กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 679.2 ชิ้นที่ห้า
เทวบุตรมารที่เป็นขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งย่อมต้องมีวิธีการเล่นงานที่จะตามมาต่อจากนี้ บนเส้นทางการฝึกตนของเฉินผิงอันในวันข้างหน้า ก่อนจะได้หวนกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล จะต้องมีภัยแฝงตามมานับไม่ถ้วน
แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้เฉินผิงอันต้องรอดชีวิตไปได้จริงๆ เสียก่อน ต้องยังมีโอกาสได้ไปพบเจอกับซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง อาจารย์ของตนที่ฟ้าและดินผสานเป็นหนึ่งผู้นั้นเสียก่อน
เหนี่ยนซินที่จากไปแล้วหวนกลับคืนมาก็ยิ่งด่าเฉินผิงอันในใจว่าใจร้อนเกินไป เหตุใดเมื่อเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล โชคชะตาบู๊อยู่กับร่างแล้วดูเหมือนว่าสภาพจิตใจจะเปลี่ยนไปเลย เทวบุตรมารที่มีใจคิดร้ายตนนั้น แค่ถ่วงเวลาไว้ก่อนก็พอแล้ว หลอมวัตถุฝ่าทะลุขอบเขตไปก่อน แล้วก็เย็บผ้าให้สำเร็จ ถึงเวลานั้นค่อยยกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกมาข่ม อย่างไรก็ดีกว่ารีบร้อนประลองจิตแห่งมรรคากับขอบเขตบินทะยานเช่นนี้
ผู้ฝึกตนเชี่ยวชาญการหลอมวัตถุ เทวบุตรมารนอกโลกเชี่ยวชาญการหลอมหัวใจ
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพลันปรากฏกาย “จะทำให้ข้าเบาใจบ้างไม่ได้เลยหรือไร?”
เทวบุตรมารที่ทุกครั้งที่เห็นเฉินชิงตูล้วนเป็นดั่งหนูกลัวแมว คราวนี้ไม่เพียงแต่ไม่กลับคืนสู่รูปลักษณ์ของเด็กชายผมขาว กลับยังถามว่า “เฉินชิงตู สรุปแล้วสัญญาระหว่างเจ้ากับข้าเชื่อถือได้หรือไม่? ข้าจะสามารถออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หรือไม่?”
เฒ่าหูหนวกไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก
เฉินชิงตูไม่ได้อยู่ว่างก็เลยเลี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งไว้เพื่อเล่นสนุกเท่านั้น
แล้วก็จริงดังคาด เฉินชิงตูเอ่ยว่า “เจ้าสามารถเปลี่ยนเอาคนอื่นที่ขอบเขตสูง ยกตัวอย่างเช่นโหวฉางจวิน หรือไม่ก็หาคนที่เกิดมาก็มีเนื้อหนังมังสาที่โดดเด่นไปเลย ยกตัวอย่างลูกศิษย์ที่เฒ่าหูหนวกหมายตา ส่วนจะสามารถรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้หรือไม่? อย่ามาถามข้า”
เหนี่ยนซินหลุดหัวเราะพรืด สามคำสุดท้าย ช่างเป็นถ้อยคำที่ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก
สีหน้าของเฒ่าหูหนวกไม่ค่อยน่ามองเท่าไร ไม่ใช่ว่าคลางแคลงในการตัดสินใจของเฉินชิงตู เพียงแต่เสียใจภายหลังที่ตนทำการค้านั้นกับเฉินผิงอันเร็วเกินไปหน่อย
ซวงเจี้ยงส่ายหน้า
เฉินชิงตูยิ้มถาม “ให้หน้าแต่ไม่ไว้หน้ากันใช่ไหม?”
ซวงเจี้ยงเงียบงัน
เฉินชิงตูหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ทั้งต้องเย็บผ้า แล้วยังต้องคอยวางแผนปัดแข้งปัดขากับเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งด้วย เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านไม่มีเหตุผลให้นิ่งดูดาย”
เหนี่ยนซินรู้สึกว่าคราวนี้อิ่นกวานหนุ่มต้องเดือดร้อนอีกครั้งแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเฉินชิงตูจะพยักหน้าเอ่ยว่า “ในที่สุดก็เป็นฝ่ายยื่นมือมาขอเองบ้างแล้ว นับว่าหาได้ยาก”
เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนพึ่งพาตัวเอง ไม่เคยขอร้องคนอื่น เฉินชิงตูคร้านจะสนใจ
แต่ในเมื่อเป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ไม่ขอให้เขาเฉินชิงตูทำอะไรเสียบ้างเลย คิดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างเขาเป็นแค่ของประดับตกแต่งจริงๆ งั้นหรือ?
……
ภูเขาห้อยหัว หมี่อวี้ขอให้เส้าอวิ๋นเหยียนพาเขาไปที่ร้านเหล้าหวงเหลียง ดื่มเหล้าดับทุกข์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังกันสักมื้อ
คิดไม่ถึงว่ากว่าจะรอให้เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้าตอบตกลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย น่าหลันไฉ่ฮ่วนกลับบอกว่าจะตามไปด้วย หวังไปตักตวงผลประโยชน์
คนทั้งสามเข้ามานั่งในร้านเหล้า เส้าอวิ๋นเหยียนค้นพบว่านอกจากเฒ่าแก่ร้านผู้เฒ่ากับลูกจ้างหนุ่มแล้ว เมื่อเทียบกับคราวก่อนยังมีสตรีรูปโฉมเยาว์วัยคนหนึ่งโผล่มาด้วย หน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่นสักเท่าไร นางกำลังฟุบตัวบนโต๊ะนั่งเหม่อลอย บนโต๊ะเหล้าวางตำราเอาไว้กองหนึ่ง ข้างฝ่ามือกางหนังสือคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ สวี่เจี่ยลูกจ้างร้านนั่งอยู่ข้างคุณหนูของตัวเอง เหม่อลอยเป็นเพื่อนนาง
เส้าอวิ๋นเหยียนจำได้ว่าครั้งแรกที่มาร้านเหล้า สตรีก็มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยต่างจากเดิมสักเท่าไร สตรีฝึกตนสามารถคงความงามเอาไว้ได้ นี่ก็คือการล่อลวงข้อใหญ่
หลังจากหมี่อวี้นั่งลงแล้วก็หยิบเอาเหล้ามาดื่มอย่างเต็มคราบ เขาดื่มจนเมามาย แต่ก็ไม่ได้พร่ำพูดถ้อยคำของคนเมาอะไร ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
น่าหลันไฉ่ฮ่วนจิบเหล้าคำเล็ก สายตาเลื่อนลอยคล้ายนึกถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ
เถ้าแก่ผู้เฒ่ากำลังหยอกนกขมิ้นบู๊ตัวนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “รื้อถอนจวนหยวนโหรว ย้ายสวนดอกเหมยไป ตอนนี้แม้แต่ตำหนักสุ่ยจิงก็ยังไม่ยอมเว้น อวิ๋นเชียนเซียนซือตั้งใจจะพาคนขึ้นเหนือไปเลือกที่ตั้งเพื่อบุกเบิกจวน เจ้าสำนักอวี่หลงมาเยือนภูเขาห้อยหัวด้วยตัวเอง สองศิษย์พี่ศิษย์น้องทะเลาะกันอย่างหนัก นี่ต่างก็เป็นคุณความชอบของใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของพวกเจ้าล่ะสินะ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงมีจิตใจดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงไม่ลงมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้หรอก มนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่รู้จักหลักของการใช้ชีวิตก็ช่างเถิด เป็นผู้ฝึกตนแต่ยังไม่รู้จักภาวนาให้ตัวเองโชคดี ไม่คิดจะฉกฉวยโชคดีหลีกเลี่ยงหายนะเลยแม้แต่น้อย แบบนี้ไม่ใช่ว่าถึงตายก็ไม่สาสมกับเวรกรรมที่ทำลงไปหรอกหรือ”
ดื่มเหล้าในพื้นที่มงคลหวงเหลียง ไม่ว่าคำพูดอะไรก็ล้วนพูดได้ทั้งนั้น
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ เดินไปถึงด้านใต้ผนังแห่งนั้น “เอาพู่กันมา!”
สวี่เจี่ยลุกขึ้นไปหยิบพู่กันด้ามหนึ่งมาให้ หมี่อวี้ที่เมามายยกมือเช็ดหน้า เขียนประโยคหนึ่งว่า ‘จุดตะเกียงยามค่ำคืน ฝันเล็กคิดถึงบ้านเกิด เสียงนกร้องปลุกให้ตื่น ฝันงามจึงมลาย’
น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็เดินไป เขียนตามปประโยคหนึ่งว่า ‘คนที่ใกล้ชิด ยากจะอยู่ร่วมด้วยอย่างเหมาะสมที่สุด’
เส้าอวิ๋นเหยียนเหลือบตามองเนื้อหาบนผนัง นิสัยที่แตกต่างระหว่างผู้ฝึกกระบี่ชายหญิงสองคน แค่มองจากตรงนี้ก็รู้ได้แล้ว คนหนึ่งสีสันแพรวพราว คนหนึ่งเน้นในด้านการปฏิบัติ
สตรีผู้นั้นพลันเงยหน้าขึ้นถามน่าหลันไฉ่ฮ่วน “ทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้ามีการป้องกันเข้มงวด ข้าไม่อาจไปเยือนนครทางทิศใต้ได้ อาเหลียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนนั่งลงตำแหน่งเดิม ยิ้มเอ่ยว่า “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ติดเงินก็ต้องใช้คืนน่ะสิ”
สตรีกล่าว “อาเหลียงบอกแล้วว่าเงินที่เชื่อไว้ก่อนล้วนไม่เรียกว่าเงิน”
เถ้าแก่พยักหน้า “หน้าของเขาอาเหลียงก็ไม่เรียกว่าหน้าเหมือนกัน”
สตรีฟุบตัวกลับลงไปบนโต๊ะดังเดิม สองมือปัดป่ายไปบนผิวโต๊ะอย่างสะเปะสะปะ “น่าเบื่อจริงๆ รู้อย่างนี้แต่แรกคงไม่กลับภูเขาห้อยหัวมาแล้ว อยู่ในพื้นที่มงคลกระดาษขาวแห่งนั้น ข้ากับอาเหลียงก็คงให้กำเนิดบุตรชายหญิงได้หลายคนแล้ว”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าคร้านจะบ่นลูกสาวคนนี้
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ยินดีจะฟังเรื่องในบ้านของร้านหวงเหลียงพวกนี้ จึงถามว่า “เถ้าแก่วางแผนไว้ว่ายังไง?”
ผู้เฒ่าเอ่ย “พื้นที่ลับที่เผยตัวบนโลกได้ไม่กี่ปีแห่งนั้นของฝูเหยาทวีปคือส่วนหนึ่งของพื้นที่มงคลหวงเหลียงในอดีต คิดจะไปดูที่นั่นสักหน่อย รอให้สำนักใดสำนักหนึ่งฮุบไปครองได้แล้ว ข้าค่อยไปพูดคุยดู หากคุยกันรู้เรื่อง ข้าก็จะจ่ายเงินซื้อมา เปิดร้านให้ใหญ่กว่าเดิม เดี๋ยวก็จะออกเดินทางกันแล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด พวกเจ้าก็น่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มสุดท้ายของร้านในภูเขาห้อยหัวแล้ว”
สตรีกล่าวว่า “ข้าไม่ไป ไม่ได้เจอกับอาเหลียง ข้าจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น”
สวี่เจี่ยชี้นิ้วไปยังจุดสูง เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณหนู ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้นคงไม่ได้หรอก ไม่แน่ว่านาทีถัดไปอาจจะไปถึงที่นั่นแล้ว”
สตรีถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง ลูกจ้างหนุ่มหดคอลงอย่างหวั่นเกรง
หมี่อวี้ยิ้มถาม “ขอถามแม่นางคนนี้ ใต้หล้าไพศาลมีทัศนียภาพเป็นอย่างไรหรือ?”
สตรีชำเลืองตามองหมี่อวี้ รูปร่างหน้าตาถือว่าไม่เลว ก็แค่สู้อาเหลียงไม่ได้
นางตอบอย่างง่ายๆ “พอใช้ได้”
หมี่อวี้พึมพำ “จะแค่พอใช้ได้ได้ยังไง”
……
หลังออกมาจากสถานที่รวมตัวกันของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว แม่นางน้อยที่มัดผมแกละคนนั้นไม่ได้รีบร้อนไปยังบ่อโบราณซึ่งตั้งวางบัลลังก์ทั้งสิบสี่แห่ง
แต่เดินเล่นเตร็ดเตร่ไปตลอดทาง ไม่กลัวว่าจะอ้อมระยะทางไปไกล
จับผมแกละทั้งสองข้าง ทะยานลมเดินทางไกลอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ตรงไหนที่มีขุนเขาสูงก็จะไปชมทัศนียภาพบนยอดเขา ตรงไหนมีแม่น้ำสายใหญ่ก็จะไปหาจวนน้ำ น่าเสียดายก็แต่ ว่ากันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นไม่ได้เฉิดฉันเหมือนใต้หล้าไพศาล และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่นางเดินทางผ่านศาลเทพภูเขาและจวนเทพวารีหลายแห่งเข้าก็รู้สึกหมดอารมณ์สนุกแล้ว
หมัดหนึ่งต่อยพวกเศษสวะกลุ่มหนึ่ง เท้าหนึ่งกระทบมดฝูงหนึ่งให้ตายเป็นแถบ
ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาพันธนาการ เป็นไปตามใจปรารถนา รสชาติดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด เหมือนกับว่าเมื่อไม่มีสุราก็เอากับแกล้มมากินแทน เคี้ยวถั่วเหลืองเสียงดังกร้วมๆ
จากนั้นนางก็ถูกลั่วซาน จู๋อานเซียนกระบี่สองคนของสายอิ่นกวานตามมาทัน พวกเขาเลือกที่จะติดตามนางท่องเที่ยวไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย พวกเขาติดตามเซียวสวิ้นทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามอยู่ในกองทัพแห่งนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำได้เลยจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขาเองก็ไม่มีทางจะออกกระบี่ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าไพศาลต่างหากจึงจะเป็นสถานที่ที่เซียนกระบี่ทั้งสองท่านครุ่นคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เมื่อไปถึงที่นั่น ขอแค่เป็นสำนักกระบี่ อีกทั้งยังไม่เคยมีเซียนกระบี่คนใดมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเขาก็จะต้องไปถามกระบี่ด้วยสักครั้ง
บนทะเลเมฆ ลั่วซานมองดูใต้เท้าอิ่นกวานที่บิดผมแกละ ร่างทั้งร่างเหมือนแมลงปอไม้ไผ่ที่หมุนติ้วไปตามลม ก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย
เซียนกระบี่จู๋อานยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานควรจะออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งนานแล้ว”
ต่อจากนี้พวกเขายังต้องไปเยือนนครใหญ่แห่งหนึ่ง คือเมืองหลวงของราชวงศ์บางแห่ง ธรณีประตูสูงมาก คิดจะไปลงหลักปักฐานหรือเข้าไปอยู่ในเมืองก็ต้องอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ นี่จึงหมายความว่าในนครแห่งนี้ล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่พอจะฝึกตนประสบความสำเร็จได้บ้างแล้ว แน่นอนว่าก็มีทางลัดมากมายที่สามารถเดินได้ จ่ายเงินเพื่อข้ารับใช้เผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่สูงมากพอ จ่ายเงินซื้อยันต์มาสวมห่มทับร่าง แสร้งทำท่าว่าเป็นมนุษย์
กฎเกณฑ์เช่นนี้มีให้เห็นได้ไม่บ่อยนักในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ขณะเดียวกันก็หมายความว่าราชสำนักแห่งนี้มีกำลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาก
คู่รักฮ่องเต้ฮองเฮาต่างก็เป็นขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งในนั้นยังเป็นเซียนกระบี่ ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ไปร่วมสนามรบที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จากข่าวลือเล็กๆ ที่เซียนกระบี่จู๋อานได้ยินมาจากกระโจมเจี่ยจื่อ ครานี้ถือว่าพวกเขาจ่ายเงินฟาดเคราะห์จนท้องพระคลังว่างเปล่า
ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์นครทะยานลมขึ้นมา เสื้อเกราะที่สวมใส่สีสันสดใสงดงาม สกัดขวางคนทั้งสามไม่ให้พุ่งทะยานไปกลางอากาศเหนือนคร ก่อกำเนิดคนหนึ่งพูดอย่างเดือดดาลว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?!”
เซียวสวิ้นยังคงหมุนติ้วๆ ไม่หยุด วนรอบพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนั้นเป็นวงใหญ่ ครู่หนึ่งต่อมาก็เหมือนเสียงประทัดดังขึ้นรัวเป็นระลอก ก่อนที่หมอกเลือดเป็นกลุ่มๆ จะปลิวกระจายหายไปตามสายลม
รุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากพระราชวังของเมืองหลวง ขี่กระบี่มาลอยอยู่ห่างไปไกล คือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่ผมยาวเคลียบ่า สวมชุดฉลองพระองค์ที่ปักลายดิ้นสีทองแนวขวางและด้ายสีแดงเป็นวงกลม จากนั้นก็ใช้ขนของนกยูงมาถักทอเป็นลายมังกร เป็นเหตุให้ฉลองพระองค์ชุดนี้ส่องประกายแสงสีทองสีมรกตพร่างพราวตา สะดุดตาอย่างยิ่ง บุรุษเห็นเด็กหญิงที่มัดผมแกละแล้วก็รีบค้อมเอวประสานมือคารวะ “ใต้เท้าอิ่นกวานมาเยือนถึงที่ โปรดอภัยที่ไม่ได้ออกมารอต้อนรับแต่ไกล”
เซียวสวิ้นยังคงหมุนร่างไม่หยุด โอบล้อมทั้งบุรุษ ลั่วซานและจู๋อานไว้ภายใน “ข้าไม่ใช่อิ่นกวานแล้ว เจ้าด่าข้าหรือไร?”
บุรุษค้อมเอวต่ำยิ่งกว่าเดิม “ย่อมมิกล้าล่วงเกินใต้เท้าอิ่นกวาน สำหรับในใจของข้า อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีได้แค่ใต้เท้าอิ่นกวานเท่านั้น”
เซียนกระบี่จู๋อานยิ้มอย่างรู้ทัน วกวนอ้อมค้อม ในฐานะเซียนกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่งกลับเลียนแบบนิสัยของพวกจักรพรรดิในโลกมนุษย์ของใต้หล้าไพศาล มีนิสัยแย่ๆ ติดมาไม่น้อยจริงๆ ด้วย
เซียวสวิ้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ปีศาจใหญ่ตนนี้กลับเมืองหลวงไป
รอกระทั่งร่างของปีศาจใหญ่กระแหกหลังคาตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งของวังหลวง เซียวสวิ้นที่ตามติดอีกฝ่ายดั่งเงาก็ตามมากระทืบเข้าที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย หมัดสุดท้ายต่อยจนปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงจมหายลึกเข้าไปใต้ดินร้อยกว่าจั้ง
เหนือทะเลเมฆนอกนคร ลั่วซานยิ้มเอ่ย “พูดคำว่าอิ่นกวานซ้ำตั้งสามครั้ง”
เซียนกระบี่จู๋อานพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่รู้จักจำ”
……
ท่ามกลางเทือกเขาใหญ่แสนลี้
เฒ่าตาบอดที่เฝ้าสวนผักของกระท่อม ข้างฝ่าเท้ามีหมาเฒ่าตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ เฒ่าตาบอดยกเท้าเตะมันไปไกลๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังทิศไกลแล้วยกมือเกาแก้ม
แก้มสองข้างของผู้เฒ่าแห้งตอบ มีแต่หนังหุ้มกระดูก
หมาแก่ตัวนั้นเปิดปากพูดอยู่ห่างๆ “กำแพงเมืองปราณกระบี่กับโชคชะตาแห่งวิถีกระบี่ยากที่จะตัดขาดกันอย่างสิ้นซาก หากภูเขาทัวเยว่เก็บมาไว้ในกระเป๋า บุกก็สามารถโจมตี ถอยก็สามารถป้องกันไว้ได้ นับจากนี้ไปหมื่นปีก็ถึงคราวที่ใต้หล้าไพศาลต้องปวดหัวบ้างแล้ว”
เฒ่าหูหนวกเอ่ยเนิบช้า “เรื่องที่แม้แต่หมาตัวหนึ่งยังรู้ เฉินชิงตูจะไม่รู้หรือ?”
เฉินชิงตูไม่มีทางปล่อยให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตักตวงผลประโยชน์ไปได้มากเกินไป ขอแค่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
คิดจะไม่เหลืออะไรให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือความฝันของคนปัญญาอ่อน พูดถึงแค่กำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านมานานหมื่นปีแห่งนั้น จะย้ายไปได้อย่างไร? ใครจะสามารถย้ายได้? แล้วพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่น้อยใหญ่ที่แบกรับโชควาสนาเหล่านั้นเอาไว้ล่ะควรจะจัดการอย่างไร? ไม่ใช่ว่าโยนไปไว้ที่ใดที่หนึ่งแล้วจะสามารถเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปได้ตลอดชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเฉินชิงตูยังต้องการให้บนเส้นทางการฝึกตนในวันหน้าของพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ยังคงนึกถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ และยินดีสืบทอดความคิดนี้ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า นั่นก็ยิ่งเพิ่มความยากลงไปบนความยาก
ในอนาคตคนหนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องพลัดพรากจากกันไปคนละทิศคนละทาง เชื่อว่าเพียงไม่นานพวกเขาก็จะเข้าใจเรื่องหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีเฉินชิงตู ความเป็นความตาย ไม่ช้าก็เร็วจะยิ่งน่าประหลาดใจยิ่งกว่าสนามรบบ้านเกิดของตัวเองในอดีตเสียอีก
ร้านเหล้าร้านหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่บรรยากาศเงียบเหงา ช่วยไม่ได้ ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำก็ล้วนต้องไปร่วมศึกที่หัวกำแพงเมือง
เฝิงคังเล่อกับเถาป่านนั่นเคียงไหล่กันอยู่บนม้านั่งตัวยาว กินบะหมี่หยางชุนด้วยกัน เฝิงคังเล่อพลันถามว่า “เจ้าว่าพวกเราจะต้องตายไหม?”
เถาป่านคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่หรอก พวกเราอายุยังน้อย ยังไม่เคยหาเงิน ยังไม่เคยดื่มเหล้า ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย อีกอย่างก็ยังมีเถ้าแก่รองอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
เฝิงคังเล่อพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วก็ยิ้มตามไปด้วย ก่อนจะคีบบะหมี่หยางชุนคำใหญ่เข้าปาก
……
นอกประตูบานเล็กของคุก เฒ่าหูหนวกถามว่า “ตัดใจทิ้งยันต์ทองตำราหยกนั่นได้จริงๆ หรือ?”
เหนี่ยนซินพยักหน้ารับ
เฒ่าหูหนวกเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “คู่รักเทพเซียนก็เป็นเช่นนี้เอง”
เหนี่ยนซินหัวเราะเสียงเย็น “ทำปากให้สะอาดหน่อยเถอะ”
เฒ่าหูหนวกเกาหัว เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ความคิดของพวกสตรีนี่แทบไม่ต่างจากพวกเทวบุตรมารนอกโลกเลย
เด็กชายผมขาวที่นั่งยองอยู่ตรงหน้าประตูตะโกนขึ้นมาว่า “ถอยไปๆ ถอยไปกันให้หมด ให้ข้าช่วยพิทักษ์มรรคาให้ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานคนเดียวพอ!”
ตรงสิ่งปลูกสร้างที่ลักษณะเหมือนศาลา
เฉินชิงตูที่อยู่ในนั้นกวาดตามองไปรอบด้าน
ขงจื๊อพุทธเต๋า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว