กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 694.2 โลกมนุษย์มีโอสถทองเพิ่มมาอีก
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด “เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ศาลบุ๋นตั้งใจไว้อยู่แล้ว พวกเขาต้องการคืนความยุติธรรมส่วนหนึ่งให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าลู่เฉินจะทำอะไรได้? ไม่ยอมก็ไปอธิบายหลักการเหตุผลกับซิ่วไฉเฒ่าซะสิ ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้ รับรองว่าป๋ายเหย่จะไม่ออกกระบี่ เป็นอย่างไร?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “อย่าดีกว่า”
ห่างจากประตูบานนี้ไปไกลมาก
บัณฑิตถามว่า “เจ้าบ่นอะไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “ต้องปฏิบัติดีกับผู้อื่น ไม่เล่นแม่งมัน”
……
ในนครเริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียนสี่แห่ง สำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตแห่งนี้ นี่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
อาจารย์ผู้สอนคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่ขอบเขตไม่สูง พวกอาจารย์สิบกว่าคนนั้นล้วนเป็นคนที่สายอิ่นกวานเลือกมาทั้งสิ้น หลักๆ แล้วก็เพื่อให้ถ่ายทอดวิชาความรู้ขั้นพื้นฐานของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ นิติธรรมและสำนักคำนวณ ความรู้ตื้นเขินเข้าใจง่าย ส่วนเรื่องที่ว่าแรกเริ่มสุดพวกเด็กประถมอ่านตัวอักษรออกได้อย่างไร ในตรอกเล็กถนนใหญ่ของนครล้วนมีป้ายศิลาตั้งวางอยู่ ซึ่งตอนนี้ได้ถูกคฤหาสน์หลบร้อนรวบรวมเอาไว้แล้ว นอกจากนี้สำหรับอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ก็มีกฎเหล็กอยู่หลายข้อ ยกตัวอย่างเช่นไม่อนุญาตให้พูดถึงความรู้สึกดีเลวหรือความชื่นชอบความรังเกียจส่วนตัวที่มีต่อใต้หล้าไพศาล ไม่อนุญาตให้บรรยายถึงบุญคุณความแค้นระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับใต้หล้าไพศาลมากเกินไป
สอนหนังสือก็เพียงแค่สอนหนังสือ ส่วนอาจารย์กลุ่มนี้ หากคิดจะพูดคุยกันบนโต๊ะเหล้านอกโรงเรียนก็สามารถทำได้ตามสบาย
ผู้ฝึกกระบี่สายของสิงกวานค่อนข้างจะเห็นต่าง รู้สึกว่าการเลือกพวกอาจารย์ที่ช่วยไขข้อข้องใจถ่ายทอดความรู้ไม่ควรให้สายอิ่นกวานเป็นผู้ตัดสินใจเพียงลำพัง ต่อให้สายอิ่นกวานจะเป็นคนตัดสินใจหลัก ส่วนสายสิงกวานเป็นคนคอยช่วยเหลือก็ยังดี ไม่ควรจะถูกตัดขาดสิทธิ์ไปทั้งหมด เรื่องนี้ทำให้เกิดการถกเถียงกัน เป็นเหตุให้เรื่องที่ปรึกษากันในการประชุมครั้งแรกของศาลบรรพจารย์ก็คือเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้
ส่วนใหญ่แล้วผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานจะคอยไปตรวจสอบสภาพภูมิประเทศด้านนอก พอได้รับกระบี่บนิส่งข่าวก็มีเพียงกวอจู๋จิ่วและกู้เจี้ยนหลงสองคนเท่านั้นที่กลับมาในนคร
ทว่าสายสิงกวานกลับมีคนสิบกว่าคนซึ่งต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินมาร่วมประชุม แต่บุคคลอันดับหนึ่งกับบุคคลอันดับสองอย่างฉีโซ่วกับเหนี่ยนซินต่างก็ไม่ได้ปรากฎตัว ฉีโซ่วอยู่นอกเมือง รับผิดชอบบุกเบิกจวนของภูเขาลูกแรก ส่วนเหนี่ยนซินนอกจากจะยังคงไปสอนหมัดให้กับพวกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธในคฤหาสน์หลบหนาวแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยอยู่เป็นที่ทาง วางท่าชัดเจนว่านางไม่คิดจะแตะต้องอำนาจของสายสิงกวาน เมื่อเป็นเช่นนี้สายสิงกวานที่มีจำนวนคนมากที่สุด พลังการต่อสู้สูงที่สุดจึงมีการแบ่งเป็นภูเขาสามลูกอย่างที่มองไม่เห็น ฝ่ายของสิงกวานที่มีฉีโซ่วเป็นผู้นำแทบจะเท่ากับว่ารวบรวมกำลังการต่อสู้ครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่เอาไว้ ส่วนภูเขาอีกสองลูกที่เหลือมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าสองคนเป็นผู้นำ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนแก่อายุมากที่ไม่ค่อยถูกกับฉีโซ่ว สุดท้ายจึงเป็นเหนี่ยนซินกับเด็กน้อยสิบสองคนที่มองดูเหมือนจะมีหรือไม่มีก็ได้ ผู้นำอันดับสองของสายสิงกวานผู้ยิ่งใหญ่จึงคล้ายจะกลายมาเป็นหัวโจกของเด็กๆ อย่างน่าขันทั้งอย่างนี้
แต่ว่าการฝึกตนในนครวันหน้าจะต้องแบ่งออกเป็นสามสาย ผู้ฝึกกระบี่ถอยลงมาเป็นอันดับรอง ผู้ฝึกลมปราณอื่นๆ จะถอยลงมาอีกขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตใหม่ล่าสุดของผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธทุกคนล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่รู้กันได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว ฝ่ายแรกยังดีกว่าหน่อย เพราะนอกจากหนิงเหยาที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตไหนก็ล้วนมีทั้งหมด และถึงอย่างไรการฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งเป็น ‘ครั้งแรก’ ในใต้หล้าแห่งนี้ เรื่องของโชควาสนาก็มีอยู่จำกัด แต่สายของผู้ฝึกยุทธจะมีโชควาสนาใหญ่! เพราะในอดีตตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในคฤหาสน์หลบหนาว เจียงอวิ๋นที่ขอบเขตสูงที่สุดก็ยังเป็นแค่ขอบเขตสาม นี่หมายความว่าแต่ละขอบเขตต่อจากนี้ล้วนเป็นครั้งแรกของฟ้าดินแห่งนี้ เท่ากับว่าทุกครั้งที่ขอบเขตเพิ่มสูงขึ้นก็จะสามารถดึงวิถีวรยุทธของใต้หล้าแห่งที่ห้าให้สูงขึ้นได้ แม้จะบอกว่าบางทีใต้หล้าแห่งนี้อาจจะไม่มีการประทานโชคชะตาบู๊เหมือนใต้หล้าอื่นๆ แต่ก็คล้ายกับว่าจะมีปณิธานหมัดอยู่บนร่าง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยปกปักษ์รักษา ได้รับความโปรดปรานจากใต้หล้าแห่งนี้ ส่วนการฝ่าทะลุขอบเขตของวิถีวรยุทธในที่แห่งนี้จะมีโชควาสนาที่เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง จะมีโชคชะตาบู๊มาเยือนหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าเด็กสิบสองคนนั้นใครจะฝ่าทะลุขอบเขตเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตที่เจ็ดซึ่งเป็นธรณีประตูใหญ่ของการเรียนวรยุทธ คนแรกที่เลื่อนเป็นขอบเขตร่างทอง ถึงเวลานั้นจะมีภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินหรือไม่ก็ยิ่งคู่ควรแก่การรอคอย
ทุกวันนี้ทั้งในและนอกนคร ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ แต่ละคนล้วนมีพลังชีวิตเปี่ยมล้น ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าที่เรือนกายเสื่อมสภาพ ขอบเขตหยุดชะงักก็ล้วนเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวที่เจอกับวสันตฤดู ใจนึกแต่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกหลายๆ ปี ช่วยทำเรื่องราวบางอย่างให้แก่พวกคนหนุ่มสามวและพวกเด็กๆ ให้มากขึ้น
การปรึกษากิจธุระในศาลบรรพจารย์วันนี้ กู้เจี้ยนหลงที่รีบร้อนเดินทางกลับนครเอ่ยถ้อยคำที่เป็นธรรมไปไม่น้อย
กวอจู๋จิ่ววางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า นางค่อนข้างเหนื่อยจึงนั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้น เหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าวเปลือก
การทะเลาะกันของสายอิ่นกวานและสายสิงกวานที่จำนวนคนแตกต่าง ทว่าสถานการณ์กลับสูสีทัดเทียมกันครั้งนี้อันที่จริงเกาเหย่โหวก็คือคนนอกที่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ คนหนึ่ง ทุกวันนี้ก่อกำเนิดที่อายุน้อยเช่นเขาได้กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือ รับผิดชอบคอยดูแลคลังสมบัติ หอกระบี่ หอภูษา หอโอสถทั้งสามแห่งถูกควบรวมเป็นหนึ่ง แล้วยกให้เกาเหย่โหวดูแล ใต้บังคับบัญชามีนักบัญชีกลุ่มหนึ่งที่พรสวรรค์ด้านการฝึกตนธรรมดา ต่อให้จะเลือกจากผู้ฝึกกระบี่ก็ยังถูกมองเป็นงานหนักที่ต้อยต่ำกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น จึงไม่ใคร่จะมีใครยินดีทำนัก แต่เกาเหย่โหวที่กุมอำนาจด้านการเงินไว้ในมือกลับไม่เคยพูดคำว่าไม่กับการที่สายของสิงกวานต้องการความช่วยเหลือด้านเงินทองเพื่อใช้ในการบุกเบิกที่ดินแม้แต่คำเดียว
พูดง่ายๆ ก็คือเกาเหย่โหวดูแลเงินเทพเซียนและทรัพย์สมบัติทั้งหมด แต่กลับถูกพวกผู้ฝึกกระบี่ดูแคลนได้ง่าย
กู้เจี้ยนหลงเพียงแค่เอ่ยถ้อยคำที่เป็นธรรม ใช้ฝีปากต่อสู้กับเหล่าผู้กล้า ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
กวอจู๋จิ่วลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ นางนวดคลึงข้างแก้ม มองกู้เจี้ยนหลงที่ยังพูดกลั้วเสียงหัวเราะ สองมือจับประคองไม้เท้าเดินป่า ถามเสียงเบาว่า “ยังทะเลาะกันไม่เสร็จอีกหรือ?”
กู้เจี้ยนหลงหันหน้ามาตอบ “ยังเลย มีเรื่องให้ถกเถียงกันอีกมาก เจ้าเด็กเสวียนเซินผู้นั้นพูดไม่ผิดจริงๆ การถกเถียงกันของศาลบรรพจารย์ในสำนักเซียนบ้านเกิดเขา แพ้ชนะแค่ต้องดูว่าใครน้ำลายมากกว่า ใครเสียงดังมากกว่ากัน”
กวอจู๋จิ่วเอาสองมือกอดอก ขมวดคิ้วเอ่ย “เรื่องของโรงเรียนและอาจารย์เป็นความหมายของสายอิ่นกวานพวกเรา ถ้าอย่างนั้นแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าแรกเริ่มสุดเป็นความต้องการของใคร ทำไม ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่ของข้าไม่อยู่เลยจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้กู้เจี้ยนหลงเอ่ยคำพูดที่เป็นธรรมไปกระบุงโกยใหญ่ มีเพียงประโยคนี้ที่ไม่กล้าพูด
ทันใดนั้นบรรยากาศในศาลบรรพจารย์ก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหนุ่มคนหนึ่งของสายสิงกวานอดไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “กวอจู๋จิ่วเจ้าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น”
กู้เจี้ยนหลงใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเสียงเบา “ลวี่ตวน พูดถึงอาจารย์ของเจ้าให้น้อยหน่อยเถอะ ลืมไปแล้วหรือว่าใต้เท้าอิ่นกวานบอกไว้ว่าอย่างไร ออกจากคฤหาสน์หลบร้อนแล้วยิ่งพูดถึงเขามากเท่าไรก็มีแต่จะยิ่งทำให้คนรังเกียจผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมากเท่านั้น”
พูดมาถึงตรงนี้ กู้เจี้ยนหลงก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคำว่า ‘ออกจากคฤหาสน์หลบร้อน’ หมายความว่าอย่างไร ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้หมายถึงสองใต้หล้า
กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับเบาๆ มองไปยังผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกเจ้าคนมากกว่า พวกเจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานเสียเองที่หันมามองหน้ากันเอง แต่ละคนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวปหมด
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “แต่หนังสือเล่มนั้น พวกเจ้าไม่สามารถห้ามไม่ให้พวกเด็กๆ อ่าน…”
ในที่สุดเกาเหย่โหวก็เปิดปากเอ่ยประโยคแรก “ถูกสั่งห้ามไปแล้ว หากข้าจำไม่ผิด หนึ่งในเหตุผลของสายสิงกวานก็คือขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลมองแล้วสกปรกสายตา ใครกล้าอ่านตำราเล่มนี้จะต้องถูกขับออกจากนคร”
หนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ที่ถูกรวบรวมให้เป็นเล่ม อาศัยเรื่องเล่าเล็กๆ หลายเรื่องร้อยเรียงบันทึกการท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน นอกเหนือจากเรื่องราวแล้วยังแฝงขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างของใต้หล้าไพศาลเอาไว้ ภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง หอเหวินชาง จุดประทัด แปะกลอนคู่เพื่อบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล เทพเจ้าแห่งเตาไฟ วิชาความรู้ในวงการขุนนาง กฎเกณฑ์ของยุทธภพ พิธีการแต่งงาน บทประพันธ์ของปัญญาชน บทกลอนบทขับร้อง พิธีกรรมใหญ่ของลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธ…สรุปก็คือเรื่องราวแปลกประหลาดและมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลล้วนมีเขียนบอกไว้ในตำราเล่มนั้นทั้งหมด
นี่ก็คือตำราที่ในอดีตอิ่นกวานหนุ่มให้พวกผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นสายอิ่นกวานทุกคนซึ่งรวมพวกหลินจวินปี้ เติ้งเหลียงเป็นหนึ่งในนั้นบรรยายให้ฟังตอน ‘มีเวลาว่าง’ แล้วใต้เท้าอิ่นกวานก็เป็นผู้จดบันทึก รวบรวมเป็นเล่มด้วยตัวเอง ดังนั้นหนังสือที่มีตัวอักษรมากถึงสี่แสนกว่าตัวจึงตั้งชื่อว่าคฤหาสน์หลบร้อน
กวอจู๋จิ่วยังคงยืนกรานในความหมายเดิม “สายสิงกวานของพวกเจ้ามีคนเยอะ พวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจ”
กู้เจี้ยนหลงเริ่มจะโมโห คิดว่าจะไม่เอ่ยคำพูดที่เป็นธรรมแล้ว
กวอจู๋จิ่วกลับลุกขึ้นก่อน ถือไม้เท้าเดินป่า พูดกับกู้เจี้ยนหลงว่า “ไปกันเถอะ”
กู้เจี้ยนหลงลุกขึ้นยืน ยกนิ้วโป้งให้กับเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้าม
เพราะสายอิ่นกวานมีคนน้อย พวกนักบัญชีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเกาเหย่โหวที่มีคุณสมบัติจะมานั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ก็ยิ่งมีน้อยกว่า ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งเรียงหน้ากระดานกัน เหมือนกำลังคุมเชิงอยู่กับผู้ฝึกกระบี่ของสายสิงกวาน ตั้งป้อมแบ่งฝั่งกัน
บนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์มีแสงกระบี่ที่พร่างพราวอย่างถึงที่สุดพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที หนิงเหยาที่ขี่กระบี่เดินทางไกลไปหลายหมื่นลี้พลิ้วกายลงบนพื้น
ในมือของนางหิ้วศีรษะลักษณะแปลกประหลาดที่เลือดแห้งขอดมาด้วย เหมือนคนแต่ไม่ใช่คน เลือดสดสีทองอ่อนๆ ต่อให้จะเป็นแค่ศีรษะเดียว ทว่ากลับแผ่กลิ่นอายความป่าเถื่อนยุคบรรพกาลอันเข้มข้นออกมา
หนิงเหยาโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
ในศาลบรรพจารย์ ทุกคนพากันลุกขึ้นยืน
กวอจู๋จิ่วใบหน้ายับยู่ยี่ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย
หนิงเหยาอึ้งตะลึง เดินมาหยุดข้างกายเด็กสาว ลูบหัวของกวอจู๋จิ่วแต่กลับมองกู้เจี้ยนหลง ถามว่า “ทำไมหรือ?”
กู้เจี้ยนหลงถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่าไม่ทันได้คิดอะไรมาก และในใจก็มีความอยุติธรรมอัดแน่นอยู่นานแล้วจึงเอ่ยเสียงหนักว่า “สายของสิงกวานยืนกรานในความเห็นต่างเรื่องโรงเรียนและตำรา”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ ยืนอยู่นอกธรณีประตู ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้ามาในศาลบรรพจารย์ เอ่ยว่า “ผู้ใดที่มีความเห็นต่างนั่งลงไปอีกครั้ง ข้าจะอธิบายเหตุผลให้ฟัง ใครที่ไม่มีความเห็นต่างก็ไสหัวออกไปจากศาลบรรพจารย์ซะ”
สุดท้ายในศาลบรรพจารย์ไม่มีใครเหลืออยู่เลยสักคน
ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานส่วนใหญ่ล้วนก้มหน้าเบี่ยงตัวหันข้างเดินผ่านไป
หนิงเหยาก้าวเข้าไปในศาลบรรพจารย์ นั่งลงตรงตำแหน่งของอิ่นกวาน หลับตาทำสมาธิ “ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวฉีโซ่ว”
ครู่หนึ่งต่อมา ฉีโซ่วขี่กระบี่มาถึง
ถูกหนิงเหยาใช้กระบี่ฟันให้ร่วงกระแทกพื้น
ฉีโซ่วได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน แม้แต่ศาลบรรพจารย์ก็ไม่ไปเยือนแล้ว เขาเช็ดคราบเลือดมุมปากให้แห้ง ขี่กระบี่ไปจากนคร ไปตรวจตราภูเขาลูกนั้นต่ออีกครั้ง
บาดเจ็บไม่หนัก แต่ก็ไม่เบา
กวอจู๋จิ่วนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกศาลบรรพจารย์กับกู้เจี้ยนหลง ไม่รู้ว่าเหตุใด กวอจู๋จิ่วถึงไม่ได้รู้สึกดีใจเท่าใดนัก
กู้เจี้ยนหลงเองก็มีเรื่องในใจให้ต้องคิดหนัก ใต้เท้าอิ่นกวานเคยบอกว่าเรื่องราวในโลกซับซ้อน จิตใจคนไม่แน่นอน กลียุคไม่มีเวลาให้คนมาคิดมาก มีเพียงใช้ชีวิตต่อไปให้ได้เท่านั้น กลับเป็นยุคที่วิถีทางโลกสันติรุ่งเรืองที่ง่ายจะก่อให้เกิดปรากฎการณ์สองอย่าง ยามอิ่มท้องอุ่นกายตัณหาราคะเกิด หรือไม่ก็กินอิ่มนุ่งอุ่นรู้จารีตและความละอาย ไม่แน่ว่าฉีโซ่วผู้นี้วันนี้อาจจงใจรับกระบี่นี้ก็เป็นได้ ในเมื่อเวทกระบี่ไม่อาจสู้หนิงเหยาได้ ถ้าอย่างนั้นก็แสร้งทำท่าน่าสงสารให้คนเห็นใจไปเลย เรื่องของขอบเขตสามารถค่อยๆ อดทนรอให้ผ่านไป และความต่างบนวิถีกระบี่ระหว่างเขาฉีโซ่วกับหนิงเหยาก็สามารถใช้อิทธิพลที่สายสิงกวานขยับขยายมาชดเชยได้