กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 701.4 เหล้าใหม่รอคนเก่า
ต่อจากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็อยู่ต่อที่ยอดเขาเพียนหราน ทุกวันจะขอความรู้ด้านเวทกระบี่จากฉีจิ่งหลง ฉีจิ่งหลงก็ไม่หวงวิชา
ป๋ายโส่วเองก็ค่อยๆ คืนสติจากฝันร้ายที่รู้ว่าเผยเฉียนจะมาเป็นแขกบนยอดเขาเพียนหรานอย่างไม่ง่ายนัก
วันนี้ยอดเขาสิงโตส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังสำนักกระบี่ไท่ฮุย จากนั้นกระบี่บินก็ถูกส่งมาที่ยอดเขาเพียนหรานในทันที
หลังจากฉีจิ่งหลงได้รับจดหมายลับแล้ว มุมปากก็กระดกขึ้น จากนั้นมองลูกศิษย์ที่กว่าจะกลับมามีชีวิตชีวาได้บ้างเล็กน้อยอย่างไม่ง่ายนัก เวลานี้ฉีจิ่งหลงตัดใจเปิดเผยความจริงไม่ลงจริงๆ
ป๋ายโส่วเหลือบมองสีหน้าของอาจารย์แล้วยกสองแขนกอดอก ฝืนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “อย่างมากพรุ่งนี้เผยเฉียนก็มาหาข้าเท่านั้นเอง กลัวอะไรกัน ข้าจะกลัวหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ข่าวดีก็คือในจดหมายบอกไว้ว่าเผยเฉียนจะยังไม่มายอดเขาเพียนหรานชั่วคราว เพราะว่านางจะไปธวัลทวีป ยังมีข่าวที่ดียิ่งกว่านั้นอีก เจ้าอยากจะฟังหรือไม่?”
ป๋ายโส่วยิ้มปากกว้างจนหุบไม่ลง “ตามสบายๆ”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “เผยเฉียนเป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้ว เรื่องน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือนางสละคำว่าแข็งแกร่งที่สุดของการฝ่าทะลุขอบเขตไป”
ป๋ายโส่วรีบลุกขึ้นยืนเหมือนมีไฟลนก้น ในใจคันคะเยอจนต้องย่ำเท้าไปด้วย “ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดแล้วนางจะฝ่าทะลุขอบเขตไปทำไมกัน หา?! หา? ถูกหรือไม่ อาจารย์? อาจารย์!”
ด้วยความร้อนใจจึงเอ่ยเรียกอาจารย์ รอบเดียวยังไม่พอก็เรียกซ้ำหลายๆ รอบ
นี่คือท่าไม้ตายที่เฉินผิงอันสอนให้เขา
หลิ่วจื้อชิงอึ้งตะลึง “ขอบเขตเดินทางไกล?”
ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักจินอู เผยเฉียนเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกเอง
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ยื่นส่งจดหมายลับให้หลิ่วจื้อชิง “ในจดหมายเผยเฉียนเขียนขอโทษเจ้าและข้าเรื่องดื่มเหล้ามาด้วย”
หลิ่วจื้อชิงรับจดหมายลับมาแล้วก็กวาดตามองปราดๆ สองสามที พอคืนให้ฉีจิ่งหลงแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็ยิ้มเอ่ยอย่างเข้าใจว่า “แม่หนูเผยไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เรียนรู้มาจากเขาหมดจริงๆ”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อันที่จริงแรกเริ่มเฉินผิงอันไม่ได้อยากให้เผยเฉียนเรียนวิชาหมัดหรอก”
หลิ่วจื้อชิงเอ่ย “เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันทำได้แน่นอน ไม่น่าประหลาดใจสักนิด”
คนทั้งสองมองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
สหายของสหายไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นสหายของตน
แต่ฉีจิ่งหลงกับหลิ่วจื้อชิงต่างก็รู้สึกว่าสองฝ่ายสามารถเป็นสหายกันได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิ่วจื้อชิงยังเลื่อมใสในวิชาความรู้ด้านยันต์ของฉีจิ่งหลงมาโดยตลอด
ก่อนจะได้รู้จักกับเฉินผิงอัน ข่าวลือเกี่ยวกับการใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องอธิบายให้กระจ่างชัดของฉีจิ่งหลง ทำให้หลิ่วจื้อชิงอดเคลือบแคลงไม่ได้ว่าอีกฝ่าย ‘ชอบวางตัวเป็นอาจารย์ของผู้อื่น’ เกินไปหรือไม่
หนึ่งเพราะตอนนั้นในฐานะที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน หลิ่วจื้อชิงไม่คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะดียิ่งกว่า ในเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเหตุผลก็ล้วนอยู่บนกระบี่
นอกจากนี้ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะแสร้งวางมาดให้ภูมิฐานเพราะหวังจะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนภูเขา หากคิดจะวางแผนออกอุบายขึ้นมา ลูกไม้อะไรบ้างที่เอามาใช้ไม่ได้?
แต่รอกระทั่งหลิ่วจื้อชิงใช้เวลาหลายปีนั่งนิ่งอยู่บนยอดเขาเหมือนคนตายไปแล้วครึ่งตัว ทอดสายตามองเรื่องราวยิบย่อยทั่วทั้งตำหนักจินอูเพื่อใช้สิ่งนี้มาชำระล้างจิตแห่งกระบี่
เขาก็เข้าใจแล้วว่าคิดจะอธิบายหลักการเหตุผลเล็กๆ ข้อหนึ่งให้กระจ่างอย่างแท้จริง ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่เลยแม้แต่นิดเดียว
หลายๆ ครั้งความยากของหลักการเหตุผลนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวของมันเอง แต่อยู่ที่คำว่า ‘อธิบาย’ บนภูเขาและล่างภูเขา การอธิบายหลักการเหตุผลและวิธีการพูด ล้วนยากทั้งสิ้น
ถึงขั้นที่ว่าเขายังจำต้องยอมรับเรื่องหนึ่ง นั่นคือคนบางคนก็อาศัยการไม่ใช้เหตุผล การทำลายกฎเกณฑ์มีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี
หลิ่วจื้อชิงตัดสินใจแล้วว่าเมื่อถึงคอขวดของก่อกำเนิดจะเลือกหมู่บ้านล่างภูเขาที่ครึกครื้นยิ่งกว่าตำหนักจินอู อาจเป็นในยุทธภพหรือไม่ก็ในวงการขุนนาง มานั่งมองใจคนหลายสิบปีหรืออาจถึงร้อยปี
หลิ่วจื้อชิงยกกาเหล้าที่อยู่ในมือขึ้น ยิ้มเอ่ย “ว่าอย่างไร?”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะเสียงดัง “ดื่ม! ข้าหยกดิบจะกลัวก่อกำเนิดอย่างเจ้าหรือ?!”
ป๋ายโส่วนั่งยองอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ แหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววตำหนิ “อาจารย์ ข้าก็อยากดื่มบ้างเหมือนกัน”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ายิ้มให้กับหลิ่วจื้อชิง หลิ่วจื้อชิงจึงโยนเหล้ากาหนึ่งให้ป๋ายโส่ว
นอกจากเหล้ากาใหญ่สามกาที่หลิ่วจื้อชิงเอาออกมาวันแรกแล้ว เขายังเตรียมเหล้าหมักตระกูลเซียนไว้อีกหลายกา
ป๋ายโส่วดื่มเหล้า ดื่มไปดื่มมาก็พลันหัวเราะ ไม่ใช่หาความสุขท่ามกลางความทุกข์อะไรได้ แต่เป็นเพราะเผยเฉียนฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน ถึงขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลแล้ว แม้ว่าสำหรับตนแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร มีความเป็นไปได้มากว่าพบกันคราวหน้า นางอาจจะเหวี่ยงเท้าฟาดใส่เขาโดยไม่ทันระวัง ส่วนตนก็ต้องนอนกองอยู่บนพื้นอีกเป็นครึ่งๆ วัน แต่อันที่จริงก็ยังเป็นเรื่องดีนะ จะไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไร?
ป๋ายโส่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แล้วก็พลันแยกเขี้ยว มารดามันเถอะ เหล้านี่ดื่มยากจริงๆ คนแซ่หลิวไม่ชอบดื่มก็นับว่าถูกต้องแล้ว
หลิ่วจื้อชิงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “จิตใจของลูกศิษย์เจ้าคนนี้ไม่เลวเลย”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว”
หลิ่วจื้อชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “เรื่องที่สองทวีปจะรวมเป็นหนึ่ง?”
ฉีจิ่งหลงสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ง่ายดาย ตอนนั้นมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามตนเผยกายพร้อมกันกะทันหัน แบ่งออกเป็นเหย้าเจี่ย หย่างจื่อ เฟยเฟย ฮว่อหลงเจินเหรินกับขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งของหลุมน้ำลู่ แล้วยังมีผู้อาวุโสป๋ายฉางต่างก็ต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มกำลัง ใช้คำว่าพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอย่างพวกเรา อันที่จริงนั้นยากมากที่จะไปตรึงกำลังกับการเข่นฆ่าประเภทนี้ได้ พี่หลิ่ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องวงในบางอย่างที่ตอนนี้ไม่สะดวกให้เปิดเผย โปรดอภัยให้ด้วย”
ตอนนั้นไม่รู้ว่าหร่วนซิ่วแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนร่ายวิชาอภินิหารอะไร ถึงขนาดสามารถทำให้รัศมีร้อยลี้รอบด้านมืดมิดไร้แสงสว่างได้ในชั่วพริบตา ก่อนจะรวมกันเป็นแสงสว่างจุดหนึ่งที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม สุดท้ายถึงขั้นกักตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่พยายามจะลอบฆ่านางได้สำเร็จ
จากนั้นก็ถูกหลี่หลิ่วแห่งยอดเขาสิงโตทิ้งจุดแสงนั้นลงไปใต้มหาสมุทร
สุดท้ายถูกสตรีสวมชุดชาววังขอบเขตบินทะยานของหลุมน้ำลู่กลืนลงท้อง เซียนเหรินคนหนึ่งอยู่ดีๆ ก็ตายไปทั้งอย่างนั้น
หลิ่วจื้อชิงผงกศีรษะรับ “เข้าใจ น่าเสียดายที่ขอบเขตของข้าต่ำเกินไป ต่อให้รู้ข่าวนี้ล่วงหน้าก็ยังไม่มีหน้าไปช่วยเหลือ”
ฉีจิ่งหลงพลันคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกตนต่างถิ่นของทวีปเดียวที่จะถูกผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นมองสูงกว่าแห่งอื่น”
ฉีจิ่งหลงยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ก็คือพวกเรา!”
น้อยครั้งนักที่ป๋ายโส่วจะได้เห็นอาจารย์เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมเช่นนี้
อันที่จริงคนแซ่หลิวเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งเสมอมา ขึ้นชื่อว่าอ่อนนอกแข็งใน ตอนที่พูดคุยง่ายก็พูดคุยด้วยง่ายจริงๆ บางครั้งที่คุยด้วยยาก ก็คุยด้วยยากมากๆ
หลิ่วจื้อชิงสีหน้าสดใสแช่มชื่น ไม่พูดไม่จาก็แหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าทันที
หลังจากดื่มอย่างเต็มคราบไปแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็มองฉีจิ่งหลง เอาเป็นว่าข้าไม่ยุให้ดื่มก็แล้วกัน
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้เสียหน่อย”
หลิ่วจื้อชิงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
ฉีจิ่งหลงถึงได้ยกเหล้าดื่มเลียนแบบเขา
ป๋ายโส่วจิบคำเล็กๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงความประทับใจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อแจกันสมบัติทวีปก็ไม่แย่ สำหรับทวีปอื่น ผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นแค่ยอมรับเซียนกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่แค่บางคนหรือไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ได้ยอมรับทั้งทวีป แต่แจกันสมบัติทวีปกลับเป็นข้อยกเว้น”
ฉีจิ่งหลงนวดคลึงขมับ
บอกตามตรง พูดประโยคนี้ในเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยจริงๆ ก่อนจะดื่มเหล้ากับหลังดื่มเหล้าไปแล้ว เชิญเจ้าพูดคุยได้ตามสบาย
แล้วก็จริงดังคาด หลิ่วจื้อชิงเริ่มอีกแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้หลิ่วจื้อชิงเพียงแค่ดื่มอึกเดียว ไม่ได้ดื่มมากนัก
กลับกลายเป็นฉีจิ่งหลงที่ดื่มเยอะกว่าหลิ่วจื้อชิงเสียอีก
หลิ่วจื้อชิงพลันรู้สึกว่าเฉินผิงอันและเผยเฉียนอาจจะไม่ได้โกหก ขอแค่ลงได้ดื่มแล้ว ฉีจิ่งหลงก็คือนักดื่มคอแข็งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง?
ฉีจิ่งหลงเอ่ยอย่างระอาใจ “ข้าดื่มไม่เก่งจริงๆ วันนี้เป็นข้อยกเว้น”
ป๋ายโส่วหัวเราะหึหึเลียนแบบเผยเฉียน
หลิ่วจื้อชิงเองก็เช่นกัน
ในใจฉีจิ่งหลงให้อัดอั้นนัก จึงกระดกเหล้าดื่มอีกอึกใหญ่
ไม่ใช่อัดอั้นเพราะคิดถึงเฉินผิงอัน แต่คิดถึงว่าสหายที่ชอบดื่มเหล้าอย่างจริงจังผู้นั้นอาจจะไม่ได้ดื่มเหล้ามานานมากๆ แล้ว
……
อุตรกุรุทวีป ลี่ไฉ่กลับมาถึงทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็เริ่มปิดด่านรักษาบาดแผล
หากใช้คำกล่าวของเซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็คือ ต่อสู้แล้วไม่ได้รับบาดเจ็บ จะต่อสู้กับมารดามันหรือ
หลังออกจากด่านก็มาพูดคุยกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่รับมาใหม่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลี่ไฉ่ยืนพิงราวระเบียง ดื่มเหล้าพลางมองน้ำในทะเลสาบ
เฉินหลี่อดไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ทำไมผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปถึงไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย?”
อันที่จริงความนัยในคำพูดของเด็กหนุ่มก็คือ อยากบอกว่าอาจารย์เหตุใดผู้ฝึกตนของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงท่านถึงไม่ใช้สมองกันบ้างเลย มีแค่ศิษย์พี่หรงช่างที่ยังนับว่าดีหน่อย พอจะคุยกับตนรู้เรื่องอยู่บ้าง
ความประทับใจแรกและเป็นความประทับใจที่ใหญ่ที่สุดที่เด็กหนุ่มมีต่อตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลก็คือ ใต้เท้าอิ่นกวานที่เขาเคารพนับถือและเลื่อมใสมากที่สุด
และหลังจากที่เฉินหลี่ได้ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าอย่างแท้จริงก็ได้รับฉายาว่าอิ่นกวานน้อยมาครอง นี่เป็นทั้งคนอื่นที่มอบให้ แล้วก็เป็นตัวเขาเองที่ช่วงชิงมาได้
เกาโย่วชิงกลับรู้สึกว่าพวกศิษย์พี่ชายหญิงร่วมสำนักของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง และยังมีผู้ฝึกตนที่เรียกตนว่าอาจารย์อา บรรพจารย์อาอย่างเคารพนอบน้อมเหล่านั้น ล้วนเป็นคนดีมาก สุภาพ มีอัธยาศัยไมตรี ทั้งๆ ที่เดาสถานะของพวกเขาออกแล้ว แต่ก็ไม่เคยพูดจาแปลกแปร่งระคายหู นางเคยได้ยินคำพูดพิลึกพิลั่นจากใต้เท้าอิ่นกวานคนนั้นมาก่อน หากคิดจะรวบรวมคงได้หลายกระบุงโกย เทียบกับกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่แล้วยังร้ายกาจยิ่งกว่า เลือกมาง่ายๆ สักประโยคก็เท่ากับกระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งมาแล้ว สำหรับเรื่องนี้เกาเหย่โหวพี่ชายแท้ๆ ของนางพูดจาอย่างน่าเชื่อถือ ส่วนผังหยวนจี้กลับมักจะแค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เพียงแต่พอมาอยู่กับเฉินหลี่ เกาโย่วชิงกลับไม่ค่อยกล้าพูด อันที่จริงนางเชื่อใจเฉินหลี่มาก รู้สึกว่าเฉินหลี่ฉลาดกว่าตนเยอะ ไม่ว่าเรียนรู้อะไรก็ล้วนรวดเร็ว ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ภาษากลางของอุตรกุรุทวีปเลย แม้กระทั่งภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าหลีก็ยังพูดได้คล่องปากมากแล้ว ส่วนเรื่องของการฝึกกระบี่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดมาก ราวกับว่าเฉินหลี่ยังอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เกาโย่วชิงรู้สึกไปเอง แต่อาจารย์เป็นคนพูดเอง อีกทั้งอาจารย์ก็เป็นคนที่ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย คำพูดคำจาก็ตรงไปตรงมา บอกว่าสตรีแห่งธวัลทวีปที่ออกกระบี่อย่างว่องไวเช่นเซี่ยซงฮวา และยังมีตาเฒ่าผูของหลิวเสียทวีปที่ค่อนข้างจะเป็นคนแข็งกระด้างนั้น พวกเขาต่างก็พาคนออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเจ้าจงตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเหนือกว่าเด็กๆ กลุ่มนั้นหนึ่งถึงสองขอบเขต ช่วงชิงหน้าตามาให้อาจารย์บ้าง! วันหน้าได้กลับไปพบเจอกับพวกเขาใหม่อีกครั้ง อาจารย์ถึงจะสามารถตะเบ็งเสียงพูดดังๆ ได้!
เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปก็พาเด็กสองคนไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเดียวกัน คนหนึ่งชื่อเฉามู่ อีกคนหนึ่งชื่อจวี่สิง
พอลี่ไฉ่ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็แกว่งกาเหล้า ยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีไหวพริบ แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันผู้นั้นมีไหวพริบมากเกินไป”
พูดมาถึงตรงนี้ ลี่ไฉ่ก็โมโหจนขว้างกาเหล้าที่ว่างเปล่าลงทะเลสาบ “มารดามันเถอะ ขนาดลูกศิษย์ที่เหล่าเหนียงรักที่สุด ศิษย์พี่หญิงของพวกเจ้าก็ยังถูกเขาหลอกล่อเสียได้! ที่น่าโมโหที่สุดคืออะไร พวกเจ้ารู้ไหม?”
ลี่ไฉ่นั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือไปกดศีรษะของเกาโย่วชิงที่อยู่ด้านข้างแล้วผลักออกเบาๆ “ไปๆๆ อย่ามาชอบข้า ขอร้องเจ้าว่าอย่าชอบข้า เฉินผิงอันก็เป็นแบบนี้แหละ จากนั้นศิษย์พี่หญิงคนโง่ของพวกเจ้ากลับยิ่งชอบเขามากกว่าเดิม”
เกาโย่วชิงหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้ชอบใต้เท้าอิ่นกวานสักหน่อย”
เฉินหลี่หัวเราะหึหึ “ใช่ๆๆ เจ้าชอบแค่ผังหยวนจี้คนเดียว”
เฉินหลี่ทำท่าถือป้ายไม้อยู่ในมือ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ผัง เกา หยวนจี้ โย่วชิง ฉีชิงจากลา กลับมาพบกันใหม่ริมน้ำ”
ลี่ไฉ่ดวงตาเป็นประกาย “โย่วชิง ใช้ได้เลยนี่นา ที่นี่ของพวกเราก็คือทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ทั้งยังมีคำกล่าวที่ว่าจอกแหนล่องลอยกลับมหาสมุทร อยู่แห่งหนใดย่อมมีทางกลับมาพานพบ อุตรกุรุทวีปก็มีลำน้ำจี้ตู๋ น้ำทะลสาบยังใสกระจ่าง ฉีคู่กับคำว่าจี้ ชิงคู่กับคำว่าน้ำใส นังหนูตัวดี ความคิดวกวนร้อยพันตลบ ไม่เลวๆ เหมือนอาจารย์ของเจ้า!”
เกาโย่วชิงหน้าแดงแปร๊ดทันใด กระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์เบาๆ
จากนั้นลี่ไฉ่ก็กระแอมหนึ่งที หันไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม “เจ้าตะพาบน้อย อย่าได้เอาคนอื่นมาล้อเห็นเป็นเรื่องสนุก! อยากโดนซ้อมหรือไง?”
เฉินหลี่ทอดถอนใจหนึ่งที “ก็ได้ๆ อาจารย์พูดอะไรล้วนถูกต้อง”
เมื่อครู่นี้อาจารย์ก็ชอบใจมากไม่ใช่หรือ ท่าทางสนุกยิ่งกว่าลูกศิษย์เสียอีก
ลี่ไฉ่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินหลี่ วันหน้าภารกิจสำคัญในการหลอกล่อเทพธิดาของบ้านอื่นมายังทะเลสาบกระบี่ฝูผิงพวกเรา อาจารย์ก็มอบให้เจ้าแล้ว จงแบกรับภาระนี้ไว้ให้ดีๆ ล่ะ!”
เฉินหลี่รีบยืดตัวเอ่ยเสียงดังกังวานทันที “น้อมรับคำสั่งอาจารย์! จะปฏิบัติตามไม่มีเกี่ยงงอน!”
เกาโย่วชิงพลันเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราไม่เคยแตะต้องหมู่มวลบุปผาเลยนะ”
เจ้าเฉินหลี่เป็นอิ่นกวานน้อยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้จะเรียนรู้จากเขา เอาอย่างเขาได้หรือไม่เล่า?
เฉินหลี่คิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เด็กหนุ่มจึงรีบนั่งลงทันที สีหน้าจริงจังเกินจะเปรียบ พูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า “อาจารย์ ข้าทำเรื่องประเภทนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
ลี่ไฉ่บิดแก้มเด็กสาวเบาๆ พูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “เจ้าเด็กโง่”
เกาโย่วชิงยิ้มอย่างเขินอาย
ลี่ไฉ่อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว จึงก้าวยาวๆ จากไป
พออาจารย์จากไปแล้ว
เฉินหลี่ก็พลันเอ่ยว่า “ยากมากๆ แล้วล่ะที่อาจารย์จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้”
เด็กหนุ่มรู้สึกเสียใจ
ต่อให้จะเห็นความเป็นความตายมามากแล้ว แต่ก็ยังคงเสียใจ ก็เหมือนกับแขกคนหนึ่งที่มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ มาแล้วก็ไม่ยอมจากไป ต่อให้ไม่หาเรื่องชวนทะเลาะ แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกไม่ดีอยู่นั่นเอง
เกาโย่วชิงดวงตาแดงก่ำทันใด ก้มหน้าลงอืมรับเบาๆ หนึ่งที สองมือกำเป็นหมัด
เฉินหลี่พูดเสียงทุ้มหนักว่า “เพราะฉะนั้นพวกเราสองคนจะต้องขยันฝึกกระบี่ยิ่งกว่าผู้ฝึกตนของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงทุกคน แล้วก็ยิ่งต้องทนรับความลำบากให้ได้มากกว่า จะต้องมีเวทกระบี่สูงกว่า ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วยิ่งกว่า! เกาโย่วชิง นอกจากเจ้าจะถูกคนนอกรังแกแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าล้วนไม่บังคับเจ้า แต่หากวันหน้าเจ้ากล้าเกียจคร้านไม่อยากฝึกกระบี่ ข้าจะด่าเจ้าแน่นอน ต่อให้อาจารย์ของพวกเราจะปกป้องเจ้าแค่ไหน ข้าก็จะด่า”
เกาโย่วชิงเงยหน้าขึ้น พยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินหลี่ทอดน้ำเสียงให้อ่อนลง พูดกับนางเบาๆ ว่า “รอให้สร้างโอสถได้เมื่อไหร่ พวกเราไปดูบ้านเกิดของใต้เท้าอิ่นกวานด้วยกัน”