กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 678.1 ก็ลองดู
เทวบุตรมารนอกโลกที่ดูเหมือนว่าใช้ชีวิตลอยชายไร้แก่นสารไปวันๆ หลังจากได้รับคำสั่งและคำอนุญาตจากเฉินชิงตู ในที่สุดก็ปลดพันธนาการทุกอย่างทิ้งไป ได้รับอิสระในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถร่ายวิชาอภินิหารของขอบเขตบินทะยานได้อย่างแท้จริง หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินโคจรไปตามใจปรารถนา แทบจะสามารถทัดเทียมกับ ‘ภาพเหตุการณ์จริง’ ได้เลย
เฒ่าหูหนวกเองก็ได้รับคำกำชับจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส จึงคลายตราผนึกของฟ้าดินขนาดเล็กที่เป็นซากปรักของคุกออก รับเอาโชคชะตาบู๊ที่มาจากทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างเข้ามา ทันใดนั้นโชคชะตาบู๊ก็เหมือนเจียวหลงที่จับกลุ่มกันกรูเข้ามาในซากปรักสนามรบโบราณอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ริมลำธาร เซียนกระบี่สิงกวานเดินออกมาจากกระท่อม เดินมาตรงโต๊ะหินตัวนั้น ยื่นมือไปกดตำราเทพเซียนที่เลี้ยงปลามอดเล่มนั้นเอาไว้
หญิงสาวทุบผ้ากับดรุณีน้อยซักผ้ายังคงทำงานในมือตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ดังเดิม
ตู้ซานอินยืนอยู่ใต้ซุ้มองุ่น มองผ่านร่องแมกไม้เขียวชอุ่มเปล่งปลั่งราวจะคั้นน้ำไปมองเห็นภาพนั้น สีหน้าก็ซับซ้อน
เมื่อสิงกวานเอามือกดตำราเอาไว้ ภาพบรรยากาศของฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่ริมลำธารก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
เฒ่าหูหนวกยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าคุก ลูบหนวดยิ้มกล่าว “ฟ้าดินพลิกตลบชวนให้อารมณ์ห้าวเหิม”
เด็กหนุ่มโยวอวี้ที่ถูกพามาชมทัศนียภาพจิตใจแกว่งไกว เกิดความเคารพยำเกรงในตัวอิ่นกวานหนุ่มเพิ่มมาอีกหลายส่วน
เหนี่ยนซินเผยกายอย่างเงียบเชียบ เอ่ยเบาๆ ว่า “เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นมีวิชาอภินิหารขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “เจ้าคงไม่ได้เห็นมันเป็นเจ้าตัวน้อยที่ชอบเล่นสมบัติจริงๆ หรอกกระมัง? ขอบเขตบินทะยานของมันก็แค่ถูกมหามรรคาของที่นี่สยบกำราบเอาไว้มากเกินไป ถึงได้ทำให้ดูเหมือนท่าดีทีเหลว อีกทั้งมันยังกริ่งเกรงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่ขอบเขตและจิตแห่งมรรคาน้อยนิดแค่นั้นของเจ้า ป่านนี้ก็คงกลายไปเป็นของเล่นกลายไปเป็นหุ่นเชิดของมันนานแล้ว ต่อให้วิธีในการเย็บผ้าจะเกี่ยวพันกับจิตวิญญาณไม่น้อย แต่ก็ยังสู้เทวบุตรมารที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจคนไม่ได้”
เหนี่ยนซินถาม “มันหวังมาโดยตลอดว่าจะอาศัยเฉินผิงอันพามันออกไปจากที่นี่”
เฒ่าหูหนวกส่ายหน้า “เฉินผิงอันไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดพ้นไปจากพันธนาการของที่แห่งนี้ ขอแค่ไม่มีการสยบกำราบจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เฉินผิงอันก็จะกลายเป็นเปลือกที่ดีที่สุดของมัน เหมือนถูกเซียนยึดครองร่าง ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนถูกเปลี่ยนเจ้านาย ถึงเวลานั้นขอแค่มันไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ไปที่ใดก็มีแต่อิสระเสรี เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจ เทวบุตรมารนอกโลกกำลังสาวเส้นไหม ทำความเข้าใจกับเส้นทางหัวใจของเฉินผิงอันอย่างต่อเนื่อง ส่วนเฉินผิงอันก็กำลังรักษาจิตดั้งเดิมของตน หันกลับมาขัดเกลาจิตแห่งเต๋า ในเวลาปกติมองดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขากลมเกลียว พูดคุยหัวเราะกันถูกคอ แต่แท้จริงแล้วนี่คือการช่วงชิงของชีวิต ไม่แตกต่างจากการช่วงชิงกันบนมหามรรคาของผู้ฝึกลมปราณสักเท่าไร เจ้าอาจจะไม่รู้ คำสาบานทั้งหลายที่เทวบุตรมารนอกโลกกล่าวเอาไว้ เบาบางล่องลอยไร้พันธนาการที่สุดแล้ว”
เฒ่าหูหนวกทำสีหน้ามีเลศนัย “มีสภาพจิตใจและเนื้อหนังมังสาของเฉินผิงอันเป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าวันหน้าไปอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพียงไม่นานก็อาจจะมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนใหม่ปรากฏตัว บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ต้องยินดีเห็นเรื่องนี้อย่างแน่นอน อิ่นกวานสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทยอยกันไปสวามิภักดิ์ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่ก็คือจุดที่สถานการณ์ใหญ่มุ่งหน้าไป อยู่ต่อหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ข้าก็ต้องเอ่ยถ้อยคำที่ฟังดูเนรคุณสักประโยค ข้าเองก็รอคอยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง ‘เฉินผิงอัน’ ที่เดินไปยังปลายทางแห่งความสุดโต่งยังคงเป็นเฉินผิงอัน แต่ก็ไม่ใช่เฉินผิงอันทั้งหมด ได้รับอิสระเสรีที่บริสุทธิ์ที่สุด การฝึกตนต่อจากนี้ก็ขอแค่ได้มีชีวิตเป็นอมตะเท่านั้น เหนี่ยนซิน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เหนี่ยนซินเอ่ย “ข้ายังไงก็ได้”
เหนี่ยนซินพูดเสริมมาอีกประโยค “หากมีวันนั้นอยู่จริง ข้าอาจจะเลือกพึ่งพาเฉินผิงอันคนใหม่ ไปลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสได้ฝ่าทะลุขอบเขต”
เฒ่าหูหนวกใช้สองนิ้วลูบหนวดเบาๆ ยิ้มร่าเอ่ยว่า “เฉินผิงอันคนใหม่ เหนี่ยนซินคนเย็บผ้า บวกกับขอบเขตบินทะยานอย่างข้า หากพวกเราสามคนร่วมมือกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ร่วมกันก่อสำนักตั้งพรรค จะต้องมีภาพบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา โอกาสประสบผลสำเร็จสูงอย่างแน่นอน”
จากนั้นเฒ่าหูหนวกก็พึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องงดงามที่ใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแล้ว”
เด็กหนุ่มโยวอวี้ฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากอิ่นกวานหนุ่มไปเข้าร่วมกับเผ่าปีศาจ สำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขาแล้ว จะกลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่ากลัวปานใด
ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มถึงขั้นรู้สึกว่าหากเฉินผิงอันไปเข้าร่วมกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อเทียบกับเซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนที่ทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ผลลัพธ์ที่ตามต้องยิ่งหนักหนามากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เหนี่ยนซินถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเปิดเผยความคิดจิตใจเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะลงโทษบ้างหรือ?”
เฒ่าหูหนวกหัวเราะฮ่าๆ “เดิมทีข้าก็เป็นเผ่าปีศาจอยู่แล้ว เคยปิดบังนิสัยดุร้ายปีศาจใหญ่ของตนตั้งแต่เมื่อไหร่? เฉินผิงอันถามข้าว่าหากไร้พันธนาการจะเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่ได้บอกไปตามตรงว่า ‘ทุกคนที่เห็นล้วนต้องตาย’ หรอกหรือ?”
เหนี่ยนซินมองภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ตระการตาบนม่านฟ้าแล้วเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่พลังอำนาจยามที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองฝ่าทะลุขอบเขตสมควรมี ต่อให้เฉินผิงอันได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมา นี่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี”
เฒ่าหูหนวกส่ายหน้า “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นเฉาสือมาก่อน เขาเป็นคนวัยเดียวกันกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นที่เฉาสือกลับมายังภูเขาห้อยหัว ตอนที่เดินข้ามประตูก็ฝ่าทะลุขอบเขตพอดี ชักนำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่ใหญ่มากจากฟ้าดินทั้งสองแห่ง แต่สุดท้ายเฉาสือกลับไม่ได้รับโชคชะตาบู๊เหล่านั้นเอาไว้ เดือดร้อนให้เซียนกระบี่หกท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องออกกระบี่ทำให้โชคชะตาบู๊ล่าถอยไป แล้วยังต้องให้เทียนจวินสองท่านของภูเขาห้อยหัวลงมือด้วยตัวเองด้วย”
เฒ่าหูหนวกชำเลืองตามองม่านฟ้า “แต่ว่าบนเส้นทางวิถีวรยุทธ เฉินผิงอันก็ขยับเข้าใกล้เฉาสือมากขึ้นทุกทีแล้ว ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าแห่งอื่นๆ คาดว่ามีแต่จะยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลเฉาสือ”
นี่คือคำประเมินที่สูงอย่างถึงที่สุดที่ผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตบินทะยานมอบให้แก่เด็กรุ่นหลัง
ตอนที่เฉินผิงอันได้พบกับเฉาสือเป็นครั้งแรก ผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มสองคนที่อายุเท่ากัน ตอนนั้นคนในใต้หล้ารู้จักแค่เฉาสือเท่านั้น
โยวอวี้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสหูหนวก หากยิ่งเดินยิ่งขยับเข้าใกล้เฉาสือผู้นั้น นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าใต้เท้าอิ่นกวานเดินได้เร็วกว่าเฉาสือหรอกหรือ?”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
จิตหยินชุดขาวกลับคืนสู่ช่องโพรงลมปราณแล้ว เฉินผิงอันที่ทั้งเรือนกายและจิตใจผสานรวมเป็นหนึ่งกระแทกตกลงบนพื้นอย่างแรง สองเข่างอ ก้มหน้าลง หอบหายใจหนักหน่วง
นาทีนี้คนชุดเขียวที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จารู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่มีสถานที่แห่งใดที่จะไปเยือนไม่ได้ ต่อให้เจ้าเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ขอแค่มาอยู่ตรงหน้าข้า เป็นศัตรูกับข้า ข้าก็มีสองหมัดมีหนึ่งกระบี่ มากพอจะให้ต่อสู้แล้ว
เด็กชายผมขาวพลิ้วกายลงพื้น พูดทวงคุณความชอบ “ข้าใส่แรงเต็มที่เลยนะ ถึงได้ทำให้เกิดภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ ท่านปู่อิ่นกวานท่านต้องเห็นแก่น้ำใจครั้งนี้ของข้านะ”
เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้เห็นแค่คนหนุ่มยังคงยืนค้างอยู่ในท่าเดิม แต่ช้อนเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
มันหุบยิ้ม ประสานสายตากับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันค่อยๆ ยืดเอวขึ้นตรง ความเคลื่อนไหวติดขัดเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ปรึกษากันไม่ได้”
มันเบ้ปาก สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่มีเรื่องให้ต้องคุยกันแล้ว?”
ไหล่เฉินผิงอันเอียงไปข้างหนึ่ง ยกเท้ากระทืบลงพื้นหนักๆ ถึงยืนได้มั่นคง
กระดูกสันหลังสั่นสะท้านเบาๆ ตรงแขนและเปลือกตาก็ยิ่งมีเลือดสดไหลรินออกมา
เทวบุตรมารย่อมรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะขอบเขตไม่มั่นคง บวกกับเรื่องของการเย็บผ้าที่ชักนำการสยบกำราบจากมหามรรคา อิ่นกวานหนุ่มในเวลานี้จึงอยู่ในสภาวะที่ความคิดในหัวตีกันตามความหมายของตัวอักษร
ผู้ที่มีขอบเขตสูง อยู่ใกล้กับฟ้ามากกว่า เดินขึ้นที่สูงมองไปไกล เกี่ยวกับการโคจรของมหามรรคาฟ้าดินที่มีระเบียบแน่นอนว่าสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งกว่า แบกรับน้ำหนักได้มากกว่า
ผู้ฝึกลมปราณ โอกาสจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบนั้นอยู่ที่คำว่าสอดคล้องกับมรรคา ขอบเขตเซียนเหรินที่คิดอยากจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน รากฐานมหามรรคากลับอยู่ที่คำว่า ‘จริงจัง’ ต้องเห็นเป็นจริงเป็นจัง
เฉินผิงอันเดินกะเผลกมุ่งหน้าไปยังประตูทางเข้าของคุก
นิสัยของเทวบุตรมารแปรปรวน เวลานี้กลับยิ้มหน้าเป็นติดตามมาข้างกายเขา บอกว่าสามารถปกป้องท่านปู่อิ่นกวานได้เท่าไรก็เท่านั้น สร้างความสัมพันธ์ควันธูปไว้สองเรื่องก็ถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงแล้ว
เฉินผิงอันแบ่งสมาธิไปใช้สองทาง ด้านหนึ่งก็รับสัมผัสกับความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายของเรือนกายขอบเขตเดินทางไกล อีกด้านหนึ่งก็รวมดวงจิตให้เป็นเมล็ดงาไปสำรวจตรวจสอบฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์
เจอกับความเจ็บปวดทรมานจากการเย็บผ้าของเหนี่ยนซินครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเอาสัจธรรมหมัดที่หลี่เอ้อถ่ายทอดให้มาตรวจสอบ พิสูจน์ซึ่งกันและกัน เฉินผิงอันก็กล้าพูดว่าหากตนใช้สายตาของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมองดู ‘ภูมิศาสตร์ภูเขาสายน้ำ’ ของร่างกายมนุษย์ หรือดูจากมุมมองของผู้ฝึกลมปราณ ความเข้าใจที่มีต่อ ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ ของร่างกายมนุษย์ก็ล้วนเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ส่วนวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุก็รวบรวมมาครบสี่ชิ้นแล้ว ขาดแค่ด่านสุดท้ายเท่านั้น
ยังขาดวัตถุแห่งธาตุไฟชิ้นสุดท้าย
ลำธารที่เทวบุตรมารพูดถึงเส้นนั้น มันบอกว่าเป็นไฟในน้ำ เฉินผิงอันตาลุกวาว แต่จิตใจกลับไม่หวั่นไหว ที่เขาตาลุกวาวก็เพราะมูลค่าที่ควรเมืองของลำธารเส้นนั้น ไม่ว่าผ้าห่อบุญคนใดมาเห็นเข้าก็จะต้องมองให้มากหน่อย ใจไม่หวั่นก็เพราะไม่ยินดีจะแย่งชิงของรักของคนอื่น แน่นอนว่านี่เป็นคำกล่าวที่ค่อนข้างน่าฟัง หากพูดให้ตรงไปตรงมาสักหน่อยก็คือไม่มีความมั่นใจในการคบค้าสมาคมกับสิงกวาน เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าดูเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่มีความอาวุโสสูงมากและขอบเขตสูงมากผู้นั้นจะมีอคติต่อตนตามธรรมชาติ การเดินทางไปเยี่ยมเยือนที่มองดูเหมือนเป็นการเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจครั้งนั้น ทำให้เฉินผิงอันยิ่งมั่นใจว่าลางสังหรณ์ของตนไม่ผิดไปแน่
ทางฝั่งของจวนหนิงใช่ว่าจะไม่มีวัตถุธาตุไฟที่เอามาหลอมได้ แม้จะบอกว่าของหลายชิ้นที่จวนหนิงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ระดับขั้นไม่ถือว่าสูงนัก แต่หากจะนำมาประกอบรวมกันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ครบทั้งห้าธาตุกลับเหลือเฟือ
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนอิสระที่สถานการณ์ล่อแหลม มีอะไรก็ต้องหลอมอย่างนั้นเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักอักษรจงอันดับหนึ่งก็ยังยากที่จะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างเฉินผิงอัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันยังคอยเติมทรัพย์สมบัติของตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา นำมาช่วยเสริมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ยกตัวอย่างเช่นก้อนอิฐสีเขียวที่ได้มาจากอารามเต๋าบนยอดเขา ตราประทับห้าอสนี เจดีย์ป๋ายอวี้จิงจำลองที่ได้มาจากหลีเจิน รวมไปถึงธงเซียนกระบี่ ตราประทับห้าธาตุนั้นถูกเฉินผิงอันนำมาหลอมแล้วก็แขวนไว้บนหน้าประตูใหญ่ของจวนไม้ ใช้ต่างกระจกขับไล่สิ่งชั่วร้ายเหมือนหมู่ชาวบ้าน ส่วนเจดีย์และธงล้วนเอาวางไว้ที่ศาลภูเขา
แม้แต่ชูอีที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ กระบี่บินสืออู่ รวมไปถึงกระบี่จำลองจากภูเขาชังกระบี่สองเล่มก็ล้วนถูกเจ้าหัวโล้นตัวน้อยเอาไปเล่น สอดเก็บใส่ไว้ในฝักกระบี่บ่อยๆ
กระบี่บินสี่เล่มเชื่อมติดกันก็เหมือน ‘กระบี่ยาวเล่มหนึ่ง’ ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก
มีเพียงจวนน้ำที่สร้างขึ้นก่อนใครที่เฉินผิงอันยังไม่ได้ทำการปักบุปผาลงบนผ้าแพรใดๆ ให้กับมัน
ปีนั้นใช้ตราประทับอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก่อน หลอมวัตถุชิ้นนี้อยู่บนทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า ผู้ปกป้องมรรคาของเขาก็คือฟ่านจวิ้นเม่าที่ภายหลังกลายเป็นซานจวินขุนเขาใต้ สุดท้ายสร้างจวนน้ำขึ้นมาสำเร็จ มีพวกคนจิ๋วชุดเขียวช่วยจัดการกับโชคชะตาน้ำ ปราณวิญญาณ วาดภาพฝาผนัง ภาพเทพวารีล้วนมีการแต่งแต้ม เทพวารีมากมายบนฝาผนังมีชีวิตชีวา เสื้อผ้าอาภรณ์พลิ้วปลิวไสว ประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาจริงๆ เพียงแต่ว่าผ่านศึกใหญ่มาหลายครั้ง ขอบเขตของเฉินผิงอันเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลดไม่แน่นอน แล้วยังขอบเขตถดถอยหลายครั้ง ทำให้จวนน้ำต้องแห้งขอดหลายครั้งตามไปด้วย ภาพสีหลุดลอก บ่อน้ำแห้งขอด เดิมทีนี่ก็เป็นข้อต้องห้ามใหญ่ในการฝึกตนอยู่แล้ว
บ่อน้ำน้อยที่อยู่ด้านใต้ตราประทับอักษรน้ำมีเจียวหลงโชคชะตาน้ำขดตัวอยู่ภายใน ปราณน้ำของตราประทับอักษรน้ำเหมือนน้ำตก เป็นเหตุให้บ่อน้ำคล้ายกับบ่อมังกร สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำไม่ลึก ทว่ามีมังกรก็ศักดิ์สิทธิ์’
เด็กชายผมขาวชำเลืองตามอง ปราดเดียวก็มองออกว่าความคิดของเฉินผิงอันอยู่ที่ใด จึงเอ่ยชวนคุยว่า “เลี้ยงมังกรในบ่อมังกร นับแต่โบราณมาบ่อมังกรก็เป็นสถานที่ที่ถูกเลือกเป็นอันดับต้นๆ ในการเลี้ยงมังกร อริยะเคยมีการอธิบายคำกล่าวนี้ บ่อก็คือการรวมตัวกันของลมปราณ เบื้องล่างหมายถึงลมปราณหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่สลายหายไป ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของบ่อมังกรในจวนน้ำของท่านปู่อิ่นกวานก็คือสถานที่เล็กเกินไป เหตุใดถึงไม่ลองขยับขยายพื้นที่บ้างเล่า? ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียหน่อย แล้วทำไมต้องจำกัดขอบเขตของตัวเอง กักกันตัวเองไว้ภายใน หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็จะทำให้หลานคนดีผู้นั้นดึงเอาไข่มุกชะตาน้ำทั้งหมดมา แล้วโยนใส่บ่อน้ำไปรวดเดียว ให้พวกคนจิ๋วทั้งหลายเหนื่อยตายกันไปเลย”
เทวบุตรมารผู้นี้พูดมาถึงตรงนี้ก็ทำสีหน้าขมขื่น พูดอย่างน่าสงสารว่า “ผู้ที่กลัดกลุ้มย่อมต้องมีท่าทางอมทุกข์ ข้าล่ะเป็นกังวลแทนท่านปู่อิ่นกวานจริงๆ”
ฝีเท้าของเฉินผิงอันย่างก้าวอย่างหนักแน่นตลอดเวลา ทว่าร่างของเขาเดี๋ยวก็เอียงซ้ายเดี๋ยวก็เอียงขวา เอ่ยว่า “ข้าค่อนข้างใกล้ชิดกับน้ำ จึงไม่กังวลเรื่องจวนน้ำมากที่สุด”
เทวบุตรมารส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนพิถีพิถันในเรื่องความสูงต่ำของภาพบรรยากาศในห้องโอสถมากที่สุด หากไม่ผิดไปจากที่คาด สถานที่สร้างโอสถของท่านปู่อิ่นกวานในอนาคตก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจวนน้ำ แต่ดันเอาของผุๆ พังๆ …อ้อ ไม่ถูกสิ เอาวาสนาพวกนั้นไปวางไว้ที่ศาลภูเขา แบบนี้จะเสียเปรียบอย่างมาก หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะไปสนใจกับมารดามันทำไม หลอมสมบัติวิเศษทั้งหมดไปเลย แล้วเอาไปกองไว้ในจวนน้ำทั้งหมด เตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่นๆ ก็คือแผนการชั้นเลิศ สร้างโอสถทองเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของผู้ฝึกตน ระดับสูงต่ำของโอสถทองที่สร้างมาได้ก็ยิ่งตัดสินความสูงต่ำของผลสำเร็จในอนาคตของผู้ฝึกลมปราณ”
จวนน้ำของเฉินผิงอันนอกจากตราประทับอักษรน้ำและเด็กจิ๋วชุดเขียวคนต่างถิ่นที่ไม่ช้าก็เร็วต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นที่ทำให้เทวบุตรมารรู้สึกยุ่งยากใจเป็นเท่าตัวแล้ว ภาพบรรยากาศอย่างอื่นล้วนถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ธรรมดาก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่ค่อยเพียงพอเท่าไหร่อยู่ดี
น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่ได้ฟังถ้อยคำล้ำค่าเหล่านี้ของเขาเข้าหูเลยสักนิด
เทวบุตรมารก็ไม่สนใจ หากเฉินผิงอันทำเช่นนี้จริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ไม่ได้มีความหมายมากสักเท่าไร
ในสายตาของขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ลูกรักแห่งสวรรค์ ผู้มีความสามารถโดดเด่นเลิศล้ำ โชควาสนาหนาหนักอะไรนั่นล้วนเป็นมายาเลื่อนลอย เว้นเสียจากว่ามีวันหนึ่งที่อีกฝ่ายสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานได้ ไม่อย่างนั้นในสายตาของขอบเขตบินทะยานที่อยู่บนยอดเขาแล้ว คำว่าโชควาสนาบนภูเขา การช่วงชิงบนมหามรรคาที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่หมาแมวฝูงหนึ่งที่เล่นสนุกกันอยู่นอกชายคานอกระเบียงเท่านั้น อารมณ์ดีก็มองดูมากหน่อย รำคาญว่าเกะกะสายตาหรือหนวกหูก็ฆ่าทิ้งซะ
เทวบุตรมารตนนี้จับตามองเฉินผิงอันมานานมากแล้ว จึงนึกอยากจะทำการค้าใหญ่ครั้งหนึ่งกับคนหนุ่ม
เมล็ดงาดวงจิตของเฉินผิงอันมุ่งหน้าไปที่ศาลภูเขา แหงนหน้ามองไปจากตรงตีนเขา ที่นั่นมีศาลภูเขาแห่งหนึ่ง ดินห้าสีจากห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีรวมตัวกันกลายเป็นภูเขา สร้างศาลภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งบนยอดเขา ภายหลังเฉินผิงอันยังหลอมเอาสัจธรรมและมรรคกถาที่ซ่อนอยู่ในอิฐเขียวพวกนั้นเข้าไปสร้างความมั่นคงให้กับภูเขาด้วย
เด็กชายผมขาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านปู่อิ่นกวาน เหตุใดถึงได้ไม่มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อเรื่องของการฝึกตนพิสูจน์มรรคาเท่าใดนัก? เกี่ยวกับความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายก็ไม่มีความคิดอะไรเลยหรือ?”
ระหว่างที่ก้าวเดินเฉินผิงอันใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเป็นพื้นฐานแล้วคอยเปลี่ยนท่าหมัดไปอย่างต่อเนื่อง ปรับแก้เส้นเอ็น กระดูกและเลือดเนื้อในจุดที่เล็กละเอียด เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพร่างกายในเวลานี้ได้ดียิ่งขึ้น พอได้ยินคำถามนี้ก็เอ่ยว่า “อยู่ห่างเกินไป มองเห็นไม่ค่อยชัด มิอาจจินตนาการได้ถึง”
เด็กชายผมขาวร้องอ้อหนึ่งที “ที่แท้ก็ต้องการแสงสว่างในการนำทางนี่เอง น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่พบ ดูท่าผู้บรรลุมรรคาในใต้หล้าไพศาล นอกจากความรู้ วิชาหมัดและเวทกระบี่แล้ว ล้วนไม่มีใครที่สามารถทำให้ท่านปู่อิ่นกวานเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างแท้จริงเลย”
เฉินผิงอันไม่ยินดีจะวนเวียนอยู่ที่คำถามนี้ให้มากเกินไป จึงหันหน้ามาถามว่า “ผู้อาวุโสสิงกวานท่านนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นหรือ?”
การที่เขาถามเช่นนี้ นอกจากว่าคฤหาสน์หลบร้อนจะไม่มีบันทึกใดๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว แท้จริงแล้วยังเป็นเพราะเบาะแสมีเยอะมากเกินไป แก้วสิบสองเทพบุปผาห้าสีที่ลอยอยู่ใต้ซุ้มองุ่น ตัวอักษรเทพเซียนที่ปลามอดกัดกิน รวมไปถึงเวทกระบี่ที่สิงกวานเรียกร้องให้ตู้ซานอินเรียนรู้ จำเป็นต้องไปสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขา รวมไปถึงสตรีคนทุบผ้า เด็กสาวคนซักผ้าที่ก่อตัวขึ้นจากเงินบรรพบุรุษสองเหรียญอย่างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองและเงินฝนธัญพืช ต่อให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีเซียนกระบี่ที่เปี่ยมด้วยมาดของความสง่างามอย่างซุนจวี้เฉวียนอยู่ แต่เมื่อเทียบกับสิงกวานที่มีเมฆหมอกล้อมวนแล้วก็ยังไม่เหมือนกันอยู่ดี