กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 705.4 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม
กล่าวมาถึงตรงนี้เจ้าขุนเขาก็หันไปมองบรรพบุรุษตระกูลเถาด้วยสายตาไม่พอใจนัก ในอดีตแม่หนูเถากับผู้ถวายงานปกป้องภูเขาเดินทางไปท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจเอาคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นกลับมาได้ ซ้ำยังมิอาจตัดรากถอนโคน แม้แต่เด็กหนุ่มบ้านนอกที่เป็นเพียงช่างปั้นคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างสะอาดเอี่ยม กลายเป็นว่าทิ้งภัยแฝงที่ใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ แม้จะบอกว่าตอนนั้นเป็นเพราะหลี่ถวนจิ่งยังมีชีวิตอยู่บนโลก อีกทั้งเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางก็ว่ากันว่าถูกถ่ายโอนไปถึงมือของสวนลมฟ้า ดังนั้นวานรย้ายภูเขาจึงค่อนข้างจะกริ่งเกรง ทั้งยังมีส่วนที่คิดพิจารณาเพื่อภูเขาตะวันเที่ยง จึงไม่เหมาะที่จะฉีกหน้าแตกหักกับสวนลมฟ้าอย่างสิ้นเชิงในเวลานั้น
แต่ตอนนี้พอมาย้อนนึกดูก็ยังทำให้เจ้าขุนเขาปวดหัวไม่คลาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนเกลียดคำว่า ‘หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก’ เป็นที่สุด!
บรรพบุรุษตระกูลเถาหันหน้ามา ผงกปลายคางชี้ไปยังสตรีผู้นั้น จากนั้นก็เอ่ยกับเจ้าขุนเขาว่า “ตามรายงานของนาง ทุกวันนี้หลิวเสี้ยนหยางได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว เนื่องจากบรรพบุรุษสกุลหลิวเคยเป็นคนเฝ้าสุสานให้กับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสกุลเฉินผู้รอบรู้ ภายหลังจึงไปขอศึกษาต่อที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ในทักษินาตยทวีปนานสิบปี ทุกวันนี้หลิวเสี้ยนหยางมีขอบเขตอะไรแล้ว? เคยมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับสวนลมฟ้าหรือไม่?”
สตรีลุกขึ้นยืน หยิบกระดาษหน้าหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ บรรพบุรุษตระกูลเถายื่นมือออกไปคว้า แล้วเริ่มอ่านก่อน
เจ้าขุนเขามีสีหน้าเป็นปกติ ไม่ถือสากับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
บรรพบุรุษตระกูลเถาขมวดคิ้วกล่าว “มีแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นหรือ? ในเมื่อได้เป็นลูกศิษย์ของหร่วนฉงแล้วมีขอบเขตอะไร? ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคืออะไร? ระหว่างที่ไปขอศึกษาต่อในสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปเคยมีเส้นสายมีสัมพันธ์กับใครบ้าง? ล้วนไม่รู้เลยอย่างนั้นรึ?!”
บรรพบุรุษตระกูลเถาผลักกระดาษแผ่นนั้นไปทางเจ้าขุนเขา เจ้าขุนเขาอ่านจบแล้วก็เอ่ยว่า “หากดูตามในรายงาน ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้เป็นเด็กหนุ่มก็คือคนที่ไม่รู้จักรักษาความลับ ชอบความมีหน้ามีตา หลังกลับมายังบ้านเกิดกลับไม่เคยเล่าถึงประสบการณ์การขอศึกษาต่อของตนให้ใครฟังบ้างเลยหรือ?”
สตรีส่ายหน้า “นิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้ว่าจะยังชอบออกไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ทุกวัน ทว่ายามที่สนทนาพาทีกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงกลับพูดถึงแค่เรื่องเก่าๆ คนเก่าๆ ของบ้านเกิดเท่านั้น ไม่เคยพูดถึงสกุลเฉินผู้รอบรู้เลย ถึงขึ้นที่ว่าตลอดทั้งอำเภอไหวหวง นอกจากคนไม่กี่คนที่มีผู้ตรวจการเฉารวมอยู่ด้วยแล้วก็ล้วนไม่มีใครที่รู้ว่าเขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว และบนภูเขาเสินซิ่วก็มีคนของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอยู่น้อยเกินไป ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉงก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ การสืบข่าวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิดใจกับหร่วนฉง ผู้ฝึกตนที่มีนิสัยอย่างหร่วนฉง ในเมื่อเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี แล้วยังมีที่พึ่งเป็นศาลลมหิมะอีก ว่ากันว่ากับเซียนกระบี่เว่ยเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวด้วย อีกทั้งยังเป็นสำนักกระบี่ที่ช่วงชิงอยู่บนมหามรรคากับพวกเรา ตอนนี้จึงดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ควรไปมีเรื่องกับเขาก่อนเวลาอันควร”
บรรพบุรุษตระกูลเถาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “นับว่าพอจะพูดจาเป็นจริงเป็นจังที่ฟังดูมีความรู้ได้บ้างแล้ว”
อยู่ดีๆ เจ้าขุนเขาก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “หากมีเว่ยจิ้นสักคน ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรายังจะต้องกลัดกลุ้มเรื่องอนาคตไปไย ต่อให้ข้าต้องยกตำแหน่งเจ้าขุนเขาให้กับเว่ยจิ้นก็ยังไม่เป็นปัญหา”
เว่ยจิ้นทยอยไปถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปสองครั้ง
สมกับเป็นเซียนกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง
สตรีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เจ้าขุนเขาถาม “เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางอยู่ในมือของศาลลมหิมะแน่หรือ?”
สตรีพยักหน้า “น่าจะไม่ผิดแล้ว
เจ้าขุนเขายื่นนิ้วมานวดจุดไท่หยาง “เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อยพวกนี้ยังเป็นพวกที่จดจำความแค้นได้ดีที่สุด หากใช้สถานะของผู้สืบทอดสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาถามกระบี่กับพวกเรา ถึงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงควรจะจัดการเขาอย่างไร ฆ่าให้ตายหรือไม่ฆ่าให้ตาย? ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นปัญหายุ่งยากทั้งนั้น หากยังดึงเอาศาลลมหิมะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นเหตุให้ศาลลมหิมะและสำนักกระบี่หลงเฉวียนร่วมมือกันหันมาเล่นงานภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา ต่อให้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี”
สตรีถามหยั่งเชิง “ข้ามีความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เจ้าขุนเขาจะลองฟังดูหรือไม่”
เจ้าขุนเขายิ้มอย่างปลาบปลื้ม “ลองว่ามาสิ หากสามารถทำสำเร็จได้จริง แก้ไขปัญหาที่แฝงอยู่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็แยกการให้รางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจนอยู่แล้ว”
เจ้าขุนเขากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหลือบตามองเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ว่างเปล่า อยู่ข้างหน้าตำแหน่งของสตรีไปหลายระดับ
สตรีเข้าใจได้ทันที นางรีบคลี่ยิ้ม เพียงแต่จู่ๆ กลับเกิดลังเลขึ้นมา
เจ้าขุนเขาเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี จึงเอ่ยว่า “การปรึกษากิจธุระในวันนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรแล้ว ทุกท่านเชิญกลับไปฝึกตนฝึกกระบี่ของตัวเองต่อได้”
ผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าอีกส่วนหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนแล้วจากไป ศาลบรรพจารย์จึงว่างโล่งไปครึ่งหนึ่ง
สตรีถึงได้เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งของยอดเขาฉงจือของพวกเราเดินทางไปเยือนแคว้นหู ได้เกิดความรักกับลูกหลานสกุลหลูที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่นครลมเย็น พวกเราไม่สู้ผลักเรือตามน้ำ ให้พวกเขาได้สมปรารถนา ผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนบนภูเขากัน จากนั้นก็ลองปรึกษากับสกุลสวี่นครลมเย็น ให้บุรุษผู้นั้นเป็นเขยแต่งเข้าภูเขาตะวันเที่ยง ภูมิลำเนาของคนผู้นี้คืออำเภอไหวหวงต้าหลี กำเนิดจากสกุลหลูถนนฝูลวี่ แล้วก็ยิ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกับหลิวเสี้ยนหยาง อีกทั้งยังปะทะกันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ในอดีตลูกหลานสกุลหลูผู้นั้นเกือบจะซ้อมหลิวเสี้ยนหยางตายอยู่ในตรอกเก่าโทรมแห่งหนึ่ง ภายหลังเมื่อครั้งที่แม่หนูเถาเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู คนผู้นี้ถึงได้ถูกสตรีของสกุลสวี่นครลมเย็นหมายตา แล้วช่วยนำทางมาฝึกตน ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางต้องเกลียดแค้นคนผู้นี้ไม่น้อยแน่”
เจ้าขุนเขาพยักหน้า ความหมายคร่าวๆ เขาพอจะเข้าใจแล้ว และนี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอีกเรื่อง หรือว่าสตรีที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะรักษากฎเกณฑ์ ไม่ชอบมีหน้ามีตาตรงหน้าผู้นี้สมควรจะให้ภูเขาตะวันเที่ยงนำมาใช้ทำงานสำคัญแล้วจริงๆ?
สตรีเอ่ยต่ออีกว่า “พวกเราจัดงานแต่งให้ครึกครื้นสักหน่อย จากนั้นก็จงใจปล่อยข่าวไปที่อำเภอไหวหวง หลิวเสี้ยนหยางต้องได้ยินอย่างแน่นอน ความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางมาอาละวาดที่งานแต่ง สังหารลูกหลานสกุลหลูทิ้ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเก็บกลั้นความแค้นไว้ในใจ หลังจากก่อเรื่องไปแล้ว อันที่จริงถือว่าเป็นเรื่องดี หลังจากนั้นไปเขาก็ไม่มีข้ออ้างที่จะมาตามตอแยภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราอีก”
บรรพจารย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสตรียิ้มตาหยีอีกครั้ง “จิตใจเมตตาของสตรี”
สตรีไม่ได้เอ่ยตอบโต้ใดๆ
บรรพจารย์ผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ขอแค่หลิวเสี้ยนหยางกล้าลงมือในงานแต่ง ข้าก็สามารถทำให้ลูกหลานสกุลหลูผู้นั้นตายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะทำให้ลูกศิษย์ยอดเขาฉงจือที่เพิ่งสวมชุดแต่งงานได้ไม่นานเท่าไรฆ่าตัวตายตามเพื่อบูชาความรักด้วย ส่วนข้อที่ว่านางจะตายจริงหรือแกล้งตายล้วนไม่สำคัญ ก็ยังเป็นพวกเราที่เป็นคนตัดสินใจอยู่ดีไม่ใช่หรือ อย่างมากก็ให้นางปิดบังชื่อแซ่เลียนแบบซูเจี้ย ภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีทางปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว หร่วนฉงยังจะมีหน้าให้การปกป้องหลิวเสี้ยนหยางอยู่อีก”
สตรีเอ่ยเบาๆ “บรรพจารย์เยี่ยนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”
บรรพจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นเอนตัวไปด้านหลังพิงพนักเก้าอี้ “พูดได้ดี”
เจ้าขุนเขากล่าว “ยังต้องคิดหาเหตุผลที่ทำให้หลิวเสี้ยนหยางจำต้องมาด้วย”
บรรพบุรุษตระกูลเถายิ้มกล่าว “ง่ายเลย ก็ให้เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นถือโอกาสนี้มาเข้าร่วมงานแต่งด้วย ทุกวันนี้บนร่างของเขาสวมเสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง เชื่อว่านครลมเย็นต้องหวังให้หลิวเสี้ยนหยางตายไปก่อนวัยอันควรยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก”
สตรีพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายกับว่าวันนี้พูดไปเยอะจึงทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
……
บนยอดเขาตุ้ยเซวี่ยของภูเขาตะวันเที่ยง นายบ่าวคู่หนึ่งชมทิวทัศน์อยู่ในระเบียงจวนตระกูลเซียนที่สร้างติดริมหน้าผา
บุรุษก็คือหยวนป๋ายผู้ฝึกกระบี่แห่งราชวงศ์จูอิ๋งเดิม สาวใช้ข้างกายเขามีนามว่าหลิวไฉ่ ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางมักจะทำหน้าตาย อีกทั้งรอบกายยังแผ่กลิ่นอายอึมครึม หน้าตาก็ไม่ได้งดงาม จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน
หยวนป๋ายมีสีหน้าหม่นหมอง คิดไม่ถึงว่าแค่ออกจากบ้านไปเยือนธวัลทวีปมารอบเดียว พอกลับมาก็ไม่เหลือทั้งบ้านทั้งแคว้นแล้ว
บ้านเกิดของสตรี อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นใต้หล้าไพศาลตามความหมายที่แท้จริงไปเสียทั้งหมด แต่เป็นในพื้นที่มงคลบ่อสวรรค์ที่ได้รับการขนานนามไปทั่วธวัลทวีป
พื้นที่มงคลบ่อสวรรค์คือผลิตผลส่วนตัวของสกุลหลิวธวัลทวีป ช่วงแรกเริ่มสุดที่มีการค้นพบยังเป็นเพียงพื้นที่มงคลระดับล่างที่ปราณวิญญาณบางเบา แต่เพราะอาศัยเงินเทพเซียนที่ทุ่มจ่ายจึงดันขึ้นมาเป็นพื้นที่มงคลระดับบนได้
ทุกปีจะต้องมีภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างภาพ ‘นางฟ้าโปรยดอกไม้’ ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ผลิของทุกปีจะต้องให้หญิงสาวของตระกูลหลิวสวมชุดอาภรณ์สีสันสดใสไปโปรยเงินเกล็ดหิมะ
ไม่ใช่ว่าเงินของสกุลหลิวไม่มากพอ แต่เป็นเพราะพื้นที่มงคลได้รับการสยบกำราบจากมหามรรคาอย่างที่มองไม่เห็น อย่างมากสุดจึงกลายมาเป็นพื้นที่มงคลระดับบนได้เท่านั้น
แม้กระทั่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่อยู่ในครอบครองของสกุลเจียงแห่งสำนักกุยหยกก็ยังไม่สามารถทัดเทียมกับพื้นที่มงคลบ่อสวรรค์ได้
ไม่สามารถเลื่อนระดับขั้นของพื้นที่มงคลได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีป เล่าลือกันว่าตอนเด็กทายาทสายตรงอย่างหลิวโยวโจวเคยพูดล้อเล่นประโยคหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าทุ่มเงินสร้างถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กขึ้นมา วันหน้าก็จะกลายเป็นที่ฝึกตนของข้าแล้ว
ดังนั้นท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภธวัลทวีปจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถทำได้
หลังจากนั้นมาดูจากท่าทางการทุ่มเงินของสกุลหลิวแล้ว ต่อให้เป็นหลุมไร้ก้นก็ยังจะใช้เงินเกล็ดหิมะมาเติมมันให้เต็ม
ดังนั้นใต้หล้าไพศาลจึงมีคำกล่าวที่น่าสนใจอย่างหนึ่งมาโดยตลอด ใครได้แต่งงานกับหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป คนนั้นก็คือแม่บ้านที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้า
บุรุษหันหน้ามามองสาวใช้ เอ่ยเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ ข้าจะต้องช่วยเจ้าตามหาอดีตเจ้าของพื้นที่มงคลให้เจอให้จงได้”
สาวใช้พยักหน้ารับ
สตรีผู้หนึ่งทะยานลมมาจากศาลบรรพจารย์ พลิ้วกายลงหยุดอยู่กลางระเบียง
หยวนป๋ายและนางคารวะทักทายกัน
สตรีใช้เสียงในใจเอ่ยด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจ บอกกล่าวข้อเสนอแนะของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนหน้านี้กับหยวนป๋าย
หยวนป๋ายฟังแล้วก็ตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าตกลง”
สตรีถอนหายใจเบาๆ
หยวนป๋ายที่พอมาถึงภูเขาตะวันเที่ยงแล้วก็ไม่เคยย่างเท้าไปไหนยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้”
หลังจากสตรีจากไปแล้ว
หยวนป๋ายก็เอ่ยกับสาวใช้อย่างละอายใจว่า “หลิวไฉ่ ข้าจะพยายามช่วงชิงสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาตะวันเที่ยงมาให้เจ้า ให้เป็นยันต์คุ้มกันกายที่ช่วยปกป้องเจ้าบนเส้นทางการฝึกตนในอนาคต เรื่องของการตามหาเจ้านายเจ้า เกรงว่าข้าคงต้องผิดสัญญาแล้ว”
สาวใช้พยักหน้า “ไม่เป็นไร”
สตรีทะยานลมกลับไปยังภูเขาบ้านตัวเองอย่างเนิบช้า กฎระเบียบบนภูเขาตะวันเที่ยงเข้มงวด ทิศทางการขี่กระบี่การโคจรลมของผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีการกำหนดไว้แน่นอน และระดับสูงต่ำก็มีข้อพิถีพิถันอย่างมาก
พอไปถึงสถานที่ฝึกตนที่เรียบง่ายโกโรโกโส สตรีก็หลุดหัวเราะพรืด นางนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ยื่นนิ้วไปหมุนเชือกสีแดงบนข้อมือเล่น
หวนนึกถึงความแค้นอันน้อยนิดระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมหิมะแล้วก็ให้รู้สึกว่าคำกล่าวที่ว่าตุ๊กตาโคลนลงน้ำต่อยตี ปูกุ้งลงกระทะพลิกคลื่นช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
ตอนนี้เรื่องเดียวที่นางรู้สึกสนใจก็คือศิษย์พี่ที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานาน เหตุใดถึงเป็นฝ่ายมาหาตนก่อนอย่างที่ไม่เคยทำ แล้วยังบอกให้นางช่วยดูแลหลิวไฉ่ที่มาจากพื้นที่มงคลบ่อสวรรค์ของธวัลทวีปด้วย ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รับรองว่านางจะไม่ตายก็พอ นอกจากนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว
แต่นางก็ไม่กล้ากระทำการอะไรที่เกินความจำเป็นแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่กล้าเล่นตุกติกกับร่างของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยความเคยชินของนาง หลิวไฉ่กับหยวนป๋ายผู้นั้น แล้วยังมีหลิวเสี้ยนหยางอีกคน ก็คงจะได้สานบุพเพวาสนาต่อกันไปแล้ว
ฟ้าคำนวณของศิษย์พี่เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวกดข่มตลอดทั้งสกุลลู่สำนักหยินหยางในแผ่นดินกลางได้
ส่วนนางอย่างมากสุดก็ได้แค่หยอกเย้า ควบคุมการไหลรินของโชคชะตาวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีป แล้วค่อยใช้สถานการณ์ใหญ่ของหนึ่งทวีปมาขัดเกลามหามรรคาของตนก็เท่านั้น
แต่ศิษย์พี่กลับเหนือกว่านี้ไปไกลโขนัก
ในสายตาของศิษย์พี่คนนั้นของนาง ราวกับว่าคอยมองใต้หล้าทุกแห่งอยู่ตลอดเวลา
นางพึมพำกับตัวเองว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดถึงใช้หนึ่งสลายหนึ่งเล่า?”
……
ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลิวเสี้ยนหยางนั่งอาบแดดงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
ก่อนหน้านี้ได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำสองฉบับมาจากภูเขาเสินซิ่ว ทำให้หลิวเสี้ยนหยางอารมณ์ดีอย่างมาก
ฉบับแรกเป็นรายงานเกี่ยวกับสิบคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าทุกแห่ง ฉบับใหม่ล่าสุดมีการประกาศอันดับสำรองสิบคนมาแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางทั้งนับถือคนเบื้องหลังที่ให้การประเมินทั้งสองฉบับ แล้วก็ทั้งนับถือรายงานที่สามารถอธิบายเรื่องวงในละเอียดยิ่งกว่าเดิมออกมาได้อย่างรวดเร็ว
หรือว่าเทพเซียนบนภูเขาพวกนี้วันๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยชอบลอยไปลอยมาสืบข่าวคนอื่น?
ทันใดนั้นหลิวเสี้ยนหยางพลันออกมาจากสภาวะหลับฝัน เงยหน้าขึ้นยิ้มทักทายว่า “ศิษย์พี่อวี๋หมี่”
คือเซียนกระบี่หมี่อวี่ถูกเว่ยซานจวินโยนมาไว้ตรงหน้าตน
หมี่อวี้หิ้วเก้าอี้ไม้ไผ่มานั่งข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง จากนั้นก็ยื่นเมล็ดแตงกำมือหนึ่งส่งให้
แทะเมล็ดแตงด้วยกัน หมี่อวี้ยิ้มกล่าวว่า “ทางฝั่งของภูเขาพีอวิ๋นเพิ่งจะได้รับข่าว คนหนุ่มแซ่หลูของถนนฝูลวี่กำลังจะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเทพธิดาคนหนึ่งของยอดเขาฉงจือแห่งภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าประมุขสวี่เฉิงของนครลมเย็นก็คงต้องปรากฎตัวในงานแต่งงานด้วยอย่างแน่นอน”
หมี่อวี้อึ้งตะลึง “เจ้าไม่คิดจะไปทำลายงานแต่งหรือ? ข้าอุตส่าห์วางแผนไว้เสียดิบดีว่าจะไปเที่ยวภูเขาตะวันเที่ยงกับเจ้าสักรอบ”
หลิวเสี้ยนหยางถ่มเปลือกเมล็ดแตงทิ้ง “ผิงอันน้อยของข้าเคยบอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าให้คอยจับตาดูข้าให้ดี ไม่ให้ข้าทำอะไรโดยใช้อารมณ์”
หมี่อวี้ส่ายหน้า “ไม่เคยเลยจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้านั่นใจจืดใจดำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ! ถึงขนาดไม่ให้พี่อวี๋หมี่มาคอยปกป้องมรรคาให้ข้า! มารดามันเถอะ พอมีเมียแล้วก็ลืมพี่น้อง คาดว่าคงลืมรสชาติของกระบวนท่าลิงขโมยลูกท้อไปด้วยแล้วกระมัง”
หมี่อวี้รู้สึกปวดหัวแปลบๆ
สมองของเจ้าหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ไม่ค่อยปกติเท่าไรเลย
ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องกับใต้เท้าอิ่นกวาน