กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 701.5 เหล้าใหม่รอคนเก่า
อุตรกุรุทวีป
ตำหนักหยางฉางหุบเขาผีร้าย ภูตหนูที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูตนหนึ่งยังคงฉวยโอกาสตอนที่บรรพบุรุษบ้านตนไม่อยู่แอบอ่านหนังสือ
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากตำหนักขวานผียังคงชอบออกท่องยุทธภพเพียงลำพังอยู่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่สร้างวีรกรรมของจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างระมัดระวังรอบคอบแล้ว อย่างมากเขาก็เอ่ยแค่คำเดียว นั่นคือบอกกับคนอื่นว่าตัวเองชื่อ ‘ตู้คนดี’ ส่วนยันต์สองแผ่นที่เซียนกระบี่เฉินเคยมอบไว้ให้เขาในอดีตก็ถูกเขาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเสมอมา ตู้อวี๋ถนอมพวกมันยิ่งกว่าเสื้อเกราะจินอูที่เจียงซ่างเจินมอบให้เสียอีก
คู่พี่สาวน้องสาวที่เคยกำจัดปีศาจปราบมารในวัดจินตั๋วจนขอบเขตเกือบจะถดถอย พวกนางยังคงมีชีวิตพึ่งพากันและกัน ลงจากเขาออกหาประสบการณ์ไปทั่วทิศ พอถึงฤดูหนาว น้องสาวยังคงสองแก้มแดงก่ำ น่ามองยิ่งกว่าทาผงชาดประทินโฉมเสียอีก
เด็กชายชุดเขียวสะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าคนหนึ่งได้เจอกับเพื่อนใหม่อีกคน คือสารถีหนุ่มคนหนึ่ง เฉินหลิงจวินถูกชะตากับเขาอย่างมาก และเฉินหลิงจวินก็ยังคงเชื่อในคำโบร่ำโบราณที่บอกว่า ไม่มีสหายพันลี้ ไหนเลยจะมีบารมีหมื่นลี้!
ก่อนจะเดินลงน้ำ เฉินหลิงจวินเอ่ยลากับเขา บอกแค่ว่าตนต้องไปทำเรื่องในยุทธภพที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้า ขอแค่ทำสำเร็จ วันหน้าพบเจอใครก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวอีกแล้ว
สหายคนนั้นจึงอวยพรขอให้เขาราบรื่นโชคดี ตอนนั้นเฉินหลิงจวินยืนอยู่บนหีบไม้ไผ่ ตบไหล่สหายคนดีอย่างแรง บอกว่าพี่น้องคนดี ขอให้สมพรปากเจ้า!
แจกันสมบัติทวีป
หมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ย ซ่งอวี่เซาทำตามกฎเก่าแก่ในยุทธภพเชื้อเชิญสหายรักมาร่วมงานเลี้ยงล้างมืออ่างทองคำ ถือว่าได้ออกจากยุทธภพไปใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบอย่างสมบูรณ์แล้ว
ไม่เหมือนกับคลื่นมรสุมในปีนั้นที่ฝักกระบี่ไม้ไผ่ถูกแย่งชิง จิตใจห่อเหี่ยวยากจะปลุกเร้าขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้ผู้เฒ่ายอมรับจริงๆ แล้วว่าตัวเองแก่แล้ว แล้วก็วางใจเด็กรุ่นหลังในบ้านแล้ว อีกทั้งยังไม่มีความผิดหวังแม้แต่น้อย
เวลาปกติจะคอยสอนวิชากระบี่ให้กับพวกเด็กๆ ในหมู่บ้าน บางครั้งก็ไปกินหม้อไฟ จิบเหล้าคำเล็กๆ ไปนั่งที่ศาลาซานสุ่ย อ่านหนังสือยามว่าง วันเวลาที่สงบสุขผ่านไปวันแล้ววันเล่า
เด็กสาวสวมรองเท้าปักลายหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยในอดีตหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เห็นไหม น่าสนใจๆ เฉินผิงอัน เฉินผิงอัน (สองคำที่เขียนต่าง คำที่สองคือชื่อจริงๆ ของเฉินผิงอัน) เขารักถนอมสาวงามคนรู้ใจและผีสาวโฉมสะคราญอย่างพวกเราที่สุดเลยล่ะ”
ผีงามตนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ชำเลืองตามองตำแหน่งหนึ่งที่อยู่ข้างกองไฟแล้วก็ยังรู้สึกหวาดผวาไม่หาย เพราะว่าปีนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ที่นั่น แล้วอยู่ดีๆ ก็สังหาร…ผีอย่างโหดร้าย
ในหนังสือพูดถึงเซียนกระบี่หนุ่มอะไรนั่น นางล้วนเชื่อทั้งหมด มีเพียงเรื่องนี้ที่ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ สรุปก็คือนางเชื่อว่าตัวเองถูกซ้อมจนตายแล้ว อีกฝ่ายก็จะยังใช้มือหนึ่งกระชากหัว อีกมือหนึ่งออกหมัดไม่หยุดเสียมากกว่า
เรือนผีที่ในอดีตบรรยากาศอึมครึมวังเวง ทุกวันนี้เป็นจวนที่ภูเขาเขียวสายน้ำใส
สองสามีภรรยาหมักเหล้าไว้ปีแล้วปีเล่า ยิ่งนานสุราก็ยิ่งมีมาก น่าเสียดายที่คนที่จะมาดื่มเหล้ากลับไม่เคยมาหา
……
บนถนนในมุมกำแพงเมืองนอกเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ชุยตงซานที่กำลังขี่หลังน้องเกาเดินเล่นไปทั่วรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะได้เจอกับเจ้าตะพาบเฒ่าที่รีบรุดเดินทางกลับมาจากอุตรกุรุทวีป
เดิมนึกว่าเจ้าตะพาบเฒ่าจะอยู่ต่อที่เมืองหลวงต้าหลี หรือไม่ก็อยู่ที่ทิศเหนือสุดเพื่อคอยจับตามองเส้นทางที่บุกเบิกใหม่ไปเสียเลย
ชุยตงซานหัวเราะร่าเอ่ยว่า “โอ้โห ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนะเนี่ย”
ถ้าอย่างนั้นข้าก็อารมณ์ดีมากแล้ว
ถึงอย่างไรทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ในแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปก็ล้วนมีอยู่ในรายงาน ปัญหาไม่ใหญ่มากนัก ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ทั้งสิ้น
ชุยฉานเงียบงันไม่ตอบคำ
ชุยตงซานไม่คิดจะปล่อยเจ้าตะพาบเฒ่าไปทั้งอย่างนี้ “นี่ก็ได้เลื่อนเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแล้วไม่ใช่หรือ ยังไม่ดีใจอีกหรือไร? มองไปทั่วใต้หล้าไพศาล เจ้าขุนเขาก็มีแค่เจ็ดสิบเอ็ดท่านเอง หาได้ยากจะตายไป!”
เหตุใดเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นี้ถึงได้ถูกผีบังตาบังใจเป็นฝ่ายไปขอตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษามาจากศาลบุ๋น ชุยตงซานก็หาเหตุผลที่เข้าท่ามาอธิบายไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าเจ้าตะพาบเฒ่ากำลังป้ายโคลนเละๆ ลงบนหน้าเหี่ยวๆ ของตัวเขาเอง สรุปแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่?
ส่วนใบถงทวีป จะเป็นหรือตายก็ตามใจ นั่นเป็นจุดจบที่พวกเขารนหาที่กันเอง ชุยตงซานเคยบอกไว้แต่แรกแล้วว่าพอได้เปรียบแล้วก็จงแอบไปดีใจคนเดียว อย่าได้เอะอะมะเทิ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องเอากลับมาคืน
ทุกวันนี้ซ่งจี๋ซินย้ายจากจวนอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่ามายังราชวงศ์จูอิ๋งเก่า มีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบงานการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สอง แต่นี่เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น ช่วงแรกที่เมืองหลวงแห่งที่สองถูกสร้างขึ้น อ๋องเจ้าเมือง ‘ซ่งมู่’ ก็แค่มาปรากฏตัวเท่านั้น ทุกวันนี้ก็แค่มาปิดงานช่วงท้าย คนที่ทำงานอย่างแท้จริงคือจวี้จื่อแห่งสำนักโม่ รวมไปถึงหลิ่วชิงเฟิงที่เลื่อนขั้นจากผู้ตรวจการงานลำน้ำมาเป็นรองเจ้ากรมโยธาธิการแห่งต้าหลี
ชุยฉานกล่าว “อีกเดี๋ยวเกาเฉิงจะลงใต้ไปยังแจกันสมบัติทวีปแล้ว”
เกาเฉิงไม่มีทางเลือก สำนักพีหมาหนึ่งแห่งอาจทำอะไรหุบเขาผีร้ายไม่ได้ แม้เขาชุยฉานจะเป็นคนนอก แต่เกาเฉิงกลับรู้ถึงความหนักเบาและผลดีผลเสียเป็นอย่างดี
ชุยตงซานเอ่ย “ภิกษุเฒ่าก็เหมือนกัน”
จื้อกุยได้เดินลงน้ำเลียบลำน้ำที่ขุดเจาะเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ อย่างแน่นอน หากเดินลงน้ำสำเร็จ นางก็จะเลื่อนจากขอบเขตหยกดิบไปยังขอบเขตเซียนเหรินได้ทันที เพราะถึงอย่างไรมังกรที่แท้จริงที่บนร่างแบกรับโชคชะตาเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถมองเป็นบินทะยานเกินครึ่งได้ ให้นางเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็มากเหลือแหล่
ป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้นได้ถูกย้ายมายังเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่อยู่ด้านหลังชุยตงซานตอนนี้อย่างราบรื่นแล้ว สวี่รั่วจอมยุทธสำนักโม่เฝ้าพิทักษ์อยู่ภายใน ซานจวินห้าขุนเขาล้วนสามารถถือกระบี่สังหารปีศาจ
แคว้นเล็กใต้อาณัติทั้งหมดที่อยู่เลียบมหาสมุทร นับตั้งแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาไปจนถึงทหารล่างภูเขาล้วนถูกรวบเข้ามารวมกับกองทัพต้าหลีหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ขุนนางบุ๋นบู๊ที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่ต่างๆ ของต้าหลีก็ยิ่งขับไล่ชาวบ้านออกไปจากพื้นที่แล้วสร้างแนวเส้นป้องกันเลียบมหาสมุทรขึ้นมาเส้นแล้วเส้นเล่านานแล้ว
แคว้นใต้อาณัติทั้งหมดในหนึ่งทวีปล้วนต้องส่งกำลังทหารครึ่งหนึ่งมาเข้าร่วมค่ายทัพในจุดต่างๆ ที่ต้าหลีกำหนดไว้ ผู้ฝึกตนส่วนที่เหลือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เดิมทีควรจะมุ่งหน้าไปที่มหาสมุทรทั้งหมด แต่สามารถขอให้กษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งแทนได้ อีกทั้งยังไม่ใช่เงินก้อนเล็กอะไรอย่างแน่นอน หากพบเจอว่ามีตกหล่น ต้าหลีจะซักไซ้เอาความผิดจากกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติโดยตรง
ออกคนออกกำลัง แล้วยังต้องออกเงิน ต่อให้ไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ยังต้องออกใจ ล้วนมีเรื่องที่สามารถทำได้ คำว่าออกใจนั้นก็หมายถึงปัญญาชนที่ในอนาคตจะได้ทำงานในราชสำนักของแคว้นเล็กใต้อาณัติมากมายจะต้องใช้พู่กันของตนเขียนบทความคุณธรรมที่ทั้งไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ทั้งช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองและคนอื่นให้กับพวกคนที่รบตายอยู่ในแนวหน้าอย่างกล้าหาญ
นอกจากนี้ชุยฉานยังขอยืมตัวอักษร ‘น้ำ’ มาจากอริยะลัทธิขงจื๊อของแผ่นดินกลางท่านหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความพยศยากจะกำราบ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ต่อให้อีกฝ่ายจะมีนิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์แค่ไหน แต่ชั่วชีวิตนี้เขาเคารพแค่คนคนเดียว นั่นก็คือชุยฉาน แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้เลื่อมใสในพฤติกรรมหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ทำตัวนอกรีตนอกรอยของชุยฉาน แต่ชื่นชมในวิชาความรู้ของชุยฉานจากใจจริง
อย่าเห็นว่าชื่อเสียงของชุยฉานในสายบุ๋นใหญ่ทั้งหลายฉาวโฉ่จนเป็นที่โจษจัน แต่แท้จริงแล้วคนที่เลื่อมใสชุยฉานกลับไม่น้อยเลยจริงๆ
เพียงแค่ดูจาก ‘ตำราหมากล้อมเมฆหลากสี’ รวมไปถึงเทียบตัวอักษรที่เขียนขึ้นง่ายๆ ซึ่งถูกเทพเซียนบนภูเขาบูชาดั่งสมบัติล้ำค่าก็รู้แล้วว่าชุยฉานมีความรู้ความสามารถยิ่งใหญ่มากแค่ไหน
ชุยฉานพลันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “อาจารย์คนนั้นของเจ้าคล้ายจะไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง ยังคงไม่ฉลาดมากพอ
สายบุ๋นก็ดี พรรคหรือสำนักต่างๆ ก็ช่าง ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขากับลูกศิษย์เล็กปิดประตู สองคนนี้คือคนที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานรีบหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “จะแก้ไขอย่างไร?”
ไม่ถามต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย ต้องการแค่ผลลัพธ์อย่างเดียว
ทฤษฎีกิจการงานและคุณความชอบมีเส้นสายอันเป็นรากฐานอยู่สามเส้น เส้นหนึ่งพยายามที่จะลดทอนความขัดแย้งในตัวเอง รวมถึงสร้างความขัดแย้งบนพื้นดินเพิ่มเติมจากรากฐาน ไม่ได้พัวพันยึดติดอยู่กับปัญหาใหญ่อย่างสันดานมนุษย์ดีหรือร้ายมากนัก เหลือพื้นที่ให้วิญญูชนผู้มีคุณธรรมและนักบรรยายทั้งหลายค่อยๆ อธิบาย เคยเล่าเรียนหนังสือเคยอ่านตำรามาหรือไม่ ไม่ได้กลายเป็นธรณีประตูของความรู้อีกแล้ว
อีกเส้นหนึ่งคือเมื่อปัญหาปรากฏขึ้น วิธีการแก้ไขจำเป็นต้องมีหลักฐานอ้างอิงน่าเชื่อถือ ลงมือปฏิบัติแล้วได้ผลจริง เห็นผลทันตา
เส้นสุดท้ายก็คือสามารถเอาวิชาความรู้มาแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์ของพฤติกรรมตนให้สมบูรณ์แบบได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ถูกขนบธรรมเนียมประเพณี หรือนิสัยใจคอของคนบนโลกปรับเปลี่ยนจนกระทั่งสุดท้ายค่อยๆ ถูกทอดทิ้งไป
กฎใหญ่ของทฤษฎีกิจการงานและคุณความชอบก็เหมือนแม่น้ำลำคลองที่ท้องน้ำมั่นคงแต่ละเส้นที่สามารถทำให้คนรุ่นหลังมาปลูกที่พักติดริมน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต่อให้จะถูกกฎเกณฑ์เล็กๆ บางอย่างที่อาศัยความชอบของแต่ละคนตัดออกไป แต่ก็ยังเป็นเหมือนธารน้ำ เหมือนบ่อน้ำที่ให้คนมาตักน้ำเอาไปดื่มกินอยู่เคียงข้างกับกลิ่นควันไฟหุงหาอาหารในหมู่ชาวบ้านได้อย่างยาวนาน
ชุยฉานส่ายหน้า “ไม่มีวิธีแก้ไข ได้แต่ช่วยตัวเองเท่านั้น”
ราชครูต้าหลีท่านนี้เงียบไปพักใหญ่ “คิดได้แล้ว แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถหลุดพ้นจากทางตันนั้นมาได้ทันที แต่กลับสามารถช่วยช่วงชิงเวลามาให้เขาได้มากขึ้น”
สีหน้าชุยตงซานเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “คือบันทึกขุนเขาสายน้ำที่แต่งมั่วซั่วเล่มนั้นน่ะหรือ?”
ในขณะที่ถามหยั่งเชิง ชุยตงซานก็เริ่มใช้ความคิดอย่างว่องไว พริบตานั้นก็เท่ากับว่าได้เปิดอ่านหนังสือทั้งเล่มหลายรอบโดยไม่ข้ามไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว
สุดท้ายชุยตงซานตัดสามทิศทางทิ้งไป เลือกแค่ทางเลือกเดียว
บันทึกขุนเขาสายน้ำมีตัวอักษรสามแสนคำ รวมกันแล้วยี่สิบสี่บท บทแรกที่เป็นบทนำ ยามที่พูดถึงเด็กหนุ่ม ‘เฉินผิงอัน’ ขึ้นเขาไปตัดฟืนที่บ้านเกิด เคยมีการบรรยายถึงลักษณะภูเขาว่า ‘หน้าผาสูงชันอันตราย’ (เชี่ยวปี้ฉานเหยียน)
บทที่สี่ มีคำว่า ‘นกเหลืองส่งเสียงร้อง แก้มนวลแดงก่ำ’ (เจียนกวนหวงเหนี่ยว ฉานจั๋วตันไซ) บทที่หกเขียนว่า ‘น้ำทะเลสาบไหลระริก มังกรปลาตื่นตกใจ’ (หูสุ่ยฉานจั๋ว อวี๋หลงจวี้จิง)
ส่วนที่เหลือบทที่สิบเอ็ดก็มีคำว่า ‘หน้าผายักษ์ตระหง่านง้ำ’ (จวี้ปี้ชุยเวย)
ส่วนคำกล่าวว่า ‘นกเหลืองส่งเสียงร้อง’ นี้ก็ดึงเอามาจากกลอนบทหนึ่ง ในบทเดียวของกลอนนั้นก็มีคำกล่าวเล็กๆ ที่บอกว่า ‘บันทึกอักษร’ (เต๋อไจจื่อ)
ดังนั้นในหนังสือเล่มนั้นคำว่าฉาน (巉 หน้าผา) ปรากฏแค่ครั้งเดียว แต่คำว่าฉาน (瀺 เสียงน้ำไหล) กลับปรากฏถึงสองครั้ง อีกทั้งยังซ้ำคำเดิมว่าฉานจั๋ว (เสียงน้ำไหล)
เดิมทีชุยฉานเคยคิดจะเอาคำว่า ‘ภูเขาผาสูงชันสายน้ำไหลริน’ (ซานสุ่ยฉานฉาน) สอดแทรกไว้ในบทใดบทหนึ่ง เพียงแต่ไม่นานก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะนั่นจะดูแคลนปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตที่เรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือเฒ่าแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้น
หนึ่ง สี่ หก ก็คือสิบเอ็ด
และคำว่าชุยที่มีเพียงคำเดียวในหนังสือก็อยู่ในบทที่สิบเอ็ด
แค่จุดชี้บอกไม่กี่ข้อนี้ก็มากพอแล้ว
หากมากกว่านี้ แม้กระทั่ง ‘หนึ่งในหมื่น’ ที่จะส่งหนังสือเล่มนั้นไปถึงมือของเฉินผิงอันก็จะหายไปด้วย
ชุยตงซานใช้สองมือตบหน้าตัวเองแรงๆ เสียงดังสนั่น ก่อนยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย จะมีสักกี่คนที่ฉลาดถึงขั้นนี้? ตอนที่เจ้าและข้าอายุเท่านั้นจะคิดถึงได้หรือ?”
ชุยตงซานเริ่มยกมือสองไปเกาหัวแทน ปากก็พูดบ่นไม่หยุด “ไม่ว่าใครก็ตามที่สมองไม่มีปัญหาล้วนไม่มีทางคิดถึงเรื่องนี้ได้หรอก! ก็เหมือนอย่างข้า หากไม่เป็นเพราะเจ้าพูดขึ้นมา ข้าจะคิดได้หรือ? ต่อให้เจ้าตีข้าให้ตายข้าก็ไม่มีทางคิดได้!”
ชุยฉานกล่าว “เมื่อฉลาดได้ถึงระดับหนึ่งแล้วก็ต้องลองเดิมพันกับชะตาดู เขาไม่เหมือนกับเจ้า เจ้าอ่านแล้วก็แล้วกันไป แต่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ด้วยนิสัยและสภาพการณ์ของเขาจะต้องเอากลับมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาแน่นอน”
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากหลังเด็กชาย นั่งยองบนพื้น ยกสองมือกุมหัว “เจ้าก็พูดง่ายน่ะสิ!”
ชุยฉานยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยกับเด็กชายว่า “เจ้าเข้าเมืองไปก่อน”
เด็กชายรีบประสานมือคารวะแล้วชักเท้าเผ่นหนีทันที
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างใคร่รู้ “หรือว่าหนังสือเล่มนั้นเจ้าเป็นคนเขียนเองกับมือ?”
ชุยฉานส่ายหน้า “แค่บทนำไม่กี่พันตัวอักษรเท่านั้น ด้านหลังล้วนให้คนอื่นมาเขียนแทน แต่ตัวอักษรฉานสองคำนั้นจะเอามาใช้อย่างไร ควรใช้ที่ไหนกันแน่ ข้ากลับตัดสินใจได้นานแล้ว”
ชุยตงซานพึมพำ “ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”
เป็นคำถาม แต่ชุยตงซานกลับไม่ได้ใช้น้ำเสียงของการตั้งคำถาม
ชุยฉานเอ่ยอย่างเฉยเมย “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือข้าสามารถเอาตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากำเล่นอยู่ในฝ่ามือ นั่นจะน่าสนใจมาก ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ข้าเองก็ไม่มีทางปล่อยให้บุคคลที่อยู่เบื้องหลังเฉินผิงอันมาทำให้สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”
ชุยตงซานพลันหัวเราะ “ปากแข็งแต่ใจอ่อนอย่างนั้นหรือ? แบบนี้ไม่เหมือนชุยฉาน ไม่เหมือนข้าอย่างมากเลยนะ”
หลังจากชุยฉานเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็ได้รับตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตมาตัวหนึ่ง ฉาน (瀺)
มิน่าเล่าชุยฉานถึงต้องการพัฒนาไปอีกขั้น กลายมาเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อที่ศาลบุ๋นให้การยอมรับ เพราะสามารถยืมใช้โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลได้
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวนั้น ทุกวันนี้ยังคงเป็นของใต้หล้าไพศาล
ดังนั้นขอแค่อาจารย์หลอมสองคำว่าชุยฉานมาจากบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น จากนั้นก็ใช้ความคิดสักเล็กน้อย บางทีบันทึกขุนเขาสายน้ำก็อาจกลายเป็นจดหมายลับฉบับหนึ่ง อาจกลายมาเป็นประตูใหญ่หนึ่งบาน หรืออาจกลายมาเป็นวิธีในการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน สรุปก็คือมีความเป็นไปได้ร้อยพันรูปแบบ
แต่ชุยตงซานกลับไม่ได้เสาะหาคำตอบ
ชุยฉานเอ่ย “เขียนตำราเล่มนี้ทั้งให้เขาได้ช่วยตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่แจกันสมบัติทวีปติดค้างเขา แล้วก็เป็นการเตือนเขาด้วยว่า สถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนั้น ไม่ใช่แค่ยอมรับว่าตัวเองมีใจเห็นแก่ตัวก็สิ้นสุดลงแล้ว หลักการเหตุผลของฉีจิ้งชุนอาจทำให้จิตใจเขาสงบ หาวิธีการที่จะอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ให้ดีได้ แต่ที่ข้าก็มีหลักการเหตุผลบางอย่างที่จะทำให้เขาต้องคอยกลัดกลุ้ม รู้สึกย่ำแย่อยู่ทุกเวลานาทีเช่นกัน”
“ตอนนี้ข้าไม่ต้องการฟังเรื่องพวกนี้ เจ้าอย่ามาพูดให้หนวกหูข้า”
ชุยตงซานนั่งยองอยู่บนพื้น ใช้นิ้วมือเขียนอะไรส่งเดชอยู่บนพื้นตลอดเวลา ปากก็พูดว่า “ข้ารู้ว่าไม่อาจเรียกร้องเจ้ามากเกินไปนัก แต่ก็ยังโกรธเจ้าอยู่ดี”
อัดอั้นอยู่นาน ชุยตงซานก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เจ้ายินดีทำเรื่องพวกนี้ ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
ชุยฉานชำเลืองตามองคำว่า ‘ตะพาบเฒ่า’ ที่เขียนบิดเบี้ยวอยู่บนพื้น ก่อนมองท้ายทอยของเด็กหนุ่มแล้วคลี่ยิ้ม “ในที่สุดก็มีพัฒนาการบ้างแล้ว”
ชุยตงซานใช้ฝ่ามือตบลงบนพื้น จากนั้นลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “เจ้าตะพาบเฒ่า เจ้าเลิกใช้น้ำเสียงเหมือนผู้อาวุโสมาพูดกับข้าอาวุโสเสียทีเถอะ!”
จู่ๆ ชุยตงซานก็อึ้งงันพูดไม่ออก
ชุยฉานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ
อาจารย์ผู้เฒ่าท่าทางยากจนคนหนึ่งก็เงียบอยู่นาน กว่าจะยิ้มเอ่ยว่า “ห่างมานานหลายปี ดูเหมือนว่าในกระเป๋าของอาจารย์ก็ยังฟีบแบนอยู่เหมือนเดิม”
ซิ่วหู่ราชครูต้าหลี อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง ชุยฉานถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ปูหกขาสองก้าม อันที่จริงก็รสชาติดีมาก”
……
ปีนี้ดวงจันทร์สาดส่องไปทั่วทั้งเก้าทวีป ใต้หล้ามีฤดูใบไม้ร่วงร่วมกัน
ชุยตงซานนั่งดื่มเหล้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง
เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในสถานศึกษาหลี่จี้จุดตะเกียงอ่านตำรายามค่ำคืน
จ้าวซู่เซี่ยมาถึงจวนไช่เฉวี่ยของอุตรกุรุทวีปแล้ว ภายใต้แสงจันทร์ เขาฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว
เผยเฉียนยังคงเดินทางไกลข้ามทวีป ไม่ได้ทะยานลมอยู่บนฟ้าอีกแล้ว แต่วิ่งตะบึงไปบนพื้นผิวของมหาสมุทร
ในฐานะลูกศิษย์คนเล็กของเฉินผิงอัน กวอจู๋จิ่วที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ามาอยู่เคียงข้างหนิงเหยาที่ในที่สุดก็หวนกลับเข้ามาในนครอีกครั้ง คิดถึงอาจารย์พ่อเป็นเพื่อนอาจารย์แม่ กวอจู๋จิ่วถามอาจารย์แม่ ฝูเหยาทวีปอยู่ใกล้กับอาจารย์พ่อมากกว่า หรือใบถงทวีปอยู่ใกล้กับอาจารย์พ่อมากกว่า หนิงเหยาบอกว่าอันที่จริงล้วนไม่ใกล้ กวอจู๋จิ่วสูดน้ำมูก บอกว่าเหตุใดถึงไกลขนาดนั้น
หนิงเหยาพึมพำกับตัวเองว่า “รออีกหน่อย ขาดอีกแค่ขอบเขตเดียว”