กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 677.1 ในที่สุดก็เป็นขอบเขตเดินทางไกล
ปีศาจห้าขอบเขตกลางหกสิบเอ็ดตนที่ถูกขังอยู่ในคุกเหลืออีกแค่ไม่กี่ตนเท่านั้น
วันนี้การเย็บผ้าของเหนี่ยนซินเป็นกุญแจสำคัญ เพราะเป็นช่วงสุดท้ายของการเย็บตำแหน่งกระดูกสันหลัง
เฒ่าหูหนวกยืนสองมือไพล่หลัง ตั้งใจมาดูการเย็บผ้าครั้งนี้โดยเฉพาะ
ในฐานะเผ่าปีศาจ มองเห็นคนอื่นได้รับความทุกข์ทรมาน ถึงอย่างไรก็สบายใจกว่าการเห็นคนอื่นเสวยสุข
เด็กชายผมขาวร้องเรียกหลานชายอยู่ด้านข้าง
เฒ่าหูหนวกขานรับหนึ่งทีก็ทำตัวหูหนวกต่อไป
เฉินผิงอันนั่งเข้าฌานอยู่นานแล้ว ดวงจิตจมจ่อมอยู่ภายใน ทั้งสามจิตเจ็ดวิญญาณล้วนมีเข็มเย็บผ้าปักเข้าไป ถูกเหนี่ยนซินพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินผิงอันทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเอง ทำให้การเย็บผ้าที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ เกิดช่องโหว่
สำหรับการเย็บผ้า ‘ตัดชุดแต่งงาน’ ให้กับอิ่นกวานหนุ่มครั้งนี้ ต้องเรียกว่าเหนี่ยนซินตั้งใจอย่างถึงที่สุด
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก โอกาสที่จะได้ฝึกปรือฝีมือเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่ได้พบเจออีกแล้ว
อีกทั้งหากทำสำเร็จ อย่างน้อยผู้ฝึกลมปราณของสองใต้หล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ชอบแสร้งวางมาดภูมิฐานเหล่านั้นล้วนจะต้องรู้จักนางเหนี่ยนซิน ในฐานะคนเย็บผ้าที่ไม่ต่างจากหนูวิ่งข้ามถนน สุดท้ายแล้วนางก็สามารถสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์และจะไม่มีในอนาคตได้สำเร็จ
จะต้องเป็นเหมือนยามที่คนบนโลกพูดถึงเวทคาถาก็จะหนีไม่พ้นนครจักรพรรดิขาว หากพูดถึงมรรคกถาก็จะหนีไม่พ้นเทียนซือ
ดังนั้นเหนี่ยนซินจึงกระหายในความสำเร็จยิ่งกว่าเฉินผิงอัน
เป็นเหตุให้คนเย็บผ้าที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งพอลงมีด แทงเข็มนานเข้าก็มักจะรู้สึกว่าดวงตาเริ่มเจ็บเริ่มเคือง จึงหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ข้างมือขึ้นมา เทเอาไข่มุกน้ำสีเขียวมรกตที่โชคชะตาน้ำเข้มข้นออกมาหยดหนึ่ง เงยหน้าขึ้นแล้วหยอดพวกมันลงในดวงตา
นอกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ขอยืมจากอิ่นกวานหนุ่มแล้ว หลังจากที่เหนี่ยนซินเย็บผ้าไปสองครั้งก็เอาสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนที่เป็นสมบัติก้นกรุสองชิ้นออกมา แบ่งออกเป็นยันต์ทองและตำราหยก
เฒ่าหูหนวกก้มหน้าลงมองยันต์ทองตำราหยกแล้วก็พยักหน้า “เป็นของดี”
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายนัก ใช้เสร็จก็หมดค่า ไม่อย่างนั้นดวงตาสองข้างของท่านปู่อิ่นกวานของข้าจะต้องเปล่งประกายวาววับอย่างแน่นอน”
ของทั้งสองชิ้นล้วนเป็นรากฐานมรรคาของเหนี่ยนซิน
เหนี่ยนซินเคยเอ่ยกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า โชควาสนาบนมหามรรคาของนาง นอกจากวิชาอภินิหารและเวทลับมากมายของคนเย็บผ้าแล้ว นอกจากนี้ก็มาจากยันต์ทองตำราหยกที่ต่างก็เป็นสมบัติหนักตระกูลเซียนของแท้ดั้งเดิม สามารถนำมาใช้ส่งเสริมกับวิชาเย็บผ้าของนาง ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างแน่นอน
ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกับเหนี่ยนซิน แต่ก็ไม่มีทางอ่านเนื้อหาในยันต์ทองตำราหยกได้เข้าใจ ราวกับว่ามีค่ายกลขุนเขาสายน้ำตามธรรมชาติกั้นขวางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ว่าเฒ่าหูหนวกกับเด็กชายผมขาวต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา
ตำราหยกคือตำราหยกบวงสรวงของราชวงศ์เก่าแก่แห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตำรานี้แบ่งออกเป็นยี่สิบสี่บท แต่ละบทร้อยเรียงเข้าด้วยกันด้วยเส้นด้ายสีทอง ตำราหยกแต่ละเล่มจะใช้เวทลับในการนำมาบรรจุให้ครบถ้วนแล้วขัดกลึงให้แวววาว
ยันต์ทองคือ ‘คัมภีร์สาส์นยันต์’ และคัมภีร์ยังมีอีกชื่อว่าโซ่วลู่ถู ทุกเล่มแบ่งออกเป็นสามบท บทแรกมีตัวอักษรใหญ่ประมาณสิบหกตัว แปดอักษรแรกที่บอกว่า ซานต้งอักษรทองเรียกรวมตำราเซียนเทียนจวิน ตัวอักษรล้วนเป็นอักษรลายเมฆ มีเมฆหมอกล้อมวน ไหลรินเชื่องช้า แปดตัวอักษรหลังคือ มรรคกถาดำรงอยู่ยาวนานร่วมกับฟ้า คือถ้อยคำอวยพร เขียนด้วยลายมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์คนหนึ่ง บทที่สองแบ่งออกเป็นภาพเหมือนของเทพเซียนหกสิบเอ็ดท่าน บทที่สามถึงจะเป็นเนื้อหาของ ‘คัมภีร์สาส์นยันต์’ ทั้งเล่ม เนื้อหาคือฮองเฮาพระองค์หนึ่งหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นซ่างเซียนเสวียนจวินของลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่าเมื่อราชวงศ์นั้นล่มสลาย สตรีก็ตั้งใจฝึกตน สุดท้ายบินทะยานไปท่ามกลางแสงเรืองรอง
ตำราหยกยังนับว่าดี หลังจากคลี่ออกมาแล้วก็ยาวแค่หนึ่งฉื่อ
แต่คัมภีร์เล่มนั้น หากกางออกมากลับยาวถึงจั้งกว่า
การที่หยิบเอาสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้ออกมาก็เพราะเหนี่ยนซินจะต้องใช้เวทลับเฉพาะดึงเอาตัวอักษร ไม่ก็ดึงเอายันต์ หรือคัดลอกลายเมฆ จากนั้นใช้วิธีการแปะกระดาษเหลืองเอาพวกมันมาวางไว้บนผิวหนัง เส้นเอ็นและกระดูกของอิ่นกวานหนุ่ม
ดังนั้นถึงได้บอกว่าการเย็บผ้าของเหนี่ยนซินครั้งนี้ได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ต่อให้ตัวเองต้องล้มละลายก็ไม่เสียดายแล้ว
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มจะต้องเจอกับหายนะ เจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสแค่ไหน เหนี่ยนซินไม่สนใจแม้แต่น้อย ในเมื่อกล้ามาที่นี่ กล้าทำเรื่องนี้ ก็จงรับมันไว้แต่โดยดี
เวลานี้มองดูยันต์ทองตำราหยกที่อยู่บนพื้น เฒ่าหูหนวกถึงนึกเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ การค้าที่เฒ่าหูหนวกตอบตกลงกับอิ่นกวานหนุ่มก่อนหน้านั้นนำมาใช้แลกเปลี่ยนกับการที่ลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาได้ออกไปจากคุกอย่างปลอดภัย
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันรู้เรื่องแล้ว เฒ่าหูหนวกจำเป็นต้องเอามรรคกถาที่เหมาะแก่การฝึกตนของเผ่าปีศาจบทหนึ่งออกมา รวมไปถึงวัตถุบนภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมสองชิ้น อีกทั้งยังจำเป็นต้องเป็นของหายากในบรรดาสมบัติอาคมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำมาหล่อหลอมหรือนำมาใช้ ธรณีประตูจะต้องต่ำ
มอบสมบัติอาคมสองชิ้นให้อีกฝ่ายเป็นเรื่องเล็ก แต่มรรคกถาบทนั้นกลับยุ่งยากนิดๆ แล้ว
มรรคกถาบนภูเขาที่มีการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบย่อมต้องมีตราผนึกอยู่มากมาย ก็เหมือนกับวัตถุฟางชุ่นกับวัตถุจื่อชื่อ รวมไปถึงยันต์หายากบางอย่างที่ล้วนจำเป็นต้องมีวิชาเปิดประตูและปิดประตู
หรือยกตัวอย่างเช่นยันต์บางประเภทที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ต้องผ่านการปลุกเสกหลายชั้นจากเทียนซือแต่ละยุคสมัย นอกจากลูกหลานของจวนเทียนซือแล้ว อย่าว่าแต่หล่อหลอมมันเลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินก็ยังมิอาจทำได้แม้กระทั่งหยิบมันขึ้นมา
เวทคาถาสูงส่งลึกล้ำของตระกูลเซียนนี้ หากใช้คาถามารวมเป็นตำรา ส่วนใหญ่ก็มักจะสอดคล้องกับมหามรรคา พอเรียบเรียงเป็นสมุดเป็นตำราได้แล้วก็จะซุกซ่อนความมหัศจรรย์อย่างเป็นธรรมชาติ หนึ่งก็เพราะวัตถุที่สามารถรองรับตัวอักษรที่เป็นคาถาได้นี้ วัสดุต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน สองก็เพราะต่อให้ผู้ฝึกตนใหญ่คลายตราผนึกแต่ละชนิดออกไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำก็ยังอ่านไม่ออกอยู่ดี ดังนั้นตระกูลเซียนอักษรจงจึงมักจะเก็บรักษาตำราไว้เป็นอย่างดี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปากถ่ายทอดใจรับไว้ ซึ่งเรียกว่า ‘การถ่ายทอดแบบตัวต่อตัว’
อีกทั้งปากถ่ายทอดใจรับไว้จากผู้ถ่ายทอดมรรคานี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างแน่นอน หากไม่ระวังก็อาจจะไปทำลายจิตแห่งมรรคาของลูกศิษย์เอาได้
เฒ่าหูหนวกครุ่นคิด ตำราเล่มนั้นตนเก็บไว้ก็ไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะก่อพรรคตั้งสำนักอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถอนตราผนึกทั้งหมดออกแล้วมอบมันให้อิ่นกวานหนุ่มเลยแล้วกัน เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นไปเฉินผิงอันจะเอาไปถ่ายทอดให้คนอื่นอย่างไร เฒ่าหูหนวกไม่สนใจแล้ว ยื่นกระดาษชำระให้คนที่นั่งในห้องส้วมก็ถือว่ามีน้ำใจมากพอแล้ว คงไม่ถึงขั้นต้องไปเช็ดก้นให้ด้วยกระมัง
เด็กชายผมขาวยิ้มถาม “หากเปลี่ยนเป็นโยวอวี้กับตู้ซานอิน มีดหนึ่งจ้วงแทงลงไปจะลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นเลยหรือเปล่า?”
เฒ่าหูหนวกส่ายหน้า “ฝืนทนได้ครั้งสองครั้งก็ยังพอจะมีโอกาส ถึงอย่างไรเจ้าลูกกระต่ายโง่สองคนนี้ก็ไม่ได้ฝึกตนโดยอาศัยการทนกับความยากลำบาก ชะตาชีวิตดีย่อมได้ผลดียิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะถึงคราวพวกเขาที่ได้มาเสวยสุขที่นี่”
เหนี่ยนซินเก็บมีดพักผ่อนอยู่ชั่วขณะ เพราะก่อนหน้านี้การลงมีดของนางค่อนข้างจะติดขัด คล้ายกับว่านางอารมณ์ไม่ดี พอได้ยินเสียงพูดชวนหนวกหูของเฒ่าหูหนวกกับเทวบุตรมารนอกโลกก็ยิ่งสีหน้ามืดทะมึน พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไสหัวไปให้ไกลหน่อย!”
เฒ่าหูหนวกที่มีชื่อเสียงเรื่องความใจเย็นนิสัยดีขยับออกห่างจากที่แห่งนี้จริงๆ เขาเดินขึ้นบันไดไป แม่นางน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ก็ช่างเถิด แต่นิสัยยังแย่ขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงออกเรือนไม่ได้
เด็กชายชุดขาวพลิ้วกายมาหยุดอยู่ข้างกายเฒ่าหูหนวก “จิตแห่งมรรคาของโยวอวี้ต้องการให้ท่านปู่ช่วยขัดเกลาหน่อยหรือไม่? ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าไม่ต้องขอบคุณท่านปู่หรอก”
เฒ่าหูหนวกหัวเราะร่า “แนะนำเจ้าว่าอย่าทำดีกว่า เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจับตามองที่นี่อยู่ หากบ่าวอย่างข้าปกป้องนายได้ไม่ดีพอ ก่อนข้าจะถูกตบตายจะต้องมาคิดบัญชีกับเจ้าดีๆ แน่นอน ทั้งบัญชีเก่าบัญชีใหม่ล้วนคิดไปพร้อมกัน”
หลังจากเจ้าสองคนนั้นจากไปแล้ว เหนี่ยนซินก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก แล้วรวบรวมสมาธิค่อยๆ ลงมีดต่ออีกครั้ง
ภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองจนแทบทนมองไม่ได้ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป เมื่ออยู่ในสายตาของนางกลับงดงามจนเกินบรรยาย
วิชาการแกะสลักตัวอักษร อักษรหยางสูงศักดิ์โปร่งเบา หลังจากที่เหนี่ยนซินลงมีดแกะสลักแล้ว ไอเมฆหมอกก็ผุดลอยขึ้นมา ดอกจือหลันห้าสีพลันก่อกำเนิด อักษรหยินสูงศักดิ์หนักข้น ประหนึ่งรากฐานของขุนเขาใหญ่ เทือกเขาทอดยาวสลับสล้าง โปร่งเบาดุจท้องฟ้า หนักข้นดุจพื้นดิน
ยกตัวอย่างเช่นลายเมฆอักษรหยางจะไม่เขียนชื่อจริงของปีศาจใหญ่ แต่เขียนอักษรตราประทับอาคม ‘สามสมบัติลัทธิเต๋า’ เมื่อตัวอักษรสลักสำเร็จก็มีภาพบรรยากาศของความเป็นมงคลที่เวียนวนไม่จางหายไป ประหนึ่งทะเลเมฆที่ลอยล้อมวนภูเขา
และยังมีตัวอักษรโบราณขนาดเล็กอีกแปดคำที่สลักว่า ‘ไท่อีบรรจุสมบัติ บทแห่งตัวอักษรของเหล่าเซียน’ ตัวอักษรเล็กๆ แต่ละตัวทับซ้อนกัน จะต้องค่อยๆ สลักทับเป็นตัวอักษรเดียวกันในจุดที่เล็กที่สุดอย่างระมัดระวัง นี่จึงเผาผลาญพลังจิตของเหนี่ยนซินไปมาก
มีวิชามีดและอักษรภาพอักขระยันต์นี้อยู่ นางจึงพยายามที่จะยัดทั้งหมดเข้าไปให้ได้อย่างเต็มที่ มีจุดที่เก็บมีด จุดที่เก็บพู่กันที่เหมือนหยดน้ำห้อยย้อยลงมา แต่กลับไม่หล่นร่วงลง โชคชะตาน้ำมารวมตัวกันจนมองดูเหมือนน้ำค้างหลายหยด
แล้วก็มีจุดลงมีดที่เหมือนช่างไม้ขูดขี้เลื่อย เหนี่ยนซินจึงก้มหน้าลงเป่าเศษขุยที่ไร้ประโยชน์นั้นทิ้งเบาๆ เศษขุยเหล่านั้นแน่นอนว่าต้องมาจากกระดูกสันหลังของอิ่นกวานหนุ่ม
หลังจากจบงานวันนี้ เหนี่ยนซินก็ลากตัวคนหนุ่มไปที่ประตูบานเล็กอีกครั้ง ระหว่างที่เดินก็บ่นไปด้วย “เฉินผิงอัน แค่นี้ก็ทนไม่ไหว อย่างมากสุดก็แค่ลงมีดสามสิบครั้งเท่านั้น หากไม่เป็นเพราะข้าเก็บมีดทันเวลา กระดูกสันหลังทั้งเส้นของเจ้าก็ใช้การไม่ได้แล้ว คิดจะทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นอีกครั้งหรือไร?!”
คนหนุ่มที่ลมหายใจรวยรินมิอาจเปิดปากพูดได้นานแล้ว เพียงแต่ริมฝีปากของเขาขยับเบาๆ น่าจะกำลังด่าคน
บนทางคือรอยเลือดที่ลากยาว เหนี่ยนซินไม่คิดจะปล่อยให้เสียเปล่า เลือดสดทั้งหมดจึงร้อยเรียงกันเป็นเส้น สุดท้ายหายเข้าไปในถุงผ้าปักลายตรงเอวของนาง
เฒ่าหูหนวกยืนอยู่ตรงประตูเล็ก ไขกุญแจ เหนี่ยนซินโยนอิ่นกวานหนุ่มเข้าไปในห้องที่มี ‘เตาหลอม’ ลาวาสีทองเดือดปุดๆ อย่างไม่ใส่ใจ
เฒ่าหูหนวกปิดประตูลง
เหนี่ยนซินกำลังจะจากไป เฒ่าหูหนวกกลับเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานจะสังหารห้าขอบเขตบนอย่างไร เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เคยบอกมาก่อน พวกเจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”
เหนี่ยนซินส่ายหน้า “เขาไม่ได้บอก”
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “วันนี้ถือว่าราบรื่นดีหรือไม่?”
หว่างคิ้วของเหนี่ยนซินคล้ายมีพยับเมฆลอยอวล “เฉินผิงอันไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้เสียที ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนในระยะยาว อันที่จริงความยากลำบากในเวลานี้ ความเจ็บปวดสิบส่วน มีสามส่วนที่เขารนหาที่เอง หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสใช้วิธีการนอกรีตบางอย่างฝ่าทะลุขอบเขตก่อนแล้วค่อยว่ากัน ในเมื่อรีบร้อนจะจากไป ไยไม่รีบให้ถึงที่สุด”
เฒ่าหูหนวกอืมรับหนึ่งที เรื่องวุ่นวายใจเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตน เอ่ยว่า “แม่นางเหนี่ยนซิน เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่สู้วันนี้ให้ข้าเลี้ยงหนีชิวตุ๋นเต้าหู้เจ้าสักมื้อ? เด็กหนุ่มที่เป็นเจ้านายของข้าคนนั้นฝีมือทำอาหารไม่เลวเลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้อวัยวะภายในของเจ้ากัดกินกันเอง ตัวเองกินตัวเอง”
เหนี่ยนซินไม่รับน้ำใจ พลิ้วกายจากไปไกล
เฒ่าหูหนวกไปที่กรงขังของปีศาจใหญ่ชิงชิว ไม่ต้องให้เฒ่าหูหนวกเปิดปาก ปีศาจใหญ่ก็ยื่นแก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตสามสลึงและเนื้อสดก้อนใหญ่มาให้ด้วยตัวเองแต่โดยดี จากนั้นก็ถามเสียงสั่นว่า “ช่วยนำความไปบอกแก่อิ่นกวานหน่อยได้ไหม?”
หากเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงทนไม่ไหวจริงๆ
เฒ่าหูหนวกกินเนื้อและเลือดสดของหนีชิว เหนียวหนุบหนับยิ่ง รสชาติต่างจากอาหารปรุงสุกอยู่มาก เขายิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเคยมาหาเจ้าแล้วครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ? ทำไม คราวก่อนยังคุยกันไม่รู้เรื่องหรือ?”
ปีศาจใหญ่ชิงชิวได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ก่อนหน้านี้เขาเคยเจอกับคนหนุ่มผู้นั้นอีกรอบหนึ่งแล้วจริงๆ แต่ตอนนั้นตนนึกอยากจะกระชากไอ้หมอนั่นเข้ามาในคุกยิ่งนัก ก็เลยปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่ายไปอย่าง ‘ละมุนละม่อม’
คนหนุ่มเอ่ยประโยคหนึ่ง ได้ยินว่าเผ่าพันธุ์หนีชิวชอบน้ำขุ่นอากาศเย็น เกรงกลัวอากาศอบอุ่นมากที่สุด จากนั้นก็โยนกระดาษยันต์สีเหลืองภาพผีแผ่นหนึ่งเข้ามาในกรงขัง ปีศาจใหญ่ชิงชิวเอื้อมมือไปคว้าไว้แล้วยัดยันต์แผ่นนั้นเข้าปากเคี้ยวกลืน แสดงท่าทางดูแคลนฝีมือการเขียนยันต์ของคนหนุ่มอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นมาคนหนุ่มก็ไม่มาเยือนอีก กลับเป็นเฒ่าหูหนวกที่มาทุกๆ สามวันห้าวัน
เฒ่าหูหนวกกินหมดเกลี้ยงแล้วก็เอาสองมือไพล่หลัง “มัวไปทำอะไรอยู่ตั้งนาน”
บางทีวันนี้อาจเป็นวันฤกษ์ดีของปีศาจใหญ่ชิงชิว เฉินผิงอันถึงได้มาเดินวนรอบกรงขังของปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบน
ตอนที่คนหนุ่มเดินผ่าน ปีศาจใหญ่ชิงชิวก็รีบมาปรากฏกายใกล้กับราวรั้วแสงกระบี่ เอ่ยว่า “ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เฉิงซานผู้นั้นมาหาเรื่องข้า?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เฉิงซานคือนามแฝงของเฒ่าหูหนวกในใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ? เอกสารเกี่ยวกับเฒ่าหูหนวกที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมีอยู่แค่สองหน้า แล้วยังถูกเซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนทาทับทุกตัวอักษรจนเหมือนก้อนหมึก แล้วยังทาหนึ่งคำหนึ่งก้อนด้วย ทั้งไม่ฉีกหน้ากระดาษทิ้งไปโดยตรง แล้วก็ไม่ขีดทับเป็นแถบใหญ่ให้เละเทะ ดูเหมือนว่านางกำลังทำเรื่องที่ตัวเองคิดว่าน่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันหยุดเดิน มองประสานสายตากับปีศาจใหญ่ “ง่ายมาก เจ้าก็บอกเรื่องวงในของปีศาจใหญ่หย่างจื่อแห่งแม่น้ำเย่ลั่วแก่ข้ามา ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี”
ปีศาจใหญ่ชิงชิวเงียบงันไปครู่หนึ่ง สีหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ครั้นจึงผลุบถอยหายเข้าไปในหมอกพรางตาโดยตรง
เฉินผิงอันก็ไม่ฝืนใจ ไปเยือนกรงขังแห่งแรกที่ขังอวิ๋นชิง เฉินผิงอันมักจะมาที่นี่บ่อยๆ มาคุยเล่นกับปีศาจใหญ่ตนนี้ เป็นเพียงแค่การคุยเล่นจริงๆ คุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้าแต่ละคน
วันนี้ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน มีรั้วของกรงขังกั้นขวาง
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงจะมีความรู้มาก ไม่แพ้ให้กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเลย ยกตัวอย่างเช่นคำกล่าวใน ‘เยว่ลิ่ง’ ที่บอกว่าฤดูใบไม้ร่วงฆ่าเจียวเอาหยวน หมิงเจียวฆ่าได้ แต่มังกรมิอาจแตะต้อง เขาก็ล้วนมีคำอธิบายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
เฉินผิงอันลองถามถึงได้รู้ว่า ที่แท้อวิ๋นชิงเคยไปขอศึกษาต่อกับโจวมี่มานานหลายปี เพียงแต่ว่าไม่ได้มีศักดิ์เป็นอาจารย์และศิษย์กัน
อีกทั้งอวิ๋นชิงยังชอบท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ถึงขั้นยังเคยเขียนรวมบทกวีขึ้นมาเล่มหนึ่ง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหลายราชสำนักของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
วันนี้ขณะที่พูดคุยกันจบสิ้น ปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงก็ยิ้มปลดขลุ่ยไม้ไผ่ตรงเอวที่สลักคำว่า ‘เจ๋อเซียนเหริน’ ลงมาถือไว้ในมือ “อาวุธกึ่งเซียน เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ขอมอบให้อิ่นกวาน”
ขลุ่ยไม้ไผ่เลานี้ นอกจากจะสลักสามคำว่าเจ๋อเซียนเหรินแล้วยังมีตัวอักษรบรรทัดเล็กๆ ‘เคยอนุมัติคำสั่งลมน้ำค้างมาหลายครั้ง’
ปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงเคยเล่าประวัติความเป็นมาของของชิ้นนี้ มันเคยเป็นของแทนใจของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะเสียหายอย่างหนักจนไม่อาจซ่อมแซมได้ ระดับขั้นก็จะเป็นอาวุธเซียนแล้ว
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่กล้ารับ”
อวิ๋นชิงกล่าวอย่างกังขา “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต่อให้พบเจอกันแล้วจะถูกชะตาอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็อยู่กันคนละฝ่าย ไม่อยากถ่วงรั้งให้ผู้อาวุโสอวิ๋นทำผิดต่อใจที่อยากสังหารข้า”
อวิ๋นชิงพยักหน้ารับ “เช่นกันๆ เพราะอย่างนี้ถึงได้ถูกชะตากัน”
——