กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 704.2 วันที่ห้าเดือนห้าผ่านมาอีกปี
ก่อนหน้านี้ตอนที่รับของขวัญ นางเหลือบตามองจวี่สิงอย่างระมัดระวัง เห็นว่าอีกฝ่ายรับของขวัญไว้ เฉามู่ถึงได้กล้ารับมา
เพราะหลังจากติดตามอาจารย์มาถึงใต้หล้าไพศาล อาจารย์ก็ได้พาพวกเขาสองคนทยอยไปเยือนสามทวีปอย่างเกราะทอง หลิวเสียและธวัลทวีป ระหว่างทางต้องผ่านจวนตระกูลเซียนไม่น้อย พวกผู้อาวุโสที่มีเมตตาต่างก็อยากมอบของขวัญให้พวกเขา จวี่สิงเพียงแค่วางสีหน้าเฉยชา สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ส่วนอาจารย์ก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางจึงปฏิเสธรับของตามเขา มีครั้งหนึ่งแม่นางน้อยสอบถามสาเหตุจากจวี่สิงเป็นการส่วนตัว ผลคือจวี่สิงที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกลับเดือดดาลอย่างหนัก ถามนางแค่ว่ายังมียางอายอยู่บ้างหรือไม่ ทำเอาเฉามู่ทั้งกลัวทั้งเสียใจจึงร้องไห้เสียงดัง จวี่สิงเห็นนางร้องไห้กลับกลายเป็นว่ายิ่งโมโหหนักกว่าเดิม ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้ว่าวันหน้าเฉามู่อย่าได้มาพูดคุยกับเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะซ้อมนาง
ภายหลังเป็นอาจารย์ที่มาเอ่ยปลอบใจ เฉามู่ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อันที่จริงระหว่างที่เดินทางมาท่องเที่ยวธวัลทวีป จวี่สิงก็ไม่พูดคุยกับนางเลยสักคำจริงๆ ใช่ว่าเฉามู่จะไม่อยากพูดคุยกับเขา แต่เป็นเพราะไม่กล้า มีหลายครั้งที่เป็นฝ่ายหาเรื่องไปชวนเขาคุย จวี่สิงกลับทำตัวเหมือนคนหูหนวกใส่นาง
ดังนั้นวันนี้การที่จวี่สิงรับของขวัญจากผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จวี่สิงเก็บกระดาษจดหมายที่เป็นสีเขียวปลั่งดั่งจะคั้นน้ำออกมาได้ อีกทั้งยังแกะสลักตัวอักษรงดงามไว้หนึ่งบรรทัดแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ นานแล้ว คิดไว้แล้วว่าจะเก็บรักษาให้ดี เพราะมาถึงใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ การเล่าเรียนหนังสืออ่านตำราถือเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดแล้ว
เซี่ยซงฮวาเอ่ยสัพยอก “คนหนึ่งวันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นคนหูหนวกเป็นคนใบ้ คนหนึ่งเอะอะก็ร้องไห้โยเย เลี้ยงเด็กสองคนนี่ยากจริงๆ เผยเฉียน บอกตามตรงนะ อาจารย์พ่อของเจ้าเลี้ยงเด็กๆ คืออย่างนี้ เก่งกาจกว่าการเป็นอิ่นกวานเสียอีก”
เซี่ยซงฮวายกนิ้วโป้งให้
เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ตลอดเวลาหลายปีที่อาจารย์พ่อพานางออกเดินทางไกล นับว่าลำบากมากจริงๆ
แม้ปากเซี่ยซงฮวาจะบ่น แต่ในใจกลับรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่า นางไม่รู้สึกจริงๆ ว่าเฉินหลี่ เกาโย่วชิงของลี่ไฉ่ เหย่ตู้ เซวี่ยโจวของผูเหอ และยังมีซุนฉ่าว จินหลวนของซ่งพิ่น รวมไปถึงเด็กๆ ที่กระจัดกระจายกันไปทั่วใต้หล้าไพศาลพวกนั้นจะโดดเด่นยิ่งกว่าลูกศิษย์สองคนนี้ของตน ไม่มีทางแน่นอน! นางเซี่ยซงฮวารับลูกศิษย์แค่สองคนนี้ ทุ่มเทถ่ายทอดวิชาทั้งหมดของตัวเองไปให้ หกสิบปีให้หลังจะต้องเป็นเซียนกระบี่น้อยได้เร็วกว่าเฉินหลี่ที่มีฉายาว่าอิ่นกวานน้อยผู้นั้นอย่างแน่นอน
ต่อให้ไม่ใช่แล้วจะอย่างไร เฉามู่กับจวี่สิงก็ยังคงเป็นลูกศิษย์ที่รักของนางเซี่ยซงฮวาอยู่ดี
จวี่สิงยกสองแขนกอดอกนั่งอยู่บนราวระเบียง แกว่งสองขาเบาๆ เมื่อก่อนอยู่บ้านเกิดเขาก็ชอบนั่งแบบนี้บนหัวกำแพงเมือง ความเคยชินนี้คงเปลี่ยนไม่ได้ชั่วชีวิต
เฉามู่เถียงเสียงเบา “อาจารย์ แค่สามครั้งเท่านั้น ไม่ได้เอะอะก็ร้องไห้นะ”
จวี่สิงหลุดหัวเราะพรืด
เฉามู่ท่าทางเซื่องซึมทันใด
เซี่ยซงฮวาลุกขึ้นยืน “เผยเฉียน พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าจะไปคุยธุระกับใครบางคนเสียหน่อย นัดหมายกับนางไว้แล้วว่าจะมาเจอกันที่นี่ เวลานี้นางน่าจะมาถึงแล้ว”
เผยเฉียนจึงอยู่คุยเล่นกับเด็กทั้งสอง
เฉามู่พูดเจื้อยแจ้วเหมือนนกกระจิบตัวน้อย หลังจากเผยเฉียนถาม แม่นางน้อยก็เล่าเรื่องครึกครื้นใหญ่เทียมฟ้าของสิบคนรุ่นเยาว์ให้พี่หญิงเผยเฉียนฟังอย่างละเอียด
แน่นอนว่าจวี่สิงต้องพูดทวงความเป็นธรรมแทนใต้เท้าอิ่นกวาน นอกจากหนิงเหยาแล้ว อย่างมากสุดก็เพิ่มมาได้แค่เฉาสือคนเดียวเท่านั้น อีกแปดคนที่เหลือมีคุณสมบัติอะไรมาเบียดใต้เท้าอิ่นกวานให้หลุดจากอันดับสิบคน ได้มาแค่ ‘อันดับที่สิบเอ็ด’ เท่านั้น?
เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “แล้วเรื่องของนครบินทะยานล่ะเป็นมาอย่างไร?”
เฉามู่ยิ้มกล่าว “ใต้หล้าแห่งที่ห้า ชื่อศักราชคือเจียชุน คิดตามเวลาที่นครบ้านเกิดของพวกเราหล่นลงพื้นเป็นช่วงแรกของการบุกเบิกฟ้าดิน จึงถูกตั้งชื่อว่านครบินทะยาน”
จวี่สิงเอ่ย “มีข่าวบอกมาว่าพี่หญิงหนิงเหยาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนแรกของใต้หล้าแห่งนั้น ตอนนี้ยังเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วด้วย”
เผยเฉียนมองแม่นางน้อยซุกซนน่ารักตรงหน้าผู้นี้แล้วก็ให้คิดถึงหมี่ลี่น้อยบนภูเขาลั่วพั่วขึ้นมาบ้างแล้ว แล้วก็คิดถึงพี่หญิงหน่วนซู่ที่ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเติบโตได้ตลอดกาลด้วย
กระทั่งบัดนี้เผยเฉียนถึงได้ค้นพบอย่างคนที่ความรู้สึกช้าว่า ที่แท้พี่หญิงเป่าผิงเติบใหญ่แล้ว ตนเองก็เติบโตแล้วเช่นกัน
อาจารย์อาน้อยของพี่หญิงเป่าผิง อาจารย์พ่อของนาง หากรู้เรื่องนี้จะดีใจหรือว่าเสียใจกันแน่นะ
เผยเฉียนเปิดหีบไม้ไผ่แล้วเริ่มคัดตัวอักษร
เฉามู่นั่งอยู่ด้านข้าง เท้าคางมองดูพี่หญิงเผยคัดตัวอักษรเงียบๆ
จวี่สิงกำลังคิดถึงการเปิดประตูครั้งที่สองของใต้หล้าแห่งที่ห้า ถึงเวลานั้นตนก็สามารถกลับบ้านเกิดได้แล้ว
ได้ยินมาว่าใต้หล้าแห่งที่ห้าจะเปิดประตูนานสามสิบปี หลังจากนั้นก็จะปิดประตูใหญ่ลงอย่างสิ้นเชิง
หากยังคิดจะไปกลับระหว่างใต้หล้าทั้งสองแห่งก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างเดียวเท่านั้น
จวี่สิงเห็นไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ของพี่หญิงเผยแล้วก็รู้สึกอยากได้ เด็กชายเอามือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบใต้เท้าอิ่นกวาน นั่งเหม่ออยู่บนราวระเบียง
คนรุ่นเยาว์สิบคนที่ถูกประเมินออกมาครั้งนี้ล้วนอายุต่ำกว่าห้าสิบปี คนที่ติดอันดับไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก อายุน้อยเกินไป เดินขึ้นเขาไปฝึกตนพิสูจน์ความเป็นอมตะ อย่างน้อยยังต้องรอดูอีกร้อยปีถึงจะได้
หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งติดต่อกันในใต้หล้าแห่งที่ห้า เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน
เฉาสือผู้ฝึกยุทธแห่งต้าตวน เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบนอกมหาสมุทรของถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีป
ซานชิงนักพรตแห่งป๋ายอวี้จิง ขอบเขตหยกดิบ บนร่างไม่มีสมบัติอาคมสักชิ้น เพราะวัตถุแห่งชะตาชีวิตล้วนเป็นอาวุธเซียน อาวุธกึ่งเซียน ใช้วิธีการรวบรวมให้ครบห้าธาตุ ระดับขั้นถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า
อันดับหนึ่งของร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหราน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ว่ากันว่าชอบกดขอบเขตเอาไว้
และยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่าเซิ่งคนหนึ่ง พูดกันว่าบัณฑิตหนุ่มคนนั้นมีบ้านเกิดอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ในอดีตถูกหย่าเซิ่งพากลับมาที่ใต้หล้าไพศาล ไม่เพียงแต่ได้รับลมเปิดหน้าหนังสือไปกลุ่มหนึ่ง ยังได้เค้าโครงของตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตไปอีกตัวหนึ่งด้วย
ภิกษุเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในใต้หล้าแห่งที่ห้า ในมือถือคักขราสิบสองห่วง
ใต้หล้ามืดสลัว นักพรตหญิงลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่เดิมทีไร้สัญชาติไร้นาม อายุไม่ถึงยี่สิบ ฝึกตนมาแค่แปดปี แต่หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตรั้งคนอย่างขอบเขตเส้นเอ็นหลิ่วนานถึงหกปี จากนั้นก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว
ก่อนหน้านี้ใต้หล้าไพศาลก็มีผู้ฝึกตนอิสระที่เมื่อก่อนชื่อเสียงไม่เด่นดังอยู่คนหนึ่ง หลิวไฉ ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูง เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง แต่พลังพิฆาตของกระบี่บินคนผู้นี้กลับมากมหาศาลจนเกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง ต่อให้ผู้ฝึกตนเพียงแค่อ่านรายงานฉบับนั้นก็มากพอจะทำให้คนจุ๊ปากเดาะลิ้นไม่หยุด เพราะลูกรักแห่งสวรรค์ที่สมชื่ออย่างแท้จริงอย่างพวกหนิงเหยา เฉาสือ ซานชิงนี้ ขอบเขตล้วนสูงมากพอ มีเพียงหลิวไฉที่เป็นแค่โอสถทองเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วอย่าว่าแต่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อายุต่ำกว่าห้าสิบปีเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังไม่มากพอ ไม่มีคุณสมบัติจะถูกประเมินให้ติดอันดับด้วยซ้ำ
และเนื่องจากคนผู้นี้เผยกายขึ้นบนโลกกะทันหัน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกก็เป็นดั่งก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลดด้วย นั่นก็คือ ‘ซินซื่อ’ และ ‘ลี่จี๋’ หลิวไฉผู้นี้มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอยู่สองเล่ม น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘ซินซื่อ’ หล่อเลี้ยงบำรุงกระบี่บิน ‘ปี้ลั่ว’ เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกขนานนามว่าหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคมอยู่แล้ว ทว่าปี้ลั่วเล่มนี้กลับเป็นกระบี่ที่สามารถทำลายหมื่นกระบี่ได้ ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘ลี่จี๋’ นั้นช่วยหล่อบำรุงกระบี่บินเล่มที่สองของหลิวไฉอย่าง ‘ป๋ายจวี’ ความเล็กบาง ความว่องไวของกระบี่บินสามารถมองข้ามการหยุดชะงักของแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้เลย
ดังนั้นทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลจึงมีคำกล่าวบอกว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถประชันขันแข่งในฐานะคนวัยเดียวกันกับหนิงเหยาได้ มีเพียงหลิวไฉในอีกร้อยปีให้หลังเท่านั้น
ศิษย์น้องเล็กของเทียนจวินฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพ ในอดีตเคยเดินทางไปยังสำนักเบื้องบนที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลห้องเก็บตำรา เล่าลือกันว่าภายในเวลาสามปีเขาก็อ่านหนังสือของลัทธิเต๋าได้ครบทุกเล่มแล้ว
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็เหมือนบุกเข้ามาในการมองเห็นของคนทั้งใต้หล้าอย่างถือดีไม่ต่างจากผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉและนักพรตหญิงลัทธิเต๋าอยู่เช่นกัน นามว่าเซอเยว่
สุดท้ายรวมกับ ‘อิ่นกวาน’ อีกหนึ่งคนที่ราวกับเป็นของรางวัลแถมให้ยามทำการค้า
คนหนุ่มคนหนึ่งที่กว่าจะได้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในต่างทวีปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งชื่อเสียงยังฉาวโฉ่เพราะ ‘เฉินผิงอัน’ (อีกชื่อหนึ่งในตำราที่จงใจเขียนให้เสียงพ้องกับชื่อของเฉินผิงอัน) ผู้นั้น
ว่ากันว่ายังมีสำรองอีกสิบคน แต่ว่ายังไม่มีการป่าวประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
เฉามู่ปลุกความกล้าให้ตัวเอง หันหน้าไปแอบมองจวี่สิงที่ไม่ได้สนใจตน
อันที่จริงเขาอายุน้อยกว่าตนเสียอีก เกิดปีเดียวเดือนเดียวกัน แต่จวี่สิงเกิดช้าว่านางหลายวัน
แต่แม่นางน้อยกลับมักจะรู้สึกว่าจวี่สิงแก่กว่าตัวเองอยู่หลายปี
จวี่สิงสังเกตเห็นสายตาของเฉามู่ที่มองมาจึงถลึงตาใส่นางทันที เฉามู่กะพริบตาปริบๆ คล้ายกำลังบอกว่าข้าไม่ได้พูดกับเจ้าเสียหน่อย เรื่องนี้เจ้าก็ยังจะมายุ่งด้วยหรือ ไร้เหตุผลเสียจริง
จวี่สิงประกบสองนิ้วแล้วปาดเบาๆ หนึ่งที บอกเป็นนัยแก่เด็กหญิงว่ารีบหันหน้ากลับไปซะ
เฉามู่หันหน้ากลับมา ฟุบตัวลงบนโต๊ะ มองพี่หญิงเผยคัดตัวอักษรต่ออีกครั้ง
แม่นางน้อยอยากถามพี่สาวคนนี้อย่างมากว่า ในเมื่อได้อยู่บ้านเกิดแล้ว ไยยังต้องออกจากบ้านเกิดมาด้วยเล่า
หากตนสามารถอยู่ที่บ้านเกิดได้จะไม่มีทางออกเดินทางไกลมาแน่นอน
พี่หญิงเผยยังตัวคนเดียวอีกด้วย นางช่างใจกล้าและทนรับกับความยากลำบากได้ดีจริงๆ
เฉามู่ต้องไม่มีทางรู้แน่นอนว่า พี่หญิงเผยที่ตัวสูงโปร่ง ผอมบาง ผิวคล้ำเล็กน้อยตรงหน้าซึ่งทำให้จิตใจของนางสงบได้ผู้นี้ แท้จริงแล้วปีนั้นก่อนจะฝึกวิชาหมัด เพียงแค่ถูกหวงถิงบีบไหล่บีบแขนเบาๆ ในร้านยาของนครมังกรเฒ่าก็เจ็บปวดจนร้องโอดโอย ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้ามอมแมมยิ่งกว่านางเฉามู่เสียอีก แล้วยังวิ่งไปฟ้องอาจารย์ด้วย ตอนนั้นอันที่จริงเผยเฉียนยังอายุมากกว่าเฉามู่เล็กน้อย ส่วนเรื่องความกล้าหาญนั้น ตอนที่เผยเฉียนยังเด็ก นางไม่ใช่คนใจกล้าเลยจริงๆ อาจยังเทียบกับหมี่ลี่น้อยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นที่ว่าทุกวันนี้ก็ยังพกกระดาษยันต์เหลืองธรรมดาแผ่นนั้นติดตัวมาด้วย
พี่หญิงเผยคัดตัวอักษรอย่างตั้งใจมาก
จากนั้นเฉามู่ก็พลันรู้สึกตื่นตระหนก รีบหันหน้าไปมองจวี่สิง
จวี่สิงเองก็มองเฉามู่ ยื่นนิ้วมาวางลงบนปาก ส่ายหน้าบอกเป็นนัยแก่เฉามู่ว่าอย่าพูดอะไร
เฉามู่ลุกขึ้นยืนอย่างเบามือเบาเท้า ที่แท้พี่หญิงเผยที่คัดตัวอักษร ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงหลั่งน้ำตา
เผยเฉียนรู้สึกเสียใจ วันหน้าเมื่ออาจารย์พ่อจะเขกหัวนาง ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องค้อมเอวลงอีกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต่อให้ได้กลับมาพบเจอกับอาจารย์พ่ออีกครั้ง ได้ออกเดินทางท่องขุนเขาสายน้ำด้วยกันอีกครั้ง อาจารย์พ่อก็คงจะไม่ยื่นมือมาจูงมือของแม่นางน้อยอีกแล้ว
ทำไมถึงเติบโตได้นะ
เมื่อก่อนศิษย์พี่เล็กห่านขาวใหญ่เคยพูดหยอกล้อ ถามศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างนางว่า รู้หรือไม่ว่าใต้หล้านี้ใครที่กลัดกลุ้มมากที่สุด
แน่นอนว่าเผยเฉียนต้องตอบว่าอาจารย์พ่อของตน เพราะอาจารย์พ่อชอบคิดเรื่องราว ชอบดูแลคนอื่นเป็นที่สุดนี่นะ
ตอนนั้นศิษย์พี่เล็กส่ายหน้ายิ้ม ให้คำตอบที่ฟังแล้วน่าโมโหอย่างยิ่ง
บอกว่าก็คือเจ้าคนที่มีชื่อว่า ‘จ่างต้า’ (เติบโต/เติบใหญ่)
……
เมืองหลวงต้าหลี เจ้ากรมผู้เฒ่ากวนนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ชายคา ต่อให้ผู้เฒ่าจะสวมเสื้อตัวหนา แต่ก็ยังกลัวหนาว ในมือจึงถือประคองเตาพกอุ่นมือ มองไปยังต้นชิงถงกลางลานบ้าน
ผู้เฒ่าแยกเขี้ยว ใช้นิ้วโป้งดันฟันซี่หนึ่งของตัวเองไว้เบาๆ ในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด
กวนอี้หรานหลานชายผู้สืบทอดสายตรงที่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง กลับเมืองหลวงมาครั้งนี้ก็จะลงจากตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจการท่าเรือฉีตู้อย่างเป็นทางการ และกำลังจะเข้ารับตำแหน่งในกรมครัวเรือน เพียงแต่ว่าไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้ากรมเหมือนกับหลิ่วชิงเฟิง บอกตามตรง ต่อให้จะเปรียบเทียบกับลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพอย่างหลิวสวินเหม่ย การโยกย้ายเลื่อนขั้นของกวนอี้หรานในครั้งนี้ ก็ยังดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะใจแคบกับเขาเกินไปสักหน่อยแล้ว แม้ว่ากวนอี้หรานที่มีชาติกำเนิดมาจากทหารติดตามกองทัพชายแดนจะไม่ใคร่ยินดี แต่ก็ไม่ได้รังเกียจตำแหน่งขุนนางที่เล็กนี้ อีกทั้งส่วนลึกในกระดูกของเขายังเคยชินกับสนามรบที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายหนาหยาบแล้ว ก็แค่เชื่อฟังคำสั่งของท่านปู่ทวดจึงเลือกที่จะกลับมารับตำแหน่งในเมืองหลวงเท่านั้น กลับมาถึงบ้านครั้งนี้ กวนอี้หรานจึงรีบมาอยู่ข้างกายผู้เฒ่าทันที