กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 708.5 ใช้หนึ่งนครช่วงชิงใต้หล้า
ท่ามกลางสีของสายัณห์ ร้านกำลังจะปิด เจิ้งต้าเฟิงตัวแทนเถ้าแก่ที่เหนื่อยมาทั้งวันและกำลังจะได้เวลาพักผ่อน เวลานี้ดื่มเหล้าอย่างเนิบช้า เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว มองเหลาสุราสองฟากของถนนใหญ่ ไม่มีสตรีจึงกวาดตามองผ่าน พอมีสตรีปรากฏตัวก็จะมองตาไม่กะพริบ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งรินเหล้าให้ตัวแทนเถ้าแก่หนึ่งชาม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ต้าเฟิง เจ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้เรื่องเลยนะ วันนี้ศาลบรรพจารย์มีประชุม เป็นเรื่องที่คึกคักเพียงใด ผลกลับกลายเป็นว่าแม้แต่โอกาสจะไปเป็นเทพทวารบาลนั่งยองฟังหน้าประตูเจ้าก็ยังไม่มี แล้วยังมีหน้ามาสอนหมัดให้คนอื่นอีกหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงค้อมเอวก้มหน้าดมกลิ่นหอมของเหล้า ไม่ได้รีบร้อนดื่ม แหงนหน้ายิ้มเอ่ยกับเฝิงคังเล่อว่า “พี่ใหญ่ต้าเฟิงของเจ้าเป็นคนที่ถือสาในชื่อเสียงจอมปลอมหรือ? ในศาลบรรพจารย์แห่งนั้นข้าจะได้เห็นสตรีสักกี่คนกัน? สามารถเทียบกับการนั่งอยู่ที่นี่ได้หรือไง?”
ร้านเหล้าในทุกวันนี้ นอกจากเจิ้งต้าเฟิงที่เป็นคนต่างถิ่นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนเก่าแก่ในอดีต
ลูกจ้างหนุ่มสาวสองคน ชิวหล่ง หลิวเอ๋อ
เด็กหนุ่มที่ทำงานเบ็ดเตล็ด เฝิงคังเล่อ เถาป่าน
เหล้าก็ยังคงเป็นแบบเดิม เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เหล้าภูเขาชิงเสิน เหล้าทะเลสาบคนใบ้ บวกกับผักดองและบะหมี่หยางชุน
ชามที่ใช้ก็ใหญ่เท่าเดิม
เฝิงคังเล่อร้องถุยหนึ่งที เจิ้งต้าเฟิงผู้นี้ ลำพังเพียงแค่อาศัยรอยยิ้มและสายตาที่เกรงว่าต่อให้คนอื่นอยากเลียนแบบก็เลียนแบบไม่ได้นั้น ก็สามารถทำให้สตรีไม่รู้กี่มากน้อยที่เดิมทีมักจะมาซื้อเหล้าดื่มด้วยตัวเองเป็นประจำเผ่นหายไปได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะเวลาปกติมีหนุ่มโสดและผีพนันมาเพิ่มมากขึ้น สหายรักของเขาอย่างเถาป่านก็อาจจะก่อกบฏกับเจิ้งต้าเฟิงแล้วก็เป็นได้
เถาป่านที่เช็ดโต๊ะอยู่ห่างไปไกลอดไม่ไหวถามอีกครั้ง “ต้าเฟิง เจ้าว่าข้าใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธที่ไม่ว่าใครก็มองไม่ออกหรือไม่?”
ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นเพียงเด็กชาย อันที่จริงก็เคยถามคำถามทำนองเดียวกันนี้กับเถ้าแก่รองมาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่
ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิงยังคงรับผิดชอบหน้าที่สอนวิชาหมัด
เถ้าแก่ที่ชอบดื่มเหล้า อีกทั้งยังยินดีที่จะเป็นคนเฝ้าเองขโมยเองผู้นี้ มีเพียงก่อนและหลังสอนหมัดเท่านั้นที่จะไม่ดื่มเหล้าเด็ดขาด
เจียงอวิ๋น สวี่กง หยวนจ้าวฮว่าแห่งตรอกมู่เหมิง
เป็นสามคนนี้ที่เรียนวิชาหมัดได้เร็วที่สุด อาศัยฟ้าอำนวยของใต้หล้าใหม่เอี่ยม เจียงอวิ๋นได้โชคชะตาบู๊มาสองครั้ง สวี่กงกับหยวนจ้าวฮว่าต่างก็ได้รับมาหนึ่งครั้ง
แล้วยังมีแม่นางน้อยจากถนนอวี้ฮู่อย่างซุนฉวีอีกคน นางมีน้องสาวชื่อซุนจ่าว เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ ปีนั้นถูกเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งพาออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ นางเองก็เรียนวิชาหมัดใช้ได้เหมือนกัน
อันที่จริงเด็กสิบคนของกลุ่มแรกนี้ล้วนมีปณิธานหมัดที่ไม่เลว เด็กสองคนที่เหนี่ยนซินเลือกมาในภายหลังก็มีคุณสมบัติดีเช่นกัน
ส่วนเด็กอีกสี่สิบคนหลังจากนั้นก็จะเป็นรองเล็กน้อย
สองคำว่าแข็งแกร่งที่สุดนั้น คือการนำมาเปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน
แต่ยิ่งเป็นคนที่พื้นฐานแน่นหนามากเท่าไร ก็จะได้รับโชคชะตาบู๊มากเท่านั้น หากตอนที่ฝ่าทะลุขอบเขตมีระดับความสูงของ ‘เบื้องหน้าไร้คนทำได้มาก่อน’ หากโชคชะตาบู๊มาถึง ก็จะยิ่งเป็นภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร
จะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดได้หรือไม่ก็ต้องดูที่โชคด้วย ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนขอบเขตเดียวกันกับเฉาสือหรือไม่ก็เฉินผิงอัน จากนั้นก็ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วกว่าพวกเขา แต่จะช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาได้อย่างไร?
ก่อนเฉาสือกับเฉินผิงอันก็ยังมีคนที่อยู่ขอบเขตเดียวกันกับศิษย์พี่หลี่เอ้อและซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนอื่นแล้วก็เป็นสภาพการณ์อันน่าสังเวชไม่ต่างกัน
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึก เอนตัวไปด้านหลัง หันหน้ามาเอ่ย “เอาเป็นว่าข้ามองไม่ออกก็แล้วกัน มองออกแค่ว่าชะตาดอกท้อของเจ้าไม่เลว”
เถาป่านบ่นว่า “ชะตาดอกท้อจะมีประโยชน์กับผายลมอะไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ห่างชั้นกับเถ้าแก่รองมากนัก ตอนที่เถ้าแก่รองยังอยู่ ลูกค้าผู้หญิงมีเยอะนักล่ะ ผลคือพอเจ้ามาทุกคนกลับเผ่นหนีกันไปหมด”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “คำพูดนี้ของเจ้าสมควรโดนฟ้าผ่าจริงๆ”
สายตาของแม่นางหน้าตางดงามคนหนึ่งทำให้คนรู้สึกเหมือนได้สวมผ้าบุนวมตัวหนาๆ ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้น หรือบางสายตาที่ราวกับจะกินคนได้ ก็สามารถทำให้บุรุษรู้สึกเหมือนได้ถอดเสื้อผ้าในวันที่อากาศร้อนระอุ บนร่างเย็นสบายแต่หัวใจกลับร้อนรุ่ม
น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเรื่องของชายหญิง
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองไปจุดอื่น
หลิวเอ๋อชอบชิวหล่ง แต่ชิวหล่งกลับมีพี่สาวคนหนึ่งอยู่ในใจมานานแล้ว คือเจ้าของร้านตัวจริง เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้าง
แววตาแค่นี้เจิ้งต้าเฟิงยังพอมีอยู่บ้าง
ดังนั้นยามอยู่กันเป็นการส่วนตัว ชายฉกรรจ์จะชำเลืองตามองหลิวเอ๋อที่ทำการค้าอยู่ห่างไปไกล แล้วพูดกึ่งหยอกล้อกับเด็กหนุ่มที่กลัดกลุ้มทุกวันผู้นั้นว่า ไม่สู้ทะนุถนอมเห็นค่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรต่อให้พี่สาวที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้าจะดีแค่ไหน ก็มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ น่าเสียดายก็แต่บางทีชิวหล่งอาจจะเข้าใจหลักการตื้นเขินนี้ แต่กลับทำไม่ได้ก็เท่านั้น
ชอบคนคนหนึ่ง ไม่ได้ยากเท่าไร แต่ไม่ชอบคนที่เคยชอบมากๆ กลับไม่ง่ายนัก
อาศัยนิสัยการทำการค้าที่ต่างจากอิ่นกวานหนุ่มโดยสิ้นเชิง เพียงไม่นานเถ้าแก่เจิ้งก็สามารถหยัดยืนอยู่ในนครบินทะยานได้อย่างมั่นคง แม้จะบอกว่ากิจการยังคงสู้ในอดีตไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ซบเซาเท่าเดิมแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เถ้าแก่เจิ้งยังชอบเดิมพัน ที่สำคัญที่สุดคือแรกเริ่มเจ้ามือและผีพนันทุกคนต่างก็มองเจิ้งต้าเฟิงเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเถ้าแก่รอง แต่ละคนจึงระมัดระวังกันมาก คิดไม่ถึงว่าพอผ่านไปไม่กี่ครั้ง ถึงได้ค้นพบว่าพวกเขาตกอกตกใจกันไปเองแท้ๆ ที่แท้เถ้าแก่เจิ้งก็เป็นคนที่มีมโนธรรมในใจจริงๆ นิสัยการเล่นพนันก็ดีเยี่ยม เดิมพันเมื่อไหร่ต้องแพ้เมื่อนั้น
ไปๆ มาๆ พวกนักดื่มจึงพากันพูดว่าคุณธรรมที่หล่นอยู่บนพื้น แม้แต่หมาก็ไม่คาบขึ้นมาของเถ้าแก่รองในอดีต ทุกวันนี้ล้วนถูกพี่น้องเจิ้งเก็บเอามาแล้ว
แต่ละคนต่างเรียกเถ้าแก่เจิ้งเป็นพี่เป็นน้อง บอกว่าหากใต้หล้าไพศาลมีวีรบุรุษเช่นเถ้าแก่เจิ้งเยอะๆ มีคนอย่างเถ้าแก่รองน้อยๆ ถ้าอย่างนั้นขนบธรรมเนียมประเพณีก็จะบริสุทธิ์ใสซื่ออย่างมากแล้ว
วลีติดปากของเถ้าแก่เจิ้งก็คือ ถือชามเหล้าเปล่า เจอกับใครก็เอ่ยว่า ‘ข้ายกก่อนหนึ่งจอก’
ยกก่อนหนึ่งจอกไม่ผิด เพราะทุกครั้งที่ยกล้วนเป็นเหล้าของลูกค้า
นอกจากนี้เทพธิดาใหญ่สิบคนที่เจิ้งต้าเฟิงประเมินออกมา รวมไปถึงตัวอ่อนสาวงามสิบคนที่เป็นเด็กสาวอายุน้อย พวกชายโสดผีขี้เหล้าล้วนเลื่อมใสอย่างยิ่ง แต่ละคนพากันยกนิ้วโป้งให้
เล่าลือกันว่ากวอจู๋จิ่วให้เงินเขาอย่างลับๆ ซื้อเหล้าของที่ร้านเพิ่มอีกหลายกา ปรึกษากับเจิ้งต้าเฟิงว่าให้ขยับลำดับของสาวแก่บางคนขึ้นสูงอีกหน่อย นางจะได้ไม่ขึ้นคานแต่งไม่ออก ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนที่เห็นกลัดกลุ้มกันแย่
คนที่ชอบมาเตร็ดเตร่ที่นี่ที่สุด นอกจากกวอจู๋จิ่วแล้วยังมีกู้เจี้ยนหลงอีกคน คนหนึ่งชอบฟังเรื่องเล่า อีกคนหนึ่งชอบดื่มเหล้าพลางฟังเรื่องเล่าไปด้วย
แน่นอนว่าคนต่างกัน เจิ้งต้าเฟิงก็เล่าเรื่องที่แตกต่างกัน กวอจู๋จิ่วแค่ชอบฟังเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์พ่อของนางเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนไม่สำคัญ นี่ทำให้พี่ต้าเฟิงรู้สึกยังไม่หายอยาก เหมือนตัวเองมีฝีมือเลิศล้ำ แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ ดังนั้นจึงเล่าเรื่องเทพเซียนตีกันให้กู้เจี้ยนหลงฟัง นั่นคืออาหารแกล้มเหล้าที่ดีที่สุดแล้ว
ผู้พูดมีใจ คนฟังมีเจตนา เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์และศิษย์กันครึ่งตัวแล้ว
กู้เจี้ยนหลงค่อนข้างชอบฟังเรื่องที่ชายหญิงต่อสู้กัน กระทั่งมีครั้งหนึ่งพี่ต้าเฟิงพูดถึงเรื่องสตรีตีกัน เขาก็อึ้งค้างไปทันที จากนั้นครั้งถัดมาที่มาดื่มเหล้า แม้แต่หวังซินสุ่ยก็ยังวิ่งตุปัดตุเป๋ตามมาด้วย จะต้องขอความรู้จากพี่น้องต้าเฟิงให้จงได้
เจิ้งต้าเฟิงดื่มเหล้าดับทุกข์หนึ่งชามแล้วทอดถอนใจ
เจ้าตะพาบน้อยกลุ่มที่เรียนวิชาหมัดกับเขานั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเด็กหนุ่มเจียงอวิ๋นเป็นผู้นำ ทุกครั้งระหว่างที่หยุดพักจากการฝึกหมัดก็จะเริ่มล้อมวงมาพูดบ่นเขา เห็นแล้วคันเท้าอยากเตะนัก
หากไม่รังเกียจที่หน้าตาเขาไม่หล่อเหลาพอ ก็รังเกียจที่เขาออกหมัดอัปลักษณ์ยิ่งกว่าหน้าตา
เทียบกับอิ่นกวานหนุ่มแล้วห่างไกลจนถนนสิบแปดเส้นก็ยังไม่พอ
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกจนใจเป็นทบทวี
มารดามันเถอะ หากข้าผู้อาวุโสหน้าตาเหมือนเว่ยป้อ เหมือนเจียงซ่างเจิน จะยังเป็นโสดมาจนถึงวันนี้ไหม? ไม่ใช่ว่าทุกวันต้องคอยยันประตูบ้านไม่ให้พวกสตรีบุกเข้ามาทำมิดีมิร้ายตนหรอกหรือ?
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่กันนะที่ตนเทียบไม่ได้แม้กระทั่งเฉินผิงอัน?
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง เทียบกับเจ้าขุนเขาผู้นั้น ตนก็ยังมากพอเหลือแหล่กระมัง?
พูดถึงแค่เฉินยวนจี ทุกครั้งที่ผ่านประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ยามจะพูดคุยกับตนยังอดเขินอายไม่ได้ ทว่าพอเจอกับเจ้าขุนเขาหนุ่มกลับไม่เคยพูดคุยด้วย ยิ่งมองเมินไปโดยตรง
เฝิงคังเล่อกับเถาป่านนั่งลงข้างกาย ต่างคนต่างกินบะหมี่หยางชุนคนละชาม
เฝิงคังเล่อถามอย่างใคร่รู้ “ต้าเฟิง ‘ลุกขึ้นมาเกาหัว’ หมายความว่ายังไงหรือ? ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงมีผีขี้เหล้าหลายคนชอบพูดประโยคนี้กันนักล่ะ”
มีครั้งหนึ่งสอนหมัดกลับมาก็เมาหนัก เจิ้งต้าเฟิงดื่มเหล้าติดกันสี่ชาม ใช้คำว่า ‘ลุกขึ้นมาเกาหัว’ เป็นตัวเปิดประเด็นแล้วพูดเหลวไหลไปรอบหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งขัดสมาธิ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “คือกับแกล้มจานหนึ่งที่หลอกให้คนดื่มเหล้าได้มากขึ้น แล้วยังเป็นกับแกล้มประเภทที่ว่าขายเหล้าซื้อเหล้าล้วนไม่ต้องจ่ายเงิน”
ลุกขึ้นมาเกาหัว! มองดูบุปผาผลิบานบุปผาร่วงโรยนอกหน้าต่าง อาจจะมีใบไม้เขียวมากกว่าดอกไม้แดง (เปรียบเปรยถึงชีวิตคนไม่จีรัง) แล้วหันไปมองจุดที่แสงไฟสาดส่อง กระโปรงตัวใหม่ของสาวงาม ฝีเท้าแผ่วเบาจนไม่ได้ยิน ครั้นจึงมองไปยังแสงจันทร์กระจ่าง สาวงามกรีดนิ้วเรียวดุจหยก เล็บอิ่มใสแวววาว สุดท้ายตนยกจอกขึ้นดื่ม มองแสงเดียวดายที่สาดส่องตัวเอง หัวใจมีแต่หิมะเยียบเย็น!
เถาป่านเอ่ย “พวกตะพาบที่ไร้มโนธรรมบอกว่าเถ้าแก่รองของพวกเราคือบัณฑิต เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้ามือหรือขายเหล้าหาเงินล้วนใจดำเป็นที่สุด ต้าเฟิงเจ้าไม่ใช่บัณฑิตสักหน่อย เหตุใดถึงได้มีวิธีเป็นชุดๆ ไม่ต่างกันเลยเล่า”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “เคยอ่านเจอประโยคหนึ่งจากในตำรา บอกว่าบัณฑิตไม่อาจเห็นเงิน ไม่อาจเห็นอำนาจ ขอแค่ได้เห็นเมื่อไหร่ก็จะเทียบแม้แต่โสเภณีสักคนยังไม่ได้! บัณฑิตที่เป็นเช่นนี้ เถ้าแก่รองของพวกเจ้าไม่ใช่ ส่วนข้า ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ข้าแค่ทนมองยามที่สตรีหน้าตาดีเดินผ่านไปข้างหน้า พวกนางก้มหน้าต่ำอย่างเขินอาย ซอยฝีเท้าเร็วรี่ไม่ได้เท่านั้น แน่นอนว่าหากเป็นช่วงหน้าร้อน ยิ่งพวกนางเดินเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เถาป่านไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เพียงแค่เอ่ยว่า “บัณฑิตไม่บัณฑิตอะไร ข้าไม่สนใจหรอก ข้ารู้แค่ว่าสตรีเหล่านั้นเห็นเจ้าแล้วต้องไม่ได้เขินอายแน่นอน”
เจิ้งต้าเฟิงตบโต๊ะ หันไปตะโกนเสียงดัง “หลิวเอ๋อ เจ้าคิดว่าพี่ต้าเฟิงเป็นอย่างไร?!”
หญิงสาวตกใจสะดุ้งโหยง ก่อนจะเค้นรอยยิ้มให้เถ้าแก่ แล้วเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “สายตาของเถ้าแก่ล่อกแล่ก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนดี”
เถาป่านหัวเราะหึหึ ม้วนบะหมี่จากในถ้วยขึ้นมา เอ่ยว่าข้าก็ยกหนึ่งจอก ส่วนเฝิงคังเล่อก็ยิ่งหัวเราะจนต้องวางตะเกียบแล้วใช้สองมือตบโต๊ะแทน
เจิ้งต้าเฟิงยืดเอวขึ้นตรงเล็กน้อย ชูถ้วยเหล้าขึ้นสูง “ลุกขึ้นมาเกาหัว ยกกันคนละจอก!”
เถาป่านพลันเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าประตูใหญ่ปิดทีหนึ่งนานถึงหนึ่งร้อยปี ข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร แล้วก็ไม่อาจเรียนวรยุทธได้ ชีวิตนี้จะไม่มีทางได้เจอกับเถ้าแก่รองอีกแล้วใช่หรือไม่”
เฝิงคังเล่อก็เงียบเสียงลงในทันใดเช่นกัน
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ไม่มีทาง เฉินผิงอันตัดใจจากพวกเจ้าไม่ลงหรอก เถ้าแก่รองของพวกเราท่านนี้เดินทางไกลในแต่ละครั้งก็เพื่อให้ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง”
เถาป่านหัวเราะได้ทันที “พูดเก่งจริง ดื่มให้มากหน่อย ข้าสามารถเลี้ยงเหล้าทะเลสาบคนใบ้เจ้ากาหนึ่งได้”
เจิ้งต้าเฟิงดื่มเหล้าไปแล้วก็แกว่งชามขาวเบาๆ เอ่ยว่า “คนรวยว่างงานสุขสบาย ไม่มีเรื่องไม่มีราวคือเทพเซียนน้อย คิดไม่ถึงว่ามาอยู่ที่นี่จะได้มีวันเวลาดีๆ ที่สบายใจเช่นนี้”
เฝิงคังเล่อพลันถามว่า “ต้าเฟิง เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะหน้าทะเล้น “ยังเป็นคนหนุ่มที่ก้นย่างแผ่นแป้งได้ (เปรียบเปรยถึงคนหนุ่มเลือดร้อน มีไฟ) หากพวกเจ้าไม่เชื่อ คราวหน้าที่ต้าเฟิงจะช่วยทอดไข่ดาวให้เจ้าเอง”
เถาป่านเหลือกตามองบน “หากเจ้าเป็นบัณฑิต ข้าจะให้เฝิงคังเล่อใช้แซ่เดียวกับเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงมองสีท้องฟ้าแล้วก็เอ่ยว่า “เก็บร้านๆ กลับบ้านใครบ้านมัน”
เจิ้งต้าเฟิงเช่าบ้านหลังเล็กอยู่ในตรอกเหยียนชือที่ไม่ห่างจากร้านเหล้ามากนัก
ปิดร้านแล้วกลับที่พัก พอเจิ้งต้าเฟิงเปิดประตูเรือนแล้วก็ยิ้มทักทาย “แม่นางเหนี่ยนซิน”
ไม่รู้ว่าเหตุใดเหนี่ยนซินที่มาเพราะมีธุระ พอเห็นท่าทางยิ้มกว้างถูมือของเจิ้งต้าเฟิงก็เดินจากไปทันที
เจิ้งต้าเฟิงหงุดหงิดนัก นี่แสดงว่าตนรับรองแขกได้ไม่ดีพอ ชายฉกรรจ์นั่งลงในห้องหลักเพียงลำพังแล้วก็จุดตะเกียง เริ่มอ่านหนังสือเทพเซียนบนภูเขาเล่มหนึ่งที่กว่าจะขอยืมมาจากจูเหลี่ยนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บนหนังสือบางหน้ายังมีภาพวาดสีสันประกอบอยู่ด้วย
เจิ้งต้าเฟิงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม อ่านอย่างออกรสออกชาติ พอปิดหนังสือลงก็เดินหลังงองุ้มไปที่หน้าประตู ยืนพิงประตู สองแขนกอดอก มองม่านราตรี
บนโลกมีนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย เดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลที่สุดที่กำลังเท้าและกำลังใจของตัวเองไปถึง ย้อนหันกลับมามองดู ขุนเขาสายน้ำยาวไกล ไม่กลัวว่าบ้านเกิดจะไกลห่าง หนทางหวนกลับจะไกลแสนไกล กลัวก็แต่ว่าตอนที่กลับไปยังบ้านเกิดจะเหลือเพียงเรื่องราวและคนในอดีตแล้ว
วันนี้เจิ้งต้าเฟิงถูกเฝิงคังเล่อถามอย่างนั้น เขาถึงพลันตระหนักได้ว่าหากตนลองคิดคำนวณตามล่างภูเขาดู ขอแค่ไม่ได้เป็นชายโสดก็ควรจะต้องมีหลานแล้ว
บุรุษที่เป็นชายโสด มีเรือนกายแปดฉื่อก็นับว่าเสียเปล่า จะไม่ทำให้คนกลัดกลุ้มได้อย่างไร
เจิ้งต้าเฟิงเดินไปคว้าเมล็ดแตงบนโต๊ะมาหนึ่งกำมือ แล้วหิ้วเหล้าทะเลสาบคนใบ้มาอีกกา นั่งลงบนธรณีประตู ดื่มเหล้าพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย
แค่แทะเมล็ดแตงแล้วดื่มเหล้า คิดถึงภูเขาลั่วพั่ว เจิ้งต้าเฟิงก็ปล่อยวางได้บ้างแล้ว
เมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ตอนนั้นเด็กทุกคนที่เป็นรุ่นเยาว์ เจิ้งต้าเฟิงล้วนเห็นมาหมดแล้ว
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนหนุ่มสาว ยิ่งไม่ใช่เด็กอะไรแล้ว
เพราะถึงอย่างไรแม้แต่หลี่ไหวก็ยังอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงดื่มเหล้าพลางครุ่นคิดไปด้วย สมกับคำว่าลุกขึ้นมาเกาหัวดื่มเหล้าไม่หยุดจริงๆ
เมื่อเจิ้งต้าเฟิงคิดถึงโชคชะตาบู๊ที่ซัดกรูอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลครั้งนั้นก็ชูกาเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าว “ควรค่าแก่การดื่ม”
ผู้ฝึกยุทธใต้หล้า วิชาหมัดหนักที่สุด ภูเขาลั่วพั่ว
เพราะบนยอดเขาของวิถีวรยุทธ อีกไม่นานก็จะมีคนสี่คนยืนเคียงบ่ากัน อีกทั้งสองคนในนั้นจะต้องสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้ อีกสองคนที่เหลืออย่างน้อยก็มีหวังที่จะได้เป็นขอบเขตปลายทาง
ผู้ดูแลจูเหลี่ยนเป็นขอบเขตยอดเขาแล้ว เผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาใกล้จะได้เป็นขอบเขตยอดเขา เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตู สามารถเป็นขอบเขตยอดเขาได้ทุกเมื่อ
ส่วนเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันก็ยิ่งใช้คำว่า ‘เบื้องหน้าไร้คน’ ที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขา