กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 709.2 แม่นางหน้ากลม
ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนใจจึงขี่กระบี่มาหาอวี่ซื่อ
ระดับขั้นของกระบี่ยาวไม่ธรรมดา จึงวาดแสงกระบี่เจ็ดสีพร่างพราวน่ามองอยู่กลางอากาศ
นางมีนามว่าเซียนจ่าว เป็นพี่น้องกับพี่สาวอิ๋นซู่ พวกนางต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกจัดอันดับอยู่ในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ แต่กลับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครกว่างหานสำนักใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นขุนนางหญิงของกรมเซวี่ยซวง มีโฉมหน้าอ่อนเยาว์ ทว่ากลับเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่มีอายุมากถึงสามร้อยปีแล้ว
นครกว่างหานคือหนึ่งในสำนักใต้อาณัติของปีศาจใหญ่เฟยเฟย ในอดีตเฟยเฟยกับหย่างจื่อผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเคยสู้รบกันมานานหลายปี ผู้ฝึกตนหญิงในหกกรมซึ่งมีกรมเซวี่ยซวง กรมหลิ่วเถียวเป็นหนึ่งในนั้นของนครกว่างหานคือผู้ที่ออกแรงเยอะที่สุด
รูปลักษณ์ของเซียนจ่าวหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ คือหญิงสาวที่มีคางแหลมเล็ก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น นางยกชายกระโปรงขึ้น ยอบตัวคารวะแล้วเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าคุณชายอวี่ซื่อ
อวี่ซื่อไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ระดับชนชั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีความเข้มงวดอย่างมาก หากใครที่มีมารยาทมากเกินไป มีแต่จะได้ผลลัพธ์ในทางที่ตรงกันข้าม
หลังจากที่เซียนจ่าวเก็บกระบี่พกเรียบร้อยก็นั่งอยู่ห่างจากอวี่ซื่อมาไม่ไกล แต่กลับไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากนัก นางยกมือสองข้างเท้าคางมองนครที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายอวี่ซื่อ เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเข่นฆ่าแล้วจริงๆ เหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงได้มีเมืองมากมายขนาดนี้ล่ะ อำเภอ จังหวัด เขตการปกครอง เมืองหลวง เมืองมาก คนกลับมากยิ่งกว่า ยังดีที่พวกเขาขี้หลาด ต่างก็ถูกตัวเองทำให้ตกใจจนเกือบตายไปก่อน แล้วก็ไม่มีการต่อต้านใดๆ แรกเริ่มน่ะ ข้ายังสนุกอยู่มาก คิดว่าในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายทุ่มชีวิตเหมือนตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว แต่พอฆ่ามากๆ เข้า มีคนให้ฆ่าไม่หมดไม่สิ้นก็รู้สึกเบื่อจนเอียนแล้ว”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “นี่ก็คือใต้หล้าไพศาลอย่างไรล่ะ อุดมสมบูรณ์ ขอแค่ไม่มีสงคราม ไม่มีภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม หรือภัยตั๊กแตนใหญ่ๆ ผู้คนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว น้อยนักที่จะต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เพราะฉะนั้นจึงมีคนเยอะมาก ไม่ค่อยเหมือนบ้านเกิดของพวกเราสักเท่าไร”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก่อนที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จะปรากฏตัว นั่นคือกลียุคหมื่นปี
วิถีทางโลกวุ่นวายมากอย่างแท้จริง ปีศาจใหญ่เหิมเกริมไปทั่วใต้หล้า จนถึงขั้นที่ไม่เคยมีคำกล่าวว่า ‘ฆ่าอย่างพร่ำเพื่อ’ ในใต้หล้าแห่งนั้น
เซียนจ่าวชี้นิ้วไปยังมุมหนึ่งในนคร ถามว่า “เห็นซุ้มประตูหินนี่อีกแล้ว มีอยู่ในหลายสถานที่เลย ข้ากับพี่สาวอ่านตัวอักษรบนนั้นไม่ออก คุณชายอวี่ซื่อ ท่านเคยอ่านหนังสือมาก่อน เข้าใจใต้หล้าไพศาลดีมาก พวกมันมีไว้ทำอะไรหรือ?”
ตัวอักษรโบราณเก่าแก่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ว่ากันว่าพอจะถือว่ามีต้นกำเนิดเดียวกับของใต้หล้าไพศาลได้อย่างถูไถ แต่กลับแยกไปเป็นคนละสาขา ต่างฝ่ายต่างมีวิวัฒนาการ แต่ก็เพราะ ‘ตัวอักษรมีต้นกำเนิดเดียวกัน’ ต่อให้จะแค่พอถูไถแค่ไหน ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะลัทธิขงจื๊อก็ยังคงทำให้ปีศาจใหญ่ทุกตนกริ่งเกรงมากอยู่ดี เมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้เริ่มมีตัวอักษรประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘อักษรน้ำเมฆ’ ใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นตัวอักษรที่อาจารย์โจว ‘มหาสมุทรแห่งความรู้ของใต้หล้า’ ท่านนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นมา
อวี่ซื่ออธิบาย “นี่คือของที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาล เอามาใช้สรรเสริญชายหญิงที่มีความรู้ดี มีคุณธรรมสูง เคยอ่านเจอจากในตำราว่าอริยะปราชญ์ของที่นี่มีคำกล่าวที่ว่า ข้อเสียใหญ่ในทุกวันนี้ ขนบธรรมเนียมบริสุทธิ์หดหาย แต่ยังมีคุณความดีน้อยนิดที่ปรากฏอยู่บนศิลาสดุดี ความหมายคร่าวๆ ก็คือสามารถอาศัยซุ้มป้ายหินมาสรรเสริญความดีงามของคน ในใต้หล้าไพศาล หากมีซุ้มหินนี้ตั้งอยู่ในตระกูล ลูกหลานก็จะมีหน้ามีตาอย่างมาก”
เซียนจ่าวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้ฟังดูแล้วร้ายกาจอย่างมาก แต่ตลอดหลายปีที่ทำสงครามมานี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ”
แต่นางก็เคยเจอคนประหลาดมาบางส่วนอยู่เหมือนกัน มีหญิงชราผมขาวโพลนที่ในมือถือไม้เท้ายืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพชนของตระกูลตัวเอง แม้สุดท้ายจะตายเร็วเหมือนปุยนุ่นที่แตกกระจาย แต่นางกลับไม่กลัวตายเลยสักนิด หรือเป็นเพราะว่ามีชีวิตอยู่มานานมากพอแล้ว? แล้วนางก็ยังเคยเห็นผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่แม้ว่ายามหายนะใหญ่มาเยือนจะทำได้เพียงยืนเฉยรอความตาย ทว่าตอนนั้นที่ต้องตายอยู่ข้างโต๊ะซึ่งกองเต็มไปด้วยตำรา ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้ แล้วบอกให้เด็กน้อยคนนั้น ‘พูดดังๆ’ ส่วนผู้เฒ่ารับฟังถ้อยคำด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้จากฟันที่กระทบกันของเด็กรุ่นหลัง บางทีนั่นอาจเป็นคำสั่งสอน หรืออาจจะเป็นถ้อยคำบนหนังสือของอริยะปราชญ์บางเล่มกระมัง?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนที่ผู้เฒ่าตาย สีหน้าของเขาเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายๆ คนที่ยกสองมือประคองส่งสมบัติอาคม หรือไม่ก็เงินเทพเซียน เทียบกับจักรพรรดิฮ่องเต้หลายพระองค์ที่หมอบกราบอ้อนวอนแล้ว กลับองอาจผึ่งผายกว่ามาก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า? เซียนจ่าวรู้สึกว่าไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็กก็ล้วนต้องตาย
กลับเป็นสถานที่หลายแห่งที่เดิมทีกระโจมทัพมองเป็นสถานที่ที่ ‘สามารถต่อสู้ได้’ สนามรบแต่ละแห่ง เส้นแนวป้องกันแต่ละเส้น ด่านแต่ละด่าน มีพลทหารเท้า มีกองทัพม้าที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยมแวววาวนับหมื่นนาย ทว่ากลับเป็นเพียงแค่ชั้นวางดอกไม้ แค่แตะก็แหลกสลาย ยังไม่ทันต่อสู้ก็ย่อยยับ
นครสูงด่านโอฬารบางแห่ง ส่วนใหญ่มักจะต้านทานได้แค่ไม่กี่วันก็ถูกตีแตกแล้ว
เสื้อเกราะใหม่เกินไป ทหารเยอะแต่ฝีมือน้อยเกินไป
ทว่าตระกูลเซียนอักษรจงบางส่วนกับพวกกองทัพม้าเหล็กของราชวงศ์เจ็ดแปดแห่งนั่น กลับยังถือว่าพอจะสร้างปัญหาให้กับกองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่เรียกว่าภูเขาไท่ผิง คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมหาศาล ต่อสู้กันจนกองกำลังภายใต้บัญชาการณ์ของกระโจมทัพสองแห่งตายหมด สุดท้ายจำต้องระดมกำลังของกองทัพใหญ่อีกสองกลุ่มไปช่วย
อวี่ซื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยากมากที่จะอธิบายความมีประโยชน์และความไร้ประโยชน์ของสิ่งที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอยพวกนี้ได้ มีประโยชน์ต่อการอบรมสั่งสอนใจคน แต่กับการเข่นฆ่าสังหารแน่นอนว่าต้องไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ซุ้มหินทุกแห่ง หากเป็นช่วงเวลาที่วิถีทางโลกสงบสุข แม้มีทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้ ทว่าท่ามกลางกลียุควุ่นวาย กลับดูเหมือนว่าจะไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว
อวี่ซื่อเห็นผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่มีภาพบรรยากาศของก่อกำเนิด ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวออกมาจากพื้นที่ปกป้องของค่ายกล เปิดฉากเข่นฆ่ากับพวกอิ๋นซู่ เพราะตลอดทางที่ผ่านมาอิ๋นซู่ฆ่าคนไปมากมาย อีกทั้งยังจงใจฆ่าให้เขาเห็น ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นยังจงใจกระชากหัวของคนบางส่วนโยนไปบนค่ายกลใหญ่จนริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เหมือนเลือดสดที่ป้ายทาลงบนผนัง ส่วนปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงเป็นงูเหลือมก็ยิ่งกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ คว้าเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอภิบาลเมืองมาสองตนแล้วกดไว้บนผนังด้านนอกค่ายกล ก่อนจะค่อยๆ บีบร่างทองของพวกเขาให้แหลกสลาย
ได้พูดคุยกับเขาพักหนึ่งเซียนจ่าวก็พึงพอใจมากแล้ว นางลุกขึ้นยืน เอ่ยขออภัยว่า “คุณชายอวี่ซื่อ ข้าจะไปสังหารต่อล่ะนะ ไม่อย่างนั้นพี่สาวคงโมโหที่ข้าแอบอู้ เดี๋ยวจะบ่นข้ายาว”
อวี่ซื่อโบกมือ ยิ้มเอ่ยเตือนว่า “ยังต้องระวังผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่ามนุษย์สองคนนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วจะประมาทได้ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ ยามที่มีชีวิตอยู่ มีกลอุบายกันมากนัก และยามที่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะตาย ก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวอย่างมาก”
เซียนจ่าวพยักหน้ารับอย่างแรง
คุณชายอวี่ซื่อมีสถานะอันสูงศักดิ์ แต่กลับมีนิสัยอ่อนโยน พูดจานุ่มนวลเช่นนี้เสมอ
อวี่ซื่อมองเงาร่างของเซียนจ่าวที่ขี่กระบี่จากไป ยังคงไม่มีความคิดจะลงมือ
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อวี่ซื่อเข้าออกสนามรบหลายครั้งมากแล้ว คุณความชอบในการสู้รบมีไม่น้อย เสียเปรียบไม่มาก อันที่จริงก็มีแค่ครั้งนั้น แต่กลับเป็นครั้งที่ค่อนข้างหนักหนา
หลังจากที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกแล้ว แม้จะบอกว่าฝีเท้ายามย่างเดินในใต้หล้าที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้จะช้าไปบ้าง แต่ก็เหมือนผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดสองคนที่สังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งซึ่งรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุดด้วยความยากลำบาก จากนั้นค่อยจัดการกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ใจคนแตกฉานซ่านเซ็นไม่เป็นหนึ่ง แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกสบายอย่างมาก ถึงขั้นรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ
อวี่ซื่อลุกขึ้นยืน ก้มหน้ามองลงไป
เด็กหนุ่มสวมชุดผ้าแพรรัดเข็มขัดหยกคนหนึ่ง น่าจะเรียกได้ว่าโฉมหน้างดงามดุจหยกอย่างที่กล่าวในหนังสือได้แล้ว เขาหลบอยู่ตรงหน้าต่างห้องหนังสือมองมายังตน
ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบกลับดูน่าสนใจมากกว่า พอเห็นภาพตระกูลเซียนที่เซียนจ่าวขี่กระบี่กลับไปกลับมา เขาก็คอยวิ่งตะบึงไปตลอดทาง ก่อนจะปีนขึ้นไปยังหลังคาเรือนที่อยู่ใกล้เคียง ปลุกความกล้าให้ตัวเอง ถามเสียงสั่นว่า “ท่านคือเซียนซือบนภูเขาที่มาช่วยคนหรือ?”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าวด้วยภาษากลางของใบถงทวีป “ภาษาราชการของเป่ยจิ้นพวกเจ้า ข้าฟังไม่เข้าใจ”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะรีบเปลี่ยนจากภาษาราชการมาเป็นภาษากลางทันที “เซียนซือ ข้าสามารถฝึกวิชาเซียนกับท่านได้หรือไม่?”
อวี่ซื่อส่ายหน้า “ข้าเป็นเผ่าปีศาจ ไม่ใช่เซียนซือ แน่นอนว่าไม่ได้มาช่วยคน แต่มาฆ่าคน”
คนหนุ่มผู้นั้นอึ้งตะลึงตาค้าง
อวี่ซื่อโบกมือ “รีบไปหลบซะเถอะ หากทนอยู่ได้อีกสักสิบปียี่สิบปี ไม่แน่ว่าอาจยังมีชีวิตรอดอยู่ได้”
คนหนุ่มผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะฉายประกายเร่าร้อน “ข้ารู้สถานที่เก็บซ่อนเงินและสมบัติของจวน ข้ายินดีนำทางให้ท่าน วันหน้าสามารถติดตามท่านได้หรือไม่?”
อวี่ซื่อยิ้มบางๆ “ได้สิ นำทางไปสิ ข้าสามารถมอบความร่ำรวยความสูงศักดิ์ให้เจ้าได้จริงๆ หลังจากฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำไปแล้วก็ควรจะมีภาพบรรยากาศอย่างใหม่บ้างแล้ว”
ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ
อีกอย่างยังนึกถึงคำพูดหนึ่งของมู่จีในกระโจมเจี่ยจื่อขึ้นมา เขาบอกว่าเมื่อไหร่ถึงจะถือว่าจิตใจคนของทวีปแห่งใหม่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองมั่นคงอย่างแท้จริง? นั่นก็คือทุกคนที่รอดชีวิตหลังสงครามคิดว่าตัวเองไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ไม่มีโอกาสให้แก้ไขข้อผิดพลาดอีกแล้ว ต้องให้คนพวกนี้ที่ต่อให้จะได้กลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลก็ยังไม่เหลือหนทางรอดชีวิต เพราะจะต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลังอย่างแน่นอน มีเพียงทำเช่นนี้ คนเหล่านี้ถึงจะสามารถนำตัวมาให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างใช้งานได้อย่างสบายใจ กลายมาเป็นสุนัขรับใช้ที่กัดคนดุร้ายยิ่งกว่า ฆ่าคนได้อำมหิตยิ่งกว่าผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ยกตัวอย่างเช่นภายในหนึ่งแคว้น ขุนนางสังหารกษัตริย์ในท้องพระโรง ที่ว่าการต่างๆ ผลักคนผู้หนึ่งให้ออกมาตาย ในแต่ละครอบครัวแต่ละตระกูลก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ อีกทั้งในศาลบรรพจารย์ ศาลบรรพชนยังจะกระทำเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นการเนรคุณอีกด้วย ตระกูลเซียนบนภูเขาให้ลูกศิษย์ฆ่าบรรพจารย์ คนร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเอง มือทุกคนล้วนเปื้อนเลือด และอนุมานไปด้วยวิธีการเช่นนี้
กฎเกณฑ์มารยาทพิธีการทั้งหมดที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้อย่างยากลำบากล้วนต้องพังทลาย บนซากปรักจากนี้ไปอีกร้อยปีพันปี คำว่าคุณธรรมคืออะไรกันแน่ ก็มีเพียงกฎที่อาจารย์โจวเป็นผู้ตั้งเท่านั้นแล้ว
ได้ยินมาว่าทุกวันนี้มู่จีไม่เพียงแต่ติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์โจว ยังได้รับการประทานชื่อมาแล้วด้วย
อวี๋ซื่อพลิ้วกายลงบนพื้น เอื้อมมือคว้าเอาคนหนุ่มที่รู้สึกเหมือนได้ขี่ลมทะยานเมฆมาไว้ข้างกาย อวี่ซื่อจงใจมองข้ามอาการเหงื่อแตกท่วมสันหลังของฝ่ายตรงข้าม สาวเท้าเดินเนิบช้าพลางหันหน้ามายิ้มถาม “มีของอะไรที่อยากได้หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่เมื่อก่อนแม้แต่จะคิดถึงก็ยังไม่กล้า มีใครที่อยากฆ่าหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นคนรวยบางคนที่เจ้าเกลียดที่สุด สิ่งที่อยากได้มากที่สุด คนที่อยากฆ่ามากที่สุด เจ้าล้วนพูดมาได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
คนหนุ่มผู้นั้นกัดฟัน พยักหน้าเอ่ย “ข้าไม่ต้องการอะไร ข้ารู้สึกว่าทุกอย่างล้วนเป็นของนายท่าน ข้าไม่ต้องการของอะไรสักอย่าง แต่ข้าอยากฆ่าคนสองคน!”
อวี่ซื่อถามอย่างใคร่รู้ “สองคนไหน?”
บุรุษหนุ่มที่อยู่ข้างกายอวี่ซื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “คนหนึ่งชื่อหานเฉิงอี้ คือนายน้อยของบ้านหลังนี้ อีกคนชื่อหานซูอี๋ คือพี่สาวของหานเฉิงอี้ เป็นสตรีที่กลับมาเยี่ยมญาติบ้านเดิม”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “เจ้ากับสองพี่น้องนั่นมีความแค้นลึกล้ำมากเลยหรือ?”
มองออกว่าคนผู้นี้คือบ่าวของจวนหลังนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกหลานของบ่าวไพร่ที่เกิดในจวนนี้ด้วยซ้ำ
คนหนุ่มเงียบงัน เพียงแค่ส่ายหน้า จากนั้นก็กำสองมือเป็นหมัด เรือนกายสั่นระริก ก้มหน้าต่ำ ถามว่า “ก็แค่อยากให้พวกเขาตายกันไปให้หมด! คนหนึ่งเกิดมาชะตาชีวิตดีเกินไป อีกคนหนึ่งคือนังแพศยาหน้าไม่อาย!”
อวี่ซื่อหยุดเดิน บอกให้คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา คนหนุ่มเหงื่อแตกเต็มศีรษะ
อวี่ซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนชั่วในใต้หล้าไพศาลก็คือคนดีของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง วางใจเถอะ เจ้าไม่มีทางตายแน่ ข้ายังจะทำให้เจ้าสมหวังด้วย เพียงแต่ว่ามีข้าติดตามอยู่ข้างกาย กังวลว่าเจ้าจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไม่อาจทำเรื่องที่ในอดีตถูกมองว่าเป็นเรื่องชั่วร้ายได้ลง ก่อนจะฆ่าคน เจ้าสามารถลองคิดฝันลองทำเรื่องที่อยากทำดูให้มาก ยกตัวอย่างฆ่าสองคนไม่พอก็ฆ่าให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะรอนานเกินไป ข้าว่างมากเลยล่ะ”
ระหว่างที่พูดอวี่ซื่อก็ปลดถุงผ้าแพรต่วนสีเหลืองขนาดเล็กกะทัดรัดตรงเอวลงมา พอนิ้วเขาแตะไปโดนก็มีไอเมฆหลากสีแผ่ออกมาทันที พื้นผิวของถุงมีเจียวตัวเล็กสีหมึกเลื้อยคดเคี้ยว เพียงครู่เดียวไอน้ำก็แผ่อวล
อวี่ซื่อสะบัดถุงแพรต่วนสีเหลืองเบาๆ เจียวน้อยสีหมึกก็หล่นลงพื้น กลายร่างเป็นบุรุษร่างกำยำที่มีดวงตาคู่หนึ่งเป็นสีหมึก จากนั้นอวี่ซื่อค่อยโยนถุงให้กับคนหนุ่ม “เก็บไว้ให้ดี วันหน้าเจียวทาสตัวนี้จะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ถ่ายทอดคาถาตระกูลเซียนให้แก่เจ้า ช่วยเจ้าทำเรื่องที่คนเหนือคนของใบถงทวีป อย่าว่าแต่ลูกหลานสกุลหานอะไรนี่เลย ต่อให้เป็นอดีตจักรพรรดิที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เซียนดินบนภูเขา ยามที่พบเจอเจ้าก็ยังต้องก้มหัวค้อมเอวให้เจ้า เรียกเจ้าคำหนึ่งว่า…ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”
คนหนุ่มใช้สองมือรับถุงใบนั้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น พูดเสียงสั่นว่า “นายท่าน ข้าชื่อหลูเจี่ยนซิน เจี่ยนที่แปลว่าตรวจสอบ เคยมีพี่ชายชื่อว่าหลูเจี้ยวกวง”
อวี่ซื่อยิ้มอย่างชอบใจ “สั่งสอนให้เด็กเปิดเผยชัดเจน ตรวจสอบจิตใจมานะหมั่นเพียร ล้วนเป็นชื่อที่ดี พ่อของเจ้าขอให้พวกเจ้าได้เรียนหนังสือกับอาจารย์ในโรงเรียนประจำตระกูลกระมัง?”
หลูเจี่ยนซินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “นายท่านมีความรู้กว้างขวางจริงๆ”
อวี่ซื่อโบกมือ “วันหน้าติดตามอยู่ข้างกายข้า ลงมือทำให้มาก พูดให้น้อย เรื่องของการประจบสอพลอนี่ก็เว้นไปเถอะ เจ้าจะตายเอาได้”
หลูเจี่ยนซินไม่กล้าปากมากอีก โค้งเอวประสานมือคารวะแล้ววิ่งตะบึงจากไป ด้านหลังมีผู้ติดตามเจียวสีหมึกตามมา นี่ทำให้คนหนุ่มทั้งหวาดเกรง ทั้งความกล้าหาญเพิ่มพูนเต็มเปี่ยม
——