กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 686.4 อิสระและการเดินทางไกล
หลังกินดื่มอย่างอิ่มหนำแล้ว เจียงซ่างเจินก็ส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ตบหน้าท้องเบาๆ หันหน้าไปมอง
ตรงประตูมีสาวงามโตเต็มวัยคนหนึ่งยืมร่มกระดาษน้ำมันจากเมืองหูเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ กลับมาตลอดทาง นางสวมเสื้อสาบคู่พื้นสีเหลืองตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ บนเท้าสวมรองเท้าผ้าปักลาย กำลังขูดดินที่ติดพื้นรองเท้าเข้ากับธรณีประตู
เจียงซ่างเจินกวักมือเอ่ย “จิ่วเหนียง จิ่วเหนียง มานั่งนี่สิ”
สตรีกล่าวอย่างกังขา “พวกเรารู้จักกันหรือ? ลูกค้าที่เคยมาดื่มเหล้า หากเป็นคนที่หน้าตาดีเช่นเจ้า ข้าต้องจำได้สิ”
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ากลับรู้จักเจ้าจิ่วเหนียง ข้าเป็นพี่น้องคนสนิทของเฉินผิงอัน ชื่อโจวเฝย”
สตรีคลี่ยิ้มหวาน ดวงตาฉ่ำประกายน้ำคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าพี่ใหญ่โจว นางก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา โยนร่มกระดาษน้ำมันให้กับลูกจ้างร้านที่อยู่ห่างออกไป ตัวเองนั่งลงข้างโต๊ะ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วกระดกดื่มจดหมด “พี่ใหญ่โจวทำตัวห่างเหินยิ่งนัก ควรจะเรียกข้าว่าน้องสะใภ้ถึงจะถูก”
เรื่องที่ไม่เป็นจริง สามารถพูดเหลวไหลได้ส่งเดช แต่หากเป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่มักจะเก็บซ่อนไว้ในใจ แม้แต่ตัวเองก็ไม่ยินดีจะไปแตะต้อง
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่างไรก็ไม่ ‘ห่างเหิน’ เท่าจิ่วเหนียงหรอก”
สตรีรู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อย
เจียงซ่างเจินถอนหายใจหนึ่งที “อีกชื่อหนึ่งของข้าคือเจียงซ่างเจิน จิ่วเหนียงตัดหางตัวเองไปหางหนึ่ง ดังนั้นต่อให้จะอยู่ที่เมืองหูเอ๋อร์ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเซียนเหรินอย่างข้า”
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “ฮ่วนซาฮูหยิน (ตอนก่อนหน้านี้ผู้แต่งใช้ฮ่วนซี แต่หลังจากตอนนี้ใช้ฮ่วนซา) เรียกแล้วไม่ดูสนิทสนมเท่าจิ่วเหนียงนะ”
วินาทีนั้น
ฟ้าดินพลันเงียบสงัด
หางแปดหางด้านหลังสตรีแกว่งไกว สายตาเยียบเย็น ไม่เหลือท่วงท่าเย้ายวนชวนให้คนลุ่มหลงอีกแม้แต่น้อย “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักเจียงเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อมาฆ่าปีศาจ หรือจะมาจับปีศาจกันแน่ล่ะ?”
เจียงซ่างเจินยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับถ้วยเหล้าตรงหน้าจิ่วเหนียงเบาๆ จิบเหล้าหนึ่งคำ “หากตาเฒ่าสวินของบ้านข้ามาเยือนเพียงลำพัง จิ่วเหนียงถามอย่างนี้ย่อมถูกต้องแล้ว”
สตรีขมวดคิ้ว “เจ้าประมุขเจียงมีอะไรก็พูดมาตามตรง”
เจียงซางเจินวางถ้วยเหล้าลง เอ่ยว่า “ความหมายของตาเฒ่าสวินก็คือต้องการให้เจ้าตอบตกลงเป็นผู้ถวายงานของสำนักกุยหยกข้าแล้วเขาถึงจะยอมเลิกราแต่โดยดี แต่ข้าว่าช่างเถิด ไม่ควรจะทำตัวหยาบคายต่อสาวงามเช่นนี้ จิ่วเหนียงก็ไปเป็นแขกที่สำนักกุยหยกของข้าแล้วกัน เมื่อไหร่ที่ใต้หล้าสงบสุข เหมาะให้เจ้าบ้านขายเหล้าแขกซื้อเหล้าดื่มแล้ว จิ่วเหนียงค่อยกลับมาทำการค้าที่นี่ก็ได้ ข้าสามารถรับรองว่าถึงเวลานั้นหากจิ่วเหนียงต้องการออกมาจากสำนักกุยหยก จะไม่มีใครขัดขวางเจ้าแน่นอน แต่หากยินดีอยู่ต่อ ตั้งใจฝึกตนเพื่อกลับคืนเป็นจิ้งจอกฟ้าอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า”
จิ้งจอกฟ้าเก้าหางตนนี้ หรือควรจะเรียกว่าฮ่วนซาฮูหยินหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าไม่ตอบตกลงเล่า?”
เจียงซ่างเจินตอบ “ตาย”
ใบหน้าของนางพลันพร่าเลือน แต่จากนั้นก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่ใบหน้าของจิ่วเหนียง
เจียงซ่างเจินไม่ได้เคลื่อนย้ายสายตามองไปทางอื่น ยังคงจับจ้องใบหน้าของนางอยู่อย่างนั้น ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า “วิชาอภินิหารประเภทนี้ของภูตจิ้งจอกอย่างเจ้า สำหรับข้าและสำหรับเฉินผิงอันแล้ว ล้วนใช้ไม่ค่อยได้ผล”
นางกลับคืนมามีรูปโฉมเป็น ‘จิ่วเหนียง’ ดังเดิม เอ่ยว่า “เจียงซ่างเจิน ข้าสามารถตามเจ้าไปที่สำนักกุยหยกได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าสามเรื่อง”
“เรื่องแรก ปิดบังตัวตนของข้า นอกจากเจ้ากับสวินยวนแล้ว คนทั้งสำนักกุยหยก ห้ามให้มีคนรู้รากฐานของข้าเป็นคนที่สาม”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ข้อสอง ท่านปู่สามกับเจ้าเป๋น้อยก็ต้องจัดการหาที่ทางดีๆ ให้พวกเขา แต่ไม่ได้ไปอยู่ที่สำนักกุยหยก”
“ได้ สำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป มีขุนเขาสายน้ำให้ออกเดินทางไกลไปเที่ยวเล่น ส่วนเมืองหลวงต้าเฉวียนนั้นก็อย่าไปเลยจะดีกว่า”
“สุดท้าย ข้าต้องการไปที่เมืองหลวงต้าเฉวียนสักครั้ง”
“ยินดีอย่างยิ่ง ข้ามีคนรู้จักสนิทคุ้นเคยอยู่ที่นั่นพอดี”
คนลับดาบ หลิวจง
นางเอ่ยถาม “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ข้าคือเพื่อนของเฉินผิงอันไงล่ะ”
วันนี้จิ่วเหนียงปิดโรงเตี๊ยม เดินทางไปเมืองหลวงต้าเฉวียนพร้อมกับเจียงซ่างเจิน
ราชวงศ์ต้าเฉวียน ในพระราชวังของเมืองหลวงมีสตรีคนหนึ่งยืนพิงเสาระเบียง หลั่งน้ำตาอย่างเศร้าสลด
นางไม่เคยก่อเรื่องล่อลวงใคร ไม่ใช่สาวงามจิ้งจอกที่พฤติกรรมออกนอกรีตนอกรอย
เพียงแต่ว่าปัญญาชนวงการฝ่ายบุ๋นของราชวงศ์ต้าเฉวียนกลับไม่ยินยอมจะปล่อยนางไป หนังสือนิยายรักประโลมโลกที่จัดพิมพ์เป็นการส่วนตัวอย่างต่อเนื่องไม่ขาดก็ยิ่งหยาบโลนจนทนอ่านมิได้
บัณฑิตที่อ่านตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มท้องพวกนี้รู้จักแต่จะรังแกสตรีคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
……
ในช่วงเวลาเดียวกับที่อิ่นกวานหนุ่มเพิ่งจะถูกโยนเข้าไปในคุก และได้เจอกับเหนี่ยนซินคนเย็บผ้าเป็นครั้งแรก
เผยเฉียนก็ต้องออกเดินทางไกลแล้ว
แล้วยังเป็นการออกเดินทางไกลแบบที่อาจารย์ไม่อยู่ข้างกาย ต้องห่างจากบ้านไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้อย่างแท้จริง
เช้าตรู่วันนี้เฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่ก็เริ่มช่วยเผยเฉียนจัดเก็บสัมภาระ โจวหมี่ลี่แบกคานหาบสีทองอันเล็กถามว่าจะเอาไปด้วยหรือไม่ เวลาเจอสถานการณ์ฉุกเฉินต้องใช้เงินสามารถเอาไปจำนำก่อนได้ พอมีเงินแล้วก็ค่อยไปไถ่กลับมา แต่แม่นางน้อยชุดดำยังไม่ลืมเตือนเผยเฉียนว่าใช้ทองแลกเงินต้องมีมูลค่าเพิ่ม อย่าได้ถูกเถ้าแก่โรงรับจำนำหลอกเอาเด็ดขาด เผยเฉียนเอ่ยชื่นชมไปหนึ่งคำรบ บิดแก้มของหมี่ลี่น้อยเอ่ยว่า เจ้านี่ช่างฉลาดจริงๆ แต่เผยเฉียนไม่ได้ตอบตกลง บอกว่าเงินที่ตัวเองมีติดตัวพอใช้แล้ว พกคานหาบสีทองออกไปท่องยุทธภพด้วยไม่เข้าท่าเท่าไร ง่ายที่จะทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อน
เผยเฉียนออกเดินทางไกลครั้งนี้จะเดินทางไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปพร้อมกับหลี่ไหว นัดหมายกันว่าจะไปเจอกันที่ร้านตระกูลหยางในเมืองเล็ก หลังจากนั้นก็ไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาไปด้วยกัน น่าเสียดายที่เรือมังกรข้ามฟาก ‘ฟานโม่’ ลำนั้นไม่อาจเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลอย่างอุตรกุรุทวีปได้
พ่อครัวเฒ่าเอาเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่ง เงินเกล็ดหิมะสามร้อยเหรียญออกมาจากคลังเก็บเงินของศาลบรรพจารย์ นำมามอบให้เผยเฉียน ทำเอาเผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง รับมาแค่เงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรยืมทรัพย์สมบัติของภูเขาลั่วพั่วและของอาจารย์พ่อมามากเกินไปก็ไม่ดี พ่อครัวเฒ่าบอกว่าไม่ได้ให้ยืม แต่ให้เลย ไม่ว่าลูกศิษย์คนใดของภูเขาลั่วพั่ว ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเดินทางไกลจะต้องมีเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งเป็นเงินขวัญถุง หากอิงตามคำกล่าวของนายน้อยก็คือสามารถกวักโชคลาภมาสู่ตัวได้
เผยเฉียนบอกว่าข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขานะ จะเหมือนกันได้หรือ?
เพราะนางกังวลอย่างมากว่าตัวเองเอาไปมากก็จะต้องขาดทุนมาก ฉายาตัวขาดทุนที่พ่อครัวเฒ่าตั้งให้นางอย่างไร้มโนธรรม รู้หรือไม่ว่าตลอดหลายปีมานี้เขาเรียกนางมากี่ครั้งแล้ว?! เจ็ดสิบสองครั้งแล้ว!
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลายปีมานี้นางอยู่กับอาจารย์พ่อล้วนได้กินดีอยู่ดี บวกกับที่ได้รับของขวัญจากคนอื่นมาเรื่อยๆ และตัวนางเองยังประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนขี้เหนียวที่ขึ้นชื่อ จึงสะสมเงินส่วนตัวไว้ได้ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นการเดินทางไกลครั้งนี้นางตั้งใจเตรียมใบไม้สีทองหนึ่งถุงเล็กๆ และเศษก้อนเงินไว้ด้วยหนึ่งถุง
ไม้เท้าเดินป่าที่อาจารย์พ่อมอบให้ ทุกวันนี้มีเส้นด้ายสีทองที่พี่หญิงเซียนกระบี่โจวเฉิงมอบให้อาศัยอยู่ พ่อครัวเฒ่าเชิญให้ซานจวินเว่ยป้อมาดูให้โดยเฉพาะ บอกว่าไม่มีปัญหา เป็นเรื่องดี ไม่จำเป็นต้องหล่อหลอม แค่ใช้มันร่ายกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งบ่อยๆ ก็ได้แล้ว
และยังมีหีบไม้ไผ่ใบน้อยที่ห่านขาวใหญ่ทำขึ้นมา รวมไปถึงดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ที่นางต่างก็เอาไปด้วย เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่กล้าพกไว้ที่เอว เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง อาจารย์และศิษย์พี่เล็กต่างก็ไม่อยู่ข้างกาย นางไม่ใจกล้ามากพอ กังวลว่าจะถูกคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนในยุทธภพที่แท้จริง หากเกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นขึ้นมา คนอื่นเห็นว่าตนอายุน้อยอาจจะปล่อยให้แล้วกันไป ด่าแค่ไม่กี่คำก็จบเรื่อง แต่หากเห็นกระบี่ไม้ไผ่ดาบไม้ไผ่ของนาง จะต้องจัดการตามกฎของยุทธภพแน่นอน หากอีกฝ่ายยืนกรานจะประมือกับนางให้จงได้จะทำอย่างไร นางจะไปประลองฝีมือกับคนอื่นเพื่ออะไรกัน
เผยเฉียนไปที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขามารอบหนึ่ง ไปบอกลาท่านผู้เฒ่าเทพภูเขา
เฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่เป็นลูกสมุนของนาง ทุกวันนี้เผยเฉียนตัวสูงขึ้นพรวดๆ จึงยิ่งทำให้พวกนางสองคนดูเป็นแม่นางน้อยเข้าไปทุกที
ท่านผู้เฒ่าเทพภูเขามีชื่อว่าซ่งอวี้จาง ในอักขรานุภรมที่อำเภอไหวหวงเป็นผู้จัดทำมีเขียนบอกไว้ เพียงแต่บทนั้นไม่ยาว บันทึกไว้แค่ว่าซ่งอวี้จางเคยเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาอยู่หลายปี หากพูดกันตามความหมายที่เข้มงวด ปีนั้นตอนที่อาจารย์พ่อเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร ผู้ตรวจการซ่งยังเคยดูแลอาจารย์พ่อมานานหลายปี
เผยเฉียนรู้ว่าเทพภูเขาซ่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับภูเขาลั่วพั่วมาโดยตลอด อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อครัวเฒ่ากับเว่ยซานจวินก็ไม่ค่อยถูกกัน
แต่อาจารย์พ่อเคยเล่าให้นางฟังว่า ตอนที่เทพภูเขาซ่งยังมีชีวิตอยู่เคยเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ตายไปก็กลายมาเป็นเทพ แล้วก็เป็นวิญญาณวีรบุรุษที่ปกป้องพื้นที่แห่งหนึ่ง ใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่ถูกชะตากับภูเขาลั่วพั่วทุกคนจะต้องเป็นคนชั่วไปเสียหมด
เผยเฉียนกลับมาที่เรือนไม้ไผ่อีกครั้ง ยืนอยู่ตรงชั้นสองครู่หนึ่ง
ตอนแรกหมี่ลี่น้อยก็จะตามเผยเฉียนขึ้นไปบนชั้นสอง แต่ถูกหน่วนซู่ห้ามเอาไว้ แล้วลากตัวนางไปนั่งแทะเมล็ดแตงที่โต๊ะหินริมหน้าผาด้วยกัน
เผยเฉียนเดินลงมาจากชั้นสอง ระหว่างเรือนไม้ไผ่กับโต๊ะหินปูทางเล็กๆ สองเส้นเพิ่มขึ้นมาบนพื้น ระยะทางไม่ยาวนัก
ปีนั้นที่อาจารย์พ่อเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปได้อิฐเขียวมาทั้งหมดสามสิบหกก้อน ก่อนจะเดินทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้ปูทางเส้นเล็กไว้หกเส้น ทางเส้นเล็กทุกเส้นจะต้องฝังเลื่อมก้อนอิฐหกก้อนที่ระยะห่างไม่เท่ากัน เอาไว้ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว ความต้องการแรกของอาจารย์พ่อก็คือปูทางเล็กเอาไว้ให้ตัวอาจารย์พ่อเอง ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนาง พ่อครัวเฒ่า เจิ้งต้าเฟิง หลูป๋ายเซี่ยง เฉินยวนจี คนละหนึ่งสาย
ภายหลังห่านขาวใหญ่รู้สึกน้อยใจ อาจารย์พ่อจึงยกทางเส้นเล็กที่เป็นของเขาให้ห่านขาวใหญ่
ทางเล็กเส้นนี้ของเผยเฉียนอยู่ข้างทางเส้นเล็กที่อาจารย์พ่อและศิษย์พี่เล็กใช้ร่วมกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน
พ่อครัวเฒ่ายกของตัวเองให้เฉาฉิงหล่าง แม้จะบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่บางครั้งฝึกวรยุทธเอาไว้บ้างก็สามารถทำให้จิตใจสงบได้
เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ได้รับอิฐเขียวเอาไว้ แต่มอบให้กับเด็กหนุ่มหยวนไหลที่ฝึกวิชาหมัดอย่างตั้งใจ แต่กลับชอบอ่านตำรามากกว่า
หลูป๋ายเซี่ยงมอบให้กับลูกศิษย์ใหญ่หยวนเป่า
แม้ว่าเฉินยวนจีจะปูทางอิฐเขียวเส้นเล็กไว้ในเรือนหลังเล็กของตัวเองเหมือนกัน แต่กลับยังคงชอบฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวระหว่างขึ้นลงเขาอยู่เหมือนเดิม
ทางทิศเหนือคือภูเขาฮุยเหมิงพื้นที่ใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ได้สูงเท่ากับภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับมีอาณาเขตใหญ่กว่า ดินและน้ำก็แตกต่างไปจากภูเขาลั่วพั่วด้วย
ที่นั่นมีคนอยู่แค่สามคน คือคุณชายต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่อาจพูดภาษาถิ่นของเมืองเล็กได้ พูดได้แค่ภาษาทางการของต้าหลีเท่านั้น แซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู ชื่อจริงกลับไม่มีใครรู้ ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียน ข้างกายเขามีสาวใช้ที่ตามติดเป็นเงา นามว่าเหมิงหลง เป็นคนหยิ่งทระนงอย่างมาก และยังมีพี่หญิงนามว่าสือชิวคนหนึ่ง นิสัยอ่อนโยน จิตใจกลับอ่อนโยนยิ่งกว่า แน่นอนว่าเผยเฉียนย่อมชอบฝ่ายหลังมากกว่า
แท่นบูชากระบี่ทางฝั่งตะวันตกสุดมีบุรุษนามชุยเหวยคนหนึ่งฝึกกระบี่อยู่ที่นั่น เขาไม่ชอบพูดคุย และไม่เคยลงจากภูเขา ทว่าจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่กลับมักจะคอยไปช่วยที่ร้านตรอกฉีหลงอยู่เป็นประจำ
ชุยเหวยคือผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นห่านขาวใหญ่ที่พากลับมา ทุกวันนี้เผยเฉียนรู้ชัดเจนแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งมีน้ำหนักมากแค่ไหนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป
สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพี่หญิงซิ่วซิ่ว ตระกูลเซียนอักษรจง ช่างหร่วนทยอยรับลูกศิษย์มาไว้สองกลุ่ม ตอนนี้ก็เพิ่งมีโอสถทองคนหนึ่งทำพิธีเปิดขุนเขาอย่างเป็นทางการ อีกทั้งต่งกู่ผู้นั้นยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไรด้วย
แน่นอนว่านี่ก็คือสาเหตุที่พี่หญิงซิ่วซิ่วไม่ชอบปรากฏตัว
แต่ชุยเหวยกลับเกรงใจและมีมารยาทต่อพ่อครัวเฒ่าอย่างมาก มากจนถึงขั้นเคารพและอาจถึงขั้นยำเกรง และนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่ง
พ่อครัวเฒ่าเคยใส่ยาเบื่อหนูหรือใส่ยาถ่ายลงในไหเหล้าของเจ้าชุยเหวยหรืออย่างไรกัน?
แม้จะบอกว่าพ่อครัวเฒ่าเล่นงานจนเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นั้นมีสภาพอเนจอนาถ แต่ชุยเหวยเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องระมัดระวังสำรวมตนขนาดนี้
หลิวจ้งรุ่นพาพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชทะเลสาบซูเจี่ยนย้ายมาอยู่ที่ภูเขาหลังอ๋าวซึ่งทำสัญญาเช่ากับภูเขาลั่วพั่ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกลมเกลียวสามัคคีกันมาก
และเผยเฉียนเองก็เคารพเลื่อมใสท่านน้าหลิวคนนี้อย่างมาก ได้ยินพ่อครัวเฒ่าบอกว่านางคือองค์หญิงใหญ่ที่สมชื่ออย่างแท้จริง เคยว่าราชการหลังม่าน เรื่องราวที่ในอดีตเผยเฉียนได้แต่อ่านเอาจากในตำรา นางกลับเคยทำมาก่อนแล้วจริงๆ
เมื่อหลายปีก่อนหลิวจ้งรุ่นยังทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือมังกรด้วยตัวเอง เอาสินค้าตระกูลเซียนที่ซื้อจากสวนน้ำค้างวสันต์มาขายที่ภูเขาหนิวเจี่ยว ท่านน้าหลิวผู้นี้มีคุณธรรมอย่างมาก แล้วก็เคารพในอาชีพของตัวเองอย่างยิ่ง เงินที่หามาได้จึงมากมหาศาล!
หน่วนซู่เล่าให้ฟังบอกว่า ทุกๆ รอบฤดูกาลคลังเก็บเงินของภูเขาลั่วพั่วจะได้รับเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เงินที่หามาได้เป็นรองแค่ส่วนแบ่งระหว่างท่าเรือหนิวเจี่ยวกับเว่ยซานจวินเท่านั้น เมื่อเทียบกับร้านสองร้านในตรอกฉีหลงแล้วก็เรียกได้ว่าหาเงินมาได้เยอะกว่ามากๆ บางครั้งเผยเฉียนก็จะไปที่ตรอกฉีหลง ไปหาสือโหรว แต่นางจะต้องอดทอดถอนใจไม่ได้ รู้สึกอายแทนสือโหรวจริงๆ เป็นเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยประสาอะไรกัน
และทุกครั้งที่ถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน หน่วนซู่ก็จะต้องไปเยี่ยมเยียนตามบ้านต่างๆ ไปที่ภูเขาเซินสิ่วของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไปที่ภูเขาฮุยเหมิง แท่นบูชากระบี่ แน่นอนว่ายังไปที่ภูเขาหลังอ๋าวด้วย ของขวัญที่นำไปมอบให้ล้วนเป็นผลผลิตพิเศษของภูเขาลั่วพั่ว ของขวัญเบาน้ำใจหนัก พวกพี่สาวบนภูเขาหลังอ๋าวยังมอบของขวัญกลับคืนด้วย
เผยเฉียนจะต้องไปกับหน่วนซู่ เมื่อก่อนหมี่ลี่น้อยก็ตามไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้นางใจเล็กยิ่งกว่ารูเข็มเสียอีก ชอบอยู่บนภูเขาลั่วพัวมากกว่า ทุกครั้งยังต้องคอยหาข้ออ้าง หากไม่บอกว่าขาแพลงก็บอกว่าปวดฟัน ภายหลังคาดว่าหัวน้อยๆ ที่ไม่ชอบคิดเรื่องอะไรนั่นคงจะปวดมากจริงๆ เลยแอบไปหาพ่อครัวเฒ่า ผลคือได้กระดาษแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนเหตุผลข้ออ้างไว้เต็มพรืด อะไรที่บอกว่าเปิดปฏิทินเหลืองดู วันนี้ถือเป็นวันที่ปีศาจใหญ่ธาตุน้ำไม่เหมาะจะขึ้นเขาเดินทางไกล ทำเอาหมี่ลี่น้อยดีใจแทบตาย ทุกวันจะต้องเฝ้าถามว่า พี่หญิงหน่วนซู่ทำไมวันนี้ยังไม่ลงจากเขาไปเยี่ยมใครอีกเล่า?