กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 703.2 อันดับที่สิบเอ็ดในใต้หล้ามากมาย
หญิงชราชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าสีเขียวที่หญิงสาวเอาวางไว้ที่เดิมอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เพ่งสายตามองไป นางกลับไม่สามารถมองทะลุเวทอำพรางตาทั้งหมดได้ ได้แค่สัมผัสถึงปราณเยียบเย็นเป็นเส้นๆ ที่แผ่ออกมาจากไม้เท้าเดินป่าอย่างเลือนรางเท่านั้น นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่หญิงชราไม่ได้รีบร้อนลงมือ
ปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จบนที่ราบน้ำแข็งอย่างเช่นหญิงชรานี้ เกรงกลัวที่สุดว่าจะไปหาเรื่องลูกหลานสกุลหลิวของธวัลทวีป นอกจากนั้นก็ยังกริ่งเกรงลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของผู้สืบทอดสายเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกง นอกจากนี้แล้วล้วนไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ไม่ว่าจะจับผู้ฝึกตนที่โชคร้ายพวกนั้นมาเคี้ยวสดๆ หรือตุ๋นน้ำแดงล้วนไม่มีปัญหา นอกจากคนสองประเภทนี้แล้วก็มักจะมีสำนักอักษรจนงบางแห่งมาหาประสบการณ์ที่นี่อยู่เป็นระยะ แต่ส่วนใหญ่จะมีเซียนดินก่อกำเนิดให้การคุ้มกัน ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาสังหารปีศาจไปก็แล้วกัน แววตาแค่นี้หญิงชรายังพอจะมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่อีกฝ่ายก็มักจะรู้หนักเบา พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลรุ่นเยาว์เนื้ออ่อนพวกนั้นจะไม่ลงมืออำมหิตเกินไปนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่เอาเข้าจริงก็ไม่มีทางโหดเหี้ยมไปยังไงได้
เผยเฉียนหมุนตัวกลับมาพูดกับหญิงชราที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน “ข้าแค่จะรีบเดินทางเท่านั้น ไม่เคยไปหาเรื่องพวกเจ้า แต่หากฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ต้องกลายเป็นอาหารในท้องของปีศาจ ข้าก็ยอมรับ แต่ถ้าวิชาหมัดพอใช้ได้ ปีศาจที่คิดจะกินคนถูกฆ่าก็อย่าโทษว่าหมัดข้าหนักเกินไป”
หญิงชรายิ้มถาม “ดูจากร่องรอยการออกหมัดและเส้นทางการเดินของเจ้า ดูเหมือนว่าจะขึ้นฝั่งจากทิศเหนือแล้วลงใต้ไปตลอดทางอย่างนั้นหรือ? แม่หนู หรือว่าเจ้าจะเป็นคนจากทวีปอื่น? อุตรกุรุทวีป หรือว่าหลิวเสียทวีปล่ะ? ผู้อาวุโสในบ้านถึงขั้นวางใจให้เจ้าออกเดินทางเพียงลำพัง เดินทางจากเหนือผ่านที่ราบน้ำแข็งลงไปใต้อย่างนั้นหรือ?”
ข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจหญิงชราก็คือศัตรูคู่อาฆาตของนายน้อยซี่หลิ่วบ้านตนที่อยู่ทางทิศเหนือสุดกลับยอมปล่อยให้แม่นางน้อยเดินอาดๆ ผ่านอาณาเขตลงใต้ไปใต้เปลือกตาของตัวเอง หากไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างหายนะให้ หญิงชราคงลงมือนานแล้ว การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นระหว่างเหล่านั้น อีกฝ่ายล้วนออกหมัดด้วยตบะของขอบเขตหกมาโดยตลอด ต่อให้จะกักออมฝีมือไว้บ้าง จงใจซ่อนความสามารถที่แท้จริง อย่างมากสุดนังหนูนี่ก็เป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเท่านั้น ย่อมต้องตายอย่างมิต้องสงสัย
เผยเฉียนกล่าว “เจ้าไม่ต้องใช้คำพูดมาหยั่งเชิงรากฐานของข้าหรอก ถามหมัดมาข้ารับ ถามกระบี่มาข้าก็รับ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้นร้อนใจอย่างยิ่ง รีบใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ไม่ต้องสนตัวตนที่แท้จริงหรอก ไม่สู้เอาสถานะของลูกหลานสกุลหลิวมาข่มขู่อีกฝ่ายดีกว่า ไม่อย่างนั้นการล้อมฆ่าครั้งนี้ ผู้อาวุโสมีสองหมัดถึงอย่างไรก็ยากจะต่อกรกับสี่มืออยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องมีปีศาจมากกว่านี้ที่ถูกหญิงชราเรียกตัวมา อยู่ในธวัลทวีปของพวกเรา ลูกหลานสกุลหลิวก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุด ปรมาจารย์เพ่ยและผู้อาวุโสหลิ่ว สองอาจารย์และศิษย์นี้ล้วนเป็นผู้ถวายงานของสกุลหลิว ผู้อาวุโสฝึกยุทธฝึกวิชาหมัดก็สามารถสวมรอยเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายศาลเหลยกงได้…”
เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้น “ข้าย่อมมีอาจารย์ผู้สืบทอดเป็นของตัวเอง มิกล้าพูดจาเหลวไหล”
ผู้ฝึกตนเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด ไม่กล้าเอ่ยโน้มน้าวอีก ความเป็นความตายมีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง ไหนเลยจะมีข้อพิถีพิถันที่คร่ำครึมากมายขนาดนั้นกันเล่า
เรื่องมาถึงขั้นนี้ทุกคนกลับไม่สงสัยในสถานะของผู้อาวุโสคนนี้แล้ว
ไม่มีความจำเป็นเลยจริงๆ
พูดถึงแค่นักพรตชิวสุ่ยคนนั้นก็มากพอจะบดขยี้ผู้ฝึกตนนักล่าทุกคนนอกจากนางได้แล้ว
ผู้ฝึกตนของธวัลทวีป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระ สำหรับเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่อยู่สูงเหนือหัวนั้น ต่อให้จะไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แต่ก็ต้องเคยอ่านจากรายงานขุนเขาสายน้ำที่มีสารพัดสารพันอยู่บ้าง ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรู้จัก อันที่จริงจำนวนไม่ได้น้อยไปกว่าอุตรกุรุทวีป แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับพายัพหลิวเสียทวีปแล้วย่อมมีมากกว่า
แต่หากจะให้พูดถึงปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าแล้ว ก็มีน้อยจนนับนิ้วได้จริงๆ ไม่เพียงแต่น้อยกว่าอุตรกุรุทวีปมาก แม้แต่หลิวเสียทวีปพวกเขาก็ยังสู้ไม่ได้
โชคชะตาบู๊ของธวัลทวีป ในใต้หล้าไพศาลก็ขึ้นชื่อว่าน้อยจนน่าสงสาร ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในตำนานก็มีแค่คนเดียว ในฐานะที่มีโชคชะตาบู๊รุ่งโรจน์ที่สุดของทวีป ในอดีตเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงยังพ่ายแพ้ให้กับหวังฟู่ซู่ที่ภายหลังวิปลาสจึงถูกเซียนกระบี่คุมขัง อุตรกุรุทวีปยังเคยมีผู้ฝึกกระบี่ที่ข้ามมหาสมุทรมาถามกระบี่แก่ทั้งทวีป ต่อให้กู้โย่วจะตายไปแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่ายังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเพิ่มมามากกว่าธวัลทวีปอีกหนึ่งคน นี่ทำให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาของธวัลทวีปรู้สึกโงหัวไม่ค่อยขึ้น บวกกับท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสกุลหลิวที่เป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของธวัลทวีปท่านนั้นยังเคยป่าวประกาศอย่างตรงไปตรงมาอยู่หลายครั้งว่ามรรคกถาอันน้อยนิดของตน อย่างมากสุดก็ถือได้ว่ามีแค่ครึ่งเดียวของฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ นี่ทำให้พวกผู้ฝึกตนของธวัลทวีปรู้สึกว่านอกจากจะมีเงินแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ล้วนสู้อุตรกุรุทวีปที่แย่งคำว่า ‘อุตร’ ไปจากพวกเขาไม่ได้เลยจริงๆ
เผยเฉียนหันหน้าไปมองนักพรตเปลือยเท้าที่สวมเสื้อคลุมขนนก นางเคยอ่านเจอบันทึกจาก ‘ตำราเทพเซียน’ ที่ศิษย์พี่เล็กซื้อมาจากภูเขาห้อยหัว ในประวัติศาสตร์มีนักพรตเต๋าบนภูเขาท่านหนึ่งที่ชอบท่องบทน้ำสารทฤดูหนันหัว เปลือยเท้าเดินท่องไปทั่วใต้หล้าอยู่จริง ว่ากันว่าบนศีรษะสวมกวานเหล็กของลัทธิเต๋า ปณิธานอยู่ที่การใช้ดอกเหมยและหิมะมาชำระล้างลำไส้ แกะสลักกระดูกขาวอันแห้งเหี่ยวเป็นการพิศมรรคา ยินดีมอบมรรคกถาทั้งหมดที่แสดงออกมาจากบนร่างกลับคืนให้แก่ฟ้าดิน ไม่เคยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ลากไม้เท้าออกเดินทางไกล ขอแค่โยนไม้เท้าเหล็กในมือออกไป ยามหล่นลงพื้นก็สามารถจำแลงร่างกลายเป็นมังกรเขียวตัวหนึ่งได้
นักพรตบนภูเขาที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นแต่หัวไม่เห็นหางผู้นั้นคือเกาเจินที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นเจ้าคนที่มาขวางทางซึ่งแสร้งทำเป็นวางมาดสง่างามตรงหน้าผู้นี้ไปได้
ต่อให้เผยเฉียนจะยังไม่ตั้งท่าหมัด จิตใจก็ไร้ความคิดวุ่นวายในชั่วพริบตาแล้ว เมื่อนางกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ เริ่มปลดปล่อยปณิธานหมัดออกไป ดวงตาทั้งคู่ก็บังเกิดภาพที่ผิดปกติ
ทันใดนั้นสรรพสิ่งล้วนเงียบงัน ราวกับว่าฟ้าดินเหลือเผยเฉียนแค่คนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งไม่ถูกพันธนาการ มีเพียงนางที่ยังสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
แต่เผยเฉียนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า จุดที่สายตาของตนมองไปเห็น แม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่ได้หยุดชะงักไปตามความหมายที่แท้จริง แต่ความเร็วในการไหลรินของมันกลับเหมือนว่าจะเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด
ยิ่งขยับเข้าใกล้ กระแสไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาจากสี่ด้านแปดทิศก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะหยุดนิ่ง
หลังจากที่เผยเฉียนฝึกวิชาหมัดอยู่เพียงลำพัง สืบสาวราวเรื่องกันถึงที่สุดแล้ว แท้จริงก็มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่นางทำได้ คิดจะลองทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งไม่ขยับอย่างสิ้นเชิงก็มีเพียงร่างกายและจิตใจของข้าที่เป็นอิสระเสรี ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า ไม่ว่าใครที่ถามหมัดกับข้า มาอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็ต้องออกหมัดได้ช้ากว่าข้าอย่างที่ไม่อาจเทียบได้ติด!
แน่นอนว่าอาจารย์พ่อเป็นข้อยกเว้น เผยเฉียนฝึกวิชาหมัดเพียงแค่เพื่อไล่ตามอาจารย์พ่อให้ทัน นางไม่เคยคาดหวังว่าตัวเองจะสามารถยืนเคียงบ่ากับวิชาหมัดของอาจารย์พ่อได้
ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์พ่อเคยเอ่ยประโยคหนึ่งที่ประหลาดมากต่อเผยเฉียน บอกว่าเขาต้องการให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาตั้งใจเรียนวิชาอภินิหารบทนี้ให้ดี
ยามที่อาจารย์พ่อเล่นมุกตลกก็น่าสนใจมากเหมือนกันนะ
อาจารย์จะมาเอาอย่างลูกศิษย์ไปไย?
แต่คำพูดตลกขบขนที่เคยทำให้เผยเฉียนแอบหัวเราะชอบใจกับตัวเองบ่อยๆ ทุกครั้งที่คิดถึงจะต้องยิ้มปากกว้างอย่างอดไม่ไหวประโยคนี้ ยิ่งนานนางกลับยิ่งขำไม่ออกแล้ว เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า อาจารย์พ่อไม่ได้หวนคืนกลับมายังบ้านเกิดเสียที เผยเฉียนจึงรู้สึกว่าคำพูดตลกขบขันที่ทำให้จิตใจคนอบอุ่นอย่างมากนี้ ยิ่งนานก็ยิ่งกลายมาเป็นเหมือนกรงขังที่ทำให้นางเสียใจอย่างถึงที่สุด ทำให้นางแทบจะหายใจไม่ออก นึกอยากจะใช้หมัดต่อยมันให้แหลกละเอียดไปเสีย ก่อนหน้านี้ข้ามทวีปเดินทางไกล นางล้มเลิกความคิดที่จะทะยานลม แต่เลือกจะวิ่งตะบึงอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทรแทน ทุกครั้งที่เผยเฉียนออกหมัดด้วยจิตวิญญาณที่เปี่ยมล้น จุดที่หมัดพุ่งไปก็คือแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่มองไม่เห็น
ทันใดนั้นในสายตาของหญิงชราก็มองไม่เห็นเงาร่างของผู้ฝึกยุทธหญิงสาวคนนั้นอีก
เป็นขอบเขตร่างทองอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ หรือนี่?! ผู้ฝึกตนก็ดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ช่าง บางทีขอบเขตอาจจะสามารถปิดบังอำพรางได้ มีเพียงอายุเท่านั้นที่ขอแค่ขอบเขตไม่แตกต่างมากเกินไป ดูจากฐานกระดูกของอีกฝ่ายก็ยังพอจะสามารถคาดเดาอายุได้คร่าวๆ ผู้หญิงคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางอายุเกินสามสิบปี หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามที่เพิ่งรับมาใหม่ของสายเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกง? ไม่อย่างนั้นในบรรดาผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของธวัลทวีปก็ไม่มีบุคคลเช่นนี้อยู่เลย! ในธวัลทวีป ขอแค่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อายุต่ำกว่าสี่สิบปีลงไป แต่ละคนชื่อเสียงใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวมีคำพูดประโยคหนึ่งที่เป็นที่แพร่หลายบอกเอาไว้ว่า ‘น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจใช้เงินเทพเซียนทุ่มจ่ายชะตาบู๊ได้’
ด้วยสถานการณ์ที่คับขัน หญิงชราจึงหมุนตัว ถุงผ้าป่านใบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังพลันเปิดอ้าออก ปกป้องเรือนกายของหญิงชราเอาไว้
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง แผ่นหลังเหมือนถูกค้อนทุบเต็มแรง หมัดนั้นต่อยลงบนหัวใจด้านหลังของหญิงชราที่ถูกถุงผ้าป่านปกป้องพอดี ทำเอาลมหิมะในรัศมีหลายสิบจั้งกระเทือนแหลกสลายไปด้วยตัวเอง
หญิงชราที่หันหลังให้กับหญิงสาวผู้ออกหมัดไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย ได้แต่ปล่อยให้สองเท้าลอยพ้นพื้น ร่างลอยลิ่วเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ไม่เปิดโอกาสให้หญิงชราได้หลบเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนวิถีการโคจรแม้แต่น้อย แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหมัดนั้นมีน้ำหนักมากเพียงใด
ขณะเดียวกันหญิงชราก็ยังสัมผัสได้ถึงพายุลมกรดที่พัดผ่านข้างกาย เงาร่างที่พร่าเลือนสายหนึ่งกระโดดข้ามตนมุ่งไปด้านหน้า จากนั้นห่างไปสิบกว่าจั้ง อีกฝ่ายก็ไถลตัวมาด้านหลังหนึ่งก้าว พลันหมุนตัวกลับ หมัดหนึ่งพุ่งแสกหน้ามาหา หญิงชราผวาพรั่นพรึงถึงขีดสุด ไม่มีเวลามาสนใจอะไรอีกแล้ว ได้แต่ใช้โอสถทองเป็นแกนกลางของฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ หมุนติ้วๆ อยู่กลางช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต กระเพื่อมแผ่เส้นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนให้เชื่อมโยงเข้ากับสามจิตเจ็ดวิญญาณ พยายามจะทำให้จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนไม่หยุดมั่นคง จากนั้นปล่อยจิตหยางออกมาข้างนอก แล้วพลิ้วถอยไปด้านหลัง ออกห่างจากเรือนกาย พกพาเอาวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีสองชิ้นมาด้วย หมายจะร่ายวิชาอภินิหาร ให้แม่นางน้อยที่ออกหมัดอย่างอำมหิตมิอาจทำตัวกำแหงได้เกินไปนัก
วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นหนึ่งที่เหลือไว้ในกายถูกโอสถทองเม็ดนั้นควบคุม จึงพลันปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าในทันที รอบกายของหญิงชราก็ยิ่งมีค่ายกลขุนเขาสายน้ำที่ลี้ลับมหัศจรรย์โผล่ขึ้นมา ถึงขั้นเป็นหอเรือนที่เกิดจากเส้นสีเงินยวงจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกัน โปร่งใสแวววาว ประหนึ่งดินแดนเซียนแก้วใส และหอเรือนจวนเซียนขนาดจิ๋วแห่งนี้ ตรงยอดของหลังคาก็มีหญิงชราที่เรือนกายสูงเท่านิ้วหัวแม่มือนั่งบัญชาการณ์อยู่ สองมือทำมุทราชักดึงเอาโชคชะตาน้ำของหิมะใหญ่มาจากฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง หมายสร้างความมั่นคงให้กับค่ายกล
ผลคือหญิงชราที่ตั้งท่าพร้อมรับมือกลับไม่ได้เจอกับหมัดที่สองที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนั้น
คนผู้หนึ่งที่เรียนวรยุทธกลับคีบยันต์ออกมา หดย่อพื้นที่ พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
นักพรตเปลือยเท้าที่สวมเสื้อคลุมขนนกถือกิ่งเหมย เดิมทีคิดจะฉวยโอกาสที่ฝ่ายนั้นต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายลงมือกับผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งแก้เบื่อ สองนิ้วจึงคีบดอกเหมยดอกหนึ่ง เตรียมจะขว้างใส่คนผู้หนึ่งเบาๆ
ส่วนหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้น เขาพอจะมองตื้นลึกของอีกฝ่ายออกแล้ว คือขอบเขตร่างทองที่ขัดเกลารากฐานมาได้ไม่ธรรมดา หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับหลิ่วซุ่ยอวี๋ที่เป็นขอบเขตเดินทางไกลของปีนั้นแล้วยังนับว่าเป็นรองอยู่ไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่านักพรตเปลือยเท้าที่ในใจเพิ่งจะมาดมั่นกลับรู้สึกถึงลางร้ายในฉับพลัน เส้นเอ็นหัวใจขึงตึง ชุดคลุมขนนกบนร่างก็ยิ่งปล่อยแสงสีขาวพร่าตา หมายจะร่ายเวทคาถาหลบหนีไปจากที่เดิม
ไม่รู้ว่าเหตุให้อยู่ดีๆ ร่างถึงได้หยุดชะงักอย่างไร้เหตุผล ชุดคลุมขนนกที่แสงสว่างสาดส่องไปสี่ทิศก็ถึงขั้นถูกบีบให้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม เหมือนเกล็ดหิมะที่ปลิวปรายไปสี่ทิศถูกคนจับมาปั้นเป็นลูกหิมะอย่างไรอย่างนั้น นักพรตวิถีมารที่เรียกขานตัวเองว่านักพรตชิวสุ่ยผู้นี้จึงเผยร่างกลับมาอีกครั้งพร้อมความประหลาดใจ ราวกับกลายมาเป็นห่านหัวทึ่มที่ยืนบื้ออยู่ที่เดิม ปล่อยให้หมัดของสตรีผู้นั้นพุ่งมาแสกหน้า
——