กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 699.2 ต้องการถามหมัด
แต่แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มก็ทำท่าตะลึงพรึงเพริด จากนั้นจึงพูดกลับคำด้วยท่าทางละอายใจเล็กน้อย “พี่หญิงจินเฟิ่ง ช่างเถิดๆ ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่กล้าออกไปจากภูเขาแล้ว”
จินเฟิ่งถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
อวี้ลู่ชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง จากนั้นจึงใช้นิ้วเคาะหูตัวเอง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “อาณาเขตที่คนทั้งสามอยู่ถือว่ายังอยู่ในถิ่นของภูเขาแสงจันทร์ข้า ข้าจึงให้เอ้อวาเอ๋อร์ที่ไม่ใช่เทพแห่งผืนดินแต่ก็เหนือกว่าเทพแห่งผืนดินไปนอนหมอบในร่องหิน แอบฟังความเคลื่อนไหวของที่นั่น คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวคนนั้นชำเลืองตามามองถึงสามครั้ง ครั้งแรกยังเข้าใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ครั้งที่สองถือเป็นการเตือน ครั้งที่สามไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเรียกว่าเป็นการคุกคามแล้วกระมัง? ขนาดสตรีที่เป็นโอสถทองผู้นั้นยังสัมผัสไม่ถึง แต่กลับถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งจับสังเกตได้? นี่มันประหลาดเกินไปหน่อยหรือไม่? ข้าจะไปมีเรื่องด้วยได้หรือ?”
จินเฟิ่งรู้ดีว่าอวี้ลู่มีนิสัยระมัดระวัง จึงไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าก็แค่ต้องทิ้งทางลัดในการช่วงชิงวาสนา แค่สงบใจฝึกตนให้ดีก็พอแล้ว”
เพียงแต่อวี้ลู่ก็เปลี่ยนคำพูดใหม่อีกว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะลองทำดูได้”
จินเฟิ่งกล่าวอย่างจนใจ “อวี้ลู่ สรุปแล้วเจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
เด็กหนุ่มเอาสองมือถูข้างแก้มอย่างแรง “พี่หญิงจินเฟิ่ง เชื่อข้าสักครั้งเถอะ!”
เผยเฉียนกุมหมัดหันไปคารวะทิศทางหนึ่งแล้วก็ออกเดินทางต่ออีกครั้ง
หลี่ไหวถามอย่างใคร่รู้ “นี่คือ?”
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “เข้าวัดจุดธูปสามดอก ขึ้นเขาต้องกราบไหว้ภูเขา นี่ก็คือกฎ”
หลี่ไหวเตรียมจะยกมือคารวะเลียนแบบเผยเฉียน แต่กลับถูกเผยเฉียนเอาไม้เท้าฟาดใส่ ทั้งยังเอ่ยสั่งสอนว่า “หากไม่จริงใจก็ไม่ต้องทำอะไรเลยดีกว่า ไม่รู้หรือไงว่าเชิญเทพมาง่ายส่งเทพกลับยากน่ะ”
หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจริงๆ
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ไปถึงแคว้นอิ๋นผิง พวกเขาเดินอ้อมทะเลสาบชางอวิ๋นที่ช่วงหลายปีมานี้เริ่มปิดประตูไม่ต้อนรับแขกเพื่อฟื้นฟูพลังต้นกำเนิด
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นคือผู้นำของเทพวารีในหนึ่งแคว้น อาณาเขตการปกครองมีหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองร่องลำน้ำ ตามคำกล่าวของพวกชาวบ้านในท้องถิ่นที่มาจุดธูปกราบไหว้ หลายปีมานี้ศาลใหญ่แห่งต่างๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนเทพลำคลองและเซียนน้ำทีเดียวรวดหลายองค์
หลี่ไหวจึงถามเผยเฉียนว่าทำไมถึงไม่ไปจุดธูปไหว้ศาลเทพวารีใหญ่แห่งต่างๆ เผยเฉียนไม่ได้บอกเหตุผล แค่บอกว่าจะไปยังเมืองสุยเจี้ยที่ท่านเทพอภิบาลเมืองถูกเปลี่ยนก่อน
พวกเขาเข้าเมืองได้ก่อนช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เผยเฉียนสอบถามเส้นทางแล้วก็ตรงดิ่งไปยังศาลเทพอัคคีที่ถูกสร้างขึ้นใหม่และร่างทองเพิ่งถูกซ่อมแซมได้ไม่กี่ปีแห่งนั้นโดยตรง
ท่ามกลางม่านราตรี คนเฝ้าศาลเตรียมจะปิดประตู คิดไม่ถึงว่าบุรุษท่านหนึ่งจะเดินออกจากเทวรูปร่างทอง มาที่หน้าประตูใหญ่ บอกให้ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลไปทำธุระของตัวเอง
หน้าประตูศาล ชายฉกรรจ์มองเห็นชายหญิงสองคนที่สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าก็ยิ้มถามเข้าประเด็นทันที “ข้าคือเทพองค์น้อยของที่แห่งนี้ พวกเจ้ารู้จักเฉินผิงอันหรือ?”
หลี่ไหวอึ้งตะลึง ในใจรู้สึกเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง สมกับเป็นนายท่านเทพเซียนที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ!
เผยเฉียนกุมหมัดยิ้มกล่าว “ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่ของอาจารย์พ่อ แซ่เผยนามเฉียน คารวะนายท่านแห่งศาลเทพอัคคี!”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ายิ้มรับ “ดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างเขินอาย “อาจารย์พ่อไม่อนุญาต”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าจะให้คนเฝ้าศาลเตรียมอาหารโต๊ะหนึ่ง คืนนี้ก็พักที่นี่ ได้อาศัยใบบุญของอาจารย์พ่อเจ้า ทุกวันนี้ศาลเล็กจึงไม่เล็กแล้ว ผู้มีจิตศรัทธามีเยอะมากจริงๆ จึงสร้างห้องรับรองแขกเอาไว้ไม่น้อย พวกเจ้าเชิญเข้าพักได้ตามสบาย”
เผยเฉียนกุมหมัดอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนนายท่านแห่งศาลเทพอัคคีแล้ว”
หลี่ไหวกุมหมัดเลียนแบบเผยเฉียน เหวยไท่เจินยอบตัวคารวะ
ในเมื่อเป็นสหายของอาจารย์พ่อเผยเฉียน เหวยไท่เจินจะกล้าไม่เห็นอยู่ในสายตาได้อย่างไร
ตลอดทางมานี้เผยเฉียนกับหลี่ไหวเถียงกันเรื่องหนึ่งอยู่ตลอด เผยเฉียนบอกว่าตัวเองเป็นขอบเขตหกแล้ว ทุกวันนี้อาจารย์พ่อต้องเป็นขอบเขตสิบเอ็ด หนีไม่พ้นแน่ เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว หลี่ไหวบอกว่ามิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ ทุกวันนี้อาจารย์พ่อของเจ้าต้องเป็นแค่ขอบเขตสิบแน่! เดิมพันก็เดิมพันสิ หากพ่ายแพ้ ข้าจะให้พี่สาวข้าใช้แซ่ตามเจ้าเผยเฉียน!
เหวยไท่เจินรับฟังด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตสิบเอ็ด…ขอบเขตสิบแน่นอน…จะให้นายหญิงเปลี่ยนแซ่ตาม…
ชายฉกรรจ์คารวะกลับคืนบัณฑิตหนุ่มและสตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้า แม้จะบอกว่าขอบเขตของสตรีที่สวมหมวกม่านคลุมหน้าสูงมาก มีภาพบรรยากาศของเซียนดิน แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรมีแค่เหตุผลเดียว ล้วนเป็นสหายของเฉินผิงอัน ต่อให้ห้าขอบเขตบนมาเยือนก็คือสหาย ห้าขอบเขตล่างมาเยือนก็ยังคงเป็นสหาย
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็มองไปทางเผยเฉียน เอ่ยหยอกล้อว่า “ระมัดระวังตัวกว่าพี่น้องหลิงจวินอยู่สักหน่อย”
เจ้าเฉินหลิงจวินตัวดี ออกมาอยู่ข้างนอกกลับกล้าทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ กล้าเรียกสหายของอาจารย์พ่อว่าพี่น้องเชียวหรือ
เผยเฉียนแอบจดบัญชีของเฉินหลิงจวินไว้ในใจเงียบๆ
แต่เผยเฉียนก็ยังถามเสียงเบาว่า “เฉินหลิงจวินยังสบายดีกระมัง?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “สบายมากเลยล่ะ บอกว่าออกจากที่นี่แล้วก็จะไปสวนน้ำค้างวสันต์ คืนนั้นใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยังรีบเดินทางมาที่นี่เพื่อดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาโดยเฉพาะ ยังคงเป็นอาจารย์พ่อของเจ้าที่หน้าใหญ่ แต่พี่น้องหลิงจวินรู้จักหนักเบาอยู่มาก เจ้าวางใจเถอะ”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “เฉินหลิงจวินค่อนข้างใจใหญ่ อาจจะไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องยิบย่อยเท่าใดนัก นายท่านแห่งศาลเทพอัคคีโปรดให้อภัยด้วย”
บนโต๊ะอาหาร เผยเฉียนถามถึงเรื่องราวขุนเขาสายน้ำของตระกูลเซียนบางแห่งที่อยู่ใกล้เคียง
ชายฉกรรจ์เล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้ฟัง บอกว่าหลังจากที่อาจารย์พ่อเจ้าจากไป ในอาณาเขตของสิบกว่าแคว้นนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด มีการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินเกิดขึ้น ปราณวิญญาณจำนวนมากไหลกรูเข้ามา ภูเขาตระกูลเซียนจำนวนไม่น้อยซึ่งมีตำหนักขวานผี ดินแดนเซียนเป่าต้งเป็นหนึ่งในนั้นมีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอายุน้อยๆ หลายคนพากันฝ่าทะลุขอบเขต ยกตัวอย่างเช่นเยี่ยนชิงได้ปิดด่านอีกครั้งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเย่ฮานเจ้านครแห่งนครหวงเยว่ รวมถึงเหอลู่อีกคนถึงได้หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทีเหอลู่และเยี่ยนชิงคือคู่กุมารทองกุมารีหยกที่มีชื่อบนภูเขา และยังมีภูตในภูเขาอีกไม่น้อยที่เริ่มเดินทางไกลมาท่องเที่ยวที่นี่ แต่ไม่ได้สร้างหายนะใหญ่โตอะไร อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบย่อมมีวิธีการเป็นของตัวเอง บวกกับที่ภิกษุมากมายของแคว้นเป่าเซียงให้การปกป้อง วิถีทางโลกจึงนับว่ายังสงบสุข ส่วนเมืองสุยเจี้ยที่เคยมีทัณฑ์สวรรค์หล่นลงมาทับแห่งนี้ก็ยิ่งไม่มีภูตผีปีศาจชั่วร้ายใดๆ กล้ามาอาละวาดที่นี่อีก พูดมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ จากนั้นก็ถามเผยเฉียนว่าเหตุใดอาจารย์พ่อของเจ้าจึงไม่มาด้วย?
เผยเฉียนบอกว่าอาจารย์พ่อออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่วันหน้าจะต้องมาดื่มเหล้าที่นี่ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน อาจารย์พ่อเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่เป็นที่สุด
ชายฉกรรจ์ยิ้มพลางพยักหน้ารับ
เห็นเพียงว่าเด็กสาวก้มหน้าก้มตาลงพุ้ยข้าวกินแล้ว
ชายฉกรรจ์จึงไม่ได้ถามอะไรมากอีก
พักค้างแรมที่ศาลเทพอัคคีหนึ่งคืน
อันที่จริงเผยเฉียนไม่ได้นอนทั้งคืน นางยืนเหม่อลอยอยู่ในระเบียง ภายหลังไม่รู้สึกง่วงจริงๆ เลยไปนั่งเหม่ออยู่บนหัวกำแพง ใจนึกอยากจะไปยืนบนหลังคาเพื่อมองภาพบรรยากาศทั้งหมดของเมืองสุยเจี้ย เพียงแต่ว่าทำอย่างนั้นไม่ถูกกฎ ไม่มีแขกคนใดที่ควรทำตัวเช่นนี้
ช่วงเช้าตรู่ก็บอกลากับนายท่านแห่งศาลเทพอัคคีแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังนครอวี้ฮู่แห่งแคว้นไหวหวง อาจารย์พ่อบอกว่าวัดจินตั๋วของที่นั่นเคยมีปีศาจออกอาละวาด แล้วเขาก็เคยได้เจอกับจอมยุทธหญิงสองคนที่อายุไม่มาก แต่จิตใจดีงาม
เผยเฉียนวาดฝันต่อตัวพวกนางไว้มาก ไม่รู้ว่าต้องเป็นสตรีในยุทธภพที่ดีแค่ไหนและมีวิชาหมัดสูงแค่ไหนถึงจะสามารถถูกอาจารย์พ่อเรียกว่าจอมยุทธหญิงได้
เดินเล่นที่วัดจินตั๋วที่ควันธูปกลับมาโชติช่วงอีกครั้งแล้ว เผยเฉียนก็ไปเจอเหลาสุราแห่งหนึ่งที่ริมชายแดนของแคว้นไหวหวงและแคว้นเป่าเซียง นางพาหลี่ไหวไปกินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็ซื้อเหล้าฝูอิ๋งมาสองกา
พอเหวยไท่เจินมาถึงแคว้นไหวหวงแล้วก็ได้รู้จากบทสนทนาระหว่างเผยเฉียนและหลี่ไหวว่า ที่แท้ทุกวันนี้เมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของนายหญิงก็ตั้งชื่อว่าอำเภอไหวหวงพอดี
พอขยับเข้าใกล้ทะเลสาบคนใบ้ของหุบเขาลมเหลือง อารมณ์ของเผยเฉียนก็ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด บ้านเกิดคืออำเภอไหวหวง เวลานี้ก็มีแคว้นไหวหวง หมี่ลี่น้อยมีวาสนากับอาจารย์พ่อจริงๆ บนเส้นทางที่เป็นดินทรายสีเหลืองอร่าม เสียงกระดิ่งผูกอูฐดังเป็นระลอก พวกเผยเฉียนก้าวเดินเนิบช้า ทุกวันนี้หุบเขาลมเหลืองไม่มีปีศาจใหญ่อาละวาดอีกแล้ว ข้อเสียเพียงอย่างเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ ทะเลสาบคนใบ้ที่ระดับน้ำไม่เคยเพิ่มไม่เคยลดแห่งนั้นเปลี่ยนไปเป็นน้ำลดน้ำหลากตามช่วงฤดูกาล เรื่องบนภูเขาที่คนเล่าลือกันจึงลดน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง
เผยเฉียนหยุดพักที่ริมทะเลสาบคนใบ้พร้อมกับขบวนอูฐขนสินค้า เผยเฉียนนั่งยองอยู่ริมน้ำ ที่นี่ก็คือบ้านเกิดของหมี่ลี่น้อยแล้ว
หมี่ลี่น้อยกับเฉินหลิงจวิน คนหนึ่งคือฟ้าคนหนึ่งคือดิน ในอดีตเฉินหลิงจวินมักจะชอบคว้าตัวใครมาสักคนแล้วฝอยจนน้ำลายแตกฟอง โม้ให้ฟังถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเขาที่แม่น้ำอวี้เจียง แน่นอนว่ายิ่งเป็นช่วงหลัง คงเป็นเพราะเฉินหลิงจวินรำคาญตัวเองแล้วจึงยิ่งไม่ชอบพูดถึงเรื่องราวในยุทธภพของแม่น้ำอวี้เจียงอีก แต่หมี่ลี่น้อยกลับแค่จะเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว นางเล่าเรื่องในอดีตมากมายของตัวเองตอนอยู่ในทะเลสาบคนใบ้ให้เผยเฉียนกับหน่วนซู่ฟัง บอกว่าปีนั้นตอนอยู่บ้านเกิดนางมีชื่อเสียงอย่างมาก เทพเซียนของจวนชิงชิ่งแคว้นเถาจือที่ตบะสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากลุ่มหนึ่งพากันเดินทางมาอย่างยิ่งใหญ่ จำนวนคนมากมายจนนับไม่ไหว รวมตัวกันเป็นขบวนที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าก็เพียงแค่เพราะมาจับนางคนเดียว คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกยุทธที่บอกว่าชื่อเหมาชิวลู่ เป็นแม่นางใหญ่ที่ไม่เลวคนหนึ่ง แม้ว่าจะดุร้ายไปสักหน่อย แต่ก็จิตใจดี คิดจะเชิญนางไปเป็นแม่ย่าลำคลองของแคว้นเชียนโกว ผลคือราชครูแคว้นเชียนโกวต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญแก่จวนชิงชิ่ง ดูท่าแล้วราชครูคนนั้นจะจนมากจริงๆ จากนั้นคนผู้หนึ่งของตำหนักจินอูที่นางลืมไปแล้วว่าชื่อแซ่อะไรก็เตรียมจะมาซื้อตัวนาง ต่อให้ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ยังแค่สองเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น ขี้เหนียวกันชะมัด ไม่มีมาดความใจกว้างของเทพเซียนบนภูเขากันบ้างเลย ไม่มีเลยสักนิดเดียว
จากนั้นนางก็ได้เจอกับเจ้าขุนเขาคนดี เจ้าขุนเขาคนดีทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อนางมาจากจวนชิงชิ่ง ดังนั้นนางจึงติดตามเขาออกมาจากทะเลสาบคนใบ้ ออกท่องยุทธภพไปร่วมกัน ร้ายกาจนักล่ะ พอออกจากบ้านปุ๊บ พวกเขาสองคนก็ร่วมกันสังหารบรรพบุรุษหวงซาที่ไร้ศัตรูทัดเทียมผู้นั้นทันที น่าเสียดายที่คนที่รู้วีรกรรมยิ่งใหญ่นี้กลับมีมาเยอะ แต่นั่นจะเป็นอะไรไปเล่า นางไม่ใช่ภูตน้ำใหญ่ที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอมสักหน่อย ไม่รู้ก็ไม่รู้สิ ถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาคนดีก็เคยรับปากนางว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีคนมากมายที่ได้อ่านเรื่องราวของนางจากหนังสือ…
ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลง หลังจากติดตามเผยเฉียนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วยังชอบพูดเรื่องพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมา ตอนนั้นเผยเฉียนเองก็รำคาญที่หมี่ลี่น้อยเอาแต่พูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก แต่ก็ไม่ห้ามหมี่ลี่ที่พูดถึงเรื่องพวกนี้อย่างอารมณ์ดี อย่างมากสุดพอพูดถึงรอบที่สองเผยเฉียนก็จะยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว พอพูดเป็นรอบที่สาม เผยเฉียนก็ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว เอ่ยประโยคหนึ่งว่าสามรอบแล้ว แม่นางน้อยจึงเกาหัว รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ภายหลังหมี่ลี่น้อยก็ไม่พูดอีก
นั่นเป็นครั้งแรกที่พี่หญิงหน่วนซู่โมโห นางแอบมาหาเผยเฉียนบอกว่าเจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ หมี่ลี่น้อยยินดีพูด เจ้าแค่ฟังไปก็พอ ไม่ได้ถ่วงรั้งเรื่องอะไรของพวกเราสักหน่อย หมี่ลี่น้อยจากบ้านมาไกลขนาดนั้น เล่าให้พวกเราสองคนฟังหลายรอบหน่อยจะเป็นอะไรไป หากเจ้าไม่ชอบฟังจริงๆ ก็บอกว่าเจ้าจะไปคัดหนังสือหรือฝึกหมัด ต่อให้พูดต่อหน้าว่าตัวเองฟังจนเบื่อแล้วก็ยังดีกว่าพูดกับหมี่ลี่น้อยแบบนี้ นี่จะทำให้นางเสียใจมาก
แรกเริ่มเผยเฉียนไม่เห็นเป็นสำคัญ แล้วก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพียงแค่ตกปากรับคำพี่หญิงหน่วนซู่ที่ไม่เคยโกรธเคืองใครไปว่ารู้แล้วรู้แล้ว วันหน้ารับรองว่าตนจะไม่ทำท่าหงุดหงิด ต่อให้รู้สึกก็จะเก็บซ่อนให้ดี หมี่ลี่น้อยที่ซื่อบื้อต้องมองไม่ออกแน่นอน เพียงแต่เช้าตรู่วันที่สอง พอเผยเฉียนอ้าปากหาวหมายจะไปฝึกหมัดที่เรือนไม้ไผ่ก็เจอกับแม่นางน้อยชุดดำที่ถือไม้เท้าเดินป่า บนบ่าแบกภาระยิ่งใหญ่ของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาตรอกฉีหลงมายืนเป็นเทพทวารบาลอยู่หน้าประตูให้ตนเหมือนเดิม ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกก็ขัดขวางนางไม่ได้ พอเห็นเผยเฉียน แม่นางน้อยก็รีบยืดอกตั้ง ยิ้มปากกว้างให้นางก่อน จากนั้นก็เม้มปากยิ้ม
กระทั่งบัดนั้นเผยเฉียนถึงได้รู้สึกว่าตนทำผิดไปจริงๆ นางจึงลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย บอกว่าวันหน้าหากยังอยากเล่าเรื่องของทะเลสาบคนใบ้ก็เล่าได้เลย อีกทั้งยังต้องตั้งใจคิดให้ดีๆ ว่าลืมเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดข้าวสารเรื่องใดไปหรือไม่
ตอนนั้นแม่นางน้อยวิ่งตุปัดตุเป๋อยู่ข้างกายเผยเฉียน นางส่ายหน้าอย่างแรง บอกว่าไม่พูดแล้วๆ ก่อนหน้านี้ตนกลัวว่าเผยเฉียนกับพี่หญิงหน่วนซู่จะลืมถึงได้พูดย้ำไปหลายรอบ หากต้องให้คิดเรื่องต่างๆ คงเปลืองแรงอย่างมาก
สุดท้ายหมี่ลี่น้อยยังกำชับเผยเฉียนว่าหากวันหน้าลืมไป จำไว้ว่าต้องบอกนางด้วยนะ ถึงเวลานั้นนางค่อยพูดอีกรอบ
ท่ามกลางม่านราตรี เผยเฉียนยื่นมือไปวักน้ำขึ้นมา แสงจันทร์อยู่ในมือ
ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว พวกนางสามคนชอบหลบไปพูดเรื่องส่วนตัวกันในโปงผ้าห่ม ศีรษะของคนทั้งสามเบียดกันในผ้าห่มจึงทำให้มองดูเหมือนภูเขาลูกเล็ก
หลี่ไหวนั่งอยู่ข้างกองไฟห่างไปไม่ไกล
เหวยไท่เจินถามเสียงเบา “คุณชายหลี่ ทำไมถึงไม่เร่งให้แม่นางเผยเดินทางเร็วสักหน่อย”
ถึงอย่างไรนางก็เป็นสาวใช้ของหลี่ไหว จึงควรต้องพิจารณาเพื่อคุณชายหลี่ให้มาก
หลี่ไหวรับคำเรียกขานว่า ‘คุณชายหลี่’ นี่ไม่ได้มากที่สุด เพียงแต่เทพธิดาเหวยยืนกราน เกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้งก็ไร้ผล เขาเลยได้แต่ทนฟังอย่างอัดอั้น ได้แต่คิดว่าลมและน้ำของภูเขาตระกูลเซียนอย่างยอดเขาสิงโตก็ซื่อบริสุทธิ์เหมือนกับเมืองเล็กบ้านเกิดของตน หลี่ไหวยังรู้สึกดีใจแทนพี่สาว ได้มาฝึกตนอยู่ในสถานที่แบบนี้ คิดดูแล้วคงไม่ถูกคนรังแก พี่สาวเขานิสัยดีเกินไป ลักษณะก็นุ่มนิ่มบอบบางเกินไป อยู่บ้านเกิดมาตั้งนานหลายปียังเถียงใครไม่เป็นเลย ออกจะโง่ไปสักหน่อย ข้อนี้เหมือนท่านพ่อของพวกเขา ไม่เหมือนตนที่นิสัยเหมือนท่านแม่ ยามอยู่นอกบ้านจึงไม่ถูกใครรังแกง่ายๆ
——