กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 683.2 บนเส้นเส้นหนึ่ง
เส้าอวิ๋นเหยียนมองน่าหลันไฉ่ฮ่วนแวบหนึ่ง น่าหลันไฉ่ฮ่วนเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย พิงพนักเก้าอี้ บอกเป็นนัยแก่เซียนกระบี่เส้าว่าต่อจากนี้นางจะทำตัวเป็นคนใบ้แล้ว
อันที่จริงนี่จะถือเป็นคำพูดไม่น่าฟังอะไรได้ คำพูดทิ่มแทงใจที่แท้จริงนางยังไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเรื่องที่ว่าในสำนักอวี่หลงต้องมีคนที่ฐานะสูงอำนาจหนัก และยังไม่ใช่แค่คนสองคนที่คิดจะทำการค้าครั้งใหญ่ยิ่งกว่ายามที่ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ขุนเขาสายน้ำกำลังจะเปลี่ยนสี อย่าว่าแต่เกาะหลูฮวาที่อวิ๋นเชียนไม่มีหน้าจะช่วงชิงเอามาครองเลย แม้แต่สถานที่อันเป็นสำนักเบื้องล่างซึ่งใบถงทวีปตัดแบ่งออกมาก็ล้วนมีโอกาสทั้งนั้น
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ย “ดูจากตอนนี้ทางฝั่งศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงต้องไม่มีทางย้ายขึ้นเหนือแน่นอนแล้ว การที่ผู้ฝึกตนในสำนักที่คิดจะติดตามสหายอวิ๋นเชียนมีอยู่ไม่กี่คน อันที่จริงจะโทษว่าสายตาพวกเขาตื้นเขินก็คงไม่ถูก กลับกันยังต้องบอกว่าพวกเขาคิดคำนวณได้อย่างแม่นยำต่างหากถึงได้ทำเช่นนี้ ข้อแรกผู้ฝึกตนที่จะติดตามสหายขึ้นเหนือนั้น แต่ละคนล้วนต้องแบกรับข้อครหาว่าคิดจะแบ่งแยกสำนักอวี่หลง หากทางศาลบรรพจารย์เดือดดาลขึ้นมา ศิษย์พี่หญิงของเจ้าออกคำสั่งแค่คำเดียว พวกเขาก็จะเปลี่ยนจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักอักษรจงกลายไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มหนึ่ง นี่ก็คือภัยอันน่ากังวลที่แท้จริงซึ่งอยู่ใกล้ในระยะประชิด”
“ข้อต่อมา ต่อให้ยอมเสี่ยงอันตรายย้ายขึ้นเหนือจริง แต่จะย้ายไปอยู่ที่ไหน? จะไปหาเกาะตระกูลเซียนที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอย่างที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงเจออีกได้อย่างไร? หรือจะให้ไปเช่าที่จากคนอื่น ผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลงต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจตั้งแต่เมื่อไหร่? หากจะให้หาสถานที่สักแห่งที่ปราณวิญญาณบางเบา วันหน้าเวลาผ่านไปร้อยปีพันปี จะต้องถ่วงรั้งอนาคตบนมหามรรคาของผู้ฝึกตนที่ย้ายขึ้นเหนือไว้กี่มากน้อย?”
“ถอยมาหนึ่งก้าว ต่อให้เจอเกาะเซียนนอกทะเลที่พอจะเหมาะสมต่อการฝึกตนอยู่บ้าง ไปสร้างเรือนอยู่ที่นั่น สร้างค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำ ค่าใช้จ่ายจากการที่ต้องใช้สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ขนาดนี้จะไปหามาจากที่ไหน? บรรพจารย์อวิ๋นเชียนขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เชี่ยวชาญการทำการค้า ทรัพย์สมบัติมีอยู่น้อยนิด แล้วนับประสาอะไรกับที่บรรพจารย์อวิ๋นเชียนไร้ความต้องการไร้ปรารถนา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชอบคบหากับใคร ไม่มีเส้นสายพวกพ้อง ติดตามผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีแต่ขอบเขตแต่ไร้ฝีมือในการหาเงินเช่นนี้พลัดถิ่นไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่ใช่การตัดสินใจที่ดี”
อวิ๋นเชียนอึ้งงันไร้คำพูด แม้แต่การพยักหน้าตอบรับก็ยังเว้นไว้
ในที่สุดน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ส่งเสียง “แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยื่นมือมานวดหว่างคิ้ว ก็โชคดีที่เป็นอวิ๋นเชียน หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนอื่น เวลานี้ก็น่าจะจากไปอย่างขุ่นเคืองแล้ว
น่าหลันไฉ่ฮ่วนชำเลืองตามองผู้ฝึกตนหญิงห้าขอบเขตบนที่นิสัยนิ่มนวลไร้ที่พึ่งแล้วถามว่า “อวิ๋นเชียน เจ้าสามารถพาคนไปได้กี่คน?”
อวิ๋นเชียนเอ่ย “หกสิบสองคน ในนั้นมีเซียนดินสามคน”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกล่าว “เยอะขนาดนี้เชียว?”
อวิ๋นเชียนอับอาย
เข้าใจผิดคิดว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดเหน็บแนมอีกครั้ง
แต่อยู่ดีๆ น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็เอ่ยว่า “ข้าสามารถเอาเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งที่ตัวเองสะสมไว้มาให้เจ้ายืมได้”
เส้าอวิ๋นเหยียนประหลาดใจอย่างมาก น่าหลันไฉ่ฮ่วนจะให้อวิ๋นเชียนยืมเงิน เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการที่วางไว้
อวิ๋นเชียนเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ?”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกล่าว “วิถีทางโลกวุ่นวาย เงินล่างภูเขาไม่มีค่า เงินบนภูเขากลับยิ่งมีค่ามากกว่าเดิม ข้ามีเงื่อนไขแค่ข้อเดียว”
อวิ๋นเชียนพยักหน้า “เชิญพูด”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเอ่ย “หากมีวันหนึ่งที่เจ้าอวิ๋นเชียนออกจากสำนักอวี่หลงมาตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ต้องให้ข้าเป็นเจ้าสำนัก วางใจเถอะ ถึงเวลานั้นข้าต้องเป็นเซียนกระบี่แล้วแน่นอน หากไม่มีวันนั้น เจ้ายังคงยึดมั่นสถานะของผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักอวี่หลงเอาไว้ไม่ยอมวาง หนึ่งร้อยปีให้หลัง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ค่อยคืนเงินให้ข้าตามกฎของบนภูเขา”
อวิ๋นเชียนครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้า “ตกลงตามนี้!”
ในที่สุดก็พอจะมีความกล้าหาญอย่างที่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสมควรมีบ้างแล้ว
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้ว่าผู้ฝึกตนอย่างอวิ๋นเชียนนี้ คือคนที่เกิดมาก็เหมาะกับการนั่งอยู่ในอันดับรอง ไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนัก
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหันหน้ามายิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เส้า หากมีโอกาสก็มาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง เป็นอย่างไร?”
เส้าอวิ๋นเหยียนตอบอย่างไม่ลังเล “ได้สิ”
ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เรือนชุนฟานเช่นนี้ ไม่เหมือนเวลาปกติทั่วไป เดิมทีเส้าอวิ๋นเหยียนก็เป็นเซียนกระบี่ที่คบหาสหายกว้างขวางอยู่แล้ว แม้ว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนจะทำการค้าอย่างเจ้าเล่ห์จนขาดคุณธรรม แต่ในอนาคตเมื่อไปก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลก็จำเป็นต้องให้คนอย่างนางมาควบคุมสถานการณ์ใหญ่จริงๆ
ในใจของอวิ๋นเชียนพอจะสบายใจได้บ้างแล้ว
ชื่อเสียงของเส้าอวิ๋นเหยียนในภูเขาห้อยหัวนั้นดีมาก ไม่สามารถมองง่ายๆ แค่ว่าเขาเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่พอเป็นช่วงเวลาที่ตัดสินเป็นตายก็จะยิ่งเห็นนิสัยใจคอกันและกัน เรือนชุนฟานยินดีที่จะใกล้ชิดกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นนี้ นิสัยของเซียนกระบี่เส้าเป็นอย่างไร แค่มองก็รู้ชัดเจนแล้ว เมื่อเทียบกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เก่งกาจด้านการหาเงินแล้ว อันที่จริงในใจของอวิ๋นเชียนเชื่อมั่นในตัวเส้าอวิ๋นเหยียนมากกว่า
น่ากลันไฉ่ฮ่วนกล่าว “ข้าทำการค้าเสร็จแล้ว พี่เส้าเชิญเจ้าพูดธุระสำคัญต่อ”
เส้าอวิ๋นเหยียนจนใจกับคำเรียกขานของน่าหลันไฉ่ฮ่วน ได้แต่เอ่ยกับอวิ๋นเชียนว่า “ครั้งสุดท้ายที่ใต้เท้าอิ่นกวานมาเยือนเรือนชุนฟาน ได้บอกว่าหากการย้ายขึ้นเหนือของสหายอวิ๋นเชียนมีอุปสรรค ยังมีวิธีที่พบกันครึ่งทางอีกวิธีหนึ่ง สหายอวิ๋นเชียนสามารถไปเยือนศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงอีกครั้ง แล้วบอกว่ายินดีจะนำพาลูกศิษย์ในสำนักกลุ่มหนึ่งออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกสักครั้ง ใช้เวลาประมาณห้าหกปี แล้วขอเงินเทพเซียนจากศิษย์พี่หญิงมาสักก้อนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพาคนออกเดินทาง แน่นอนว่าจำนวนจะมากเกินไปไม่ได้ นอกจากจะไปเยือนร่องเจียวหลงแล้วยังมีพื้นที่ลับตระกูลเซียนอีกมาก ยกตัวอย่างเช่นยังจะไปเยือนเกาะหลูฮวา ไปเยี่ยมชมถ้ำแห่งวาสนา ตามหาวาสนาแห่งเซียนยุคโบราณ ผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนดินลงไป ใครที่เต็มใจก็ล้วนสามารถติดตามไปได้ นอกจากนี้ยังจะไปเยือนสถานที่อย่างพวกหินพักมังกรด้วย”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มเอ่ยว่า “เดิมทีใต้เท้าอิ่นกวานนึกว่าสหายอวิ๋นเชียนจะพาคนไปได้แค่สามสิบคน คิดไม่ถึงว่าจะเพิ่มเป็นเท่าตัว นี่กลับจะกลายเป็นปัญหาเล็กๆ แล้ว หากคนทั้งหกสิบสองคนออกไปจากสำนักอวี่หลงและตำหนักสุ่ยจิงพร้อมกัน ศิษย์พี่หญิงของสหายอวิ๋นเชียน รวมไปถึงศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงก็อาจจะวางหน้ากันไม่ถูก”
อวิ๋นเชียนตกอยู่ในสภาวะยากจะตัดสินใจอีกครั้ง
น่าหลันไฉ่ฮ่วนทนเห็นความไม่เอาไหนไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ไม่ได้ ผู้ฝึกตนบางคนก็เหมาะกับการตั้งใจถามมรรคาอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ นางจึงอดไม่ไหวเปิดปากพูดว่า “นี่จะยากอะไร เจ้าก็แค่ตำหนิตัวเองที่ศาลบรรพจารย์สักรอบ บอกว่าล้มเลิกความคิดเหลวไหลอย่างการย้ายถิ่นขึ้นเหนือแล้ว ยินดีจะทำความดีชดใช้ความผิด ทำหน้าที่ของบรรพจารย์ให้กับเหล่าลูกศิษย์ในสำนักอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็ให้พวกผู้ฝึกตนที่เดิมทีก็ยินดีติดตามเจ้าย้ายขึ้นเหนือหาข้ออ้างน่าฟังสักหน่อยแล้วนั่งเรือข้ามทวีปของพวกทักษินาตยทวีป แจกันสมบัติทวีปออกไป ยกตัวอย่างเช่นป่าวประกาศแก่คนนอกว่าจะออกไปท่องเที่ยวพบปะสหาย จำไว้ว่าจะต้องให้พวกเขาแยกกันไปทีละชุด อีกทั้งคนกลุ่มนี้จำเป็นต้องเดินทางไปก่อน สามวันห้าวันให้ออกกันไปสักสี่ห้าคน ไม่กระโตกกระตากโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของศิษย์พี่หญิงเจ้า รอให้เจ้าพาทุกคนออกเดินทางไปไกลแล้วต้องแอบกักบริเวณพวกเขาเอาไว้แน่นอน เรื่องแบบนี้นางทำได้ลงแน่”
อวิ๋นเชียนพยักหน้ารับเบาๆ
หลังจากที่ตกลงเรื่องการค้าระยะเวลาร้อยปีเสร็จ น่าหลันไฉ่ฮ่วนมองท่าทางซื่อบื้อนิ่มนวลของอวิ๋นเชียนอีกครั้งก็พลันรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่นเช่นนี้ต่างหากถึงจะไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหาให้แก่เจ้าสำนัก ภูเขาตระกูลเซียนในใต้หล้าไพศาลที่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนกันเองมีอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นมีผู้ฝึกตนขอบเขตสูงจนกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งบนภูเขาแล้วก็พลันเกิดความทะเยอทะยาน บ้าอำนาจอย่างหน้ามืดตามัว จึงเกิดการแก่งแย่งกันในสำนักขึ้นมา
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ย “การลงมือครึกโครม รื้อบ้านถอนเรือนย้ายถิ่นไปอยู่เหนือ อันที่จริงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหาใช่ต้นเหตุไม่ สามเรื่องที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วใต้เท้าอิ่นกวานคิดถึงมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นพวกเราสองฝ่ายไม่เคยพูดคุยกันอย่างเปิดใจ กังวลว่าสหายอวิ๋นเชียนจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรามีเจตนาไม่ดี ดังนั้นจึงไม่เหมาะจะพูดตรงๆ ตอนนั้นผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการก็หนีไม่พ้นแค่อยากจะช่วยให้สหายอวิ๋นเชียนรักษาเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงเอาไว้เท่านั้น เพียงแต่ใต้เท้าอิ่นกวานก็เป็นกังวลว่าเรื่องของการย้ายถิ่นไม่มีแผนการดีๆ อะไรให้ใช้ จึงได้แต่ลองใช้แผนชั้นเลวที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแทน เรื่องที่ข้าจะพูดต่อจากนี้ก็ขอให้สหายอวิ๋นเชียนใคร่ครวญให้ดี คำว่าท่องเที่ยวหาประสบการณ์ แน่นอนว่าเป็นเรื่องหลอก ล้มเลิกความคิดที่จะย้ายขึ้นเหนือกลับเป็นเรื่องจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้สำนักอวี่หลงวางใจปล่อยพวกเจ้าไปได้”
เส้าอวิ๋นเหยียนพูดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที
อวิ๋นเชียนมีสีหน้าแน่วนิ่งตั้งใจ “ขอเซียนกระบี่เส้าช่วยไขข้อข้องใจแก่ข้าด้วย”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “หลังจากที่พวกเจ้าเดินทางผ่านถ้ำแห่งโชควาสนาของเกาะหลูฮวาแล้วให้ตรงไปที่ตะวันออก สุดท้ายขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีป ในจดหมายของอิ่นกวานก่อนหน้านี้มีคำว่า ‘ขุนเขาเขียวยังมีฟืน’ ทั้งเป็นความหมายที่ว่าเมื่อยังมีขุนเขาเขียวอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีฟืนให้จุดไฟ แล้วก็มีความหมายที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคือฟืนอยู่บนเขาเขียวไม่ได้อยู่ในน้ำ จากนั้นสหายอวิ๋นเจ้ากับลูกศิษย์ในสำนักก็จะมีสามทางเลือก ข้อแรกไปหาเทียนจวินผู้เฒ่าที่ภูเขาไท่ผิง บอกไปว่าเจ้าเป็นสหายของ ‘เฉินผิงอัน’”
“จากนั้นก็เดินทางขึ้นเหนือไปตลอดทาง ข้ามทวีปขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่า ไปตามหาฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินแห่งขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้สกุลซ่งต้าหลีกำลังทำการเปิดเส้นทางลำน้ำใหญ่ ผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลงเชี่ยวชาญเวทน้ำ ทั้งสามารถขัดเกลาตบะในการฝึกตน แล้วยังสะสมความสัมพันธ์ควันธูปได้ครั้งหนึ่ง เมื่อทำเรื่องนี้สำเร็จแล้วก็ให้เดินทางขึ้นเหนือของแจกันสมบัติทวีปต่อไป ขึ้นเรือของสำนักพีหมาจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว มุ่งหน้าไปที่ชายหาดโครงกระดูก จากนั้นก็นั่งเรือของสวนน้ำค้างวสันต์ เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกรที่อยู่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีป นั่นเป็นสถานที่ที่สามฝ่ายอย่างสำนักมังกรน้ำ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและสกุลหยางตำหนักนภากาศครอบครองร่วมกัน ในบรรดาสามฝ่ายนี้ก็มีหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่และเสิ่นหลินเหนียงเนียงเทพวารีแห่งตำหนักวารีหนันซวินที่ต่างก็เป็นเพื่อนรักของใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเจ้าสามารถเลือกไปลงหลักฝึกตนอยู่ที่เกาะเป็ดน้ำเกาะหนึ่งในนั้น ต่อให้จะยืมเช่าที่พักพักอยู่ร้อยปีก็ยังไม่เป็นปัญหา ส่วนข้อที่ว่าสุดท้ายแล้วสหายอวิ๋นเชียนเจ้าจะยินดีลงหลักปักฐานที่ใด จะพึ่งพาภูเขาไท่ผิงหรือไปก่อตั้งจวนอยู่ที่ริมลำน้ำใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป หรือจะไปอยู่ที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรที่โชคชะตาน้ำเข้มข้น ก็ล้วนดูที่โชควาสนาบนมรรคาทั้งสิ้น”
เส้าอวิ๋นเหยียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเคยบอกว่าถึงอย่างไรการเดินทางครั้งนี้ก็ต้องระหกระเหิน ไม่มีทางราบรื่นได้แน่นอน บางครั้งอาจต้องคอยมองดูสีหน้าคนอื่น จึงยังต้องให้ผู้อาวุโสอวิ๋นเชียนคอยสังเกตดูการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของลูกศิษย์ในสำนักให้มาก คอยคลายปมในใจให้พวกเขาบ่อยๆ”
อวิ๋นเชียนชำเลืองตามองเก้าอี้ตำแหน่งประธานในห้องโถงตัวนั้นแล้วถามว่า “สุดท้ายข้ามีแค่คำถามเดียว ขอเซียนกระบี่เส้าและสหายน่าหลันโปรดบอกทีว่า เหตุใดใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นถึงยินดีทำเรื่องนี้?”
เส้าอวิ่นเหยียนยิ้มอย่างเข้าใจ “บอกตามตรง ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะความรู้สึกที่ใต้เท้าอิ่นกวานมีต่อสำนักอวี่หลงนั้น…ธรรมดามาก”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกลับพูดอย่างโผงผาง “ข้ากล้าบอกเลยว่าไอ้หมอนั่นต้องทั้งกำลังช่วยคนอื่น แล้วก็ยิ่งช่วยเหลือตัวเอง คนหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีศัตรูคู่แค้นย่อมไม่มีทางประสบผลสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้ ไม่มีจิตแห่งมรรคาได้อย่างทุกวันนี้แน่นอน!”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยหยอกเย้า “โชคดีที่เหวินหลงไม่ใช่คนขี้ฟ้อง หมี่อวี้ก็ถูกเจ้ารังแกจนชินแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความใจแคบของใต้เท้าอิ่นกวาน หึหึ”
อยู่ดีๆ น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็จ้องหน้าอวิ๋นเชียนเขม็ง
อวิ๋นเชียนมึนงงไม่เข้าใจ
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพลันยิ้มกว้าง “สำนักอวี่หลงของพวกเจ้ามีผู้ฝึกตนหญิงเยอะ”
อวิ๋นเชียนไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงพูดเช่นนี้
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดเองขำเอง “ยังดีๆ ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคนนั้น อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องการปฏิบัติต่อสตรี แต่ไหนแต่ไรมาก็ยึดหลักเคารพอยู่ห่างๆ ยิ่งหน้าตางดงามก็ยิ่งอยู่ห่างไกลเท่านั้น”
เส้าอวิ่นเหยียนไม่ต้องการให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดจาเหลวไหลต่อ จึงลุกขึ้นกุมหมัด “ขออวยพรล่วงหน้าให้สหายอวิ๋นเดินทางไกลปลอดภัยราบรื่น”
อวิ๋นเชียนลุกขึ้นยืน คารวะกลับคืน “บุญคุณที่ช่วยวางแผนให้ของเซียนกระบี่เส้า บุญคุณที่ให้ยืมเงินของสหายน่าหลัน อวิ๋นเชียนจดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
หลังจากที่อวิ๋นเชียนจากไป
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกับเส้าอวิ๋นเหยียนก็เดินไปที่ห้องบัญชีด้วยกัน นางถามว่า “สถานการณ์ที่บ้านเกิดของเฉินผิงอัน เจ้ารู้บ้างหรือไม่?”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า
เขากำลังคิดเรื่องหนึ่ง หากอิงตามการคาดการณ์ของอิ่นกวานหนุ่ม สุดท้ายมองดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่อวิ๋นเชียนและผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลงจะเลือกสถานที่เป็นใบถงทวีปมีน้อยที่สุด แต่แท้จริงแล้วกลับมีมากที่สุด
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก พื้นที่ของใบถงทวีปส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจายแตกแยก มีกองกำลังตระกูลเซียนอยู่มากมาย ไม่สมัครสมานรวมเป็นหนึ่ง เพียงแต่ว่าอีกสองทวีปที่เหลือ อวิ๋นเชียนล้วนต้องลองไปเยือนดูก่อน
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพูดอย่างฉุนๆ ปนขำ “ข้ากับเฉินผิงอันไม่ใช่มิตรและไม่ใช่ศัตรู เจ้าพูดไปก็ไม่ตายสักหน่อย อย่าลืมล่ะว่าวันหน้าพวกเราอาจต้องเป็นคนบนภูเขาลูกเดียวกันแล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “จะเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันหรือไม่ ล้วนดูที่ความชอบของใครของมัน ส่วนจะเป็นศัตรูนั้น ข้าว่าอย่าดีกว่า”
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้เรื่องของเฉินผิงอันไม่น้อยจริงๆ
เพราะเส้าอวิ๋นเหยียนได้ติดตามลู่จือและถัวเหยียนฮูหยินไปที่ทักษินาตยทวีป เฉินผิงอันหวังให้เส้าอวิ๋นเหยียนไปพบหลิวเสี้ยนหยางที่ทักษินาตยทวีปสักครั้ง ส่วนเหวยเหวินหลงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาก็ต้องกลายเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วอย่างแน่นอนแล้ว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเปิดเผยจริงใจต่อกันอย่างมาก ครั้งสุดท้ายที่เฉินผิงอันปรากฎตัวที่เรือนชุนฟานจึงเล่าเรื่องวงในของบ้านเกิดให้เขาฟังหลายเรื่อง
——