังหรณ์ของผู้ฝึกยุทธทำให้เขาไม่กล้าขยับเข้าใกล้ร่างของอีกฝ่าย
หงอิ่นหยุดเท้า รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เหนี่ยนซินเองก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง
ในฐานะผู้ฝึกลมปราณของเกราะทองทวีปที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระครึ่งตัว เหนี่ยนซินเดินทางไปทั่วสารทิศมาหลายร้อยปี อีกทั้งยังเป็นคนเย็บผ้าที่คอยตามหา ‘ผ้าแพรต่วน’ ที่ดีโดยเฉพาะ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาลจึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับนาง ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า นางก็ยังเคยจับคู่เข่นฆ่าบนเส้นทางคับแคบมาก่อน
เมื่อไหร่กันที่คนหนุ่มอายุแค่สามสิบกว่าๆ มีมาดของปรมาจารย์ได้ถึงเพียงนี้? อีกทั้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลและปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตยอดเขาที่เหนี่ยนซินเคยพบเจอมาก่อน ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังอำนาจบีบคั้นผู้คน ต่อให้จะเก็บบารมีไว้ภายใน ปณิธานหมัดบรรลุขั้นสูงสุดจนหวนกลับคืนสู่ความจริง แต่หากออกหมัดสังหารศัตรูขึ้นมาก็ยังคงมีมาดของวีรบุรุษที่ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินปริแตกได้อยู่ดี ไม่มีทางผ่อนคลาย เยือกเย็นได้เหมือนกับการออกหมัดของ…คนหนุ่มผู้นี้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นการถามหมัดของทั้งสองฝ่ายก็ทำให้เหนี่ยนซินค้นพบเบาะแสบางอย่าง และการเลือกของเฉินผิงอันก็ประหลาดยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
หงอิ่นต่อสู้อย่างเต็มคราบ แต่เฉินผิงอันกลับยังคงหยุดแค่พอสมควร เพียงแต่ว่าหลบเลี่ยงค่อนข้างน้อย ใช้การต้านรับเป็นหลัก
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา หงอิ่นพลันเก็บหมัด เอ่ยอย่างกังขาว่า “ข้าเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธไปสองเฮือกแล้ว แต่เจ้ากลับใช้ลมปราณเฮือกเดียวต้านทานกับศัตรูอยู่ตลอดเวลาเลยงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ตอบไม่ตรงคำถามว่า “ผ่านไปอีกสองวันข้าจะมาประลองฝีมือกับเจ้าใหม่”
หงอิ่นส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก พูดเสียงทุ้มหนัก “ดูแคลนข้าหงอิ่นแห่งนครจินซีก็ช่างเถิด ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ย่อมไม่อาจได้รับความนับถือจากศัตรู แต่เจ้าเฉินผิงอันกลับดูแคลนผู้ฝึกยุทธอย่างนั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสพูดมีเหตุผล”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ โครงท่าหมัดภายนอกมองดูเหมือนคลายตัวออก อยู่ในท่าวานร ปรับแก้มังกรใหญ่อยู่ภายใน ใช้โครงท่าหมัด ‘ยอดเขา’ ของจ้งชิวมาค้ำยัน แล้วเริ่มลงมือด้วยท่าเทพตีกลองสายฟ้า
สีหน้าก่อนตายของผู้ฝึกยุทธหงอิ่นเหมือนปลาที่ปากงับตะขอแล้วพลันได้รับการปลดปล่อย
กฎกติกาเดิม เหนี่ยนซินเป็นคนเก็บศพ
เพียงแต่ว่าคราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้มองดูอยู่ด้านข้าง เขาไปนั่งอยู่นอกกรงขัง ดื่มเหล้าหนึ่งอึก
ขั้นตอนมากมายของการเย็บผ้า เขาเข้าใจชัดเจนดีแล้ว กลับกลายเป็นเหนี่ยนซินที่คล้ายจะเบื่อจึงถามชวนคุย “ฝึกวิชาหมัดนี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันหันหลังให้กรงขัง เอ่ยเนิบช้าว่า “คนที่สอนวิชาหมัดแก่ข้าไม่ชอบพูดถึงสัจธรรมของหมัด พูดอยู่ไม่กี่คำเท่านั้น หนึ่งในนั้นมีประโยคหนึ่งที่ข้าไม่เคยกล้าลืม ‘หมัดข้าอยู่บนฟ้า เบื้องหน้าไร้ผู้คน’”
เหนี่ยนซินพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกยุทธท่านนั้นช่างมีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่”
หลังจากนั้น
เฉินผิงอันก็ไปเยือนกรงขังแห่งถัดไป เผ่าปีศาจที่ถูกขังไว้คือผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองคนหนึ่ง
สำนักที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นรากฐานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีน้อยจนนับนิ้วได้ แตกต่างจากใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่ว่าเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้วจะสามารถก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ ต่อให้ธงของสำนักถูกปักตั้งวางไว้ก็มิอาจประคองตัวไว้ได้อยู่ ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างป่าเถื่อน กระทำการอย่างอุกอาจไร้ยำเกรง แล้วยังรู้สึกอคติต่อสำนักของผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด แต่ถึงอย่างไรเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่ก็ล้ำค่ามากที่สุด ดังนั้นปีศาจใหญ่จึงไม่ฆ่าคน เพียงแค่ทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาสายน้ำ ตบหนึ่งฝ่ามือ กระทืบไปหลายที ไปๆ มาๆ ใครเล่าจะทนรับการถูกทรมาทรกรรมเช่นนี้ได้ไหว
ดังนั้นสำนักผู้ฝึกกระบี่ทุกแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ขอแค่อดทนผ่านเวลาร้อยปีแรกการก่อตั้งสำนักมาได้ ล้วนถือเป็นกองกำลังบนภูเขาที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด
ตามเอกสารลับในคฤหาสน์หลบร้อน สำนักเจิงหรงเคยมีเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแฝงตัวอยู่ภายใน ภายหลังตัวตนถูกเปิดเผยจึงถูกล้อมสังหารอย่างน่าเวทนา สำนักเจิงเหรงใช้วิธีการที่อำมหิตหลายแบบมากักวิญญาณของเซียนกระบี่ บังคับรีดไถเอาวิชาหลอมกระบี่ไปจากเขา สุดท้ายเซียนกระบี่ยังถูกนำไปหลอมเป็นหุ่นเชิดที่สติปัญญาหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่กลับทำได้เพียงเชื่อฟังคนอื่น เคยมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางศึกโจมตีเมือง จึงถูกหลี่ถุ่ยมี่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยนฟันตายด้วยกระบี่เดียว ถือว่าหลุดพ้นในที่สุด
มาถึงกรงขังแห่งนี้ หลังจากที่บอกให้เหนี่ยนซินเปิดประตูใหญ่แล้ว เฉินผิงอันก็บอกกล่าวชื่อแซ่แล้วเอ่ยแค่สองคำว่า ‘ถามกระบี่’ แล้วเรียกนกในกรงออกมา
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองคนนั้นจะลงไปนั่งคุกเข่าไม่ยอมลุก พูดจาน่าเชื่อถือว่ายินดีให้คำสัตย์สาบานร้ายแรงเพื่อรับใช้เฉินผิงอันอย่างจงรักภักดี โดยขอแลกกับชีวิตของตน
เห็นว่าคนหนุ่มไม่สะทกสะท้าน ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ก็ยิ่งตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด ยินดีให้รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย จะดึงเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมามอบให้เฉินผิงอัน ขอเพียงให้ได้มีลมหายใจอยู่รอดในกรงขังแห่งนี้ต่อไป
ผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักเจิงหรงผู้นี้ ยามเข่นฆ่าในสนามรบออกกระบี่ได้อย่างไร้กฎเกณฑ์ ‘เสียงสวรรค์’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาควบวิชาอภินิหารถึงสองประเภท ทุกที่ที่กระบี่บินพุ่งผ่าน มองไม่เห็นกระบี่บิน ได้ยินแต่เสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงยุงเสียงแมลงวัน และหากเสียงยุงเสียงแมลงวันกระพือปีกดังขึ้นข้างหูคน ความเคลื่อนไหวยังไม่น้อย ในช่องโพรงลมปราณของคนจะสั่นสะเทือนอย่างแรง แน่นอนว่านั่นก็คือพลังพิฆาตรุนแรงประหนึ่งฟ้าผ่า อีกทั้งเสียงฟ้าผ่าของกระบี่บินยังแฝงไว้ด้วยสัจธรรมที่แท้จริงของห้าอสนี จุดที่ทำให้คนป้องกันได้ยากที่สุดอยู่ที่ศัตรูสัมผัสได้ถึงกระบี่บินแล้วก็ยังจำเป็นต้องวิเคราะห์หาตำแหน่งให้เจอ แต่หากได้ยินเสียงของมันก็เท่ากับว่ากระบี่บินจะผลุบหายเข้าไปในร่างของผู้ฝึกกระบี่ได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
เมื่อปราณกระบี่ขยับ ฟ้าดินขนาดเล็กในร่างกายมนุษย์ก็จะเกิดลมฟ้าลมฝนโหมกระหน่ำ
แล้วก็เพราะกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนนี้ผิดหลักเหตุผลทั่วไปมากเกินไป ถึงได้ถูกเซียนกระบี่สองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่หมายหัวแล้วจับตัวอีกฝ่ายมาขังไว้ในคุก