กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 700.1 อันดับหนึ่งในใต้หล้า
นักพรตสามพันคนจากใต้หล้ามืดสลัวเข้ามายังใต้หล้าแห่งที่ห้าอย่างเป็นระเบียบ ในบรรดานั้นมีคนของป๋ายอวี้จิงที่มีจำนวนมากที่สุด มากถึงหนึ่งพันกว่าคน นอกจากนี้ก็มีอารามเสวียนตู ตำหนักสุ้ยฉู พรรคเซียนจั้ง ภูเขาปิงเจี่ย ฯลฯ ล้วนเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งทั้งสิ้น แต่ละสำนักมีนักพรตเข้ามาสองสามร้อยคนไม่เท่ากัน ตระกูลเซียนลำดับรองลงมาจำนวนคนจะลดหลั่นลงไป แต่ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักใด ส่วนใหญ่ล้วนถือเป็นนักพรตเต๋าที่มาจากระบบสืบทอดดั้งเดิมของใต้หล้ามืดสลัวทั้งสิ้น เพราะว่าระบบทำเนียบลัทธิเต๋านั้นใช้ทั่วกันทั้งใต้หล้า
นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์ลัทธิพุทธอีกสามพันคน
รวมไปถึงชาวบ้านลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามายังใต้หล้าแห่งที่ห้าอย่างบ้าคลั่ง ประตูเปิดอ้าแค่สองปีก็มีคนมากเกือบสิบล้านคน
ผู้ฝึกตนต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไป มีครบทั้งสามสำนักเก้าสาขา ผู้ฝึกตนบนภูเขา มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขา มีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน มีทั้งความยินดีที่ใหญ่หลวงและความเสียใจอย่างลึกล้ำหลังจากรอดชีวิตผ่านพ้นหายนะมาได้ อารมณ์มนุษย์มากมายสารพัดรูปแบบ
พวกเขาต่างก็มาจากอาคเนย์ใบถงทวีปและหรดีฝูเหยาทวีป แต่จำนวนคนของฝูเหยาทวีปกับใบถงทวีปมีความต่างกันสูงมาก ฝูเหยาทวีปเป็นแค่การอพยพของผู้คนแถบเลียบริมมหาสมุทรทิศตะวันออกเท่านั้น แต่ใบถงทวีปกลับหนีภัยกันมาทั้งทวีป
แต่ละฝ่ายต่างก็มีเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งคอยรับหน้าที่เปิดประตูใหญ่ทั้งสองบาน
ผู้ที่ใช้กระบี่เปิดประตูคือเซียนกระบี่อาวุโสแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฉีถิงจี้
จั่วโย่วสายเหวินเซิ่ง
เซียนกระบี่สองท่านนี้นอกจากรับผิดชอบเปิดประตูแล้วยังต้องคอยเฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ไม่ให้ถูกปีศาจใหญ่ทำลาย
นักพรตสามพันคนส่วนใหญ่จะไปพักอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออก นักพรตของป๋ายอวี้จิงได้ร่วมแรงกันสร้างทะเลเมฆผืนใหญ่ขึ้นมาแล้ว ปราณสีม่วงแผ่กำจายไพศาลยิ่งใหญ่ มีน้ำค้างและฝนรสหวานพร่างพรมลงมามอบความชุ่มชื้นให้กับพื้นดินครั้งแล้วครั้งเล่า
ทะเลเมฆสูงต่ำไม่เท่ากัน ภูเขาทั้งหมดที่อยู่เหนือพ้นทะเลเมฆล้วนเป็นสถานที่แห่งการช่วงชิงกันของป๋ายอวี้จิงกับนักพรตฝ่ายอื่น
ภูเขาบางลูกอยู่ห่างจากพื้นมาไม่มาก ภูเขาบางลูกมีแต่ระดับความสูง ยังคงไม่อาจสูงพ้นทะเลเมฆมาได้ นี่เป็นผลเกิดจากปราณวิญญาณและโชควาสนามากน้อยไม่เท่ากัน
นักพรตป๋ายอวี้จิงได้รับคำสั่งจากสำนักของตัวเองในห้านครสิบสองหอเรือนซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือพยายามเลือกภูเขาห้าลูกที่อยู่ใกล้เคียงกันแล้วสลักภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงลงไป แล้วใช้สมบัติอาคมคอยสยบภูเขาแต่ละลูกเอาไว้เพื่อรวบรวมปราณวิญญาณมา ทุกครั้งที่ขุนเขาห้าลูกรวมตัวกันได้สำเร็จก็จะมีเค้าโครงของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งหรือไม่ก็แคว้นใต้อาณัติเล็กๆ แห่งหนึ่ง นอกจากนี้แล้วยังมีความมหัศจรรย์อีกอย่าง นั่นคือปราณวิญญาณฟ้าดินอันมากมายไพศาลนั้นจะถูก ‘กัก’ เอาไว้ในบริเวณใกล้เคียงกับขุนเขา สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาบริเวณของห้าขุนเขาก็มักจะไม่อาจซุกซ่อนประกายแสงเรืองรองของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป หากนักพรตของป๋ายอวี้จิงสืบสาวเบาะแสไปเจอก็สามารถรวบเก็บมาเป็นของตัวเองได้ทันที นี่คล้ายคลึงกับวิธีการวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ทำลายปราณวิญญาณแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่ายังสามารถเอาโชคชะตาที่กระจัดกระจายมารวมตัวกันเป็นโชควาสนาหลายๆ ขุมให้ล้อมวนเวียนอยู่รอบห้าขุนเขา หรือไม่ก็ขับไล่ให้ไปยังแม่น้ำลำคลองใหญ่ๆ แล้วค่อยสร้างความมั่นคงอีกครั้ง เอาไว้ใช้เป็นสถานที่ตั้งจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในอนาคต
แต่เซียนกระบี่สายของอารามเสวียนตูกลับทำให้นักพรตป๋ายอวี้จิงเดือดดาลเป็นที่สุด ขอแค่พวกเขายึดครองเอาภูเขาที่พอจะมีปราณวิญญาณเยอะพอควรไปได้ก็จะเริ่มทำการรื้อถอนทันที เห็นได้ชัดว่าตั้งท่าจะทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่ส่งผลดีกับตัวเอง ทุกครั้งขอแค่พวกเขาวาดสี่ภาพจากภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงได้อย่างยากลำบาก นักพรตของอารามเสวียนตูก็ถึงจะแอบวาดภาพเซียนกระบี่นำทางของอารามบ้านตัวเองลงไปภาพหนึ่ง ภาพห้าขุนเขาหากขาดไปสักภาพก็ถือว่าทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่า พอถึงเวลานั้นจะต้องไปเลือกภูเขาแห่งใหม่มาเพิ่มอีกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ความเสียหายก็ย่อมมากจนมิอาจประเมินได้
เพราะการกระทำเหมือนคนเสียสติของเซียนกระบี่สายอารามเสวียนตูเป็นเหตุให้ตระกูลเซียนชั้นสูงใหญ่ๆ หลายแห่งซึ่งมีตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้นรู้สึกยินดีอย่างไม่คาดฝัน พากันลงนามทำสัญญาซื้อขาย วาดพื้นที่อิทธิพลของใครของมันไว้คร่าวๆ พยายามลดทอนผลกระทบที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด ทุกอย่างก็เพื่อพยายามเก็บเอาพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีคุณสมบัติจะกลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเข้ามาอยู่ในกระเป๋าให้ได้มากที่สุดตัดหน้าป๋ายอวี้จิง
สรุปก็คือนักพรตสามพันคนต่างคนต่างก็มีแผนการะยะยาว ความขัดแย้งน้อยใหญ่จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภิกษุสามพันคนพักอยู่ทางทิศตะวันตก
ผู้ลี้ภัยของฝูเหยาทวีปกรูกันไปทางทิศเหนือ
ชาวบ้านอพยพพลัดถิ่นของใบถงทวีปอยู่ทางทิศใต้
นครที่มีผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้ครอบครองอยู่ตรงกลาง
หนิงเหยาขี่กระบี่ไปยังทิศตะวันออกเพียงลำพังก่อน นางมองเห็นทะเลเมฆสีม่วงที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานแห่งเต๋านั้นไกลๆ แล้วก็ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะขี่กระบี่ตรงไปทางทิศใต้
ขุนเขาสายน้ำยาวไกล ฟ้าดินเงียบสงัด
ทว่าในวัตถุจื่อชื่อกลับมีหัวของตัวประหลาดเพิ่มมาอีกสองหัว
เพียงแต่ว่าการเข่นฆ่านั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นแค่สองครั้งเท่านั้น
แน่นอนว่านี่หมายความว่าใต้หล้าแห่งที่ห้าที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อแห่งนี้มีความอันตรายและความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง
ทางฝั่งประตูสวรรค์ ลู่เฉินยื่นนิ้วหนึ่งออกมาถูริมฝีปาก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นักพรตซุน ทำลายความปรองดองเช่นนี้ คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกระมัง? ข้ากลับไปถึงป๋ายอวี้จิงแล้วย่อมยากจะอธิบายกับศิษย์พี่ได้ แค่พอประมาณก็พอแล้วน่า นิสัยของศิษย์พี่ข้าเป็นอย่างไร เจ้าเองก็รู้ดี ยามมีโทสะขึ้นมาก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมที่ไหนทั้งนั้น ถึงเวลานั้นเขาจะไปอารามเสวียนตู ข้าคงห้ามไม่อยู่”
ศิษย์น้องเล็กชิงซานยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นักพรตน้อยที่สะพายน้ำเต้า ‘โต้วเหลียง’ ไว้แนวเฉียงบนหลังรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเล็กน้อย ใจนึกอยากจะให้ลู่เฉินกับนักพรตซุนข่วนหน้ากันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
นักพรตซุนเอ่ยอย่างละอายใจว่า “ศิษย์หลานพวกนี้ของผินเต้า (คำเรียกแทนตัวนักพรตอย่างถ่อมตัว) แต่ละคนไม่ทำตามคำสั่งของบรรพจารย์ ราวกับม้าพยศหลุดจากบังเหียนอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งไฟโทสะของคนหนุ่มสาวยังลุกโชติช่วง ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา ผินเต้าจะมีวิธีใดเล่า ไม่อย่างนั้นคงต้องทำลายกฎไปช่วยเกลี้ยกล่อมพวกเขา เป็นคนไกล่เกลี่ยแทนเจ้าดีไหมล่ะ?”
นักพรตน้อยที่เงี่ยหูแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอดรู้สึกเพียงว่านักพรตซุนผู้นี้พูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉยเก่งจริงๆ ตนจะต้องเรียนรู้ให้ดีสักหน่อย วันหน้าหากเจอกับซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นอีก ใครด่าใครก็ยังไม่แน่
นักพรตซุนยิ้มกล่าวอีกว่า “แต่สหายนักพรตลู่ก็ต้องไปบอกกล่าวกับอริยะลัทธิขงจื๊อก่อนนะ จะให้ผินเต๋าทำลายกฎที่ว่าห้ามออกจากประตูไกลเกินร้อยจั้งคงไม่ดี เพราะถึงอย่างไรหลี่เซิ่งก็ตั้งกฎนี้กับพวกเราทั้งสองฝ่ายด้วยตัวเอง ผินเต้าเคารพนับถือหลี่เซิ่งอย่างมาก สหายนักพรตลู่เจ้าไม่เหมือนกัน ใจกล้าอย่างมาก แล้วยังมีอาจารย์ที่ดีขนาดนั้นเป็นที่พึ่งใหญ่ ผินเต้ากลับไม่ใช่ บรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาของอารามเสวียนตูจากไปตั้งนานแล้ว ผินเต้าก็คือคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด หากสู้กับคนอื่นแล้วแพ้ขึ้นมาจริงๆ จะไปร้องไห้ระบายทุกข์กับใครกัน?”
ลู่เฉินกล่าวอย่างระอาใจ “นักพรตน้อยไม่ค่อยถูกกับหลี่เซิ่ง นักพรตซุนจะไม่รู้เลยหรือ?”
นักพรตซุนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อายุมากแล้ว หลงลืมได้ง่าย”
นักพรตน้อยรู้สึกนับถืออีกฝ่ายยิ่งนัก
ซานชิงขมวดคิ้วแน่น
หากถูกอารามเสวียนตูก่อกวนเช่นนี้ต่อไป กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว แผนการของศิษย์พี่เจ้าลัทธิรองที่จะอาศัยใต้หล้าแห่งที่ห้ามารวบรวมหลิงกวนให้ครบห้าร้อย มีความเป็นไปได้มากว่าอาจจะต้องเลื่อนจากที่คาดการณ์ไว้ไปอีกหลายร้อยปี
ลู่เฉินยกมือขึ้นลูบกวานเต๋าดอกบัวบนศีรษะ ยิ้มปลอบศิษย์น้องเล็กน่ารักที่สองเท้าอยู่บนพื้น แต่ใจกลับกังวลไปถึงเรื่องบนฟ้าผู้นี้ว่า “ผลลัพธ์น้อยใหญ่ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดงออกของมหามรรคานับพันนับหมื่น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แค่มองดูอยู่ด้านข้างก็พอ”
ลู่เฉินไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างนักพรตของป๋ายอวี้จิงกับเซียนกระบี่อารามเสวียนตูจริงๆ แต่เรื่องบางอย่างจะดีจะชั่วก็ควรจะพูดกันให้ชัดเจน วันหน้ากลับไปถึงป๋ายอวี้จิงหรือไม่ก็ถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา จะได้รับมือกับศิษย์พี่และอาจารย์ได้อย่างขอไปที ทว่าในสายตาของศิษย์น้องเล็ก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็เท่ากับเป็นเรื่องของเขาเอง จะว่าร้ายก็ไม่ร้าย จะว่าดีกลับไม่มีทางดีได้มากแน่นอน
ลู่เฉินกระโดดสองที พยายามมองไปทางทิศใต้ “เจ้าจมูกโคน้อย เจ้าควรทำเรื่องเป็นการเป็นงานได้แล้ว ข้าสามารถช่วยเจ้าเอาห่วงเหล็กและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อันนั้นมอบให้กับอริยะลัทธิขงจื๊อไปพร้อมกันได้”
นักพรตน้อยพลันเดือดดาลอย่างหนัก “เจ้าลัทธิลู่ เจ้าพูดจาหัดเกรงใจนายท่านอย่างข้าบ้าง!”
นักพรตน้อยเซาฮว่อของอารามกวานเต๋าผู้นี้ เวลาอยู่กับลู่เฉินมักจะรักษากฎมาโดยตลอด
อันที่จริงตัวเขาเองไม่กลัวลู่เฉินแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่อาจารย์จะไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวได้สั่งความเขาไว้สามเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือห้ามผูกปมแค้นกับลู่เฉิน
นอกจากนี้ก็คือเอาหนึ่งในพื้นที่มงคลดอกบัวมาวางไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งของใต้หล้าแห่งที่ห้านี้ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้พื้นที่นั้นก็ยังไม่มีร่องรอยของผู้คน
ใบถงทวีปมีหอพิทักษ์เมืองอยู่แห่งหนึ่ง คือต้นอู๋ถงที่มีอายุมาอย่างยาวนาน มีนามว่าหอสยบปีศาจ ความหมายก็พอๆ กับหอสยบป๋ายเจ๋อ ก็แค่บัณฑิตเขียนบทความให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้คิดจะไปสั่นคลอนรากฐานของหอสยบปีศาจ แต่เมื่อไม่มีห่วงเหล็กที่เป็นแกนกลางหลักค่ายกลของนักพรตเฒ่าอยู่ก็มีความหมายไม่มากแล้ว ดังนั้นในเรื่องนี้จึงสามารถทำการค้าคุณความชอบครั้งหนึ่งเพิ่มเข้ามาได้ บวกกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่โต่วเหลียงก็เท่ากับว่าเป็นการค้าสองอย่าง ตามการคาดเดาของตัวนักพรตน้อยเอง หากอาจารย์ไม่ระวังพ่ายแพ้ในการโต้วาทีกับมรรคาจารย์เต๋า จะดีจะชั่วก็ยังอาศัยคุณความชอบสองอย่างนี้มาขอให้นายท่านหลี่เซิ่งช่วยพูดจาดีๆ แทนให้ได้ อาจารย์กับตนก็จะสามารถกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล ไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ส่วนสรุปแล้วอาจารย์คิดจะทำอะไรกันแน่ สุดท้ายจะทำอย่างไร นักพรตน้อยไม่สนใจ ถึงอย่างไรก็เคยชินกับการมีชีวิตคอยพึ่งพาอาศัยอาจารย์อยู่แล้ว
และการที่ลู่เฉินเรียกนักพรตน้อยเซาฮว่อว่าจมูกโคน้อยก็คือการด่าคน ด่าทีด่าถึงสอง แม้แต่อาจารย์ของเขาที่อายุมากแล้วท่านนั้นก็โดนด่าเหมารวมไปด้วย คนเป็นลูกศิษย์ย่อมมิอาจทนได้!
ลู่เฉินกล่าว “จมูกโคน้อย เจ้าอารามผู้เฒ่าอุตส่าห์สะสมควันธูปน้อยนิดนั่นไว้ให้เจ้าอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกเจ้าเอามาใช้เกือบหมดแล้ว ระวังหน่อยสิ”
นักพรตน้อยถามอย่างกังขา “หมายความว่าอย่างไร?”
แต่ไหนแต่ไรมานักพรตเซาฮว่อจะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์คนแรกของเจ้าอารามด้วยความภาคภูมิ เพียงแต่ว่านักพรตผู้เฒ่ากลับไม่เคยมองเจ้าตัวน้อยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดอะไร นี่ก็เป็นเรื่องน่าจนใจในชีวิตเช่นกัน
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “พื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ร่มใบถงถูกมอบให้เฉินผิงอัน ก็เท่ากับว่าคำนวณเส้นทางในหัวใจของเฉินผิงอันไว้เรียบร้อยว่าเขาจะไม่มีทางวางใจได้ลง จะต้องไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นั่น ฝึกวิชาพิจมองดูคนถามใจตัวเอง จากนั้นก็เจอกับสถานการณ์ยากลำบากยิบย่อยที่ผิดถูกยากจะแยกแยะกระจ่างชัดอีกนับไม่ถ้วน เรื่องราวดั่งขนห่าน กองทับถมกันเป็นขุนเขา นึกจะย้ายกลับยากยิ่งกว่าต้องย้ายหินภูเขาที่มีน้ำหนักเท่ากันมากนัก ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ได้แต่ค้นพบว่าเรื่องของการฝึกตน ที่แท้แค่สามารถดูแลเจตนารมณ์เดิมให้ดีก็เปลี่ยนใหญ่ให้เป็นเล็ก เปลี่ยนยากให้เป็นง่าย เปลี่ยนหมื่นให้เป็นหนึ่งได้แล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน แต่ก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน เพราะกลายมาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้าอารามผู้เฒ่า เดินห่างจากลัทธิขงจื๊อของตัวเองมาไกลแล้ว ทุกวันนี้เจ้าพกพาเอาส่วนหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวมาด้วย ก็เพราะเจ้าอารามผู้เฒ่ากำลังเตือนข้าว่าให้อดทนกับเจ้าหน่อย ให้ยอมให้เจ้าหน่อย”
นักพรตน้อยพยักหน้ารับ พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “คนหนึ่งกล้าพูดจาเหลวไหล คนหนึ่งกล้าแสร้งทำเป็นเข้าใจ พวกเจ้าสองคนช่างเหมาะสมกันจริงๆ”
ลู่เฉินไม่ถือสาแม้แต่น้อย
นักพรตน้อยยื่นมือขวาเข้าไปในชายแขนเสื้อข้างซ้าย ด้านในมีใบอู๋ถงอยู่หนึ่งใบ
นั่นก็คือที่อยู่ของพื้นที่มงคลดอกบัวหนึ่งแห่ง หนึ่งแบ่งเป็นสี่ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าเอาไปส่วนหนึ่ง คนหนุ่มคนหนึ่งที่สูญเสียความทรงจำถูกเจ้าอารามโยนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ได้ไปพบเจอกับเด็กหนุ่มที่เป็นลูกหลานของขุนนางในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่ออกทัศนาจรที่แคว้นเป่ยจิ้น ยามนั้นข้างกายเด็กหนุ่มยังมีวานรขาวตัวน้อยติดตามมาด้วย
ลู่ไถยึดครองไปส่วนหนึ่ง
อวี๋เจินอวี้แห่งแคว้นซงไล่ ผู้ฝึกตนตามความหมายที่แท้จริงคนแรกในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว พื้นที่มงคลที่เขาอยู่ในทุกวันนี้ถูกอาจารย์เจ้าอารามพาไปยังถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา อวี๋เจินอี้ที่ได้รับคำทำนายจากมรรคาจารย์เต๋าประโยคหนึ่งว่า ‘อาศัยในโลกมนุษย์สั้นๆ พันปี รูปโฉมเหมือนเด็กตลอดกาล’ ผู้นั้นจะต้องมีโชควาสนาใหญ่ติดกายแน่นอน นักพรตน้อยถึงขนาดอิจฉาอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน
นักพรตน้อยลังเลอยู่นาน ก่อนจะหยิบห่วงเหล็กออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วมอบให้กับลู่เฉินที่ไม่ว่าการวางตัวเป็นคน ลงมือทำเรื่องต่างๆ คำพูดคำจา หรือการฝึกตนล้วนไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าใดนัก
ต้องรู้ว่าลู่เฉินผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากใต้หล้าไพศาล ‘นอกรีตนอกรอย’ เป็นอับดับหนึ่ง แม้แต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังถูกลู่เฉินแสร้งใช้คำพูดที่แฝงไว้ด้วยความหมายด่าไว้ในหนังสือของตัวเองมาก่อน
นักพรตน้อยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับซิ่วไฉเฒ่า ทว่าไม่สนิทกับศาลบุ๋นแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ใคร่จะยินดีไปคบค้าสมาคมกับอริยะที่มีภาพลักษณ์คร่ำครึในสายตาของตนสักเท่าไร อีกทั้งได้ยินลู่เฉินบอกว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเรื่องประหลาดไม่มาก แต่กลับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ออกเดินทางไกลเพียงลำพังต้องระวังจะถูกพวกตัวประหลาดจับกินเป็นอาหาร
——