กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 684.1 มีที่ใดที่ไม่ถามกระบี่
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหาร่องรอยของมือกระบี่ชุดเขียวคนนั้นเจอแล้ว แต่กลับถูกคุณชายรูปงามตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนหนึ่งพลิ้วกายมาขัดขวางอยู่เบื้องหน้ามือกระบี่ชุดเขียวคนนั้น เขายื่นฝ่ามือออกมาสกัดบังแสงกระบี่ทั้งหมดจากเว่ยจิ้น สะบัดข้อมือเบาๆ ฝ่ามือที่เดิมทีไหม้เกรียมไปแล้ว เห็นเพียงว่าชั่วพริบตาก็กลับคืนมาเป็นปกติ
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนนี้มีตำแหน่งที่นั่งไม่สูงไม่ต่ำอยู่ในบ่อโบราณ ใช้นามแฝงว่าชิงฮวา
ใบหน้างามประณีตที่ล่อลวงสตรีได้มากมายนั้น หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าล้วนเกิดจากผิวหน้าคนที่เขานำมาประกบประกอบกัน
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเศษซากจิตวิญญาณของเซียนกระบี่และกระบี่บินที่แตกหักเสียหายเอาไว้นับไม่ถ้วน
ปีศาจใหญ่ชิงฮวายิ้มเอ่ยกับมือกระบี่หนุ่มที่เป็นอันดับหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ด้านหลังคนนั้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก เล่นสนุกพอแล้วหรือยัง?”
มือกระบี่หนุ่มพยักหน้าเอ่ย “ท่านเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
ปีศาจใหญ่สกัดขวางอีกกระบี่หนึ่งที่ส่งมาไกลๆ จากเซียนกระบี่ท่านนั้นได้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสองกระบี่ของเว่ยจิ้นทยอยชำระล้างผ่านไป ชิงฮวาก็มาลอยตัวอยู่เหนือหลุมใหญ่แห่งหนึ่งนานแล้ว เขาพูดเสียงแผ่วเบาน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จะให้ศิษย์พี่ระวังอะไรอีก? ระวังมากพอแล้ว นี่ก็ยังไม่ทันได้ไปหาเฉินชิงตูเลยไม่ใช่หรือ?”
ลู่จือขี่กระบี่มาถึง เอ่ยกับเว่ยจิ้นว่า “เจ้าตามไปไล่ฆ่าต่อเถอะ เจ้าคนอ้อนแอ้นราวกับสตรีผู้นี้มอบให้ข้าจัดการเอง”
ชิงฮวายิ้มมองสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ที่ใบหน้าเละไปครึ่งหน้า “นี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ที่งามล่มบ้านล่มเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้นน่ะหรือ?”
ลู่จือไม่เอ่ยถ้อยคำ แต่ใช้กระบี่ตอบแทน
ปลายสุดด้านหนึ่งของกำแพงเมือง ภิกษุที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดคนนั้นเหมือนพระพุทธองค์ร่างทองที่ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างอาสนะดอกบัว
จีวรที่สวมห่มอยู่บนร่างอริยะลัทธิพุทธที่มีรูปโฉมเป็นคนวัยกลางคนลอยตัวถอดออกมาด้วยตัวเอง ฝ่ามือที่ไร้นิ้วทั้งสิบประคองจีวรผืนนั้นไว้กลางอากาศเบาๆ แล้วทันใดนั้นมันก็ขยายใหญ่ดุจทะเลเมฆ พริบตาเดียวก็ม้วนลมหอบเมฆ ยิ่งนานจีวรก็ยิ่งขยายใหญ่ แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธะส่องสว่างไปทั่วโลกมนุษย์
สุดท้ายจีวรทะเลเมฆที่กลบฟ้าบังดิน แสงเรืองรองขยายไกลหมื่นจั้งก็พลันร่วงลงปกคลุมสนามรบนอกหัวกำแพงเมืองเอาไว้ ก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่พากันไปแนบฝังติดกายของผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ภิกษุนั่งขัดสมาธิ เบื้องหน้าปรากฏตะเกียงดอกบัวดวงหนึ่ง มีธูปอยู่หนึ่งก้าน
จากนั้นภายในเวลาหนึ่งก้านธูป อาการบาดเจ็บไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ของเหล่าผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบก็ล้วนถูกย้ายมาที่ตัวภิกษุทั้งสิ้น
บนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เคยมีตัวอักษรบนตราประทับชิ้นหนึ่งที่อิ่นกวานหนุ่มคัดลอกมากจากใต้หล้าไพศาล
‘ทีปังกรพุทธเจ้าลงมาจุติเผชิญวัฏสังสารในสหัสโลกธาตุ’
เมื่อธูปหนึ่งก้านเผาไหม้หมดสิ้น ภิกษุก็พนมนิ้วทั้งสิบ แหงนหน้ามองไป ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ สิ้นชีพลงโดยพลัน
เพียงแต่ว่าแสงไฟในตะเกียงเบื้องหน้ายังคงอยู่ ไม่เพียงเท่านี้ กลับยิ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้ามากกว่าเดิม
อริยะสามลัทธิที่อยู่ที่นี่ ตั้งแต่ต้นจนจบ แท้จริงแล้วภิกษุท่านนี้ล้วนทำการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นว่าอริยะลัทธิพุทธท่านนี้ยอมเผาผลาญชะตาชีวิตเพื่อผลัดฟ้าเปลี่ยนดิน ช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่สยบใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ร่วมกับอริยะอีกสองท่านที่เหลือสร้างแม่น้ำยาวสีทองขึ้นมา สะบัดแมลงสิงโตบนร่าง (เปรียบเปรยถึงพระธรรม) ตัดนิ้วทั้งสิบ ถอดจีวร ปกป้องผู้ฝึกกระบี่…
การเข่นฆ่าอันโหดร้ายทารุณจากศึกโจมตีเมืองครั้งนี้ เลือดนองเป็นสายน้ำ บวกกับภาพหวงหลิวจวี้จินของอริยะลัทธิขงจื๊อ กุญแจสำคัญคือมีวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธปกคลุมสนามรบ
อู๋เฉิงเพ่ยที่หล่อเลี้ยงกระบี่มาอย่างยาวนานจนรู้สึกว่านานมากๆ นานเกินไปแล้ว ในที่สุดก็ปลดปล่อยน้ำค้างหวานกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาอย่างเต็มกำลัง
น้ำค้างหวานเล่มนี้ ในคำประเมินหัวข้อวิชาอภินิหารของกระบี่บินจากคฤหาสน์หลบร้อน อยู่ในสามอันดับแรก
สนามรบนอกหัวกำแพงเมือง เผ่าปีศาจที่มีนับพันนับหมื่นถูกฝนเลือดสดๆ ที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินปกคลุมไว้ภายใน พริบตาเดียวเลือดเนื้อก็ถูกกรีดเฉือน กระดูกถูกกลืนกิน หยาดฝนทุกเม็ดที่แฝงไว้ด้วยปณิธานกระบี่ของน้ำค้างหวานล้วนบดขยี้ไปถึงจิตวิญญาณของพวกมัน
บัลลังก์ของปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งมีตำแหน่งอยู่ด้านหน้าสุด เพียงแต่ว่ายังอยู่ห่างจากสนามรบของสามฝ่ายอย่างอาเหลียง เฉินซีและฉีถิงจี้ไปไกลสักหน่อย
บนบัลลังก์ที่ประกอบขึ้นจากกระดูกขาวโพลนหลายสิบล้านชิ้น ปีศาจใหญ่ที่มีแต่กระดูกขาวใสราวกับหยกขาว บนกายไม่มีเลือดเนื้อแม้แต่น้อยตนนี้ยังคงเหยียบหัวกะโหลกนั้นไว้ใต้ฝ่าเท้าอยู่ดังเดิม
เมื่อมองเห็นอู๋เฉิงเพ่ยที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ป๋ายอิ๋งก็เตะหัวกะโหลกนั้นออกไปไกล ลุกขึ้นยืน มองม่านฝนที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศผืนนั้นด้วยความสนใจ
ป๋ายอิ๋งดึงสายตากลับมาเล็กน้อย บนสนามรบมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ ที่น่าสงสารคนหนึ่งแขนขาดไปข้างหนึ่ง ไม่เพียงแต่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ข้อเท้าข้างหนึ่งยังถูกปาดออกไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้อ้อมค่ายกลกระบี่สามแห่งที่พวกฉีถิงจี้สร้างไว้ออกมา จากนั้นก็ตรงดิ่งมาที่บัลลังก์ราชาแห่งนี้
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหยุดยืนนิ่ง คุมเชิงอยู่กับบัลลังก์กระดูก ยกกระบี่ยาวขึ้น แต่กลับไม่มองป๋ายอิ๋ง จ้องเขม็งไปที่ศีรษะนั้นแทน แล้วเอ่ยว่า “สายของกวนจ้าว กระบี่สุดท้ายของผู้ฝึกกระบี่เกาขุย ขอถามกระบี่แก่บรรพจารย์”
ป๋ายอิ๋งชำเลืองตามองศีรษะที่อยู่บนพื้นแล้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าว่าช่างเถิดนะ ฝ่ามือเดียวตบให้เจ้าตายก็พอแล้ว จะได้ให้พวกเจ้าสองศิษย์ลูกศิษย์หลานไปอยู่เป็นเพื่อนกัน”
ชุดคลุมยาวสีเทาที่ด้านในว่างเปล่าไร้คนพลิ้วกายมาถึง แล้วลดตัวลงบนบัลลังก์กระดูกอย่างเชื่องช้า
เมื่อมันปรากฏตัว ป๋ายอิ๋งก็รีบนั่งกลับไปที่เดิมทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ชุดคลุมยาวสีเทาหยุดยืนอยู่ริมขอบของบัลลังก์
ห่างไปไกลก็คือเกาขุยที่ต้องการจะถามกระบี่เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
น้ำเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น “กวนจ้าวรับกระบี่”
……
บัลลังก์ปีศาจใหญ่สองแห่งที่ลอยอยู่ติดกัน คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ล้วนมีรูปโฉมเป็นสตรี
ปีศาจใหญ่หย่างจื่อเผยกายด้วยร่างจริง หัวเป็นคนร่างเป็นเจียว บนศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิ บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีดำ นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร หางเจียวยาวใหญ่ยักษ์ส่ายสะบัดอยู่บนพื้น
ข้างกันคือปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ใช้นามแฝงว่าเฟยเฟย ไม่ได้เผยร่างจริง รูปโฉมอ่อนเยาว์ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีแดงฉาน เส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนนับพันเส้นบนชุดคลุมอาคม แต่ละเส้นล้วนเป็นลำธารแม่น้ำที่ถูกนางจับมาหล่อหลอม บนข้อมือของนางสวมกำไลข้อมือที่หลอมมาจากไข่มุกแห่งชะตาชีวิตของพวกเผ่าพันธ์เจียวหลง บนเท้าสวมรองเท้าปักลาย ปลายรองเท้ามีไข่มุกเม็ดใหญ่ประดับอยู่สองเม็ด
หย่างจื่อเพิ่งจะถอยออกมาจากสนามรบ นางโดนกระบี่ของฉีถิงจี้ไปจังๆ ทีหนึ่ง เวลานี้จึงจำต้องเผยร่างจริงเพื่อรักษาบาดแผล
การฝึกตนของเผ่าปีศาจ จำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่อไหร่ก็จะเดินขึ้นเขาได้เร็วเท่านั้น แต่เรื่องของการรักษาบาดแผลกลับยังต้องคืนสู่ร่างจริงก่อน บาดแผลถึงจะประสานตัวได้เร็วยิ่งกว่า
สายตาของหย่างจื่อมืดมน จ้องไปยังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลนั้นเขม็ง ฉีถิงจี้ที่ยึดครองสนามรบกว้างขวางคือเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ได้สลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่ากลับห่มเนื้อหนังด้วยรูปลักษณ์ของชายหนุ่มรูปงาม หากอิงตามการอนุมานช่วงแรกเริ่มสุดของภูเขาทัวเยว่ ฉีถิงจี้ผู้นี้จิตใจทะเยอทะยานสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า ย่อมไม่มีทางยินดีพาตัวมาตายอย่างแน่นอน จะต้องติดตามเซียวสวิ้นทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญจะออกกระบี่โจมตีเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่ง เหมือนที่เซียวสวิ้นปล่อยหมัดแว้งกัดจั่วโย่ว
คิดไม่ถึงว่าฉีถิงจี้จะเปลี่ยนใจกะทันหัน ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้ ขอแค่ฉีถิงจี้ยินดีออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่สามารถสังหารเขาได้ก็มีเพียงเฉินชิงตูเท่านั้น แต่หากเฉินชิงตูเลือกจะออกกระบี่ บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ที่เลือกจะนิ่งดูดายอยู่ที่กระโจมเจี่ยจื่อมาโดยตลอดผู้นั้นก็จะลงมือเช่นกัน คำอธิบายเพียงอย่างเดียวก็คือเฉินชิงตูมอบอนาคตบนมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้กับฉีถิงจี้
เฟยเฟยลอยตัวอยู่ข้างบัลลังก์มังกร เมื่อเทียบกับปีศาจใหญ่หย่างจื่อที่หัวเป็นคนร่างเป็นเจียวแล้ว ร่างของเฟยเฟยจึงดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด นางชำเลืองตามองคนหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ของบัลลังก์มังกรแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ให้คนหนึ่งในนั้น จากนั้นนางก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับหย่างจื่อว่า “เจ้าตรวจตราการศึกได้ไม่รอบคอบมากพอ จึงมีความผิดติดตัว ไม่คิดจะแสดงท่าทีบ้างเลยหรือ? เจ้าลองดูหวงหลวนผู้นั้นสิ รู้จักกาลเทศะดียิ่งนัก”
สีหน้าของหย่างจื่อยิ่งไม่น่ามอง หางเจียวที่เลื้อยอยู่บนพื้นดินยกขึ้นตบพื้นเบาๆ พื้นดินในรัศมีร้อยจั้งรอบด้านก็สั่นสะเทือนปริแตก
สภาพการณ์ของนางกับหวงหลวนนั้น ทุกวันนี้เรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
หย่างจื่อเคยเป็นผู้ครองแม่น้ำเย่ลั่ว แน่นอนว่าต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคากับคนอย่างเฟยเฟย เพียงแต่ว่าภายใต้การเป็นพยานของภูเขาทัวเยว่ หย่างจื่อได้มอบน่านน้ำของแม่น้ำเย่ลั่วทั้งสายให้แก่เฟยเฟยไปแล้ว
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ในช่วงเวลาที่จะได้รวบรวมชะตาน้ำของใต้หล้าไพศาลมาอย่างกำเริบเสิบสาน เฟยเฟยจะต้องช่วยให้หย่างจื่อเป็นผู้ครอบครองด้านล่างภูเขาของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาล หย่างจื่อต้องการเป็นนายหญิงของราชวงศ์น้อยใหญ่และจักรพรรดิทุกคนในโลกมนุษย์ การแต่งตั้งห้าขุนเขา ควันธูปในโลกมนุษย์ ความเป็นความตายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การโคจรโชคชะตาบู๊ ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดคำเดียวของนาง
และหย่างจื่อเองก็ต้องทำความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฟยเฟยให้เป็นจริง นั่นก็คือให้เฟยเฟยได้กินมังกรตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อชดเชยมหามรรคา ในอนาคตโชคชะตาน้ำทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้าไพศาลล้วนต้องอยู่ในการควบคุมของเฟยเฟย
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายที่ช่วงชิงกันบนมหามรรคาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา จึงได้กลายมาเป็นพันธมิตรที่จะให้การช่วยเหลือกันและกันในอนาคต
บนที่เท้าแขนบัลลังก์มังกรใหญ่ยักษ์มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกระโจมเจี่ยเซินสองคนยืนอยู่ นั่นคืออวี่ซื่อและเด็กหนุ่มจวินทาน
หลังจากผ่านการล้อมสังหารครั้งนั้นมา อวี่ซื่อถึงได้รู้ว่าที่แท้จวินทานก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่างจื่อ
ส่วนจวินทานก็ยิ่งเพิ่งรู้ว่า อวี่ซื่อกลับถูกเฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เรียกขานว่า ‘คุณชาย’
หลังจากนั้นมาบรรยากาศในกระโจมเจี่ยเซินก็แปลกประหลาดไปเล็กน้อย
นอกจากมู่จีแล้ว เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ยากที่จะอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วยจิตใจที่สงบนิ่งได้อีก สายตาที่ทุกคนมองพวกเขามีความหวาดกลัวยำเกรงที่ไม่อาจควบคุมและยากจะปิดบังเพิ่มเข้ามาอีกหลายส่วน
ดังนั้นวันนี้ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคนจึงนัดหมายกันมาผ่อนคลายจิตใจที่นี่
จวินทานเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นร่องรอยของเฉินผิงอันเลย”
อวี่ซื่อพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยากที่จะหาโอกาสแก้แค้นให้หลิวป๋ายได้แล้ว”
อวี่ซื่อสวมชุดคลุมอาคมสีดำ แต่กลับใช้ผ้าแพรต่วนสีขาวรัดมวยผม ดำขาวแบ่งแยกกันชัดเจน เปี่ยมไปด้วยมาดสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม
จวินทานมีสีหน้าหม่นหมอง “พี่หญิงหลิวป๋ายเปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่แล้ว เพียงแต่ว่าจิตแห่งกระบี่ไม่ค่อยมั่นคงนัก”
อวี่ซื่อคุกเข่าลงข้างเดียว ทอดสายตามองไกลไปบนสนามรบ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็คงยากจะรักษาจิตแห่งกระบี่ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้เหมือนเมื่อก่อนเช่นกัน”
จวินทานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ข้าจะต้องฆ่าเฉินผิงอันให้ได้!”
อวี่ซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รวมข้าไปด้วยคนหนึ่ง”
เขาหันหน้าไปมองปีศาจใหญ่เฟยเฟย
นางยิ้มเอ่ย “รอให้ทุบรั้วผุๆ นั่นให้เละได้เมื่อไหร่ ข้าจะช่วยคุณชายตามหาตัวอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเอง”
หย่างจื่อลังเลอยู่นาน นางมองไปทางหัวกำแพงเมืองแวบหนึ่ง ภาพหวงหลิวจวี้จินที่อริยะลัทธิขงจื๊อร่ายออกมาเป็นเหตุให้มีกระแสน้ำไหลบ่าทะลักจากหัวกำแพงลงมาที่สนามรบไม่ขาดสาย ขัดขวางการโจมตีเมืองที่เป็นดั่งฝูงมดรุมไต่กำแพงของเผ่าปีศาจเอาไว้
นางหยิบม้วนภาพหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อด้วยความอาลัยอาวรณ์
ในฐานะอดีตผู้ครอบครองแม่น้ำเย่ลั่ว ก่อนจะมอบน่านน้ำแม่น้ำเย่ลั่วออกไป นางได้หล่อหลอมแม่น้ำยาวหมื่นลี้ทั้งหมดสามเส้น เส้นหนึ่งในนั้นคือคลองอู๋ติ้ง มีโครงกระดูกขาวและดวงวิญญาณมากมายมารวมตัวกันอยู่ภายใน
หย่างจื่อโยนม้วนภาพไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หลบพ้นกระบี่บินหลายสิบเล่มของผู้ฝึกกระบี่มาได้ ก่อนที่ภาพนั้นจะกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ตามมาด้วยน้ำของลำคลองอู๋ติ้งที่ไหลบ่าออกมาปะทะกับหวงหลิวจวี้จิน ทันใดนั้นลูกคลื่นพันชั้นก็ก่อตัวถาโถม
——