กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 710.1 เมฆขาวส่งหลิวสือลิ่วกลับภูเขา
บนสะพานหินโค้งแห่งหนึ่งกลางตลาดอันจอแจ ในร่องแผ่นหินสีเขียวมีต้นหญ้าป่างอกขึ้นเต็มไปหมด
สุสานเชื้อพระวงศ์แห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีการเซ่นไหว้เพียงแค่ไม่กี่ปี กลับมีภาพแห่งความน่าสังเวชที่จิ้งจอกและกระต่ายพากันวิ่งเข้าออก
ภูตประหลาดทั้งหลายจับกลุ่มกันออกมาจากถ้ำโพรงตามขุนเขาสายน้ำที่เคยซ่อนตัว มาอาละวาดอยู่ในตลาดด้านล่างภูเขา ทั้งยังไปก่อเรื่องโวยวายอยู่ตามศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลขุนเขาสายน้ำ ไม่เกรงกลัวเพราะถือว่ามีคนคอยหนุนหลัง
จักรพรรดิองค์หนึ่งเมามายอยู่ในอ้อมกอดของสาวงาม ปากพร่ำพูดถ้อยคำซ้ำๆ ว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่เรา สตรียื่นมือมาลูบไล้ข้างแก้มของบุรุษสวมชุดคลุมมังกรอย่างแผ่วเบา ก่อนหน้านี้อยู่ในตำหนักใหญ่ แม่ทัพบู๊แต่ละคนหน้าไร้สีเลือด ขุนนางบุ๋นพร้อมใจกันเสนอให้ออกจากเมืองแล้วมอบตราลัญจกรหยก
ก่อนหน้านี้วันที่สิบห้าเดือนสิบ เทศกาลเซี่ยหยวนสุ่ยกวนดูแลน้ำ เดิมทีมีประเพณีที่จะต้องจุดธูปปักลงบนผืนนา จุดถุงเงินทองและโคมขอพรฟ้า ปีนี้ไม่มีใครมาจุดธูปหอมหรือถุงเงินทอง โคมฟ้าที่มีไว้ขอพรก็ไม่มีใครมาปล่อย
มีพ่อลูกที่ทำหน้าที่เป็นเสนาบดีและรองเจ้ากรมของแคว้นหนึ่งได้ปรึกษากับผู้ถวายงานตระกูลเซียนในห้องลับ ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำแห่งปัญญาชนผู้สุภาพสง่างามคอยปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง บอกว่าต้องมีวิธีอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถอนรากถอนโคน ไม่มีทางสังหารพวกเราอย่างสิ้นซากจนไม่เหลืออะไรไว้สักอย่างแน่
แท่นการแสดงแห่งหนึ่งในตัวอำเภอตั้งอยู่ติดกับโรงเรียน เดิมทีอาจารย์ผู้เฒ่าเกลียดยามที่ลูกศิษย์ไปดูสตรีประทินโฉมหนาเตอะขับร้องงิ้วเป็นที่สุด ทว่าท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ อาจารย์ผู้เฒ่ากับพวกเด็กนักเรียนชั้นประถมกลับมานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ผีฟังผีร้องงิ้ว
แคว้นเล็กห่างไกลแห่งหนึ่งที่ไฟสงครามยังไม่ลามมาโดน มีอารามลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งสร้างขึ้นบนหน้าผา มีเพียงทางสายเล็กไส้แกะสายเดียวเท่านั้นที่ทอดยาวมาถึงที่นี่ได้
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งพาผู้ฝึกกระบี่รูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งเดินขึ้นเขามาช้าๆ อารามเต๋าขนาดเล็กที่คล้ายฝังเลื่อมอยู่บนหน้าผาเคยมี ‘เจินเหรินผู้สืบทอดของภูเขาไท่ผิง’ ท่านหนึ่งมาพักอยู่ที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในอดีตได้รับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อไว้คนหนึ่งที่นั่น ควันธูปล่องลอย แต่กระนั้นก็ยังสืบทอดต่อไปได้ ทว่าเนื่องจากเป็นการกระทำที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ลูกศิษย์จึงไม่เป็นโล้เป็นพาย ในฐานะผู้ฝึกตน อายุแค่ร้อยกว่าปีก็แก่หง่อมแล้ว ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ก็ยิ่งคุณสมบัติไม่ได้เรื่อง เรียกได้ว่าแต่ละรุ่นด้อยลงไปทุกที เชื่อว่าจนกระทั่งถึงทุกวันนี้นักพรตเฒ่าคนนั้นก็ยังคงไม่รู้ว่าอาจารย์ ‘หนุ่ม’ ในภาพแขวนของศาลบรรพจารย์คือเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
ปัญญาชนกับผู้ฝึกกระบี่พร้อมใจกันเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้คาดหวังอะไร ปัญญาชนเพิ่งกลับมาจากสำนักใบถง ส่วนผู้ฝึกกระบี่ก็อยู่ในกระโจมทัพบริเวณใกล้เคียงพอดี จึงนัดหมายกันมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่
ก่อนหน้านี้ปีศาจใหญ่สามท่านวางแผนรับมือกับใบถงทวีปมานาน แผนหนึ่งในนั้นมี ‘นักพรตหนุ่ม’ ที่กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาไท่ผิงได้สำเร็จที่มีคุณความชอบใหญ่ที่สุด เรื่องที่บอกว่าปีนั้นเด็กหนุ่มของสำนักฝูจีเป็นผู้เปิดโปงแผนการ ทำให้เขาจำต้องลงมือก่อนกำเนิด มองดูเหมือนว่าแผนการใหญ่ถูกทำลาย ทว่าพอมองในระยะยาวแล้วกลับกลายเป็นฝีมือเทพเซียนที่จับผลัดจับผลูได้ดีอย่างหนึ่ง น่าเสียดายก็แต่ยังไม่สามารถร่วมมือกับวานรขาวสังหารจงขุยได้ ในเมื่อทุกวันนี้เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของนักพรตเฒ่าจากอารามกวานเต๋า ถ้าอย่างนั้นควันธูปน้อยนิดนี้ที่เขาเหลือไว้ในใต้หล้าไพศาลก็ควรจะช่วยเก็บเอาไว้ให้สักหน่อย
ปัญญาชนเอ่ย “เจ้าไม่ควรฆ่านาง จะฆ่าขอบเขตหยกดิบสักกี่คนก็ได้ มีเพียงคนผู้นี้ที่ไม่ควรฆ่า ถึงขั้นที่ว่าเจ้าควรจะรักษาอวี้จือก่างให้สมบูรณ์เพื่อนางด้วยซ้ำ”
ผู้ฝึกกระบี่กล่าว “อาจารย์ ตอนนั้นข้าเห็นนางขอร้องเหมือนขอทานจึงอดไม่ไหว”
ปัญญาชนหัวเราะอย่างฉุนๆ “คำพูดประเภทนี้หากเปลี่ยนเฝ่ยหรานมาเป็นคนพูด ข้าคงไม่แปลกใจ แต่เจ้าโซ่วเฉินเป็นคนกล่าว ฟังแล้วกลับไม่ชินนัก”
โซ่วเฉินพยักหน้ารับ “ตอนอยู่ใบถงทวีปราบรื่นเกินไป ข้าจึงเหมือนจะลำพองใจไปหน่อย”
ปัญญาชนเอ่ย “เดิมทีการเปลี่ยนแปลงที่อวี้จือก่างสามารถกลายเป็นจุดหักเหของสถานการณ์ในใบถงทวีปได้ หมายความว่าขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปสามารถเปลี่ยนจากกลียุคมาเป็นโลกที่สันติสุขได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสามารถช่วยบันทึกคุณความชอบให้เจ้าในกระโจมเจี่ยจื่อ หากรู้แต่แรกก็ควรจะโยนเจ้าไปที่ภูเขาไท่ผิง ให้ไปช่วยปกป้องมรรคาให้กับศิษย์น้องชายหญิงของเจ้า จะได้ไม่ถึงขั้นต้องตายกันไปทั้งสองคน แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่สามารถตายได้ เพียงแต่ว่าตายเร็วเกินไปก็เป็นการย่ำยีทรัพยากรสวรรค์เกินไป ความรู้ในตัวของพวกเจ้ายังไม่ทันได้แสดงปณิธานออกมาเลย”
คนร่วมสำนักสองคนที่รบตายไป ฉีโซ่วที่เป็นศิษย์พี่ก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่กลับไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
ปัญญาชนคือโจวมี่ ผู้ฝึกกระบี่คือโซ่วเฉิน ทั้งสองฝ่ายคืออาจารย์และศิษย์
โจวมี่พาลูกศิษย์โซ่วเฉินเดินไปบนเส้นทางเล็กแคบ ตอนนี้สามารถมองเห็นอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งนั้นได้แล้ว
คนในลัทธิเต๋า มองดาวพิศจันทรา อารามเต๋าพิศมรรคา แหงนหน้ามองปรากฎการณ์บนท้องฟ้า ก้มหน้าหลุบตามองพื้นดิน เป็นเหตุให้ส่วนใหญ่แล้วอารามเต๋ามักจะตั้งอยู่บนยอดเขา
โจวมี่ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในอารามเต๋าที่ประตูใหญ่ปิดสนิท แต่พาโซ่วเฉินทอดสายตามองขุนเขาสายน้ำห่างไกลไปด้วยกัน โจวมี่พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คนผู้หนึ่งที่เคยเห็นตะวันจันทรา เห็นขุนเขาสายน้ำมาก่อนแล้วค่อยมาตาบอดทีหลัง ย่อมต้องรู้สึกย่ำแย่กว่าคนที่ตาบอดมาตั้งแต่ยังเยาว์อย่างแน่นอน”
โซ่วเฉินฟังออกถึงความนัยในถ้อยคำของอาจารย์ตัวเอง
คนหนึ่งผู้เคยสูญเสียแล้วได้กลับคืนมา กลับจะยิ่งทะนุถนอมเห็นค่าในทุกสิ่งที่ตัวเองได้ครอบครองอยู่ตอนนี้ ดังนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่รอดไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาของใบถงทวีป ขอแค่ต่อจากนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างวางแผนได้อย่างเหมาะสม พวกเขาก็จะไม่มีทางรู้สึกขอบคุณใต้หล้าไพศาลที่มอบสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขา คนส่วนใหญ่มีแต่จะแอบรู้สึกว่าตัวเองโชคดี ซาบซึ้งใจในความเมตตาใจกว้างของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นก็จะหันไปเคียดแค้นศาลบุ๋นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ทำให้สรรพชีวิตตลอดทั้งใบถงทวีปต้องมอดม้วยมรณา มองลัทธิขงจื๊อเป็นตัวการของความทุกข์ยากทุกอย่าง ยิ่งจะเคียดแค้นทวีปใหญ่ทุกแห่งที่ไม่โดนหายนะจากภัยสงคราม
นักพรตน้อยคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูเดินอาดๆ มาหยุดอยู่ข้างกายพวกเขาสองคน ประสานมือคารวะแล้วจึงใช้ภาษาราชการของแคว้นตนถามบัณฑิตผู้นั้นว่ามาทำอะไรที่นี่
นักพรตน้อยอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ระหว่างที่พูดสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งทระนงตน การที่ยอมคารวะตามพิธีการของลัทธิเต๋าก็เพราะรู้สึกว่าเรียนรู้มารยาทมาจากบรรพจารย์แล้วก็ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า ไม่อย่างนั้นมีหรือที่เขาจะยินดีมามัวเกรงใจมนุษย์ธรรมดาที่เนื้อหนังมังสาร่วงโรยเสื่อมโทรมอย่างว่องไวสองคนนี้
เจ้าอารามผู้เฒ่าบรรพจารย์ของตนเป็นถึงนายท่านผู้เฒ่าเทพเซียนขอบเขตชมมหาสมุทรเชียวนะ ในแคว้นแห่งนี้ยากนักที่จะได้พบเจอศัตรู ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนถูกเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่าซ่างเซียนหรือไม่ก็เจินเหริน ได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า บรรพจารย์ท่านนั้นห่างจาก ‘เซียนดิน’ ที่เคยอ่านเจอจากในตำราลัทธิเต๋าอีกแค่สองก้าวเท่านั้น
คนสองคนตรงหน้าที่มาจากโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ต่อให้มีเงินแล้วจะอย่างไร? มาจากตระกูลชนชั้นสูงร่ำรวยแล้วอย่างไร? ก็ยังเป็นคนล่างภูเขาที่ต้องมาพบคนบนภูเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
โจวมี่มองนักพรตน้อยอีกแวบหนึ่ง แล้วจึงหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย ทุกวันนี้มหามรรคาฟ้าอำนวยของใบถงทวีปอยู่ที่พวกเราหมดแล้วจริงๆ เสียด้วย โซ่วเฉิน เจ้ามองเส้นสนกลในออกบ้างหรือยัง?”
โซ่วเฉินมึนงงไม่เข้าใจ “ขออาจารย์โปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”
โจวมี่ยื่นมือไปคว้าแขนของนักพรตน้อยเอาไว้ จากนั้นใช้สองนิ้วเคาะข้อมือของอีกฝ่ายเบาๆ นักพรตน้อยเหมือนลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ได้แต่เขย่งปลายเท้าตามไป ไม่รู้ว่าความโชคดีมาเยือนสติปัญญาจึงบังเกิดหรือเพราะอะไร ถึงได้เก็บปากเก็บคำไม่ผรุสวาทด่าปัญญาชนล่างภูเขาอย่างผิดวิสัย
โซ่วเฉินเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่าหลังจากที่นักพรตน้อยถูกอาจารย์ของตนร่ายวิชาอภินิหารใส่ ตรงใจกลางฝ่ามือของเด็กชายมีแสงหลากสีกระเพื่อมขึ้นมาเป็นริ้วๆ และเพียงไม่นานก็สลายหายไปตามสายลม
ก่อนหน้านี้เหมือนฝ่ามือของนักพรตน้อยเปื้อนรอยหมึกแล้วล้างออกไม่สะอาด จึงทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็น
โจวมี่ปล่อยข้อมือของนักพรตน้อย ถามว่า “อารามเต๋าของเจ้าแห่งนี้เคยมีนักพรตนามว่าหลิวไฉ แต่ตอนนี้ลงจากเขาไปหาประสบการณ์แล้วใช่หรือไม่? ตอนที่เขาลงจากภูเขายังพกเอาน้ำเต้าเล็กใหญ่ไปพร้อมกันหลายลูกด้วย?”
นักพรตน้อยนวดคลึงข้อมือ เดินถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? แต่อารามเต๋าของพวกเราไม่ได้มีคนชื่อหลิวไฉอะไรทั้งนั้น มีแค่เจ้าบ้านนอกฉายาหลิวท่อนไม้เท่านั้น จับปลา ล่าสัตว์ ตัดฟืน ไม่ว่างานจุกจิกยิบย่อยอะไรเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น อะไรที่หาเงินได้เขาเอาหมด หากพูดตามคำกล่าวของอาจารย์ก็คือ ถ้าบนภูเขามีอารามชี เขาคงไปขายผงชาดเครื่องประทินโฉมที่นั่นแล้ว ทุกๆ สามวันห้าวันเจ้าบ้านนอกจะมาหลอกเอาเงินจากผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่ของอารามเรา ช่วงแรกเริ่มสุดก็เป็นเขาที่พาเจ้าบ้านนอกมาที่นี่ หลายปีมานี้อาจารย์ของข้าถึงได้ไม่ถือสาเจ้าหลิวท่อนไม้ ครั้งสุดท้ายที่เจ้าบ้านนอกมาที่นี่ได้สะพายซงหมิงจื่อ (หลังจากที่ต้นสนแห้งตายหรือผุกร่อน น้ำมันสนจะแทรกซึมไปตามเนื้อไม้ เมื่อผ่านการกัดเซาะของไอน้ำเป็นเวลายาวนาน จุดที่น้ำมันสนแทรกซึมเข้าไปจะผสานรวมเข้ากับเนื้อไม้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เนื้อไม้มีความใสความวาว เรียกว่าซงหมิงจื่อ) กับปลาชิงตัวใหญ่มาเต็มกระบุง แล้วก็ไม่รับเป็นเงินเหรียญทองแดงหรือเศษเงินก้อนอะไรด้วย เพียงแค่ไปเก็บเอาน้ำเต้าผุๆ ที่กินฝุ่นมานานหลายปีจากในคลังเก็บของ บอกว่าจะเอามาหักเป็นเงินแทน ตอนนั้นข้ายังประหลาดใจ เพราะตอนอยู่ในคลังเขาหยิบของผุพังพวกนั้นมาไว้ข้างหูแล้วเขย่าไปเขย่ามา”
คำว่าคลังของอารามเต๋า แท้จริงแล้วก็คือห้องเก็บฝืนที่มีของเก่าไม่ใช้แล้วกองรวมกันอยู่นั่นเอง
โจวมี่ชำเลืองตามองนักพรตน้อย ยิ้มเอ่ย “เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ช่างสมกับเป็นยอดฝีมือจริงๆ”
โซ่วเฉินใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “อาจารย์ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกของหลิวไฉอย่าง ‘ซินซื่อ’ กับ ‘ลี่จี๋’ ล้วนได้มาจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
โจวมี่ส่ายหน้า “หลิวไฉมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกก่อน แล้วถึงจะมี ‘กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต’ สองเล่มนั้น ไม่อย่างนั้นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของที่แห่งนี้ ในฐานะห้าขอบเขตบน สายตาก็ไม่มีทางแย่จนถึงขั้นมองระดับสูงต่ำของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่ออกหรอก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเขาก็มีนิสัยชอบเก็บสะสมน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เขามองความตื้นลึก มองจริงเท็จไม่ออกอย่างแท้จริง น่าจะเป็นกระบี่บินประหลาดสองเล่มนั้นมากกว่า”
คำพูดต่อมาของอาจารย์ทำให้โซ่วเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด”
“ผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่ของอารามเต๋าคนนั้น มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ปกป้องและผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลิวไฉ เพราะว่าหลิวไฉที่มาเยือนอารามเต๋าแห่งนี้เป็นเพียงแค่จิตหยินที่ออกเดินทางไกลเท่านั้น ร่างจริงไม่แน่ว่าอาจไม่ได้อยู่ใบถงทวีปก็ได้”
โซ่วเฉินถาม “อาจารย์ต้องการให้เซอเยว่ไปตามหาหลิวไฉ แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะหวังว่าจะให้หลิวไฉไปสยบเฉินผิงอันเท่านั้น แต่ต้องการพบกับ ‘ผู้มีจิตศรัทธา’ คนนั้นมากกว่า?”
โจวมี่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “วิชาการเปลี่ยนแปลงหยินหยางในใต้หล้านี้ คนคนเดียวก็ยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งได้แล้ว”
……
ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกุยหยก ยอดเขาเสินจ้วน
อดีตเจ้าสำนักสวินยวนได้รบตายอย่างกล้าหาญไปแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่แตกกระจายไปท่ามกลางฟ้าดิน ส่วนใหญ่ล้วนถูกปีศาจใหญ่ดักชิงเอาไป
เจียงซ่างเจินเจ้าสำนักคนปัจจุบันใช้วิธีการปรากฏตัวในโลกมนุษย์เพียงชั่วครู่ชั่วยามมาพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังกระโดดโลดเต้นมีความสุขเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่เทเอียงไปข้างหนึ่ง ขอบเขตเซียนเหรินที่ขาดการปกป้องจากฟ้าอำนวย ไม้ท่อนเดียวย่อมยากจะค้ำแผ่นฟ้าเอาไว้ได้
เจ้าภูเขาแห่งยอดเขาจิ่วอี้ เหวยอิ๋งที่เดิมทีมีความหวังว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมากกว่าเจียงซ่างเจินกลับไปเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างในแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้คอยอุทิศตนรับใช้สกุลซ่งต้าหลีชั่วคราว ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจข้ามทวีปกลับคืนมายังสำนักกุยหยกได้
บรรพจารย์เฒ่าผู้คุมกฎชำเลืองตามองเก้าอี้ตรงข้ามตนที่ว่างเปล่า แล้วจึงชำเลืองตามองเก้าอี้สองตัวเบื้องล่างภาพแขวนในศาลบรรพจารย์อีกที
เจียงซ่างเจินย้ายจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามไปนั่งอยู่เบื้องล่างภาพแขวนนั้นแล้ว
มองนานๆ เข้าก็ทำให้คนกลุ้มใจจริงๆ
จึงปรายตามองไปยังแสงจันทร์นอกประตูใหญ่แทน
ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ดูแลเรื่องเงินเทพเซียนและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินให้กับสำนักกุยหยกมีนามว่าซ่งเซิงถัง เขาเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เหตุใดเจ้าสำนักเจียงของพวกเราท่านนั้นถึงยังไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกอีก หรือว่าจะเอาแต่มองดูคนในสำนักตายไปทุกเมื่อเชื่อวันโดยไม่ทำอะไร? ออกกระบี่ที่ไหนก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ แม้แต่ภูเขาบ้านตัวเองยังไม่ช่วยเหลือ นี่มันสมควรแล้วหรือ?”
เรียกเจียงซ่างเจินว่าเจ้าสำนักเจียง ดูจะเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้เรียกว่า ‘เจ้าสำนัก’ โดยตัดแซ่ออกไปตรงๆ นี่ก็คือท่าทีที่ลุ่มลึกอย่างหนึ่ง
เจียงซ่างเจินที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกมิอาจสยบฝูงชนได้อย่างแท้จริง
แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนเช่นนี้ยังเป็นเพราะก่อนหน้านี้สวินยวนอดีตเจ้าสำนักยังคงมีชีวิตอยู่บนโลก
บวกกับที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สกุลเจียงเป็นผู้ครอบครองคล้ายพื้นที่ที่แบ่งแยกดินแดนไปจากสำนักกุยหยก ช่างชวนให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ดังนั้นซ่งเซิงถังจึงไม่ถูกกับเจียงซ่างเจินเสมอมา ขอแค่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนปิดประตูประชุมกันขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นก็คือสถานการณ์ที่หมากัดกันจนขนร่วงเต็มพื้นอันเลื่องชื่อ เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนเป็นเจียงซ่างเจินที่ยึดครองความได้เปรียบไปหมดสิ้น เจียงซ่างเจินยังตั้งฉายาให้เขาด้วยว่า ตาเฒ่าซ่งหัวล้านหมาแก่ขนร่วง
บรรพจารย์หญิงท่านหนึ่งมีความแค้นลึกล้ำกับเจียงซ่างเจินนั่งอยู่ติดกับประตูใหญ่ ชื่อว่าหลิวหัวเม่า คุณสมบัติไม่โดดเด่นนัก ในอดีตอาศัยเงินเทพเซียนและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนมากถึงได้โชคดีเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน
ทุกครั้งที่ประชุมกิจสำคัญ เจียงซ่างเจินจะต้องเปิดปากเอ่ยเกี้ยวพาหลิวหัวเม่าแทบทุกครั้ง
พี่หญิงหลิวมีชื่อที่ดี มีบุคลิกและความรู้ความสามารถ จะกี่ปีก็เหมือนอายุสิบแปดอยู่เสมอ รูปโฉมคงเดิมไม่มีแปรเปลี่ยน
ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ หลิวหัวเม่าจึงจำต้องฝืนความรู้สึกของตนเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมแทนเจียงซ่างเจินสักคำ “ต้องมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์จับตามองที่แห่งนี้ รับผิดชอบสังหารเจียงซ่างเจินอยู่อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่แค่สัตว์เดรัจฉานเฒ่าแค่ตัวเดียวที่เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ก็เป็นได้”
จะให้นางเรียกเจียงซ่างเจินว่าเจ้าสำนัก ฝันไปเถอะ