กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 686.1 อิสระและการเดินทางไกล
หลิวชาที่สะพายกระบี่พกดาบมองดูคล้ายจอมยุทธพเนจรเคราดกคนหนึ่ง เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายของผู้เฒ่าชุดเทา ถามว่า “ตัวอักษรบนกำแพงเมืองเหล่านั้น จะไม่ไปแตะต้องพวกมันหรือ?”
กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งตกมาอยู่ในมือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว อีกไม่นานก็ต้องถูกบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ผู้นี้หล่อหลอมอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นจะชดเชยมหามรรคาของเขาได้อีกหนึ่งส่วน
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “ปล่อยมันไว้เถอะ พวกเทพเซียนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลไม่รู้จักเคารพพวกผู้แข็งแกร่ง ก็ให้พวกเราทำหน้าที่นี้กันเอง”
เซียนกระบี่โซ่วเฉินขี่กระบี่มาถึง เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ล้วนจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ผู้ฝึกกระบี่บางคนที่ไม่ได้อยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูล เนื่องจากมีคุณความชอบในการสู้รบอยู่บ้างจึงไม่พอใจกับเรื่องนี้ ถูกข้าสังหารทิ้งไปสามคนถึงได้ยอมหยุดแต่โดยดี”
ตัวอ่อนเซียนกระบี่จากกระโจมเจี่ยเซินหลายคนซึ่งรวมถึงหลีเจินเป็นหนึ่งในนั้นก็มาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่ด้วย
หลีเจินยิ้มเอ่ย “นิสัยแย่ๆ จะปล่อยให้กลายเป็นความเคยชินไม่ได้ เซียนกระบี่โซ่วเฉินฆ่าได้ดี”
นอกจากหลีเจินแล้วก็ยังมีจู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวินทานและผู้ฝึกกระบี่หญิงที่เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาร่างใหม่อย่างหลิวป๋ายมารวมตัวกันที่นี่ด้วย
บนหัวกำแพงเมืองที่ตกเป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ที่คุณสมบัติดีที่สุดอย่างพวกเขาแยกย้ายกันตามหาตำแหน่งเหมาะในการบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น พยายามที่จะช่วงชิงเอาปณิธานกระบี่อันบริสุทธิ์ของเซียนกระบี่บรรพกาลส่วนหนึ่งมาเพิ่มโชคชะตากระบี่บนร่างของตน ปณิธานจากเซียนกระบี่ที่ไร้ร่องรอยให้ตามหาเหล่านั้นบริสุทธิ์ที่สุด หากผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังมีวิถีกระบี่ที่สอดคล้องก็จะได้รับโชควาสนาไป หมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่สามารถได้รับไปครอบครอง ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสนามรบก็โชคดีได้ไปครองเช่นกัน
เพื่อช่วยเหลือร้อยเซียนกระบี่จากภูเขาทัวเยว่กลุ่มนี้ ปีศาจใหญ่ก็ได้เริ่มจัดการกับสนามรบ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโชคชะตากระบี่อาบย้อมมากเกินไปจนเป็นการขัดขวางเส้นทางอนาคตบนมหามรรคาของเหล่าลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ซากสนามรบที่เกิดการเข่นฆ่าอย่างอำมหิตด้านล่างหัวกำแพงเมืองนี้ยังมีประโยชน์ใหญ่หลวง สามารถย้ายไปยังที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัวเพื่อใช้ปรับเปลี่ยนฟ้าดินของใต้หล้าไพศาลได้
หลีเจินเอ่ยเตือนว่า “หากมีใครสังหารขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาลได้ ก็สามารถแกะสลักตัวอักษรหนึ่งลงบนกำแพงทางฝั่งทิศเหนือได้ ดีไหม?”
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้ารับ “ได้สิ”
หลิวชายิ้มกล่าว “คงจะไม่น่าดูสักเท่าไร”
หลีเจินกระทืบเท้าเบาๆ “ท่านบรรพบุรุษได้แค่หล่อหลอมมันเท่านั้น ไม่อาจเก็บของสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าตัวเองได้จริงหรือ?”
เล่าลือกันว่าปีนั้นมรรคจารย์เต๋าเคยขี่วัวผ่านด่านแห่งนี้แล้วไปท่องเที่ยวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขนาดเฉินชิงตูยังทำไม่ได้ ข้าย่อมทำไม่ได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่จะแตกจะล่มสลายยังไงก็ได้ มีเพียงไม่อาจเก็บใส่ชายแขนเสื้อ ก็เหมือนเซียนกระบี่ที่ตายได้ แต่ไม่อาจถูกหมิ่นเกียรติ แน่นอนว่าในเรื่องนี้ยังมีเรื่องเล่าเก่าแก่อีกมากซุกซ่อนอยู่ แต่สรุปก็คือหากไม่เป็นเพราะเฉินชิงตูใช้กระบี่เปิดม่านฟ้ายกทั้งเมืองขึ้นบินทะยาน ส่งพวกผู้ฝึกกระบี่จากไป ต่อให้ข้าลงมืออย่างเต็มกำลังเล่นงานเฉินชิงตูและกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสุดความสามารถ ก็ยังต้องสูญเสียขุนเขาสายน้ำและโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปมหาศาล นั่นจะได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา”
หลีเจินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทอดสายตามองไปยังหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม เพียงแต่ว่าไอ้หมอนั่นจากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องทักทายใต้เท้าอิ่นกวานสักคำ ผูกสัมพันธ์กับเขาดีๆ สักครั้ง “ไม่เป็นไร พวกเราฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ แต่ละคนพากันเลื่อนขอบเขตแล้วค่อยไปถามกระบี่ที่ใต้หล้าไพศาล”
โซ่วเฉินเอ่ยว่า “ภูเขาห้อยหัวลูกนั้นก็บินทะยานจากไปแล้ว เพียงแค่มีโองการหนึ่งของเต๋าเหล่าเอ้อร์เปิดทาง จากนั้นเจ้านครสามท่านของป๋ายอวี้จิงก็ลงมือชักนำไปด้วยตัวเอง ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ไม่ขัดขวาง จึงราบรื่นอย่างมาก”
หลิวชาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กระบี่ของเฉินชิงตูก็ไม่เคยร่วงลงบนสนามรบเช่นกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านบรรพบุรุษลงมือ ความเสียหายด้านการรบฝ่ายพวกเราก็ยังต้องมากมหาศาลอยู่ดี”
หลีเจินทอดถอนใจ “ผู้อาวุโส นี่ท่านกำลังเอาปณิธานของผู้อื่นมาดับทำลายบารมีของตัวเองอยู่นะ”
หลิวชาคร้านจะพูดจากับคนประเภทนี้แม้แต่ครึ่งคำ
หลิวป๋ายมาหยุดอยู่ข้างกายศิษย์พี่โซ่วเฉิน ถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนั่นกันแน่?”
โซ่วเฉินส่ายหน้า “ต้องถามท่านบรรพบุรุษใหญ่”
ผู้เฒ่าชุดเทามองหลิวป๋าย ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อีกทั้งยังใช้วิธีการเย็บผ้าแบกรับชื่อจริงมากมายที่อยู่บน ‘ภาพค้นภูเขา’ ช่วงต้น ดังนั้นเขากับใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างฝ่ายจึงสยบกำราบกันและกัน สภาพการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างจะน่าสงสาร ต่อจากนี้จะไม่อาจเอาจิตหยินออกเดินทางและไม่มีจิตหยางกายนอกกายอีกแล้ว เพราะทั้งสามฝ่ายล้วนถูกหลอมรวมเข้าไว้ในเตาหลอมเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือจ่ายด้วยชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้รับชื่อแห่งชะตาชีวิตของลัทธิขงจื๊อแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงมีสภาพเช่นนี้ นั่นก็เพราะเฉินชิงตูบังคับให้เขาต้องผสานมรรคา ร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ แต่ปัญหากลับไม่ใหญ่นัก เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้เมื่อไหร่ก็มีหวังว่าจะกลับคืนมามีรูปโฉมดังเดิม นอกจากนี้ตัวของเฉินผิงอันเองก็น่าจะได้รับการยอมรับบางอย่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่สามารถแบกรับชื่อจริงได้เท่านั้น เซียนกระบี่ทั่วไปหากมีแค่ขอบเขตกลับกลายเป็นว่าไม่อาจผสานกับมรรคาได้”
จิตใจของโซ่วเฉินพอจะสงบลงได้เล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษใหญ่ท่านนี้อารมณ์ไม่เลว ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงไม่พูดมากขนาดนี้
จวินทานไม่เอ่ยอะไร
เหตุใดดูเหมือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องแก้แค้นเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นแล้วล่ะ?
เด็กหนุ่มแอบเหลือบมองพี่หญิงหลิวป๋ายอย่างระมัดระวัง
หลิวป๋ายมีสีหน้าซับซ้อน ถามเสียงเบา “ฆ่าได้หรือไม่?”
หลิวชาส่ายหน้า “ฆ่าไม่หมด ฆ่าไม่สิ้น เพราะศัตรูไม่ใช่แค่เฉินผิงอันแล้ว แต่เป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง”
โซ่วเฉินเหลือบตามองภาพที่เงาดำกระชากเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งลงมาแล้วถามอย่างสงสัยว่า “ขอบเขตเซียนเหริน?”
หลิวชาส่ายหน้าอีกครั้ง “หลังจากผสานมรรคาก็กลายเป็นหยกดิบปลอม แต่คนผู้หนึ่งได้ยึดครองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเพียงลำพัง จึงช่วงชิงเอาฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีไปจนหมด”
ชุดคลุมยาวสีเทาตัวหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผาของหัวกำแพงเมือง ก็คือหลงจวิน
เขาเคยถามกระบี่แก่ภูเขาทัวเยว่ร่วมกับเฉินชิงตูและกวนจ้าว
หลงจวินเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขอแค่ดึงเอาโชคชะตากระบี่ของที่แห่งนี้มาจนหมด กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลือครึ่งหนึ่งนั้นก็กลายเป็นน้ำไร้ต้นกำเนิด ไม้ไร้ราก มีโอกาสที่จะถูกโจมตีให้แหลกสลาย”
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้ารับ “เหมือนก้างปลาติดคอ ขัดหูขัดตายิ่งนัก”
แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้นทีเดียวก็ทะยานจากพื้นดินขึ้นมาบนหัวกำแพง มาหยุดอยู่ข้างกายหลงจวิน
ในมือแม่นางน้อยลากเชือกที่ยาวมากมาเส้นหนึ่ง ผูกหัวของปีศาจใหญ่ที่ปราณดุร้ายเข้มข้นมากเอาไว้สองหัว ดังนั้นระหว่างที่นางขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ศีรษะสองหัวนั้นจึงกระทบกับผนังกำแพงเหมือนตีกลองหลายที
เซียนกระบี่สองคนของสายอิ่นกวานเก่าอย่างลั่วซานและจู๋อานขี่กระบี่ตามมาด้านหลัง แล้วพลิ้วกายลงบนที่แห่งนี้
หลีเจินหัวเราะร่าเอ่ยว่า “พวกเราจะมาดูละครลิงกันหรือ? เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
เด็กหนุ่มเพิ่งพูดขาดคำ
เงาดำนั้นก็พุ่งวูบมาถึง
เซียวสวิ้นจึงปล่อยหมัดหนึ่งต่อยให้เงาดำแหลกสลายคาที่
นาทีถัดมาเงาดำก็รวมตัวกันขึ้นอยู่ที่เดิม แม้จะมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงทั้งหมด แต่กลับพอจะสัมผัสได้ถึงสีหน้าเย้ยหยันที่แสดงออกมา
พลานุภาพจากหมัดทุกหมัดของเซียวสวิ้นเหนือเกินกว่าการโจมตีอย่างเต็มกำลังของกระบี่บินเซียนกระบี่ทั่วไปมากนัก
พวกตัวอ่อนเซียนกระบี่จากกระโจมเจี่ยเซินจำต้องก้าวถอยหลัง ขยับออกห่างเจ้าคนบ้าเลื่องชื่อที่มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามคนนั้น โดยเฉพาะหลิวป๋ายที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก นางยังต้องไปหลบอยู่ด้านหลังศิษย์พี่อย่างโซ่วเฉิน ให้โซ่วเฉินช่วยคุ้มครอง
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เลิกตีกันได้แล้ว หากตีกันต่อไปจะช่วยขัดเกลาร่างกายให้เขา ปล่อยให้เขาเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้เปล่าๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความยุ่งยากเล็กๆ เดิมทีไอ้หมอนี่ก็จงใจล่อให้เจ้าออกหมัดอยู่แล้ว”
เซียวสวิ้นกลับยังคงออกหมัดไม่หยุด เห็นคำพูดของเจ้าแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นลมพัดผ่านข้างหู
สุดท้ายต่อยจนเบื่อแล้ว เซียวสวิ้นถึงได้ยอมเก็บหมัด ถามว่า “ทำไมถึงไม่ขัดขวางข้า?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ย “ข้าไม่ใช่เฉินชิงตู ไม่มีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้นมาใช้พันธนาการผู้แข็งแกร่งโดยเฉพาะ สำหรับผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาอย่างเจ้า ภูเขาทัวเยว่ทะนุถนอมและเห็นค่ามาก”
เซียนสวิ้นสะบัดเชือกในมือ ศีรษะทั้งสองก็กระเด้งขึ้นสูงมากระแทกลงบนหัวกำแพงเมืองอย่างแรง “ข้าใช้เรือนกายของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนสร้างบัลลังก์ราชาแห่งหนึ่งขึ้นมาในรูหนูแห่งนั้น ตำแหน่งค่อนข้างจะสูงไปสักหน่อย”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “ดีมาก ขอแค่โจวมี่กับหลิวชาไม่ถือสาก็ไม่มีปัญหา”
หลิวชาเอ่ย “ข้าไม่ถือ”
ผู้เฒ่าชุดเทากล่าว “อาเหลียงผู้นั้นยังไม่ต้องไปสนใจ ใช้ตลอดทั้งภูเขาทัวเยว่มาสยบคนคนหนึ่ง เขาไม่อาจฝ่าออกมาได้ง่ายขนาดนั้น”
หลิวชาพยักหน้า “วันหน้าหากมีเวลาว่างข้าจะไปดื่มเหล้ากับเขา”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มเอ่ย “มาดของมือกระบี่อย่างพวกเจ้า คนนอกได้แต่อิจฉาเท่านั้นจริงๆ”
เซียวสวิ้นเอ่ย “น่าเบื่อ ข้าไปหาอะไรเล่นก่อนล่ะ”
นางกระโดดลงจากหัวกำแพงเมือง แต่กลับไม่ได้ลากเอาหัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองหัวนั้นไปด้วยเพราะรำคาญ เลยทิ้งไว้บนหัวกำแพงเมือง ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องอยู่แล้ว
ตลอดทางที่เดินไป นครแห่งนั้นถูกชักออกจากพื้นดินไปแล้ว เรือนพักส่วนตัวของเซียนกระบี่หลายแห่งล้วนกลายเป็นซากปรักหักพัง
ไม่เหลืออะไรเลย
ทุกที่ที่เซียวสวิ้นเดินผ่าน กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่กรูกันไปเบื้องหน้าราวกระแสน้ำขึ้นล้วนขยับถอยหลบด้วยตัวเอง
ไม่อย่างนั้นอาจต้องตาย
ประตูใหญ่บานเก่าที่ตั้งอยู่ตรงซากปรักเก่าของภูเขาห้อยหัวถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองตนอย่างเย่าเจี่ยและแม่ทัพเทพเกราะทองฉีกกระชากจนขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนหย่างจื่อและเฟยเฟยที่บุกนำเข้ามาในใต้หล้าไพศาลก่อนใครนั้น เนื่องจากใกล้ชิดกับสายน้ำจึงเริ่มทำการปูเส้นทางให้เป็นสถานที่รวมตัวกันของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นก็ยังต้องสร้างเส้นทางสามเส้น แบ่งออกเป็นเส้นทางที่ไปเยือนทักษินาตยทวีปซึ่งอยู่ใกล้กับที่แห่งนี้มากที่สุด รวมไปถึงหรดีฝูเหยาทวีปและอาคเนย์ใบถงทวีป
เผ่าปีศาจจำนวนมากกว่านั้นที่เป็นเผ่าพันธุ์ย้ายขุนเขาคอยช่วยเหลือปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งสองท่าน นำภูเขาเล็กจิ๋วหลายลูกที่หล่อหลอมไว้ขว้างลงในมหาสมุทร จากนั้นก็ส่งต่อให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่รับหน้าที่สร้างรากภูเขา ทำให้ภูเขาเหล่านั้นกลายเป็นขุนเขาใหญ่สูงตระหง่าน สามารถเป็นที่หยัดยืนที่มั่นคงได้หลายแห่ง
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนอื่นๆ ก็ทยอยกันไปที่ม่านฟ้า ไปหาเรื่องอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าท่านนั้น
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่นั่งอยู่ข้างเสาผูกม้าตลอดเวลา แต่เปลี่ยนเสาผูกม้าต้นนั้นมาไว้ตรงตำแหน่งเบาะรองนั่งเดิมของนักพรตน้อย
มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจถ่มน้ำลายลงพื้นหันมาทางเขาแล้วแสยะยิ้มกว้าง เซียนกระบี่ใหญ่กะผายลมสุนัขอะไร เคยเห็นคนที่รบตาย เห็นคนที่โดนเผ่าปีศาจอย่างพวกตนตีให้ถอยร่นบนสนามรบ แต่กลับไม่เคยเห็นใครที่ยอมเฝ้าประตูใหญ่อย่างว่าง่ายโดยไม่ออกกระบี่สักครั้งเช่นนี้มาก่อนจริงๆ
เซียนกระบี่ใหญ่จางลู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ผลคือเผ่าปีศาจตนนี้ถูกเซียวสวิ้นที่กำลังเดินอาดๆ ข้ามประตูใหญ่มาต่อยด้วยหมัดเดียวจนหัวแหลกเละ ทั้งโอสถทองและก่อกำเนิดต่างระเบิดพร้อมกัน ปีศาจใหญ่ที่ยืนอออยู่หน้าประตูก็ตายไปเป็นแถบใหญ่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็เจอกับหายนะที่มาเยือนไม่ทันตั้งตัวนี้
ขุนนางผู้ตรวจตราการศึกคนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลเหลือบมาเห็นตัวการร้ายนั่นแล้วก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เซียวสวิ้นมาตรงเสาผูกม้า โยนสุราดีกาหนึ่งที่ได้มาจากราชวงศ์แห่งหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปให้ จางลู่รับกาเหล้านั้นเอาไว้ เปิดผนึกดินออกแล้วสูดดม “สุราดี”
เซียวสวิ้นถาม “จางลู่ ไม่คิดจะตามข้าไปดูสักหน่อยหรือ? ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป เจ้าเลือกได้ตามใจ พวกเราสองคนไปหาเหล้าดื่มด้วยกัน เหล้าหมักตระกูลเซียนของที่นั่นมีเยอะมากเลยล่ะ”
จางลู่ยิ้มเอ่ย “ไม่ไปไหนทั้งนั้น อยู่ดูที่นี่ก็พอแล้ว ข้าคนนี้เกิดมาก็มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ว่าทำเรื่องใดก็กระฉับกระเฉงไม่ไหว เมื่อก่อนฝึกตนอย่างยากลำบากจนฝ่าทะลุขอบเขตก็เพื่อให้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น ใต้เท้าอิ่นกวาน เจ้าจำไว้ด้วยว่าทุกครั้งที่ทำลายสำนักหนึ่งได้ก็เอาเหล้าส่งกลับมาให้ข้าด้วยแล้วกัน”
เซียวสวิ้นบ่นอย่างไม่พอใจ “ไม่ทำห่าอะไรสักอย่าง แล้วยังจะให้ข้าส่งเหล้ามาให้เจ้าอีก ช่างมีมาดใหญ่โตนัก”
จางลู่ยิ้มบางๆ “คนขี้เกียจมักมีโชคของคนขี้เกียจ”
เซียวสวิ้นขมวดคิ้วถาม “ลูกศิษย์ของข้าคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
จางลู่เอ่ยสัพยอก “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ อิ่นกวานไปถามอิ่นกวานดูสิ”
เซียวสวิ้นกล่าวอย่างโกรธเคือง “เห็นหน้าเขาแล้วก็รำคาญ ก่อนหน้านี้เจอกันเลยมอบหมัดให้เขาเป็นรางวัลไปหลายสิบหมัด เจ้าเด็กนั่นเจ้าคิดเจ้าแค้น คาดว่าถามแล้วคงไม่ได้คำตอบ”
จางลู่ลูบคลำปลายคาง
เด็กหนุ่มที่ปีนั้นสะพายกล่องกระบี่สวมรองเท้าสานออกไปจากภูเขาห้อยหัวแล้วย้อนกลับมาอีก จากนั้นก็กลายมาเป็นอิ่นกวาน และต่อมาเฉินผิงอันก็ไม่เคยไปกลับเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ผ่านประตูบานเก่าที่เขาเฝ้าอยู่อีก อีกฝ่ายไม่โง่ จางลู่เองก็ไม่โง่ อีกฝ่ายหวังว่าจางลู่จะเปลี่ยนใจ ถึงได้จงใจใช้วิธีการเช่นนี้มาเตือนจางลู่ และการที่จางลู่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใดทั้งนั้น ไยจะไม่ใช่การเตือนอย่างหนึ่งจากเขา
ประตูใหญ่บานนี้มีหรือไม่มีจางลู่ก็เหมือนกัน กำแพงเมืองปราณกระบี่กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีหรือไม่มีเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่ผู้นี้ก็เหมือนกันอีกนั่นแหละ สุดท้ายเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนจากเรือนชุนฟานก็มาที่นี่ มาดื่มเหล้ากับเขาหนึ่งมื้อ พอแน่ใจในความคิดของจางลู่แล้วก็จากไปพร้อมกับลู่จือ เส้าอวิ๋นเหยียนและลู่จือต่างก็ไม่เคยถามกระบี่กับจางลู่มาก่อน
ศึกสิบสามในครานั้น จางลู่แพ้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ จางลู่ไร้ความไม่พอใจ ส่วนยามอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านั้น ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เป็นๆ ตายๆ จางลู่เองก็ไม่สนใจ สุดท้ายจางลู่ใช้สถานะของคนที่มีความผิดติดตัวมาเฝ้าพิทักษ์ประตูบานใหญ่ เป็นเพราะว่าเขาไม่พอใจใต้หล้าไพศาลอยู่บ้างจริงๆ นับตั้งแต่ที่เป็นฝ่ายขอมาเฝ้าประตูบานนี้ จางลู่ก็คาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องได้เห็นภาพเหตุการณ์อย่างในวันนี้
เซียวสวิ้นถาม “สำนักใหญ่อักษรจงที่อยู่ใกล้กับที่นี่ที่สุดคือสำนักใด สำนักอวี่หลงหรือ?”
จางลู่ยิ้มกล่าว “สายไปแล้ว มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งตัดหน้าชิงไปถึงก่อนแล้ว”
เซียวสวิ้นขมวดคิ้ว “เจ้าคนอ้อนแอ้นที่ชอบกรีดหนังหน้าคนอื่นผู้นั้นน่ะหรือ?”
จางลู่พยักหน้า “ผู้ฝึกตนหญิงของสำนักอวี่หลงค่อนข้างเยอะ”
เซียวสวิ้นเอ่ย “ช่างเถิด วันหน้ายามที่เฉินฉุนอันออกจากทักษินาตยทวีปมารนหาที่ตายด้วยตัวเอง ข้าค่อยส่งเขาเดินทางแล้วกัน”
จางลู่ดื่มเหล้าอึกใหญ่ เอ่ยอย่างเสียดายว่า “คนที่สังหารเฉินฉุนอันได้อย่างแท้จริง จะต้องถูกผู้คนประนามหยามเหยียด”
——