กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 691.4 หมาเฝ้าประตู
สถานการณ์ของฟ้าดินแห่งนี้เป็นอย่างไร มีข้อพิถีพิถันและกฎเกณฑ์ใดบ้าง หนิงเหยาไม่ถามแม้แต่ครึ่งคำ
บัณฑิตพยักหน้า “ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นับหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยขอร้องให้ใครช่วย”
ซิ่วไฉเฒ่านั่งแปะลงไปบนพื้นอย่างห่อเหี่ยว “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ถึงท้ายที่สุดแล้วสามารถขอร้องใครได้บ้างล่ะ อาจารย์อย่างข้าหรือ? ศิษย์พี่ของเขาหรือ? เจ้าฟันข้าให้ตายไปเลยเถอะ อาจารย์อย่างข้านี่มันไม่ได้เรื่องเลย…”
บัณฑิตถาม “จะให้ฟันตรงไหนล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนร่าง กระแอมหนึ่งที “ป๋ายเหย่อ่า เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่รู้จักพูดล้อพูดเล่นบ้างเลย วันหน้าต้องเปลี่ยนนิสัยบ้างนะ”
บัณฑิตจำแลงร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งไปยุ่งอยู่กับการเปิดประตูต่อ ลำพังเพียงแค่เพื่อทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปของใต้หล้าไพศาล เขาก็ต้องพกกระบี่ไปเปิดประตูใหญ่ถึงสามบานแล้ว
ในนครที่หล่นร่วงลงพื้น
หนิงเหยาขี่กระบี่และฝ่าทะลุขั้นเรียบร้อยแล้ว
กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนแรกของใต้หล้าใหม่แห่งนี้
นับแต่วันนี้ไปนางจะเป็นผู้นำของสายอิ่นกวาน คฤหาสน์หลบร้อนมีต่งปู้เต๋อ หลัวเจินอี้ สวีหนิง ฉางไท่ชิง กวอจู๋จิ่ว กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย รวมไปถึงฟ่านต้าเช่อที่เพิ่งเข้ามารวมกลุ่มใหม่
ดังนั้นสายอิ่นกวานในทุกวันนี้จึงมีกันอยู่ทั้งหมดแค่เก้าคน มีหน้าที่คอยควบคุมดูแลกฎ ตรวจสอบผู้ฝึกกระบี่ทุกคน
ส่วนสายของสิงกวานที่ฉีโซ่วขอบเขตก่อกำเนิดรับผิดชอบเป็นผู้สร้างขึ้นใหม่จะทำหน้าที่ลงทัณฑ์ สังหาร ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในคฤหาสน์หลบหนาว วันหน้าก็จะถือเป็นคนของสายสิงกวานเช่นกัน
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองและก่อกำเนิดในทุกวันนี้ล้วนจะถูกคัดเข้าสายสิงกวานโดยอัตโนมัติ หากอยากจะออกจากสายนี้ก็ต้องเอาคุณความชอบทางการสู้รบมาแลกเปลี่ยน หลังจากนั้นจะออกจากนครไปก่อสำนักตั้งพรรคก็ตามแต่ใจ แต่หากทางนครส่งกระบี่บินไปเรียกตัว ผู้ฝึกตนคนใดที่กล้าไม่หวนกลับมา ล้วนจะถูกมองเป็นศัตรู ต้องสังหารให้สิ้น
ในบรรดานั้นมีสตรีนามเหนี่ยนซินสวมชุดคลุมอาคมลักษณะเหมือนชุดถ้ำสวรรค์เทพเซียน ดูเหมือนจะเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ทุกวันนี้นางมีขอบเขตก่อกำเนิด ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับเป็นผู้ช่วยอันดับสองของสิงกวาน
ในนครเริ่มมีการสร้างศาลบรรพจารย์ ภาพเหมือนที่แขวนไว้มีเพียงภาพเดียว เฉินชิงตู
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก การเลือกที่ตั้งแห่งใหม่ของหอภูษา หอกระบี่และหอโอสถ ก็หนีไม่พ้นต้องทำไปตามลำดับขั้นตอน เรื่องพวกนี้มีระเบียบแบบแผนมานานแล้ว จึงเป็นเหตุให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ในขณะที่หนิงเหยาออกจากเมืองไปก่อนใคร ผู้ฝึกกระบี่อีกแปดคนของสายอิ่นกวานก็จับคู่กันสองคน แยกย้ายกันเลือกทิศทางหนึ่ง ขี่กระบี่ออกเดินทางไกลไปนอกเมือง จำเป็นต้องวาดแผนที่ภูมิศาสตร์แห่งหนึ่งขึ้นมา หากเจออุปสรรคกลางทางก็จะส่งข่าวกระบี่บินมาแจ้งให้ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานที่มีฉีโซ่ว หน่วนซินเป็นผู้รับผิดชอบให้ไปช่วยเหลือ
เกาเหย่โหวรับผิดชอบดูแลเรื่องตะเกียงแห่งชะตาชีวิต คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้
เหนี่ยนซินที่ถดถอยจากขอบเขตหยกดิบได้ออกจากคุกแฝงตัวเข้ามาในนคร มาเยือนที่ใต้หล้าแห่งนี้พร้อมกับทุกคน บนร่างของนางพกป้ายหยกอิ่นกวานเอาไว้ ตามข้อตกลงจึงไม่ได้มอบมันให้กับสายอิ่นกวานทันที
ตามคำบอกของอิ่นกวานหนุ่ม มีเพียงเกิดสถานการณ์สองอย่างขึ้นเท่านั้นนางถึงจะนำป้ายหยกแผ่นนี้มาแสดงต่อหน้าผู้คนได้
หนิงเหยาเจอกับอันตราย
หรือเฉินซีที่สละร่างไปเกิดใหม่ยังไม่ทันเติบโตก็ถูกสายสิงกวานของฉีโซ่วช่วงชิงอำนาจ
เหนี่ยนซินมาเยือนร้านเหล้าแห่งนั้นเพียงลำพัง ทุกวันนี้ไม่มีเถ้าแก่แล้ว เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างไปอยู่ใต้หล้าไพศาล เถ้าแก่รองอยู่ต่อบนหัวกำแพงเมือง
นครเพิ่งร่วงลงพื้นได้ไม่นานเท่าไร ราวกับว่าสงครามใหญ่ครั้งนั้นยังปรากฏอยู่ตรงหน้า ดังนั้นจึงไม่มีลูกค้าใดๆ
เหนี่ยนซินสั่งเหล้าทะเลสาบคนใบ้มาหนึ่งกา ดื่มเหล้าเพียงลำพัง ก่อนจะดื่มเหล้า นางยกถ้วยเหล้าที่ไม่ใหญ่ขึ้นคารวะคนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองซึ่งอายุก็ไม่มากเช่นกัน
……
ผู้คนตลอดทั้งสำนักอวี่หลงล้วนมึนงงกันไปหมด
อันดับแรกก็เป็นตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัวที่อยู่ดีๆ ก็ถูกคนพลิกโยนลงมหาสมุทร เหล่าผู้ฝึกลมปราณได้แต่กลับมาสำนักอย่างกระเซอะกระเซิง
จากนั้นไม่นานคนหนุ่มที่หน้าตางดงาม ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผู้หนึ่งก็ทะยานลมมายังยอดบนสุดของเทวรูปเทพพิรุณของสำนักอวี่หลง บอกว่าตัวเองมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คือเผ่าปีศาจอย่างจริงแท้แน่นอน ขอทุกท่านโปรดสังหารสัตว์เดรัจฉานเช่นมัน
ชายหนุ่มยิ้มกว้างเจิดจ้า ยกสองมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าตนตัดสินใจแล้วว่าจะนิ่งดูดายรอความตาย จะไม่เอาคืนใครอย่างแน่นอน
เจ้าสำนักหญิงของสำนักอวี่หลง หรือก็คือศิษย์พี่หญิงของอวิ๋นเชียนพาผู้ฝึกตนทุกคนในศาลบรรพจารย์มาที่ยอดเขา แหงนหน้ามองคุณชายรูปงามผู้นั้น
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักอวี่หลงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า สำนักอวี่หลงเคยมีสัญญาลับอย่างหนึ่งกับบรรพจารย์ของถ้ำซานสุ่ยแห่งฝูเหยาทวีปและผู้อาวุโสที่สิงร่างของเปียนจิ้ง
ภูเขาห้อยหัวทั้งลูกบินทะยานจากไปแล้ว
ผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลงที่ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ล้วนมองเห็น
และปีศาจที่มาเยือนยอดเทวรูปเทพพิรุณของสำนักอวี่หลงผู้นี้ก็ขอร้องให้คนอื่นฆ่ามัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์มาได้นานนับหมื่นปีถูกตีแตกแล้ว ไม่อาจจินตนาการได้เลย แต่กลับเป็นเรื่องจริงที่สามารถคิดได้ถึง แล้วก็จำต้องยอมรับให้ได้
เซียนดินที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักอวี่หลงอย่างฟู่เค่อและคู่รักเทพเซียนสองคนของเขายืนอยู่ด้านหลังเหล่าผู้อาวุโสของศาลบรรพจารย์ด้วยกัน
ชายหนุ่มที่บอกแค่ว่าตนเองคือเผ่าปีศาจดีดนิ้วเบาๆ หญิงชราก่อกำเนิดที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักอวี่หลงก็ถูกสังหารตายคาที่
พอฆ่าคนเสร็จแล้ว บุรุษก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ก็จะถือว่าหญิงชราอย่างเจ้ามีเจตนาร้าย คิดจะทำให้ข้าตกใจตาย อ้อ ใช่แล้ว ลืมบอกชื่อ ได้ยินมาว่าใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด”
เขาใช้สองนิ้วของมือข้างหนึ่งพันเส้นผมที่ระลงมาตรงจอนหู มือข้างหนึ่งตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว ยิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าชื่อจิ่วเย่ เพราะว่าเกิดมาก็ชื่นชอบแค่สองอย่าง หนึ่งคือสุรารสเลิศ หนึ่งคือสาวงาม สำนักอวี่หลงของพวกเจ้าไม่ขาดสองอย่างนี้พอดี ดังนั้นข้าก็เลยมาที่นี่ก่อน ชื่อนี้หากพวกเจ้าไม่รู้จักก็ปกติมาก เพราะเป็นชื่อใหม่ที่ตั้งให้สำหรับใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าโดยเฉพาะ เมื่อก่อนชื่อว่าเชี่ยอวิ้น”
หลังจากที่ผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงได้ยินคำว่า ‘เชี่ยอวิ้น’ ก็มีสีหน้าเหมือนขี้เถ้ามอด
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง
เพราะสำนักอวี่หลงเปิดสำนักมานานมากแล้ว อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก เป็นเหตุให้รู้เรื่องวงในของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาค่อนข้างเยอะ
ยกตัวอย่างเช่นสิบสี่บัลลังก์ในบ่อโบราณ นอกจากนายแห่งภูเขาทัวเยว่ บรรพบุรุษใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้นแล้ว ก็ยังแบ่งเป็นโจวมี่ ‘มหาสมุทรความรู้’ จอมยุทธพเนจรหลิวชา เหย้าเจี่ย หลงจวิน เจ้าอารามดอกบัว ป๋ายอิ๋ง หย่างจื่อ เฟยเฟย หวงหลวน
นอกจากนี้ก็ยังมีองค์เทพเกราะทองที่เล่าลือกันว่ามรรคจารย์เต๋าใช้มรรคกถากำราบเอาไว้ วานรย้ายภูเขาขี่กระบี่ที่แบกทวนยาวไว้บนบ่า ยักษ์ร่างกำยำสามเศียรหกกร รวมไปถึงผู้ที่ได้ครอบครองทวนสายฟ้าดึกดำบรรพ์เล่มหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเรื่องที่สำนักอวี่หลงไม่รู้ก็คือ ตอนนี้เจ้าอารามดอกบัวตายแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานฉงกวงถูกเฉินซีสังหาร ส่วนปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนและเซียนดินคนอื่น เพื่อทำลายกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลายปีมานี้จึงได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส
หวงหลวนเพิ่งถูกอาเหลียงร่วมมือกับเหยาชงเต้าสังหาร ทว่าหวงหลวนก็ได้สร้างคุณความชอบครั้งสุดท้ายให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยการทุ่มชีวิตเกินครึ่งทำให้อาเหลียงถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาทัวเยว่
ดังนั้นก่อนหน้านี้ภูเขาทัวเยว่จึงส่งข่าวไปให้กระโจมใหญ่แห่งต่างๆ ไม่อนุญาตให้เผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนคนใดตามไปไล่จับหวงหลวนที่ไปเกิดใหม่โดยอาศัยตะเกียงแห่งชะตาชีวิต หวงหลวนที่ถูกบีบให้ต้องสละร่าง ต่อให้มีขอบเขตก่อกำเนิดก็เป็นขอบเขตที่ว่างเปล่า ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กน้อยคนหนึ่ง ส่วนผู้ฝึกตนต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงมาจะถูกปีศาจใหญ่สั่งการให้ตามฆ่าหวงหลวนหรือไม่ ก็ตามแต่ใจแล้ว ถึงเวลานั้นจะเป็นก่อกำเนิดกลุ่มหนึ่งที่ล้อมฆ่าหวงหลวนอย่างลับๆ หรือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสามคนห้าคนร่วมวงกันล้อมฆ่า ภูเขาทัวเยว่ก็ไม่คิดจะสนใจเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้ ในเมื่อสูญเสียขอบเขตไปแล้วก็เท่ากับว่าสูญเสียบัลลังก์ไป ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพเลื่อมใส
เงื่อนไขก็คือต้องไม่ให้หวงหลวนมีชีวิตรอดวิ่งมาร้องระบายทุกข์ต่อหน้าผู้เฒ่าชุดเทาได้เด็ดขาด
ส่วนเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้ได้กลายเป็นสมาชิกคนใหม่ล่าสุดบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ส่วนอิ่นกวานคนปัจจุบัน ในเมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเรียกได้ว่า ‘อดีตอิ่นกวาน’ แล้ว จะคนก็ไม่ใช่คน จะผีก็ไม่ใช่ผี แต่กลับถือว่าได้อยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
หลังจากที่ปีศาจใหญ่จิ่วเย่สังหารคนอย่างง่ายดายก็มีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวบางส่วนเจ็บแค้น ตะโกนอย่างเดือดดาลว่าให้พวกผู้เฒ่าของศาลบรรพจารย์เปิดค่ายกลขุนเขาสายน้ำ
เพียงแต่ว่าเจ้าสำนักอวี่หลงไปจนถึงสมาชิกของศาลบรรพจารย์ต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ปีศาจใหญ่จิ่วเย่กวาดตามองแล้วไล่สังหารพวกผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลงที่ออกเสียงทิ้งไปทีละคน หมอกเลือดเป็นกลุ่มๆ ระเบิดออก ตรงนี้จุดหนึ่ง ตรงนั้นจุดหนึ่ง แม้ว่าจะห่างกันไกลมาก แต่กลับเร็วมาก ราวกับประทัดที่ถูกจุดรับฤดูใบไม้ผลิของพวกชาวบ้าน
เขายิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนชายของสำนักอวี่หลงมีไม่มาก ข้าชอบมาก ต่อจากนี้ใครที่ฆ่าบุรุษคนหนึ่งก็จะมีชีวิตอยู่รอดได้ต่อ รอกระทั่งบุรุษคนสุดท้ายตายไป เหล่าพี่สาวน้องสาวที่ไม่มีใครให้ฆ่าแล้ว ข้าก็จะสามารถฆ่าพวกเจ้าได้แล้ว แน่นอนว่าหากหน้าตาดี ก็ถือว่าเป็นคนที่มีชะตาชีวิตดี ข้าจะต้องรักหยกถนอมบุปผา ดังนั้นพวกคนที่หน้าตาไม่ได้เรื่อง พวกเจ้าก็รีบทำเวลาหน่อย โอกาสหากพลาดไปแล้วก็จะไม่มีมาอีก หากเป็นผู้ฝึกตนที่ขึ้นเขามาเป็นเทพเซียนแล้วต่างก็รักถนอมชีวิต ข้าก็รู้สึกว่าไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ”
มีผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงคนหนึ่งเปิดปากขอร้องปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ผู้นี้ว่าอย่าได้ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ สำนักอวี่หลงยินดีจะทำอย่างไรอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ถูกจิ่วเย่ยื่นมือไปคว้าจับ บังคับอีกฝ่ายมาอยู่เบื้องหน้าตน จับหัวอีกฝ่ายไว้แล้วบิดหมุนข้อมือ เป็นเหตุให้เรือนร่างของนางลอยขวางอยู่กลางอากาศ ครั้นจึงใช้ฝ่ามือต่างมีดฟันฉับลงไป ฟันร่างนางให้ขาดออกเป็นสองท่อน จากนั้นก็อ้าปากสูดลมกลืนกินโอสถทองและก่อกำเนิดของนางไปโดยตรง สุดท้ายจึงโยนศพที่เหลือครึ่งท่อนในมือทิ้งลงทะเล
ในสำนักอวี่หลง ผู้คนเปิดฉากเข่นฆ่ากันเอง สตรีสังหารบุรุษ ในบรรดานั้นมีคู่รักที่ฆ่าคู่รัก แล้วก็มีคนที่ไม่ฆ่ากัน ช่วยขัดขวางคนร่วมสำนักไม่ให้ฆ่าคู่รักของตน แต่จากนั้นพวกเขาก็ถูกฆ่าไปพร้อมกัน
สมาชิกของศาลบรรพจารย์ซึ่งรวมถึงเจ้าสำนักอวี่หลงเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็สังหารบุรุษคนหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย มีแค่คนเดียว
เพียงไม่นานฟู่เค่อก็ค้นพบว่าตลอดทั้งสำนักอวี่หลงเหลือเขาเป็นผู้ชายคนเดียวแล้ว และคู่รักเทพเซียนสองคนของเขา สายตาของพวกนางต่างก็เด็ดเดี่ยว ปกป้องเขาไว้ด้านหลัง
จิ่วเย่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีคู่รักสองคน เจ้าสังหารใครสักคนกับมือตัวเองก็จะมีชีวิตรอด เป็นอย่างไร? หากพวกนางมีใครฆ่าตัวตายก็ไม่ถือว่าเจ้าเป็นคนฆ่า”
ไม่รอให้สตรีสองคนนั้นเอ่ยอะไร ฟู่เค่อก็สังหารคนหนึ่งในนั้นทิ้งไปแล้ว
จากนั้นจิ่วเย่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ใช้ฝ่ามือตบบุรุษคนนั้นให้ตาย หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “คำพูดของข้า เจ้าก็เชื่อจริงๆ หรือ อย่างเจ้านี่เรียกว่าโง่จนตาย”
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งในนั้นเหม่อมองกองเลือดเนื้อของฟู่เค่อที่อยู่บนพื้น จิ่วเย่คว้านางมาไว้ด้านหน้าตัวเอง เอามือปาดง่ายๆ ครั้งหนึ่งก็ถลกผิวหนังบนใบหน้าอันงดงามของนางมาได้ จากนั้นโยนร่างของสตรีที่น่าสงสารทิ้งไป แต่นี่ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ถลกหนังเท่านั้น เพราะหากผิวหน้ามีจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนหญิงแฝงอยู่ก็จะสูญเสียท่วงทำนองไป หากเขานำมา ‘ประทินโฉม’ ก็จะไม่มีความหมายอีก เขาสะบัดหนังหน้าในมือ เป่าเลือดสดที่อยู่บนนั้นทิ้งไปเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “สวยจริงๆ”
เจ้าสำนักอวี่หลงเอ่ยเสียงสั่น “ไยบรรพจารย์เชี่ยอวิ้นถึงต้องทำเช่นนี้? เหลือพวกเราไว้ให้คอยนำทางพวกท่านไม่ดีหรือ? ไปทักษินาตยทวีปก็ดี ไปสำนักใบถงก็ช่าง มีพวกเรานำขึ้นฝั่งเปิดฉากสังหาร…”
จิ่วเย่โบกหนังหน้าสดใหม่ในมือตัดบทคำพูดของนางหญิงแก่ขอบเขตหยกดิบผู้นั้น คล้ายได้ยินเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าจึงหัวเราะดังลั่นไม่หยุด ใช้นิ้วหนึ่งกดหัวตาไว้กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “ไม่บังเอิญเลย ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราก็คือชีวิตของพวกมดตัวน้อยเหล่านี้นี่แหละที่ไร้ค่ามากที่สุด ส่วนเจ้าน่ะก็เป็นแค่มดที่ตัวใหญ่ขึ้นมาหน่อย หากเจอกับพวกหย่างจื่อ เฟยเฟย กลับจะยังมีชีวิตรอดต่อได้จริง น่าเสียดายที่โชคไม่ดีดันมาเจอกับข้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็หันหน้าไปมองทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่หลายปีที่ผ่านมานี้คบค้ากับพวกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มานานแล้ว มาเจอกับนายท่านเทพเซียนอย่างพวกเจ้า ข้าก็…”
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านนี้ถูกแม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งต่อยร่วงลงไปในทะเล ประหนึ่งขุนเขาที่กระแทกลงน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว
ไม่รอให้พวกผู้ฝึกตนหญิงของสำนักอวี่หลงทันรู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ แม่นางน้อยคนนั้นที่ไปกลับระหว่างภูเขาสองลูกก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เซียนดินทุกคนตายไปแถบใหญ่
ส่วนปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ขึ้นจากทะเลกลับมายังสำนักอวี่หลงก็เดินสาวเท้าอย่างเนิบช้า คัดเลือกหนังใบหน้าของสตรีที่ขอบเขตต่ำกว่าโอสถทองลงไปแล้วถลกมาทีละแผ่น ส่วนพวกนางจะเป็นหรือตายก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจแล้ว
ผู้เฒ่าชุดเทามาที่ภูเขาของสำนักอวี่หลง “เซียวสวิ้น เชี่ยอวิ้น เรื่องอย่างบุกเข้ามาทำลายสำนักแห่งหนึ่งโดยพลการเช่นนี้ ครั้งนี้จะไม่นับ แต่ห้ามให้มีคราวหน้าอีก”
ต่อให้จะยังมีคนรอดชีวิตหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่แท้จริงแล้วก็ถือว่าสำนักอวี่หลงสิ้นค่าแล้ว
เซียวสวิ้นยกสองแขนกอดอก ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้นเลือกหนังหน้าที่สมบูรณ์แบบหลายแผ่นมาจากกองศพเละเทะอย่างยากลำบาก เวลานี้ล้วนเอามาเก็บรวบรวมไว้หมดแล้ว กำลังเย็บปะใบหน้าให้ตัวเองอย่างระมัดระวัง เขาค้อมเอวยิ้มกล่าวกับผู้เฒ่าชุดเทาว่า “ตกลง”
เซียวสวิ้นเอ่ย “เอาคุณความชอบทางการสู้รบมาแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้เหมือนกันหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าย่อมได้ ขอแค่คุณความชอบทางการต่อสู้มีมากพอ เจ้าจะฆ่าใครก็ตามใจ”
เซียวสวิ้นพลันหันหน้าไปพูดกับเชี่ยอวิ้นว่า “ทำได้ดีมาก!”
ปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้นเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด สนใจแต่เย็บปะใบหน้าดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับตัวเองเท่านั้น
……
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในที่สุดหิมะใหญ่ครั้งแรกก็มาเยือน
คนหนุ่มที่ใบหน้าและเรือนกายเริ่มชัดเจนมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ยืนอยู่บนหน้าผาของหัวกำแพงเมือง ภายใต้ชุดคลุมอาคมสีแดงสดตัวนั้น รอยกระบี่เส้นหนึ่งที่เกือบจะตัดขาดร่างทั้งร่าง สันหลังทั้งเส้นของเขากำลังประสานตัวเข้าด้วยกันด้วยตัวเอง
เป็นเพราะเขาอยากจะขยับออกห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเล็กน้อย เพื่อไปสังหารกระแสกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ไหล่บ่ามาตรงจุดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกสะบั้น
ถึงอย่างไรก็ต้องหาเรื่องทำบ้าง
ผลกลับถูกชุดคลุมสีเทาที่โผล่มาอย่างลึกลับไล่ตามมาทันในเสี้ยววินาที
สุดท้ายถูกอีกฝ่ายฟันกระบี่เข้าใส่เต็มแรง หากไม่เป็นเพราะใช้วิชาลับก้นกรุอย่างหนึ่งจึงกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ต่อให้เฉินผิงอันเป็นขอบเขตหยกดิบจริงๆ ก็ต้องตายแน่แล้ว
เวลานี้เฉินผิงอันกำลังคุมเชิงอยู่กับหลงจวินที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งอยู่ไกลๆ
สุดท้ายเขาไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลงจวิน คนหนุ่มเพียงลากดาบหมุนตัวจากไป
หลงจวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เฉินชิงตูหาเศษสวะอย่างเจ้ามาเป็นหมาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่เนี่ยนะ?”
หลีเจินขี่กระบี่มาถึง ยิ้มเอ่ย “น่าสงสาร น่าเวทนา ไม่รู้จริงๆ ว่าเฝ้าประตูให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือช่วยเฝ้าประตูให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกเรากันแน่?”
แผ่นหลังของเงาร่างนั้นเพียงแค่ค่อยๆ จากไปไกล
——