กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 686.2 อิสระและการเดินทางไกล
บุรุษรูปงามตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนหนึ่งพลิ้วกายลงบนยอดสูงสุดของเทวรูปองค์หนึ่งของสำนักอวี่หลง สองนิ้วคีบจับปอยผมตรงจอนหูหมุนเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีให้เลือกจนตาลายเลยนะ”
หมื่นปีให้หลัง ผู้เฒ่าชุดเทาได้หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง มาเยือนใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง
เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ใต้หล้าไพศาล ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหริน ผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาทุกคนจงฟังให้ดี! พวกเจ้าเดินช้าเกินไปแล้ว ไม่เคยได้รับอิสระเสรียิ่งใหญ่ที่แท้จริงมาก่อน! อยู่บนยอดเขาแล้วก็ไม่ควรถูกฟ้าดินพันธนาการ ไม่อย่างนั้นฝึกบำเพ็ญตนเดินขึ้นสู่ยอดเขาจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?! ฝึกตนอะไร แสวงหาความจริงอะไร จะได้ความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายไปทำไม?! ก็เหมือนชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ถูกกฎเกณฑ์ควบคุมนานวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่ละก้าวที่เดินย่อมเหมือนชายชราหญิงแก่ที่เดินกะโผลกะเผลกอยู่บนโลกมนุษย์ วันหน้าใต้หล้าจะมีเพียงแค่แห่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ คำพูดจาล้วนมีอิสระ ฝึกตนได้อย่างอิสระ เข่นฆ่าได้อย่างอิสระ เป็นตายมีอิสระ มหามรรคามีอิสระ!”
จางลู่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “กลียุคเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว”
เซียวสวิ้นหลุดหัวเราะพรืด “วิถีทางโลกที่ผู้แข็งแกร่งมีอิสระเสรีมาถึงแล้วต่างหาก”
……
เมื่อประมาณสองปีก่อน
ใต้หล้าไพศาลยังคงเป็นใต้หล้าไพศาลที่สงบสุขมานานหมื่นๆ ปี
คนกลุ่มหนึ่งสามคนออกจากอาณาเขตของราชวงศ์ต้าหลีเก่าแห่งแจกันสมบัติทวีป ทะยานลมเดินทางไกลอยู่บนมหาสมุทรมาไกลนับหมื่นลี้ แต่กระนั้นก็ยังคงอยู่ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไกลแสนไกล
พวกเขาก็คือกู้ช่าน หลิ่วชื่อเฉิง และน้องหลงป๋อ ไฉ่ป๋อฝูที่เสพติดกับสภาวะขอบเขตถดถอย
ก่อกำเนิดที่น่าสงสาร ทุกวันนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว
อันที่จริงตอนที่เพิ่งไปถึงเมืองเล็กอำเภอไหวหวงที่ตั้งเก่าของถ้ำสวรรค์หลีจู ไฉ่ป๋อฝูยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรที่ถูกหลิ่วชื่อเฉิงตบตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว ภายหลังถูกคนผู้นั้นเหลือบมอง ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดีๆ แม่งก็ถอยมาที่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยตรง และระหว่างที่ทะยานลมเดินทางไกลในครั้งนี้ ไฉ่ป๋อฝูต้องกัดฟันฝึกตนอย่างตรากตรำกว่าจะปีนกลับมาที่ขอบเขตชมมหาสมุทรได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลังจากฝ่าทะลุขอบเขต ไฉ่ป๋อฝูก็ไม่มีอารมณ์ปิติยินดีแม้แต่น้อย กลับกันยังกลายเป็นว่าหากเขาไม่ระวังแม้เพียงนิดก็อาจจะต้องคืนขอบเขตนี้กลับไป แล้วก็ไม่เคยมีใครที่ยินดีจะอธิบายเหตุผลที่พอจะฟังเข้าท่าแก่เขาบ้างเลย
เรื่องของการเดินทางข้ามทวีป หากไม่นั่งเรือข้ามทวีปตระกูลเซียน อาศัยแค่การทะยานลมของผู้ฝึกตนเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองปราณวิญญาณ ประเด็นสำคัญคือยังอันตรายเกินไป ตัวประหลาดในมหาสมุทรมีอยู่มากมาย หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็อาจตายดับอยู่ที่นี่ แม้แต่ศพก็ยังไม่มีโอกาสได้เก็บกลับไป พูดถึงแค่ปลาวาฬกลืนสมบัติ ขนาดเกาะหรือเรือทั้งลำมันยังกลืนลงท้องได้ อีกทั้งพวกมันเกิดมาก็มีวิชาอภินิหารในการหล่อหลอม กินผู้ฝึกตนไปแค่ไม่กี่คนจะนับเป็นอะไรได้ หากเข้าไปอยู่ในท้องของมันก็เหมือนตกอยู่ในกรงขังฟ้าดินเล็ก จะหนีออกมาได้อย่างไร
นอกจากนี้บนผืนมหาสมุทรที่กว้างไกลสุดลูกหูตานี้ คิดจะฆ่าคนชิงข้าวของ ชิงเงินชิงสมบัติของผู้อื่น ก็ทำได้โดยผีไม่รู้เทพไม่เห็น มั่นคงยิ่งกว่ายามอยู่บนบกเสียอีก การค้าประเภทนี้ตรงกับคำว่าสามปีไม่ค้าขาย ค้าขายทีกินได้สามปีอย่างจริงแท้แน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุให้ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองและผู้ฝึกตนก่อกำเนิด เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ก็ล้วนไม่มีใครยินดีจะเปลืองแรงโดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์เช่นนี้ แน่นอนว่าสำหรับคนที่เดิมทีก็มีจุดประสงค์เพื่อไปหาเงินอยู่แล้ว นั่นก็คือคนละเรื่องกัน
ใต้หล้าไพศาลมีน่านน้ำมหาสมุทรกว้างขวาง เหนือกว่าอาณาเขตพื้นดินของเก้าทวีป นอกจากเกาะตระกูลเซียนแล้วก็ยังมีเส้นทางหาเงินมากมาย ทำให้พวกผู้ฝึกตนอดพาตัวมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นนักเก็บไข่มุกของเกาะหลูฮวา หากเก็บหอยมุกได้จะมีค่ามากที่สุด นอกจากนี้พวกจักรพรรดิอัครเสนาบดี ตระกูลผู้สูงศักดิ์บนพื้นดินก็มีความต้องการน้ำลายมังกร (เป็นคำเรียกของคนสมัยโบราณ ปัจจุบันอาจหมายถึงอำพันปลาวาฬ) อย่างมาก เป็นวัตถุที่มีราคาแต่ไม่อาจหาซื้อได้ตลอดกาล เผ่าพันธุ์ฉิวและเจียว รวมไปถึงลูกหลานเจียวหลงมากมายล้วนถือว่ามีน้ำลายมังกรทั้งสิ้น สามารถนำมาหลอมเป็นเครื่องหอม เพียงแต่ว่าจะแบ่งระดับขั้นและราคาเป็นสามหกเก้าระดับ
นอกจากน้ำลายมังกรแล้ว ในท้องของพวกปลามังกรก็มีอัญมณีอยู่มากมาย อัญมณีประเภทนี้ เนื่องจากซึมซับแสงแก่นจันทร์มาแต่กำเนิด จึงเป็นเหตุให้ส่องประกายแสงสุกสกาวราวแสงจันทร์อยู่เสมอ สามารถให้ความสว่างในห้อง อีกทั้งหากไปอยู่ในสถานที่ที่มีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายยังสามารถใช้เปิดทาง ขับไล่ภูตผี ใช้ทำความสะอาดปราณวิญญาณในฟ้าดิน ช่วยให้จิตใจมีสมาธิสงบสุข
ทว่าโชควาสนาที่แท้จริงนั้นกลับอยู่ตามสถานที่ลับมากมายบนภูเขาของเซียนนอกมหาสมุทร หากผู้ฝึกลมปราณได้ไปครอบครองก็คือทรัพย์สินมหาศาลไม่ต่างจากภูเขาเงินภูเขาทอง อีกทั้งเมื่อเทียบกับซากปรักจวนเซียนบนพื้นดินแล้วยังถูกคนแย่งชิงน้อยกว่า ไม่ถึงขั้นมีกองกำลังมากมายพัวพันอยู่ภายใน หากจวนเซียนเปิดออกได้ยากเพราะมีตราผนึกอยู่มากมาย อย่างมากสุดก็จะมีภูเขาแค่สองสามแห่งที่ต่างคนต่างรู้ตื้นลึกหนาบางกันดีร่วมมือเป็นพันธมิตรกันแล้วเก็บมาไว้ในกระเป๋าอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ทำการแบ่งวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่อยู่ด้านในกันเอง
กู้ช่านที่เงียบงันพูดน้อยมาตลอดทางพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ไม่ได้ปรากฏตัวมานานมากแล้ว”
เมื่อเทียบกับการทะยานลมอย่างเหน็ดเหนื่อยของกู้ช่านแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงที่สวมชุดคลุมเต๋าสีชมพูสะดุดตา ท่วงท่าการทะยานลมก็ดูเปี่ยมเสน่ห์อย่างเห็นได้ชัด
แต่คนที่ลำบากที่สุดยังคงเป็นน้องหลงป๋อ เพียงแต่ว่าหลิ่วชื่อเฉิงไม่เก็บมาใส่ใจ กู้ช่านไม่แยแส ไร้คนสงสารเวทนา
ไฉ่ป๋อฝูเองก็ยินดีที่สองคนนี้ไม่สนใจตน คนหนึ่งในจืดใจจำ อีกคนหนึ่งจิตใจอำมหิตไร้ปราณี การที่อีกฝ่ายไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ตนก็ควรต้องจุดธูปไหว้พระแล้ว
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่คนนั้นของข้าเป็นคนบนฟ้า ไม่ได้เจอหน้าเขาก็เป็นเรื่องธรรมดามาก อยู่ที่นครจักรพรรดิขาว พวกศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายของเจ้า ไม่ได้เจอหน้าอาจารย์ตัวเองร้อยปีก็ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ หากภายในร้อยปีได้พบหน้าอยู่สองสามครั้ง กลับกลายเป็นว่าต้องอกสั่นขวัญผวา กังวลว่าตัวเองจะไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไปแล้ว”
พอไฉ่ป๋อฝูคิดถึงคนผู้นั้นก็รู้สึกว่าความยากลำบากน้อยนิดแค่นี้บนเส้นทางการฝึกตนจะนับเป็นอะไรได้ ขอแค่ได้กลายเป็นลูกศิษย์บนทำเนียบของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้จะต้องกลายไปเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลูกกระต่ายอำมหิตอย่างกู้ช่านผู้นี้ เขาก็ยอม!
ปัญหาเรื่องลำดับอาวุโสของกู้ช่านในนครจักรพรรดิขาวยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด
ยามที่กู้ช่านเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นจะยึดหลักมารยาทของคนเป็นลูกศิษย์อยู่เสมอ
ทว่าคนผู้นั้น รวมไปถึงหลิ่วชื่อเฉิงเอง มองดูเหมือนว่าจะเห็นกู้ช่านเป็นศิษย์น้องเล็ก แต่ก็ไม่ได้มีการอธิบายอะไรอย่างชัดเจน และหลิ่วชื่อเฉิงก็มักจะเรียกกู้ช่านว่าศิษย์น้องศิษย์หลานปนกันมั่วซั่วไปหมด
กู้ช่านถามชวนคุยด้วยสีหน้าเฉยชา “อาจารย์ไปเยี่ยมเยือนสหายบนมหาสมุทรหรือ?”
หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “ล้อเล่นอะไรกัน มีใครคู่ควรให้ศิษย์พี่ไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านบ้างล่ะ ออกมหาสมุทรไปเยี่ยมเยือนเซียน เยี่ยมเยือนเซียนกะผายลมอะไร ศิษย์พี่ก็คือคนที่มีมาดแห่งเซียนที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว เทพเซียนบนภูเขาที่ไปเยี่ยมเยือนนครจักรพรรดิขาว ทุกปีมีมากเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ แต่กระนั้นก็ได้แต่ไปยืนอยู่ริมตลิ่งสายน้ำใหญ่แหงนหน้ามองขึ้นไป มีสักกี่คนที่ได้ไปหยุดอยู่บนเมฆหลากสีได้สักชั่วครู่ชั่วยาม? นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนครจักรพรรดิขาวที่ศิษย์พี่อาศัยอยู่คนเดียวเลย”
กู้ช่านกล่าวอย่างสงสัย “เหล่าอาจารย์อาทั้งหลาย ยังมีพวกศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นไม่ได้ฝึกตนอยู่ที่นครจักรพรรดิขาวหรอกหรือ?”
หลิ่วชื่อเฉิงพลันกระจ่างแจ้ง นึกขึ้นได้ว่าตนลืมบอกเล่าสถานการณ์ของนครจักรพรรดิขาวให้กู้ช่านฟัง ดังนั้นจึงยกฝ่ามือตบลงบนหน้าผากของน้องหลงป๋อที่อยู่ข้างกาย ทำเอาอีกฝ่ายร่วงลงไปในน้ำ
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มอธิบายว่า “นครจักรพรรดิขาวที่ยิ่งใหญ่ นอกจากศิษย์พี่แล้วก็มีแต่หุ่นเชิดที่ทำหน้าที่เป็นสาวใช้เท่านั้น เทพไม่ใช่เทพ เซียนไม่ใช่เซียน คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี คนอื่นๆ ก็เหมือนศิษย์น้องชายหญิงอย่างพวกเราที่ต่างก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเป็นของตัวเอง ทุกคนต่างก็มีถ้ำสถิตที่ใช้ฝึกตนอยู่บนเมฆหลากสี ยกตัวอย่างเช่นข้าก็มีหอแก้วใสที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้า ดังนั้นนครจักรพรรดิขาวที่แท้จริง ในความเป็นจริงแล้วก็มีแค่คนผู้เดียวฝึกตนอยู่ที่นั่นตลอดมา ซึ่งก็คืออาจารย์ของเจ้า ศิษย์พี่ของข้า คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนเป็นภาระของศิษย์พี่ทั้งสิ้น”
กู้ช่านพยักหน้าเอ่ย “ร้ายกาจ”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่ร้ายกาจ ศิษย์พี่ที่เป็นคนบนวิถีมารซึ่งได้รับการยอมรับจากคนทั้งใต้หล้า และนครจักรพรรดิขาวจะหยัดยืนอยู่บนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางโดยไม่ล้มลงได้หรือ?”
ไก่ตกน้ำตัวหนึ่งบินกลับขึ้นมาบนฟ้า ไม่กล้าเดือดดาล ไม่กล้าเอ่ยคำใด
หลิ่วชื่อเฉิงตบหน้าผากของไฉ่ป๋อฝูที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มเบาๆ เอ่ยชื่นชมว่า “ลานหน้าผากกว้างขนาดนี้สามารถเอามาทำเป็นลานตากธัญพืชได้เลยนะ”
หลิ่วชื่อเฉิงพลันร้องเอ๊ะหนึ่งที เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยว่า “น้องหลงป๋อ เหตุใดทั้งหูและจมูกของเจ้าถึงมีเลือดไหลออกมาล่ะ”
ไฉ่ป๋อฝูเช็ดคราบเลือดทิ้ง เค้นรอยยิ้มให้กับตัวการร้ายที่แกล้งโง่ผู้นี้ “ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
คนทั้งสามไปหยุดพักที่น่านน้ำมหาสมุทรแห่งหนึ่งซึ่งมีเกาะเรียงตัวกันเหมือนดวงดาว ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้บางเบา และยังมีกลิ่นอายของความแห้งเหี่ยวของขุนเขาสายน้ำ ไม่เหมาะจะมาสร้างจวนฝึกตน
กู้ช่านพลิ้วกายลงบนพื้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ ถามว่า “เกาะนอกทะเลแห่งนี้ใหญ่มากพอ จะมีเทพแห่งผืนดินเฝ้าพิทักษ์หรือไม่?”
หลิ่วชื่อเฉิงสะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สองข้าง กลอกตาเอ่ยว่า “ไม่มีหรอก ต่อให้มีก็คงหิวตายไปแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ทั้งหลาย หากไม่มีการกราบไหว้ด้วยควันธูปจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา คำว่าร่างทองไม่เสื่อมสลายก็เป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
กู้ช่านกวาดตามองไปรอบด้าน ถามว่า “ในมหาสมุทรกว้างใหญ่แห่งนี้จะมีบุคคลที่ใกล้ชิดกับสายน้ำคล้ายคลึงกับเทพวารีอยู่บ้างหรือไม่ แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเถื่อน แต่กลับเป็นผู้พิชิตพื้นที่หนึ่งบนทะเลได้? ยกตัวอย่างเช่นร่องเจียวหลงที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวก็มีเผ่าพันธ์เจียวหลงมากมายมารวมตัวกัน ไม่ใช่สำนักแต่ก็เหนือกว่าสำนัก”
ว่ากันว่าร่องเจียวหลงแห่งนั้น หากก้มหน้ามองไปจะเห็นสายน้ำใสกระจ่าง เห็นเผ่าพันธ์เจียวหลงเหมือนเส้นด้ายที่ว่ายวนอยู่กลางอากาศ
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้ากล่าว “กู้ช่าน ในเมื่อเจ้ากลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครจักรพรรดิขาวแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ใครที่สู้ได้ไหวก็ฆ่าให้สิ้น คนที่สู้ไม่ไหวก็แค่บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองออกไป”
กู้ช่านเอ่ย “แค่ความเคยชินเท่านั้น”
ก่อนที่กู้ช่านจะออกจากบ้าน จูเหลี่ยนได้ไปหากู้ช่านที่จวนกู้ในเขตการปกครอง ในมือถือเตาพกใบหนึ่ง บอกว่าของกลับคืนสู่เจ้าของ
กู้ช่านลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังรับเตาพกใบนั้นมาไว้ ตอนนั้นหม่าตู่อี๋ผีที่สวมยันต์หนังจิ้งจอก รวมไปถึงเจิงเย่ที่ฝึกเวทลับวิถีผีกำลังเป็นแขกอยู่ในบ้านของกู้ช่าน
ตอนนั้นจูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยประโยคประหลาดคำหนึ่ง บอกว่าตนยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงมาจากภูเขา เพียงแต่ว่าบนภูเขายังมีเรื่องหยุมหยิมรัดพันตัว คงไม่เข้าไปรบกวนคุณชายกู้แล้ว
เพราะเจ้าขุนเขาเคยบอกว่า กู้ช่านกลับบ้านเกิดมาเมื่อไหร่ก็ให้นำของสิ่งนี้มาคืนให้กับเขา
ซึ่งเงื่อนไขก็คือข้างกายกู้ช่านต้องมีเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ติดตามมาด้วย หากไม่มีก็ให้เก็บเตาพกชิ้นนั้นไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าก็ถือเสียว่าไม่มีเรื่องนี้
กู้ช่านจึงถือเตาพกเดินไปส่งระยะทางหนึ่ง กระทั่งพาผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นเดินไปถึงมุมหัวเลี้ยวของตรอก
ภายหลังกู้ช่านกลับมาที่ห้องหนังสือในบ้าน อาจารย์ของเขาก็เผยกาย ดึงเอาหนีชิวน้อยตัวหนึ่งที่ดูเหมือนว่าสติปัญญาจะยังไม่เปิดออกมาจากเตาพกแล้วหลุดหัวเราะพรืดหนึ่งที สุดท้ายโยนมันกลับคืนไปในเตาพก
ตอนนั้นกู้ช่านสีหน้าไร้อารมณ์
ภายหลังกู้ช่านออกจากบ้านเกิดก็ไม่ได้เอาเตาพกติดกายมาด้วย เพียงแต่ขอให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่นำไปมอบให้ที่จวนเทพภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี
ท่านแม่ของเขาเคยโน้มน้าวกู้ช่านว่าเดินทางไปทิศเหนือด้วยตัวเองครั้งนี้ ทุกวันนี้พ่อของเจ้าคือฝูจวินเทพภูเขาที่ระดับขั้นสูงมากแล้ว ศาลภูเขาแห่งนั้น เมื่อก่อนเคยเป็นจวนเทพเซียนของซานจวินขุนเขาใหญ่ของต้าหลีในอดีต และเพิ่งจะถูกเลื่อนขั้นให้เป็นพื้นที่ภูเขาทายาทของภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ นี่ก็เท่ากับว่าได้เลื่อนขั้นในวงการขุนนางหนึ่งขั้น หากอยู่ในราชวงศ์ต้าหลี ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะถือเป็นนายท่านรองเจ้ากรมได้แล้ว เจ้าเมืองและผู้ตรวจการหรือจะเทียบเคียงได้ อย่าตำหนิที่ท่านพ่อของเจ้ากลับบ้านมาพบเจ้าไม่ได้เลย เขามีภารกิจใหญ่หลวง ไม่อาจออกจากหน้าที่ได้โดยพลการ แล้วนับประสาอะไรกับที่กฎเกณฑ์บนภูเขายังมีมากมาย ข้อห้ามประหลาดอย่างการที่ภูเขาและสายน้ำขัดแย้งกันมีเยอะมากจริงๆ ดังนั้นในฐานะที่เจ้าเป็นลูกชาย ทั้งเป็นการไปเยี่ยมญาติ ทั้งเป็นการแสดงความยินดี ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปเยือนสักครั้ง
กู้ช่านเงียบงันไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่ว่าไม่ยอมพยักหน้าตอบตกลง
สตรีจึงหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไม่คิดจะพูดโน้มน้าวอะไรอีก ระหว่างที่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจก็แอบชำเลืองตามองสีหน้าของบุตรชาย แล้วสตรีก็ไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อมเขาอีกจริงๆ
ตรงริมชายหาดของมหาสมุทรปรากฏร่างคนผู้นั้น
หัวใจของไฉ่ป๋อฝูบีบรัดตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
หลิ่วชื่อเฉิงเองก็ไม่ยินดีจะขยับเข้าไปใกล้
ศิษย์พี่คือคนที่ดุจดั่งเทพ แค่มองไกลๆ ก็พอแล้ว
กู้ช่านทะยานลมไปถึงที่นั่นเพียงลำพัง พบว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวนั่งยองอยู่ริมทะเล เอามือวักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบมือ
กู้ช่านกล่าวอย่างสงสัย “นี่คือ?”
บุรุษเอ่ย “ชั่งน้ำหนักของน้ำทะเล”
กู้ช่านถามอีกว่า “ความหมายอยู่ที่ใด?”
บุรุษยิ้มเอ่ย “ต้องมีความหมายด้วยหรือ?”
เขาปล่อยมือแล้วลุกขึ้นยืน
ครู่หนึ่งต่อมา กู้ช่านก็พอจะมองเห็นได้รำไรว่าบนผิวทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลมีม้าขาวตัวหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ควบฝ่าน้ำมาเบื้องหน้า รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ลากเอาประกายแสงแวววาวหลากสีที่ยาวมากตามหลังมาด้วยเส้นหนึ่ง
เห็นเพียงว่าบนหลังม้ามีเสื้อเกราะสีชาดตัวหนึ่งที่โยกคลอนขึ้นลงไปตามหลังม้า ทว่าด้านในเสื้อเกราะกลับไร้ร่างคน
ม้าตัวหนึ่งวิ่งมาทางเกาะ แล้วจู่ๆ ก็พลันชะงักฝีเท้า เมื่อม้าหยุดนิ่งไม่ขยับก็ราวกับว่าน้ำทะเลจะหยุดเคลื่อนไหวตามไปด้วย
หลิ่วชื่อเฉิงอดรนทนไม่ไหวจึงมายืนอยู่ข้างกายศิษย์พี่และกู้ช่าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคไม่เลว ได้เจอกับตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณบนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้ เพราะนี่ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทรเลย”
กู้ช่านไม่เคยได้ยินตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณอะไรนี่มาก่อน
แต่กลับสังเกตเห็นว่าม้าตัวนั้นมีทวนยาวสีทองเล่มหนึ่งโผล่เพิ่มมา ปลายทวนชี้ไปยังเกาะแห่งนั้นคล้ายกำลังสอบถามความเป็นมา
และเวลาเพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น ตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณก็เก็บทวนยาว ชักหัวม้าหันกลับ ควบตะบึงจากไป
กู้ช่านพบว่าบุรุษข้างกายก็หายไปด้วย
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “ปีศาจใหญ่แห่งหลุมน้ำลู่ตนนั้นอนาถแน่ ฮว่อหลงเจินเหรินฝืนฝ่าตราผนึกก็ยังฝ่าไปไม่ได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นศิษย์พี่กลับสามารถบุกเข้าไปด้านในได้โดยตรง”
กู้ช่านถาม “อาจารย์มีความแค้นกับปีศาจใหญ่แห่งหลุมน้ำลู่ผู้นั้นหรือ? หรือว่าสังหารปีศาจใหญ่เพียงเพื่อสะสมคุณความชอบอย่างเดียวเท่านั้น?”
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ย “อย่าเดาส่งเดช ศิษย์พี่ล้วนทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ”
กู้ช่านขมวดคิ้วไม่เอ่ยคำใด
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “สภาพจิตใจของเจ้าถูกหลักการเหตุผลของเฉินผิงอันสยบกำราบไว้มากเกินไป ระวังจะทำให้ศิษย์พี่ของข้าโมโหเข้าล่ะ”
กู้ช่านแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
——