กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 686.3 อิสระและการเดินทางไกล
คนทั้งสามหยุดพักที่เกาะแห่งนี้ชั่วขณะ ไฉ่ป๋อฝูเพิ่งจะสะสมปราณวิญญาณน้อยนิดมาได้อย่างไม่ง่ายก็ต้องติดตามคนทั้งสองออกเดินทางไปอีกครั้ง
ในอดีตยามที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิด ช่องโพรงถ้ำสถิตของเขาดุจดั่งจวนชนชั้นสูง ปราณวิญญาณเหมือนทองเหมือนหยกที่มีอยู่เต็มห้องโถง มีให้ใช้มากมายไม่หมดสิ้น ใช้อย่างล้างผลาญแค่ไหนก็ได้ ทว่าตอนนี้เป็นเหมือนบ้านหลังน้อย จะมือเติบใจกว้างไม่ได้จริงๆ
เส้นทางน้ำหนทางยาวไกลมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ขณะที่ผ่านพื้นที่หนึ่งหลิ่วชื่อเฉิงก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี “กู้ช่านหนอกู้ช่าน เจ้านี่มันมีโชควาสนาเหลือเกิน ติดตามเจ้าเดินทางมาได้พบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยขาด ก่อนหน้านี้ได้เจอกับตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ ตอนนี้ยังมาเจอสถานที่แห่งนี้อีก”
ไฉ่ป๋อฝูเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก จุดที่สายตามองเห็นมีเพียงมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีความลี้ลับมหัศจรรย์ใดๆ
หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือสลายสิ่งกีดขวางนั่นออก ในสายตากู้ช่านจึงปรากฏเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะไม่มีต้นไม้สักต้น มีแต่ภูเขาหินสลับสล้าง
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “นี่คือหินพักมังกรแห่งหนึ่ง มันจะเคลื่อนย้ายไปตามกระแสน้ำ ไม่ได้ปักหลักอยู่ที่ใดแน่นอน ในช่วงยุคบรรพกาลเคยมีอยู่สี่แห่ง ถูกทำลายไปหนึ่งแห่ง ถูกหลอมไปหนึ่งแห่ง ตรงกลางลำน้ำใหญ่นอกหอกว้านเชวี่ยของตำหนักสุ้ยฉูแห่งใต้หล้ามืดสลัวก็มีอยู่หนึ่งแห่ง พวกเขาใช้เวทลับทำให้มันหยุดนิ่งมั่นคง ใต้หล้าไพศาลจึงเหลือเพียงที่นี่แล้ว มันหนักมากๆ ขนาดเซียนเหรินยังเคลื่อนย้ายไม่ได้ แต่กลับสามารถสั่งให้เผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาค่อยๆ ขยับไปทีละนิดได้ แต่ว่าไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวัตถุที่มีเจ้าของ สถานที่แห่งนี้ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของท่านผู้นั้นแห่งหลุมน้ำลู่ ไอ้หมอนั่นไม่ใช่คนธรรมดา ฮว่อหลงเจินเหรินที่เชี่ยวชาญทั้งวิชาน้ำและวิชาไฟ เขาก็ยังต่อสู้กับอีกฝ่ายจนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำได้ เพียงแต่ว่ายังเป็นรองอยู่เล็กน้อย นี่ถึงได้ถอยกลับไปอยู่ในรังเก่าใต้มหาสมุทรอย่างไรล่ะ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า เป็นศัตรูกับฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้นก็คงได้แต่ยืนรอความตายเฉยๆ เท่านั้น แต่ก็มีผู้ฝึกตนตระกูลเซียนบางส่วนที่จะมาพักอยู่ด้านหลังหินพักมังกร หากโชคดีก็จะสามารถเก็บน้ำลายมังกรที่หายากซึ่งกลิ้งจากหน้าผาลงสู่ทะเลได้ นั่นจะเป็นโชคลาภก้อนใหญ่เลยทีเดียว”
คำโบราณกล่าวไว้ว่า มังกรซ่อนตัวในหลุมน้ำลู่ (น้ำลู่หมายถึงน้ำใสกระจ่าง น้ำที่เป็นสีเขียวมรกต และยังหมายถึงชื่อบทเพลงสมัยโบราณ) ไฟช่วยตำหนักไท่หยาง
หลุมน้ำลู่หนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของเทพวารียุคดึกดำบรรพ์ยังคงอยู่ แต่ตำหนักไท่หยางแห่งนั้นกลับไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ว่ากันว่าแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
กู้ช่านเพ่งสายตามองไปยังหินพักมังกรแห่งนั้น
บนภูเขาไม่มีเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่เหนื่อยล้าตัวใดมาขดตัวนอนพัก
แต่พอตราผนึกคลายออก ภาพบรรยากาศประหลาดก็พลันบังเกิด จุดที่ภูเขาและสายน้ำสัมผัสกันคล้ายจะมีวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายของเหลวเหนียวข้นไหลลงมาสู่มหาสมุทร กลิ่นหอมอวลจมูกลอยโชยไปไกลแสนไกล บางครั้งบนภูเขาก็มีประกายแสงเปล่งวาบขึ้นมา ทว่าเพียงแวบเดียวก็หายวับไป เหมือนกับมีอัญมณีเม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงหล่นลงในซอกหิน
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “กลัวอะไรเล่า ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ สิ ศิษย์พี่ของข้าบุกเข้าไปฆ่าถึงในหลุมน้ำลู่แล้ว แล้วยังมีข้าคอยคุ้มกันให้ เจ้ากลัวอะไรกันแน่? เจ้าควรจะคิดอยากเก็บของสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าตัวเองสิ อย่าลืมล่ะว่าท่ามกลางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวเรามีแม่น้ำหวงเหอไหลลงมาจากฟ้า และยิ่งมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่อลังการที่ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร หากเจ้าย้ายของสิ่งนี้ไปเป็นที่พักเท้าได้ จะมีเผ่าน้ำกี่มากน้อยซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้า?”
กู้ช่านเอ่ย “แค่มองดูอยู่ไกลๆ ก็พอ วัตถุนอกกายชิ้นหนึ่ง ความสัมพันธ์ควันธูปที่ต้องการด้วยความโลภ มีแต่จะถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า”
หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน มีคนบรรลุมรรคากี่มากน้อยที่ยังคงเลือกเรื่องบางเรื่อง หรือไม่ก็เลือกเหล้าหมัก เลือกสาวงาม เลือกพิณหมากล้อมพู่กันภาพวาด เอามาใช้ฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติน่ะ”
กู้ช่านกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ข้าบรรลุมรรคาก่อนค่อยว่ากัน”
ไฉ่ป๋อฝูเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาสนใจหินพักมังกรก้อนนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินทั้งหลายจะกลายเป็นว่าสวรรค์มอบให้ไม่ยอมรับ กลับจะโดนสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไม่?”
มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ หากเห็นเงินแล้วยังไม่ลืมตา นั่นก็เรียกว่าตาบอด
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไฉ่ป๋อฝูฝึกวิชาน้ำบนมหามรรคา เข็มขัดหยกขาวสลักลายชือหลงบนเอว รวมไปถึงหยกประดับและขวดไหทั้งหลายที่ร้อยเป็นพวงยาวอยู่บนนั้น ต่างก็เป็นวัตถุตัวแทนของข้องราชามังกรที่ไม่มีโอกาสได้มาครอบครองสักใบ
หลิ่วชื่อเฉิงผลักไฉ่ป๋อฝูออก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “น้องหลงป๋อ เจ้าไปสิ กู้ช่านนำพาโชควาสนามาให้ ข้าช่วยเปิดประตูให้กว้างอย่างเต็มที่ เจ้าแค่ไปเก็บสมบัติมาง่ายๆ หลังจบเรื่องจะแบ่งสมบัติกันอย่างไร ให้กู้ช่านเป็นคนตัดสินใจ ล้วนเป็นสหายเก่ากันทั้งนั้น คิดดูแล้วกู้ช่านย่อมปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวแน่นอน”
ไฉ่ป๋อฝูรู้สึกหวาดหวั่น สามคนอยู่ด้วยกัน ความกล้าหาญของเขาก็เต็มเปี่ยม เพราะถึงอย่างไรที่พึ่งก็คือนครจักรพรรดิขาวแห่งนั้น แต่หากเขาต้องไปเองเพียงลำพัง เขาก็ไม่กล้าขึ้นไปบนหินพักมังกรที่เป็นซากปรักยุคโบราณอะไรนี่หรอก
กู้ช่านเอ่ย “ไปเถิด”
ไฉ่ป๋อฝูเข่าอ่อนยวบ ผลคือถูกหลิ่วชื่อเฉิงคว้าลำคอแล้วโยนออกไปง่ายๆ ร่างของเขาก็ไปกระแทกเข้ากับยอดของหินพักมังกร
สะบัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่เต็มร่าง ไฉ่ป๋อฝูรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ต่อให้ตอนที่ข้าผู้อาวุโสเป็นก่อกำเนิดก็ยังแค่กล้าทดลองไปจับพวกเจียวน้อยฉิวน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น เวลานี้ถูกโยนเข้ามาในรังเก่าของเจียวหลงเช่นนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ทว่าแม้จะพูดเช่นนี้ แต่น้องหลงป๋อที่มีรูปโฉมและเรือนกายเป็นเด็กหนุ่มก็ยังไล่ตามร่องรอยการสว่างและดับในเสี้ยววินาทีของแสงอัญมณีเม็ดหนึ่งแล้วกระโจนออกไปหลายสิบจั้งเหมือนเสือโหยที่กระโจนเข้าขย้ำลูกแกะ ขุดเอาไข่มุกขนาดเท่าแกนเมล็ดเหอเถาจากร่องหินมาได้เม็ดหนึ่ง แล้วไฉ่ป๋อฝูก็ต้องอึ้งตะลึง ก่อนจะใช้สองมือเช็ดถูเอาคราบดินที่เปื้อนอัญมณีเม็ดนี้ออกอย่างแรง เป่าลมใส่เบาๆ หนึ่งที ใช้เวทน้ำชักนำแสงศักดิ์สิทธิ์ของอัญมณี ทันใดนั้นประกายแสงก็เปล่งเจิดจ้า ไอน้ำแผ่อบอวลไปรอบด้านชวนให้จิตใจคนโล่งปลอดโปร่ง ไฉ่ป๋อฝูเพ่งมองอัญมณีประหลาดในมือตัวเองอย่างพินิจพิจารณา สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นลิงโลด พึมพำว่า “เป็นไข่มุกฉิวจริงๆ เสียด้วย ระดับขั้นสูงอย่างมาก ขายให้จักรพรรดิเอาไปทำเป็นมงกุฎ ราคาเริ่มต้นก็ต้องที่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช! หากเอาไปแต้มนัยน์ตามังกรให้กับมังกรสาวบนชุดกระโปรงน้ำของเทพเซียน มีความเป็นไปได้ว่าผู้ฝึกตนหญิงจะยอมควักจ่ายถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช หากได้มาหลายสิบเม็ด เอามาทำเป็นกำไลข้อมือ ‘ไข่มุกบนฝ่ามือ’ ที่เป็นสมบัติหนักวิชาน้ำ ได้ยินว่าได้รับความโปรดปรานจากเซียนหญิงห้าขอบเขตบนเป็นที่สุด…”
หลิ่วชื่อเฉิงที่อยู่ห่างไกลออกไปจุ๊ปากเอ่ย “ช่างเป็นกระบวนท่าหมาหิวกินขี้ที่ดีนัก ก็แค่น่าแขยงไปหน่อย”
ไฉ่ป๋อฝูเริ่มทำการกวาดค้น หาอัญมณีที่อยู่ในภูเขาอย่างกำเริบเสิบสาน แม้แต่ก้อนหินบนภูเขาที่อยู่ห่างกันคนละช่วงก็ยังทยอยไล่เคาะเพื่อยืนยันให้แน่ใจด้วย
กู้ช่านเอ่ย “ผู้ฝึกตนอิสระเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้ไม่ง่าย ความยากลำบากระหว่างนี้ไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “นี่เจ้ากำลังเห็นใจเขาหรือ?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ข้าแค่พูดความจริง”
หลิ่วชื่อเฉิงถาม “ตอนแบ่งทรัพย์สินหลังจากนี้จะแบ่งให้น้องหลงป๋อมากหน่อยสินะ?”
กู้ช่านยังคงส่ายหน้า “ไม่ให้แม้แต่นิดเดียว”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
กู้ช่านถาม “ในเมื่อมีเซียนซือบนมหาสมุทรที่สามารถอาศัยเวทลับบนภูเขามาตามหาหินพักมังกรหวังได้รับโชคลาภก้อนใหญ่ ตอนนี้ตราผนึกคลายออกแล้ว อีกไม่นานก็จะมีคนตามมาหรือไม่?”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “มีความเป็นไปได้มากเลยล่ะ”
กู้ช่านได้ยินแล้วก็ทะยานลมไปยังหินพักมังกร
หลิ่วชื่อเฉิงเคียงบ่าไปกับเขา “เมื่อสามพันปีก่อน เผ่าพันธุ์เจียวหลงยังคงเป็นบุคคลมากบารมีอำนาจที่ทำหน้าที่ปรับลมเปลี่ยนฝน มอบน้ำสร้างภัยแล้ง มักจะพากันไปที่แผ่นดินเพื่อกระจายกันโปรยฝน ยามเดินทางกลับล้วนเหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรง ส่วนใหญ่จึงจะมาพักผ่อนอยู่ที่นี่กลางทาง รับลมเย็นๆ ขับความร้อน ผ่อนคลายอารมณ์ จึงมีมังกรที่เหนื่อยล้านับร้อยนับพันตัวมาขดตัวอยู่บนนี้ แต่ข้าไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน เป็นศิษย์พี่ที่เคยเห็น”
กู้ช่านกล่าว “ลัทธิเต๋ามี ‘ไท่ซ่างต้งยวน’ อยู่เล่มหนึ่งที่บันทึกรายชื่อราชามังกรทั้งหนึ่งร้อยสิบหกตัว รวมไปถึงหน้าที่และวิชาอภินิหารของพวกมันเอาไว้อย่างละเอียด”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้ารับ “วันที่หกเดือนหก พวกชาวบ้านตากเสื้อผ้า ตากผ้านวม วังมังกรก็มีการตากชุดคลุมมังกรเช่นกัน มังกรสาวที่อยู่ตามจวนน้ำแห่งต่างๆ บนโลก ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกขึ้นฝั่งมาเลือกคู่ในวันนี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนต้องเป็นคนที่มีโชคทางน้ำ บุรุษบางคนที่โชคดียังสามารถแต่งเข้าวังมังกรได้ด้วย น่าเสียดายนักที่ทุกวันนี้ไม่มีใครมีโชคด้านสาวงามเช่นนี้”
กู้ช่านถาม “หินพักมังกรคงไม่คิดจะเปิดประตู ปล่อยให้คนนอกแย่งชิงกันไปเองหรอกกระมัง?”
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่มีทาง หลุมน้ำลู่จะส่งเซียนจับปลาท่านหนึ่งให้มาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้โดยเฉพาะ มีตบะเป็นขอบเขตหยกดิบ ใกล้ชิดกับสายน้ำ พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่ามีข้าอยู่ด้วย อีกฝ่ายจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม นอกจากนี้อัญมณีและน้ำลายมังกรพวกนี้ หลุมน้ำลู่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ชื่นชอบเหมือนพวกวัตถุแปลกตาที่มีระดับขั้นเป็นวัตถุวิเศษบางส่วนบนชายฝั่งด้วยซ้ำ ทุกๆ ร้อยปีหลุมน้ำลู่จะต้องมีการจัดงานเลี้ยงหลบร้อน วัตถุในน้ำพวกนี้ เกรงว่าหลุมน้ำลู่คงสะสมไว้จนกองเป็นภูเขาได้นานแล้ว นานวันเข้าก็ปล่อยให้อัญมณีพวกนั้นเหลืองเก่าแล้วค่อยโยนทิ้ง”
คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนยอดบนสุดของภูเขาบนหินพักมังกรลูกหนึ่ง กู้ช่านทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปแตะก้อนหิน พยายามทำความเข้าใจกับสภาพภูมิศาสตร์ของที่แห่งนี้ให้ได้มากที่สุด
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้ามองวิถีทางโลกใบนี้เรียบง่ายเกินไปแล้ว จิตใจคนสันดานคน ล้วนบางเบาเหมือนกระดาษขาว ก็มีเพียงเท่านั้นเอง แต่หากจะคิดให้ซับซ้อนก็เท่ากับหาเรื่องลำบากใส่ตัว ความรู้มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด ใช้ชีวิตที่มีจำกัดไปแสวงหาความรู้ที่ไร้ข้อจำกัด เจ้าเลียนแบบใครดันไม่เลียนแบบ ดันไปเลียนแบบเขาเฉินผิงอัน”
กู้ช่านเอ่ย “วิถีทางโลกใบนี้ หลิ่วชื่อเฉิงคนหนึ่ง หลิ่วชื่อเฉิงสิบคน หลิ่วชื่อเฉิงร้อยคน ล้วนเฮงซวยเหมือนกันหมด แต่มีหรือไม่มีเขา กลับมีความต่างอยู่มาก อย่างน้อยสำหรับข้าแล้วก็เป็นเช่นนี้”
หลิ่วชื่อเฉิงไม่ยินดีจะวิจารณ์เฉินผิงอันให้กู้ช่านฟังมากเกินไปนัก เพราะง่ายที่จะถูกอีกฝ่ายอาฆาตแค้น
หลิ่วชื่อเฉิงพลันยิ้มเอ่ย “มีเซียนซือกลุ่มหนึ่งให้เกียรติมาเยือนแล้ว โอ้โห ยังมีพี่สาวคนงามอีกสองคนด้วย”
กู้ช่านชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิง
หลิ่วชื่อเฉิงพูดเยาะหยัน “มารดามันเถอะ หากขนาดนี้แล้วยังมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก วันหน้าทุกวันข้าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้น้องหลงป๋อเลย!”
ส่วนน้องหลงป๋อผู้นั้นยังคงค้นหาสมบัติไปรอบด้านอย่างมานะขันแข็ง แต่เขาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่ได้ส่วนแบ่งไปแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
……
สวินยวน เจียงซ่างเจิน เจ้าสำนักทั้งเก่าและใหม่ของสำนักกุยหยกสองคนนี้จับมือกันออกมาจากภูเขา มาถึงริมชายแดนของราชวงศต้าเฉวียนภาคกลางของใบถงทวีป
ทั้งสองฝ่ายต่างปกปิดลมปราณ หลังจากพลิ้วกายลงแล้วก็เดินเท้าไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับเมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้น
สวินยวนจุ๊ปากเอ่ย “ถึงขนาดยอมตัดหางตัวเองหางหนึ่ง เป็นคนประหลาดเสียจริง”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างโกรธเคือง “คิดไม่ถึงว่าฮ่วนซีฮูหยินจะอยู่ใต้เปลือกตาของข้านี้เอง แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นนางมาก่อน ผิดไปแล้วๆ สมควรตายๆ”
สวินยวนเอ่ย “จิ้งจอกฟ้าเก้าหางเชี่ยวชาญด้านการอำพรางลมปราณเป็นที่สุด ในอดีตข้าเองก็สัมผัสไม่ได้เหมือนกัน แต่ทางฝั่งของสำนักศึกษาต้าฝูกลับพบเบาะแสมานานแล้ว ดังนั้นปีนั้นวิญญูชนจงขุยถึงได้มาปักหลักอยู่ที่นี่”
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองโรงเตี๊ยมเล็กห่างไกลแวบหนึ่ง แล้วยิ้มพูดว่า “ร้านเหล้านอกเมืองมีสามอย่างที่ดี มีสาวงาม ลูกค้าน้อย เหล้าหมักรสชาติร้อนแรง”
สวินยวนเองก็เผยสีหน้าหวนคิดถึงออกมา ลูบหนวดยิ้มกล่าว “หญิงหม้ายรูปงาม ยาเบื่อให้สลบ ม้านั่งยาว มีดปลายแหลม”
เจ้าสำนักทั้งเก่าและใหม่สองท่านนี้ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
การที่ต้องระดมพลใหญ่โต หนึ่งขอบเขตบินทะยานกับอีกหนึ่งขอบเขตเซียนเหรินพากันมาเยือนราชวงศ์ต้าเฉวียน แน่นอนว่าเพราะต้องการแน่ใจในความคิดที่แท้จริงของฮ่วนซีฮูหยิน
หากพาตัวมาให้สำนักกุยหยกของข้าใช้งาน นั่นย่อมดีที่สุด ดังนั้นสวินยวนถึงได้พาเจียงซ่างเจินมาด้วย ยามคบค้าสมาคมกับสตรี ดูเหมือนว่าเจียงซ่างเจินจะมีวิชาอภินิหารที่เป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่
สวินยวนพลันเปลี่ยนความคิด “ข้าไปที่เมืองหลวงต้าเฉวียนก่อนดีกว่า”
เจียงซ่างเซินยังไงก็ได้ หลังจากที่อดีตเจ้าสำนักย่อภูเขาหดสายน้ำจากไปแล้ว เขาก็หยิบเอาร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก้อนเมฆทะมึนก็มารวมตัวกัน ก่อนที่ฝนเม็ดเล็กจะเริ่มโปรยปราย
กางร่มเดินไป
ระหว่างที่ก้าวเดิน แสงศักดิ์สิทธิ์บนชุดคลุมอาคมก็ส่องประกายวาววับ ก่อนจะกลายมาเป็นชุดสีเขียว
บัณฑิต มีสหายต่างเพศมาก ไม่หลอกลวงใคร
นอกร้านแขวนป้ายเก่าโทรม
เจียงซ่างเจินเริ่มคิดถึงพื้นที่มงคลรากบัวขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าทุกวันนี้สหายรักอย่างลู่ฝ่างจะสามารถคลายปมในใจได้หรือยัง
คนแก่หลังค่อมคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าประตูม่านไม้ไผ่ของห้องครัว กำลังสูบยาสูบเดาะปาก พอเห็นแขกที่เดินกางร่มเข้ามาในร้าน ผู้เฒ่าก็หรี่ตาลง
คนหนุ่มขาเป๋คนหนึ่งกำลังเช็ดโต๊ะ ค่อนข้างตกตะลึงที่หมาพันธ์พื้นบ้านซึ่งอยู่ด้านนอกงีบหลับ พึมพำประโยคหนึ่งว่าลูกค้ามาแล้วก็ไม่รู้จักร้องเตือนเสียบ้าง น่าฆ่าเอามาตุ๋นเนื้อกินจริงๆ เพียงแต่ว่าพอชำเลืองตามองร่มกระดาษน้ำมันในมือของลูกค้าคนนั้น แล้วเห็นม่านฝนขมุกขมัวที่อยู่ข้างนอก ก็ด่าไปคำหนึ่งว่าอากาศบ้านี่เปลี่ยนเร็วราวกับคนชักสีหน้า ทว่ายามเผชิญหน้าลูกค้า คนหนุ่มกลับรีบคลี่ยิ้มทันที “ลูกค้าท่านนี้จะกินข้าวหรือเข้าพัก? เหล้าบ๊วย แกะย่างทั้งตัวของพวกเรา เรียกได้ว่าเป็นอาหารชั้นยอด ราคาเป็นธรรม เพียงแต่ว่าเหล้าแบ่งออกเป็นสามชนิด ดื่มเหล้าหมักครึ่งปีไม่เสียเงินเปล่า ดื่มหเล้าหมักสามปีไม่อยากจากไป ดื่มเหล้าหมักห้าปีใต้หล้านี้ก็ไม่มีสุราใดอีก”
เจียงซ่างเจินสั่งเหล้าหมักห้าปีไหหนึ่งและแกะย่างทั้งตัวมาโดยตรง บอกว่าหากมีกับแกล้มก็เอามาด้วยอย่างละจาน
คนหนุ่มหน้าตาเบิกบาน
ชายชราหลังค่อมเลิกม่านเดินเข้าไปในห้องครัว
ตอนที่ลูกจ้างร้านหิ้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เจียงซ่างเจินก็ยิ้มถาม “ได้ยินว่าแถบนี้ของพวกเจ้าไม่ค่อยสงบสุข ทางฝั่งของเมืองเล็กมีของสกปรกบางอย่าง?”
ลูกจ้างร้านอึ้งตะลึง แล้วก็นึกถึงช่วงเวลาหลายปีก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ลูกค้าหมายถึงเมืองหูเอ๋อร์หรือ ไม่มีของสกปรกชั่วร้ายอะไรแล้ว ตอนนี้สงบสุขปลอดภัยดีอย่างยิ่ง อีกอย่างชายแดนก็มีกองทัพสวมเกราะคอยเฝ้าพิทักษ์ เป็นสถานที่ที่ปราณหยางโชติช่วง ดังนั้นต่อให้ปีนั้นเมืองเล็กจะมีเรื่องเล่าลือว่ามีผีอาละวาดก็ไม่เคยมีคนตาย ลูกค้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ?”
เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเอง เอ่ยว่า “มองไม่ออกจริงๆ หรือ?”
คนหนุ่มถามหยั่งเชิง “ท่านไม่ขาดเงิน?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ข้าเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา ที่ไหนมีปีศาจอาละวาดก็ไปเยือนที่นั่น”
คนหนุ่มดวงตาเป็นประกาย “ผู้ฝึกตน? เป็นเวทคาถาของเซียนหรือ? เดินทะลุกำแพงได้หรือไม่? ไม่สู้ตอนนี้ลองทะลุกำแพงให้ข้าดูหน่อยสิ”
เจียงซ่างเจินกุมขมับ เอ่ยว่า “วิชาตระกูลเซียนจะเปิดเผยกันง่ายๆ ไม่ได้ และคาถาก็มิอาจถ่ายทอดให้ใครได้โดยง่าย”
คนหนุ่มพลันหมดความสนใจไปทันใด
พูดจาอย่างกะผายลมแบบนี้ ไม่พูดยังดีเสียกว่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนหนุ่มยังไม่เคยเจอเทพเซียนคนไหนที่หลงตัวเองอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ไอ้หมอนี่พูดจาเหลวไหลก็ช่างเถิด แต่หากกล้าชักดาบไม่จ่ายเงิน จะฟันเจ้าให้ตายด้วยดาบเดียวเสียเลย
เจียงซ่างเจินถาม “เถ้าแก่โรงเตี๊ยมล่ะ?”
คนหนุ่มยิ่งมองเจ้าหมอนี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายนักต้มตุ๋น จึงเริ่มคิดคำนวณมูลค่าของเสื้อผ้าบนร่างอีกฝ่ายว่ามีราคาเท่าใด ปากก็พูดไปว่า “เช้าวันนี้เถ้าแก่เนี้ยะก็ไปที่เมืองหูเอ๋อร์แล้ว ยังไม่กลับมา ที่นั่นมีงานวัด ครึกครื้นนักล่ะ แต่อากาศบ้าบอแบบนี้ คาดว่าวันนี้เถ้าแก่เนี้ยะน่าจะกลับมาเร็ว หากลูกค้าพักค้างแรมด้วย รับรองว่าได้เจอนางแน่นอน”
——