กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 712.3 ปริศนา
นอกจากที่ซิ่วไฉเฒ่าจะมาเที่ยวชมโรงเรียนแล้ว ก็ยังมาดูวิธีการไขข้อข้องใจการถ่ายทอดวิชาความรู้ ดูสีหน้าและน้ำเสียงของอาจารย์ทั้งหลายด้วย
อันที่จริงแล้วพุทธะที่แท้จริงจะพูดแค่เรื่องปกติทั่วไปเท่านั้น
อยู่ในวงการขุนนาง การพูดจาภาษาราชการย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก เพียงแต่ว่าจะเอาแต่พูดภาษาทางการไม่ได้ ต้องจำไว้ว่าภาษาทางการทั้งหมดล้วนมาจากปากของคนเป็น
มนุษย์อยู่บนภูเขาเป็นเทพเซียนก็จะมีแต่กลิ่นอายเซียนที่เมฆและลมพัดเต็มชายแขนเสื้อไม่ได้ ต้องมีกลิ่นอายของมนุษย์อยู่บ้าง
อ่านตำราอริยะปราชญ์มามาก มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่าง ต่างคนต่างมีเหตุผล สุดท้ายต่างก็หวังว่าวิถีทางโลกจะเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่เหน็บแนมบ่นว่าอย่างเดียว ดึงให้คนข้างกายมาผิดหวังสิ้นหวังไปด้วยกัน แบบนั้นคงไม่ค่อยประเสริฐสักเท่าไร
ซิ่วไฉเฒ่าออกมาจากโรงเรียนแล้วก็มาเดินอยู่ในตรอกซิ่งฮวา อยู่ดีๆ ก็เอ่ยกับหลิวสือลิ่วว่า “ปีนั้นเสี่ยวฉีเดินทางท่องเที่ยวไปเป็นเพื่อนจั่วโย่ว เจ้าเองก็ไปเยี่ยมเยือนนครจักรพรรดิขาวเป็นเพื่อนชุยฉาน”
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ชุยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาวจบแล้วก็ได้เขียน ‘เทียบก่อนหลัง’ ด้วยตัวอักษรแบบหวัดให้กับเจิ้งจวีจงหนึ่งเทียบ ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน เบื้องหลังไร้คนมาหา หยัดยืนอยู่ตรงกลาง’”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
หลิวสือลิ่วตอบ “ถึงอย่างไรก็แพ้หมากล้อม ศิษย์พี่ชุยจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก”
คำว่ากลาง (เจิ้ง) พ้องเสียงกับคำว่าเจิ้ง (แซ่)
ดูเอาสิ ลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่ง มีใครที่ไม่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจบ้าง
ภายหลังคนทั้งสองเจอกับผีขี้เหล้าหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกลางทาง คือเฉาเกิงซินใต้เท้าผู้ตรวจการ เขากับหยวนเจิ้งติ้งเจ้าเมืองต่างก็เป็นลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันของต้าหลี
ผู้ตรวจการเฉาเพิ่งจะดื่มเหล้ามา ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าที่บรรจุเหล้าไว้เต็มล้น คนกับกาเหล้าเดินไปส่ายไปส่ายมาไปขานชื่อยังที่ว่าการ
บางครั้งตอนอยู่ที่ร้านเหล้า หากผู้ตรวจการเฉาเมาเหลาเดินไม่ไหวจริงๆ ก็จะมีลูกจ้างเด็กหนุ่มที่สนิทคุ้นเคยกัน หรือไม่ก็จะเรียกเด็กๆ ข้างทางที่สนิทกันมา แล้วยัดเงินเหรียญทองแดงหนึ่งกำมือเป็นค่าเหนื่อย ให้ช่วยเขาเอาเหล้ากาหนึ่งไปยังที่ว่าการผู้ตรวจการ พอกาเหล้าวางอยู่บนโต๊ะก็ถือว่าช่วยเขาขานชื่อเรียบร้อยแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยีมองคนหนุ่มผู้นั้น
เฉาเกิงซินเองก็สังเกตเห็นผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายกำลังมองประเมินตน แต่ผู้ตรวจการเฉากลับไม่ได้เอ่ยทักทาย ทว่าก็ไม่ยินดีจะมองเมิน หลังส่งเสียงเรอเอิ้กหนึ่งทีจึงเบี่ยงตัวเดินหันข้างอยู่บนถนน ประสานมือคำนับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่เคยพบหน้าด้วยรอยยิ้ม
ซิ่วไฉเฒ่าผงกศีรษะตอบรับ
บัณฑิตที่เป็นขุนนางในใต้หล้านี้ไม่สามารถสง่างามเจ้าเสน่ห์ ไม่ยึดติดกับพันธนาการเช่นนี้ได้ทุกคน แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องการคนแบบนี้อยู่สักหลายๆ คนจริงๆ
ส่วนหยวนเจิ้งติ้งใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นั้น ยิ่งมีมากกลับยิ่งเป็นประโยชน์
ในสายตาของซิ่วไฉเฒ่า ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครสูงกว่าหรือต่ำกว่า ล้วนเป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นด้วยกันทั้งคู่
เดินผ่านตรอกมากมายในตรอกเล็ก เดินผ่านตรอกหนีผิงที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา แล้วก็เดินผ่านตรอกฉีหลง สหายฉางมิ่งที่สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะยืนรออยู่บนบันไดอย่างนอบน้อมนานแล้ว นางคำนับซิ่วไฉเฒ่า แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนหุบปากไม่ลง สหายฉางมิ่งจึงพาพวกเขาไปที่ร้านยาสุ้ย ซิ่วไฉเฒ่าขอขนมมากินสองสามชิ้น หลิวสือลิ่วเองก็ลองชิมดู แน่นอนว่าไม่กล้ากินอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้ตัวแทนเถ้าแก่สือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง กำลังคิดจะคารวะ ‘นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เดินออกมาจากภาพแขวน’ ด้วยพิธีการใหญ่ แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกว่าไม่ต้องๆ หลิวสือลิ่วพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับสหายฉางมิ่ง แน่นอนว่านางไม่มีความเห็นต่าง หากมีฝนสีทองตกลงมาในอาณาเขตขุนเขาเหนืออีกสักครั้งสองครั้ง เก้าอี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำในพื้นที่มงคลรากบัวที่ว่างเปล่ารอคอยคนมานั่งจะเป็นเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตกที่ผุดกรูกันขึ้นมา อีกทั้งในฐานะที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้ไม่นาน หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นจำนวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพอภิบาลเมือง หรือระดับขั้นร่างทองของพวกมันที่อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวก็จะไม่พ่ายแพ้ให้กับพื้นที่มงคลระดับกลางลำดับสูงสุดแห่งอื่นในใต้หล้า
เงินหล่นลงมาจากฟ้า เดิมทีก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากอยู่แล้ว เงินที่หล่นลงมายังหล่นลงในกระเป๋าของคนผู้หนึ่งพอดิบพอดี ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่
ภูเขาลั่วพั่วมีสหายฉางมิ่งผู้นี้นั่งพิทักษ์อยู่บนภูเขา ทรัพย์สินเงินทองจึงไหลมาเทมา อยากขวางก็ขวางไม่อยู่
ดังนั้นก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเดินเข้าประตูไปพร้อมกับสหายฉางมิ่ง รวมถึงตอนที่เดินออกมาจากประตู เขาจึงหัวเราะร่าเอ่ยขอบคุณนางรอบละครั้ง
ครั้งแรกฉางมิ่งเพียงบอกว่าเป็นหน้าที่ของนางอยู่แล้ว ครั้งที่สองนางจึงยิ้มตาหยีตามความเคยชิน รับคำขอบคุณนั้นเอาไว้แล้ว
ออกมาจากตรอกฉีหลง ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่อยู่ เจ้าก็ไปพบกับสหายสนิทของศิษย์น้องเล็กเจ้าหน่อยแล้วกัน คนที่ปกป้องเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด ต้องมีเขาเป็นคนหนึ่งในนั้นแน่นอน”
ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลิวสือลิ่วได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยางที่นั่งอาบแดดงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
หลังจากหลิวสือลิ่วบอกชื่อแซ่ตัวเองเรียบร้อย หลิวเสี้ยนหยางด้านหนึ่งก็รีบบอกให้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งนั่งลง อีกด้านหนึ่งก็ค้อมเอวช่วยนวดไหล่ให้ซิ่วไฉเฒ่า ถามเขาว่าแรงเบาไปหรือว่าหนักไป อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยกับหลิวสือลิ่วว่าข้ากับผู้อาวุโสคือคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวเดียวกัน
ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดโพล่งไปว่าพวกเราสองฝ่ายเป็นคนครอบครัวเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่
หลิวสือลิ่วเองก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เขาจึงไม่พูดแฉเหมือนกัน ถือเป็นการยอมรับคนครอบครัวเดียวกันอย่างคนหนุ่มผู้นี้ไปโดยปริยาย
ซิ่วไฉเฒ่าหรี่ตาเสพสุข บอกกับคนหนุ่มว่าแรงกำลังดี สบายจริง ผ่อนคลายนัก จากนั้นผู้เฒ่าก็โคลงศีรษะอย่างแช่มชื่นเลียนแบบเด็กเล็กยามท่องตำรา เอ่ยประโยคหนึ่งว่าเพชรนิลจินดาไยต้องฉกชิงรีดไถ ยังล้ำค่าสู้ดินริมธารหยางเสี้ยนมิได้ด้วยซ้ำ
หลิวเสี้ยนเอ่ยอย่างตกอกตกใจ “บทกลอนที่ในอักขราภูมิศาสตร์ของเราเพิ่งจ่ายเงินซื้อมา ท่านอาจารย์ก็รู้ด้วยหรือ? ดูท่าความรู้ที่ยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้คงรองรับไว้ไม่หมดแล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องบวกกับใต้หล้าแห่งที่ห้าไปด้วย”
ในเมื่อเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของเขาหลิวเสี้ยนหยางครึ่งตัวแล้ว
เอ่ยคำประจบไปเรียบร้อยแล้ว
หลิวสือลิ่วที่เรือนกายใหญ่โตจึงได้แต่นั่งอยู่บนขั้นบันได เขาวางสองหมัดไว้บนหัวเข่าเบาๆ สายตามองตรงไปข้างหน้า ถือเสียว่าไม่ได้ยิน
เพียงแต่อาจารย์กลับเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง “คำพูดประเภทนี้ คนกันเองพูดให้กันฟังก็พอแล้ว ห้ามเอาไปพูดข้างนอก ห้ามเอาไปพูดข้างนอก ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะทำให้คนอิจฉาตาร้อน”
หลิวเสี้ยนหยางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้าง พูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “อาจารย์เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเพราะท่านมีจิตใจที่กว้างขวาง แต่พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ หากมีโอกาสช่วยพูดประโยคที่เป็นธรรมแทนอาจารย์ ย่อมเป็นหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธ คำพูดดีๆ อย่าไปกลัวว่าจะพูดเยอะเกิน!”
หลิวสือลิ่วอดไม่ไหวหันมามองหลิวเสี้ยนหยางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ มองลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังว่าไปขอศึกษาต่อที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปนานหลายปีผู้นี้ จากนั้นหลิวสือลิ่วก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นบนภูเขาลั่วพั่ว เว่ยซานจวิน เซียนกระบี่คนนั้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเฉินหน่วนซู่ แม่นางน้อยชุดดำโจวหมี่ลี่ ดูเหมือนว่าต่างก็รู้ความมีเหตุผลกันอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นเขาก็วางใจแล้ว ขอแค่ศิษย์น้องเล็กไม่พูดจาเหมือนหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาใดๆ
ซิ่วไฉเฒ่าพูดคุยเรื่องความรู้ในตำราอย่างจริงจังกับหลิวเสี้ยนหยางอยู่พักใหญ่
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ซิ่วไฉเฒ่าพึงพอใจอย่างมาก อ่านตำราศึกษาเล่าเรียนตื้นเขินหรือลึกซึ้ง หลังจากขยันหมั่นเพียรแล้วก็ยังต้องดูที่คุณสมบัติสูงต่ำด้วย แต่ความจริงจังตั้งใจมีอยู่จริงหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องดูที่คุณสมบัติแล้ว
ภายหลังซิ่วไฉเฒ่าให้หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนถาม จึงเป็นหนึ่งถามหนึ่งตอบอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิวเสี้ยนหยางเปลี่ยนมานั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าพูดประโยคหนึ่งกับคนหนุ่มว่า “เสี้ยนหยางอา ถือเสียว่าเป็นการบ้านที่มอบให้เจ้าก็แล้วกัน ลองคิดดูให้ดีว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถเอารากฐานการหยัดยืนและวิธีการอยู่ร่วมกับคนบนโลกมาผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับแล้วก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินถอยหลังไปหลายก้าว ใช้สถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคารวะอาจารย์เหวินเซิ่งตรงหน้าผู้นี้อย่างนอบน้อม
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ข้าคงไม่คารวะเจ้ากลับคืนเหมือนพวกนักเรียนในรุ่นหลังแล้ว เพราะสิ่งที่ข้าถาม เจ้ายังไม่ได้ให้คำตอบ วันหน้าเมื่อเจ้ามีคำตอบแล้ว ข้าค่อยคำนับกลับคืนก็ยังไม่สาย”
หลังจากเหมือนได้ถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กของระบบสายบุ๋นแห่งหนึ่งแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็กลับคืนมาเป็นตัวเองดังเดิมทันที เขายืดเอวขึ้นตรง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์บั่นอายุของศิษย์เสียแล้ว”
หลิวสือลิ่วเข้าใจได้ดียิ่งกว่าหลิวเสี้ยนหยาง
คำถามนี้ของอาจารย์เป็นคำถามใหญ่
อันที่จริงวัตถุประสงค์ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋า ในจุดสูง จุดใหญ่ มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ‘บันทึกฉวนเติง’ เคยมีภิกษุถามว่า ผู้เล่าเรียนจะไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอกได้อย่างไร? อาจารย์ถามกลับ แล้วเจ้าใช้ชีวิตอย่างสงบได้อย่างไร?
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ไปแล้วๆ”
หลิวสือลิ่วรีบลุกขึ้นคำนับทันที “จวินเชี่ยนกราบลาอาจารย์”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ฮ่องเต้รักบุตรคนโต ชาวบ้านรักลูกคนเล็ก ข้าเป็นอาจารย์อาจลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ จวินเชี่ยนเจ้าอย่าได้คิดมาก เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่เหมือนพวกเจ้า วันเวลาที่เขาได้อยู่ข้างกายอาจารย์มีน้อยที่สุด ต้องพึ่งพาตัวเองมากที่สุด แถมยังอายุน้อยที่สุด ยังเยาว์ปานนั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้
ซิ่วไฉเฒ่าก็หยุดพูด เพราะผู้เฒ่าพลันค้นพบว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ที่แท้ ที่แท้เขาเองก็ไม่ได้เยาว์วัยแล้ว
เด็กหนุ่มที่ในอดีตแววตาใสกระจ่าง ยังดื่มเหล้าไม่เป็น สวมรองเท้าสานเดินข้ามขุนเขาสายน้ำนับพันนับหมื่น กลับล่วงเลยวัยสามสิบปีไปแล้ว แล้วก็เริ่มเดินไปสู่วัยอายุสี่สิบปีแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ กระทืบเท้าหนึ่งที ร่างก็จางหายไป
หลิวเสี้ยนหยางจึงยื่นเมล็ดแตงหนึ่งกำมือออกไป หลิวสือลิ่วนั่งกลับลงไปบนขั้นบันได ส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางเป็นฝ่ายชวนคุย บางครั้งหลิวสือลิ่วก็พยักหน้ารับ บางครั้งก็ตอบรับด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่ายไม่กี่คำ สุดท้าย ‘คนครอบครัวเดียวกัน’ สองคนที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรกก็เริ่มเงียบงัน ต่างคนต่างคิดเรื่องในใจ เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้แล้วจะกระอักกระอ่วน
สุดท้ายหลิวสือลิ่วถามว่า”ก่อนหน้านี้เจ้างีบหลับ ข้าเห็นว่าเจ้ามีร่องรอยของปณิธานกระบี่ไหลรินไปทั่วกาย กำลังฝึกกระบี่ในความฝันหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ ตอบกลับง่ายๆ “มีคัมภีร์กระบี่เล่มหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ วิธีการฝึกกระบี่ค่อนข้างประหลาด น่าเสียดายก็แต่ไม่เหมาะกับเฉินผิงอัน”
หลิวสือลิ่วเอ่ย “ข้าเป็นสหายกับป๋ายเหย่ เวทกระบี่ของเขาไม่เลว วันหน้าบนเส้นทางการฝึกตนหากพบเจอกับคอขวดวิถีกระบี่ที่ค่อนข้างใหญ่ เจ้าสามารถไปหาเขาแล้วประลองฝีมือกันได้ แม้ว่านิสัยของป๋ายเหย่จะเย็นชา แต่แท้จริงแล้วเป็นคนจิตใจดี ได้เจอกับเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าจะต้องชื่นชมมากแน่ๆ”
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ามา ยิ้มแต้กุมหมัดเอ่ย “ได้เลย ต่อให้คอขวดการฝึกตนไม่ใหญ่เท่าใด ขอแค่อาจารย์ป๋ายยินดีสอน ผู้น้อยก็ยิ่งยินดีจะเรียน!”
หลิวสือลิ่วพยักหน้า คนหนุ่มไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ แต่เป็นคนใจใหญ่ ใจกว้าง ไม่รู้สึกว่านี่เป็นการทำบุญทำทานของคนที่อยู่สูงกว่าอย่างตนแม้แต่น้อย แบบนี้ดีมาก
มิน่าเล่าถึงเป็นสหายกับศิษย์น้องเล็กได้
ก็เหมือนตนกับป๋ายเหย่กระมัง?
หลิวสือลิ่วลุกขึ้นยืน บอกลากับหลิวเสี้ยนหยาง เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนช่างพูด โดยเฉพาะคำพูดตามมารยาททั้งหลาย
หลิวสือลิ่วขอให้เว่ยซานจวินช่วยอำพรางร่องรอยให้ แล้วย้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง
คิดว่าจะอยู่ที่นี่นานหน่อย รอวันใดที่ม่านฟ้าเปิดออกอีกครั้ง เขาจะได้ต้อนรับแขกเป็นอย่างดี
อยู่บนภูเขาลั่วพั่วนานวันเข้าจึงสนิทสนมกับเว่ยป้อและหมี่อวี้ที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
หลิวสือลิ่วสืบเรื่องอิ่นกวานของศิษย์น้องเล็กมาจากเซียนกระบี่หมี่
ได้ฟังแล้วก็ปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
ทุกวันนี้หลิวสือลิ่วรู้รากฐานตื้นลึกหนาบางของภูเขาลั่วพั่วบ้างแล้ว
แม้ว่าศิษย์น้องเล็กจะออกเดินทางไกลบ่อยๆ เวลาที่อยู่บ้านเกิดมีไม่มาก อยู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองนานยิ่งกว่า
แต่กระนั้นก็ยังสะสมกำลังทรัพย์ที่ใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ นอกจากความสัมพันธ์ควันธูปที่มีระหว่างเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นแล้ว ลำพังเพียงแค่ส่วนแบ่งจากกิจการที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีรายรับไม่น้อยแล้ว
น่าเสียดายที่หลิวสือลิ่วไม่ได้พบเจอจูเหลี่ยนที่มีฉายาว่าพ่อครัวเฒ่าคนนั้น
อีกอย่างอาจารย์ก็เล่าว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของศิษย์น้องเล็ก เผยเฉียนผู้นั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องทำให้ทั้งใต้หล้าตกตะลึง นี่จึงทำให้หลิวสือลิ่วยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม
เซียนกระบี่หมี่อวี้ที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ยังไม่เคยได้จุดธูปในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ แต่อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงน้ำหนักไม่ถือว่าเบาเลยสักนิด
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ก็เกียจคร้านไปสักหน่อยจริงๆ
ว่ากันว่าเขาอาศัยเรือข้ามฟากฟานโม่ของบ้านตัวเองลำนั้น บอกให้คนซื้ออุปกรณ์บนภูเขาที่ต้องใช้ในการดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมามากมาย ถ้วยขาวเอย ม้วนภาพเอย แท่นฝนหมึกเอย เทียบอักษร แผ่นไม้ไผ่เอย ฯลฯ ล้วนถูกหมี่อวี้รวบรวมมาได้ถึงยี่สิบกว่าชิ้น จ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล ตอนที่โจวหมี่ลี่พูดเรื่องนี้กับหลิวสือลิ่ว แม่นางน้อยยังเสียใจแทนอวี๋หมี่อย่างถึงที่สุด บอกว่าท่าทางเช่นนี้ก็บอกอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าเตรียมจะเป็นชายโสดขึ้นคานแล้ว?