กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 683.1 บนเส้นเส้นหนึ่ง
เรือข้ามทวีปลำหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวกลางม่านราตรี เพียงแต่ว่าไม่ได้ปลดสัมภาระขนข้าวของลง แต่มีผู้ฝึกลมปราณร้อยกว่าคนที่ลมหายใจทอดยาวเดินลงมา แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่ฝึกตนประสบผลสำเร็จ และทุกคนต่างก็รักษากฎกันเป็นอย่างดี
ทางฝั่งของเรือนชุนฟาน น่าหลันไฉ่ฮ่วนกับเส้าอวิ๋นเหยียนออกมาต้อนรับคนเหล่านี้ด้วยตัวเอง พามาส่งตลอดทางกระทั่งถึงประตูใหญ่ ผู้ฝึกตนเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์กลไกของสำนักโม่และสำนักหยินหยาง แต่จะไม่ได้ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า
พวกเขาแบ่งออกกันเป็นกลุ่มละหลายคน มุ่งหน้าไปตามหอมายา คฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาว รวมไปถึงจวนพักส่วนตัวของเซียนกระบี่อีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็มีจวนเซียนปลูกอวี๋ที่พื้นใต้ดินทำมาจากป้ายศิลาเซียนโผผินบินสู่ดวงจันทร์ที่เซียนกระบี่เป็นผู้หลอม จวนพักใกล้เคียงกันที่มีผู้ฝึกกระบี่แต่งกายเป็นหญิงสองสามคนพักอาศัยอยู่ก็จะมีผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานที่ทำหน้าที่เป็น ‘ขุนนางผู้ตรวจการ’ ชั่วคราวไปถ่ายทอดคำสั่ง ให้พวกเขาออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามที่อาจารย์สร้างไว้ได้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั้งสามคนเตรียมจะขี่กระบี่ไปยังหัวกำแพงเมือง หลายปีมานี้ถูกอาจารย์กักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนแห่งนั้น นอกจากฝึกกระบี่แล้วก็คือฝึกกระบี่ เป็นเหตุให้พวกเขาไม่ทันมีเวลามาสนใจชุดสตรีที่สวมอยู่บนร่าง ถึงขั้นลืมไปขอชุดคลุมอาคมมาจากหอภูษาก็เตรียมจะไปที่หัวกำแพงเมือง ตัดหัวเผ่าปีศาจได้กี่หัวก็คือเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ห้อยแท่นฝนหมึกไว้ตรงเอว สะพายหีบไม้ไผ่ไว้บนหลังมาขัดขวาง บอกว่าพวกเขาสามคนไปที่หอมายาได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จงถอยกลับเข้าจวนไปฝึกกระบี่ต่อแต่โดยดี
ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางและอาจารย์กลไกสำนักโม่ห้าท่าน หลังจากได้รับแผนที่ฉบับหนึ่งที่ทางคฤหาสน์หลบร้อนมอบให้และคำอธิบายอย่างละเอียดมาแล้วก็เริ่มทำการคลายตราผนึกของจวนส่วนตัวแห่งนี้ การเปิดประตูเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงไม่นานก็มีกระจกส่องประกายแสงเหมือนแสงจันทร์บานหนึ่งลอยตัวขึ้นมากลางอากาศเหนือจวน ในกระจกมีสัตว์มงคลสี่ตัวบินทะยานล้อมวนอยู่ หลังจากเปิดค่ายกลแล้ว ภาพบรรยากาศรอบด้านของจวนส่วนตัวก็ถูกสาดสะท้อนจนสว่างไสว เห็นทุกมุมชัดเจน
ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่รับผิดชอบเคลื่อนย้ายจวนเซียนปลูกอวี๋และเรือนแห่งนี้แอบปลีกตัวมามองการคุมเชิงระหว่างแม่นางน้อยกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสามคน นางพูดเร็วมาก เร็วจนเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ แม้ว่าผู้ฝึกตนต่างถิ่นจะเรียนภาษาท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ระหว่างที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวแล้ว แต่ก็ยังได้แค่ฟังออกคร่าวๆ สรุปแล้วก็คือนางมีบารมีอย่างมาก ถึงขั้นกดข่มเซียนดินทั้งสามคนได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั้งสามคนจะใช้เหตุผลทำให้เข้าใจหรือใช้อารมณ์ทำให้ซาบซึ้งอย่างไรก็ล้วนไม่ได้ผลกับแม่นางน้อย โอสถทองคนหนึ่งร้อนใจมากจริงๆ จึงตะโกนขึ้นว่า “กวอจู๋จิ่ว! อย่าคิดว่าใต้เท้าอิ่นกวานเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้วจะเห็นพวกเราเป็นตาสีตาสาได้ พวกเราสามพี่น้องจะดีจะชั่วก็เป็นโอสถทอง ล้วนเป็นผู้อาวุโสบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้า…”
อันที่จริงแม่นางน้อยมักจะมาปีนกำแพงเดินเล่นที่จวนแห่งนี้บ่อยๆ ทั้งสองฝ่ายจึงสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก
กวอจู๋จิ่วยกสองแขนกอดอก พูดอย่างไม่ไว้หน้า “สรุปก็คือขอแค่พวกเจ้ากล้าไปที่หัวกำแพงเมือง กระบี่บินสายอิ่นกวานของพวกเราก็จะไปถึงเร็วกยิ่งกว่า จากนั้นพวกเจ้าก็จะถูกเซียนกระบี่บางคนโยนกลับมาที่นี่ แม้แต่หอมายาที่อาณาบริเวณกว้างขวางกว่าก็ไปไม่ได้แล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่นิสัยค่อนข้างสุขุมหนักแน่นยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากันจริงๆ หรือ?”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้า แต่กลับพูดว่า “ได้สิ!”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสามคน แม้กระทั่งผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่มองดูเรื่องสนุกอยู่ก็ยังรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “ขอแค่พวกเจ้าไม่ไปหัวกำแพงเมืองก็สามารถดักฆ่าเผ่าปีศาจทั้งหมดที่ลอดผ่านเข้ามาในเมืองได้ แต่ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ารบตาย ตายไปคนหนึ่ง ที่เหลืออีกสองคนจะต้องถูกเซียนกระบี่ท่านหนึ่งกักบริเวณนานร้อยปี”
กวอจู๋จิ่วชี้ไปทางฝั่งของหอมายา “สิงกวานกับเซียนกระบี่หมี่อวี้พี่ใหญ่ของสายอิ่นกวานพวกเราก็อยู่ที่นั่น มีพวกเขาอยู่ก็ยังไม่ถึงคราวที่โอสถทองเล็กๆ อย่างพวกเจ้าจะได้ลงมือหรอก”
ผู้ฝึกกระบี่สามคนหันหน้ามามองกันแล้วยิ้มให้กัน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้นั่งดูดายอยู่เฉยๆ ที่หอมายาล่ะนะ
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “อย่าตายนะ”
แสงกระบี่ทั้งสามเส้นเปล่งวูบแล้วหายไป
ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่ขอบเขตไม่ต่ำเหล่านั้นทั้งอารมณ์หนักอึ้งทั้งสงสัย
เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ไม่เห็นชีวิตและมหามรรคาเป็นเรื่องสำคัญได้ขนาดนี้? สถานการณ์ใหญ่ไม่เข้าข้าง แม้จะตายก็ไร้ความเสียดาย อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลก็ไม่ได้หายากนัก แต่มีผู้ฝึกตนคนใดบางที่ไม่ต้องตายก็ได้ แต่กลับดันแล่นเข้าหาความตายเช่นนี้
กวอจู๋จิ่วหันหน้ามองตามแสงกระบี่สามเส้นที่พุ่งหายไปไกลในเสี้ยววินาที เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมถอนสายตากลับมา
กลัวว่าพวกเขาจะวู่วามตรงดิ่งไปที่หัวกำแพงเมือง ยังคิดอีกว่าหากพวกเขาไปที่หัวกำแพงเมืองจริงๆ ตนคงต้องตามไปด้วย
สุดท้ายกวอจู๋จิ่วมองไปทางหัวกำแพงเมือง มองหาเงาร่างของพ่อแม่ตัวเองเงียบๆ แต่กลับหาไม่พบ
อาจารย์ พ่อแม่ บุตรชายหญิง คู่รัก บรรพจารย์ คนรุ่นหลัง สหาย
มีผู้ฝึกกระบี่คนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่บ้างที่ไม่มีเหตุผลมากพอให้สังหารปีศาจ แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ต่ำกว่าเซียนดินลงมาหลายคนที่ยินดีสังหารปีศาจ แต่กลับไม่ยินดีจะตาย ทุกวันนี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและคฤหาสน์หลบร้อนต่างก็ไม่ฝืนใจพวกเขา แค่ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปเฝ้าพิทักษ์นครไว้ก็พอ หากเห็นท่าไม่ดีก็สามารถถอยออกมาจากหัวกำแพงเมืองได้ หากรู้สึกว่าปลอดภัยมั่นคงดีแล้วค่อยย้อนกลับไป กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ วิญญูชนนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อล้วนปลดประจำการจากตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจตราการศึกกันหมดแล้ว และสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนเองก็ส่งกระบี่บินไปที่หัวกำแพงเมืองน้อยครั้ง
กวอจู๋จิ่วหันหน้ามา ยิ้มกล่าวว่า “พวกผู้อาวุโสลำบากแล้ว”
มาถึงที่แห่งนี้ ปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป การสยบกำราบมีมากเกินไป ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่ก่อนหน้านี้ยังมีคำบ่นยังมีความไม่พอใจ ยามนี้พอเผชิญหน้ากับคำขอบคุณอย่างจริงใจจากแม่นางน้อยสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่งกลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เพราะถึงอย่างไรการที่พวกเขามาที่นี่ก็สามารถหาเงินมาได้ด้วยความยากลำบาก แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นสำคัญคือการกระทำนี้ของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ในสำนักศึกษา สถานศึกษา ถือว่าเป็นคุณความชอบที่ไม่เล็ก
ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบหนาวก็มีคนต่างถิ่นมาเยือนกลุ่มหนึ่ง
ไม่มีใครสอนวิชาหมัดให้แล้ว ทุกวันนี้เด็กๆ สิบกว่าคนต่างก็ฝึกวิชาหมัดด้วยตัวเอง หากพูดตามคำกล่าวของเจียงอวิ๋นก็คือนอกจากฝึกท่าเดินนิ่งยืนนิ่งแล้วก็มาจับคู่ประลองวิชายุทธกัน ต่างคนต่างสู้กันเอาเป็นเอาตายก็พอ
ตอนที่ผู้ฝึกลมปราณเดินผ่านลานประลองยุทธ เด็กๆ ทุกคนล้วนหยุดการฝึกหมัด ส่วนใหญ่มองเทพเซียนผู้ฝึกตนจากใต้หล้าไพศาลเหล่านั้นด้วยสีหน้าแววตาเฉยเมย
กู้เจี้ยนหลงผู้ฝึกกระบี่ที่ทำหน้าเป็นผู้ตรวจการของสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เด็กๆ กลุ่มนั้นฟัง ขี้เกียจ ไม่ยินดี แล้วนับประสาอะไรกับที่หากจะให้เขาพูดคำพูดที่เป็นธรรมจริงๆ ไม่แน่ว่าคนสองกลุ่มที่อายุต่างกันนี้ก็อาจจะตีกันขึ้นมาเลยก็ได้ กู้เจี้ยนหลงคิดมาโดยตลอดว่าต่อให้ใต้หล้าไพศาลจะมีคนอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน มีคนอย่างสหายแบบหลินจวินปี้ เสวียนเซิน และยังมีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นเหล่านั้นอยู่ก็จริง แต่ใต้หล้าไพศาลก็ยังเป็นใต้หล้าไพศาลอยู่ดี
ทางฝั่งของหอกระบี่
หลัวเจินอี้นั่งอยู่บนขั้นบันได หลับตาทำสมาธิบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น
มีผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นอายุน้อยคนหนึ่งที่ติดตามเหล่าผู้อาวุโสในสำนักมา ยามที่ว่างจากการทำงานก็ปลุกความกล้าไปพูดคุยกับสตรีคนนั้น แต่ไม่ว่าเขาจะเปิดปากอย่างไร สตรีก็เอ่ยแค่ว่าลำบากแล้ว จากนั้นก็เพิ่มมาอีกคำว่าไสหัวไป
คำกล่าวทั้งสองอย่างนี้แบ่งเป็นพูดกับเรื่องราวและพูดกับคน
ที่หอภูษา หวังซินสุ่ยทอดสายตามองไปยังหัวกำแพงเมือง ผู้ฝึกตนเฒ่าจากต่างถิ่นคนหนึ่งยิ้มถาม “น้องชาย ขอถามอายุและขอบเขตเจ้าหน่อยได้ไหม? ข้าผู้อาวุโสสงสัยจริงๆ”
หวังซินสุ่ยหันหน้ากลับมายิ้มบางๆ เอ่ยกับเขาอย่างมีมารยาท “อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
เห็นว่าผู้เฒ่าไม่ยอมเชื่อ หวังซินสุ่ยก็พูดเสริมอีกว่า “ไม่ใช่ถ้อยคำถ่อมตัวแต่อย่างใด”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ได้พูดคุยกับน้องชายอย่างปรองดองก็ถือเป็นความน่ายินดีไม่คาดฝันจากการเดินทางไกลมาครั้งนี้แล้ว”
เหวยเหวินหลงกลับจากหอมายามาที่เรือนชุนฟานแล้ว แล้วก็มาเล่าถึงฝีมืออันอำมหิตร้ายกาจของพวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่ชื่อหวงหลวนผู้นั้นที่ราวกับสติวิปลาสไปแล้ว เขาเอาหอเรือนศาลาห้าหกในสิบส่วนที่ตัวเองมีขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมืองทั้งหมด ฟ้าดินขนาดเล็กพวกนั้นที่หวงหลวนนำมาหล่อหลอมอย่างตั้งใจยังซ่อนตัวเซียนดินเผ่าปีศาจไว้อีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจบางคนที่โหวกเหวกว่า ‘ข้าผู้แซ่… ได้มาเยือนหัวกำแพงเมืองก่อนใคร’ ที่พออารามแห่งหนึ่งปริแตก แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็พุ่งวาบมาถึง มันต้านรับกระบี่นั้นของเซียนกระบี่เอาไว้ได้ โชคดีอ้อมผ่านหัวกำแพงเมืองหลบเข้าไปบนค่ายกลใหญ่เหนือนครได้สำเร็จ แต่ผลกลับถูกกระบี่หนึ่งของหมี่อวี้ฟันตายคาที่ ทั้งโอสถทองและก่อกำเนิดล้วนถูกฟันออกเป็นสองท่อน ก่อนที่หมี่อวี้จะโบกชายแขนเสื้อเบาๆ ไอเมฆหมอกจางหาย ช่างเป็นมาดของเซียนกระบี่ที่เปี่ยมเสน่ห์จริงๆ
น่าหลันไฉ่ฮ่วนมองสีหน้าเลื่อมใสของเหวยเหวินหลงแล้วก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ต่อให้หมี่อวี้จะเป็นหมอนปักลายบุปผาแค่ไหนก็ยังเป็นขอบเขตหยกดิบ รับมือกับก่อกำเนิดที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งย่อมมากพอเหลือแหล่อยู่แล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มถาม “เจ้าคนที่บอกว่าข้าแซ่…คือใคร?”
เซียนกระบี่อย่างตนมีขอบเขตเท่ากับหมี่อวี้ แต่พลังการต่อสู้ที่แท้จริงกลับเป็นรองอยู่ระดับหนึ่ง ทว่าเส้าอวิ๋นเหยียนมีหน้ามีตาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่น้อย น่าสงสารก็แต่หมี่อวี้ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้แต่ถูกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วนเย้าหยอกเช่นนี้
เหวยเหวินหลงส่ายหน้า “ภาษาทางการของใต้หล้าเปลี่ยวร้างข้าฟังไม่เข้าใจ ภายหลังเซียนกระบี่หมี่ก็ไม่ได้บอกชื่อของอีกฝ่าย แค่เอ่ยคำว่า ‘ผู้ที่มาเยือนหัวกำแพงเมืองก่อนใคร’ เท่านั้น”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “บรรพจารย์อวิ๋นเชียนของตำหนักสุ่ยจิงน่าจะใกล้มาเยี่ยมเยือนกันแล้ว”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดเหน็บเหน็บแนม “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีสายตาที่ดีมีฝีมือที่ดียิ่งนัก ก็มีแค่ผู้ฝึกลมปราณอย่างอวิ๋นเชียนนี่แหละที่ไม่เห็นขอบเขตหยกดิบของตัวเองเป็นห้าขอบเขตบน หากเปลี่ยนมาเป็นบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนของสำนักอื่น มีหรือจะถูกควบคุมขนาดนี้”
เส้าอวิ๋นเหยียนเป็นบุรุษอ่อนโยนที่แทบไม่เคยฉายประกายเฉียบคมออกมาภายนอก ทว่าวันนี้เขากลับตอบโต้น่าหลันไฉ่ฮ่วนอย่างที่หาได้ยาก “จิตแห่งมรรคาของอวิ๋นเชียนสูงกว่าข้าเสียอีก”
ความนัยในคำพูดก็คือข้าเส้าอวิ๋นเหยียนเป็นเซียนกระบี่ เจ้าน่าหลันไฉ่ฮ่วนเป็นแค่ก่อกำเนิด แน่นอนว่าต้องยิ่งสูงกว่าเจ้าด้วย
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเลิกคิ้ว “ขอบเขตสูง จิตแห่งมรรคาสูง แล้วอย่างไร หากต้องตัดสินเป็นตายกับข้า นางอวิ๋นเชียนจะไม่ตายได้หรือ?!”
เส้าอวิ๋นเหยียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ใช่แล้วอย่างไร ก็ยังไม่ถ่วงรั้งเรื่องที่จิตแห่งมรรคาของคนเขาสูงกว่าเจ้าอยู่ดีนี่นา”
เหวยเหวินหลงร้องให้กำลังใจอาจารย์ของตนอยู่ในใจ คำว่า ‘ใช่แล้วอย่างไร’ นี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเอ่ยเย้ยหยัน “เซียนกระบี่เส้าใช้เวลาร่วมกับใต้เท้าอิ่นกวานไม่นาน ความสามารถในการพูดจากลับเรียนรู้เอาแก่นสำคัญมาได้ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนหัวเราะร่า “มิกล้า”
เพียงแต่ว่านอกจากจะพูดคุยกันสัพเพเหระแล้ว ยามที่เหวยเหวินหลงเผชิญหน้ากับสมุดบัญชีบนโต๊ะ เขากลับเหม่อลอยไร้คำพูดไปโดยไม่รู้ตัว
ตำหนักสุ่ยจิงหนึ่งในเรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ในฐานะจวนแห่งสุดท้ายที่ยังไม่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่แตะต้อง ดูเหมือนว่าจะยังถกเถียงกันไม่เลิก ไม่ได้ข้อสรุปเสียที
ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักอวี่หลงก็มาเยือนตำหนักสุ่ยจิงด้วยตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจโน้มน้าวให้อวิ๋นเชียนผู้เป็นศิษย์น้องล้มเลิกความคิดที่จะย้ายขึ้นเหนือได้ ส่วนอวิ๋นเชียนแน่นอนว่ายิ่งไม่อาจเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่หญิงของตน รอกระทั่งอวิ๋นเชียนประกาศเรื่องของการย้ายขึ้นเหนือออกไปในวงแคบๆ ฝ่ายในของตำหนักสุ่ยจิงที่มีภูเขาลูกเล็กอยู่มากมายก็เกิดปัญหาขัดแย้งกันเองหลายเรื่อง อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ล้วนได้รับจดหมายลับจากทางศาลบรรพจารย์ ทำให้บรรพจารย์อวิ๋นเชียนเจออุปสรรคขัดขวาง อวิ๋นเชียนที่เป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบจึงกลับไปยังสำนักอวี่หลงภูเขาบ้านของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์หลายคนต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ไม่ค่อยยินดีจะติดตามอวิ๋นเชียนย้ายขึ้นเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับฟู่เค่อที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว บอกว่านางไม่มีทางไปจากสำนักอวี่หลง ได้แต่เนรคุณอาจารย์แล้ว นี่ยิ่งทำให้อวิ๋นเชียนรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม
อวิ๋นเชียนจึงได้แต่ปิดบังร่องรอยมาเยือนเรือนชุนฟานอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง มานั่งลงในห้องโถงประชุมงาน ได้พบกับเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นหยวนและน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
อวิ๋นเชียนไม่เชี่ยวชาญเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่นจริงๆ ตอนที่มานางเป็นกังวลอย่างมาก รอจนนั่งลงแล้วก็ไม่รู้อีกว่าควรจะเปิดปากพูดอย่างไร
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่อยากจะให้บรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงท่านนี้ลำบากใจเกินไป จึงเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยว่า “ศาลบรรพจารย์สำนักอวี่หลงคงจะรู้สึกว่าต่อให้กำแพงเมืองปราณกระบี่รักษาเอาไว้ไม่ได้ ถึงเวลานั้นค่อยมาคุยกันเรื่องการย้ายถิ่นก็ยังไม่ฉุกละหุกเกินไปใช่หรือไม่? เพราะที่ตั้งปฐมสำนักของสำนักอวี่หลงอยู่ห่างจากภูเขาห้อยหัวไปค่อนข้างไกล หากสถานการณ์อันตรายจริงๆ อย่างมากก็แค่เลียนแบบคนในยุทธภพ เก็บของที่สำคัญและห่อสัมภาระใส่ทรัพย์สิน ถึงอย่างไรก็ยังจากไปได้อยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีวัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่ออีกตั้งมากมาย บวกกับจักรวาลในชายแขนเสื้อของเจ้าสำนักพวกเจ้า หากเกิดหนึ่งในหมื่นขึ้นจริงก็ยังมากพอจะรักษาพลังต้นกำเนิดของสำนักเอาไว้ได้”
อวิ๋นเหยียนพยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่เอ่ยอะไร
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยต่อ “ทว่าการย้ายถิ่นฐานตอนนี้เป็นการขยับรากภูเขาเคลื่อนโชคชะตาน้ำ รื้อถอนค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำ หากคิดจะให้กลับคืนมาเป็นแบบเดิมก็ยากแล้ว สรุปก็คือความลำบากมีมาก ไม่คุ้มค่า ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้าย แค่อยู่นิ่งๆ รอดูการเปลี่ยนแปลงดีกว่า นี่ก็คือการตัดสินใจหลังจากที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงผ่านการใคร่ครวญกันมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพลันเอ่ยว่า “เส้าอวิ๋นเหยียนเจ้าดูแคลนคัมภีร์การค้าของสำนักอวี่หลงเกินไป ทุกวันนี้พวกเขาเริ่มทำการกว้านซื้อร้านค้าในภูเขาห้อยหัวเป็นการใหญ่แล้ว ดีนักนะ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกร้านมากมายที่แต่เดิมคิดจะทอดทิ้งกิจการบรรพบุรุษต่างก็ไม่ยินดีลงมือแล้ว สำนักอวี่หลงช่างมีคุณความชอบจริงๆ!”
——