กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 713.2 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ
หร่วนซิ่วเอ่ย “พอข้าจากไปแล้ว เจ้าก็รีบไสหัวเดินลงน้ำไปซะ”
หงเซี่ยฟันกระทบกันดังกึกๆ ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
ในความเป็นจริงแล้วนางไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองพยักหน้าไปจริงๆ หรือไม่
โจวหมี่ลี่กะพริบตาปริบๆ มองพี่หญิงหร่วนซิ่วที่แทะเมล็ดแตง แล้วค่อยมองพี่หญิงหงเซี่ยอีกที ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงซิ่วซิ่ว เหตุใดดูเหมือนว่าพี่หญิงหงเซี่ยจะกลัวท่านล่ะ”
หร่วนซิ่วยิ้มตอบ “ก็แค่ขี้ขลาดกระมัง ดีเล็กยิ่งกว่าเมล็ดข้าวสารเสียอีก”
เดิมทีโจวหมี่ลี่อยากจะหัวเราะ เพียงแต่พี่หญิงซิ่วซิ่วกำลังต่อว่าพี่หญิงหงเซี่ย นางเลยไม่ได้หัวเราะ ยังไม่ลืมยื่นมือมาข้างหนึ่งออกมา แอบโบกมือให้กับพี่หญิงหงเซี่ยเป็นพัลวัน บอกเป็นนัยให้รู้ว่าเปล่านะ เปล่านะ
หร่วนซิ่วกล่าว “พวกเราไปเล่นที่ภูเขาเสินซิ่วกันดีไหม?”
โจวหมี่ลี่เอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่แปบเดียวเอง ยังไม่ได้คุยกับพี่หญิงหงเซี่ยสักเท่าไรเลย”
หร่วนซิ่วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็คุยกันไปก่อน ข้าจะนั่งรอด้านข้าง”
สุดท้ายแม่นางน้อยนั่งอยู่ตรงกลาง
หงเซี่ยหรือจะกล้านั่งอยู่ข้างกายหร่วนซิ่ว?
หลังจากหร่วนซิ่วรับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับทะเลสาบคนใบ้ไปแล้วก็คลี่ผ้าเช็ดหน้าออก คีบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ยื่นส่งให้หมี่ลี่น้อย
โจวหมี่ลี่เข้าใจทันที โคลงศีรษะกินขนมเข้าไปก่อน
จากนั้นก็เล่าเรื่องในยุทธภพเกี่ยวกับเจ้าขุนเขาคนดีต่อ!
มีเยอะมากเลยล่ะ นางมีเรื่องเล่าอีกเป็นกระบุงโกย
อย่างคราวก่อนนางบอกว่าเฉินคนดีกับตนไปเจอภูตภูเขาโดยบังเอิญ เพราะท่องบทกวีไม่ได้จึงถูกพวกมันขับไล่ออกมาจากถ้ำ พี่หญิงซิ่วซิ่วก็อารมณ์ดีแล้ว เป็นครั้งแรกที่โจวหมี่ลี่เห็นพี่หญิงซิ่วซิ่วหัวเราะอย่างนั้น
พี่หญิงซิ่วซิ่วในเวลานั้นเปลี่ยนจากน่ามองจริงๆ เป็นน่ามองอย่างถึงที่สุด
……
ร้านตระกูลหยาง ได้เชิญหลิวสือลิ่วมาช่วยปกป้องค่ายกล
หยางเหล่าโถวยังเรียกหร่วนซิ่วมาด้วย
หลิวสือลิ่วรู้สึกอ่อนใจอยู่มากจริงๆ
ก่อนหน้านี้ไม่เจอกันก็แล้วไปเถิด เวลานี้เผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้า อดรู้สึกแปลกพิกลไม่ได้จริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องรวม ‘หลี่หลิ่ว’ ที่ปีนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เนื่องจากมหามรรคาแยกกันไปคนละทาง สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่ถูกกันผู้นั้นอีกคน
สถานที่ที่ศิษย์น้องเล็กเติบโตมาแห่งนี้ มันเป็นยังไงกันแน่นะ?
หยางเหล่าโถวเหน็บกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว
แต่แล้วจู่ๆ หยางเหล่าโถวก็หันไปมองหร่วนซิ่ว ปลดกระบอกยาสูบลงมา เอ่ยว่า “มอบให้เจ้าก็แล้วกัน ช่วยเอาไปส่งต่อให้เขาที”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ รับเอากระบอกยาสูบเก่าแก่ที่หยางเหล่าโถวโยนมาให้ไว้ในมือ
ดวงตาของหลิวสือลิ่วเป็นประกายวาบทันใด รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎบนใบหน้า
ปีนั้นสายบุ๋นของพวกเขา ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนของหลิวสือลิ่ว มีใครบ้างที่ไม่ใช่หงส์มังกรในกลุ่มคน แต่ทุกคนกลับรักษาตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก อันที่จริงสตรีที่หลงรักเลื่อมใสคนทั้งสาม ทั้งบนและล่างภูเขาจะมีน้อยได้หรือ? ไม่กล้าพูดว่ามีมากมายเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ แต่ก็ไม่น้อยเลยจริงๆ
น่าเสียดายที่เนื่องจากศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉานไม่เคยแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น ปณิธานอยู่ในจุดสูงและยาวไกล การปฏิบัติต่อสตรี แม้ว่าจะไม่ได้จงใจเย็นชาผลักไส แต่อย่างมากสุดก็แค่ยึดมารยาทเป็นหลักเท่านั้น
ศิษย์พี่จั่วโย่วรู้สึกว่าสตรีน่ารำคาญ มาชอบข้าทำไม? พวกเจ้าไปชอบชุยฉานหรือไม่ก็ฉีจิ้งชุนโน่นสิ
ส่วนเสี่ยวฉีก็ทึ่มทื่อไม่รู้ประสาเอาเสียเลย
ตามหลังหลิวสือลิ่วและหร่วนซิ่ว ซานจวินเว่ยป้อก็ถูกเรียกตัวมาเช่นกัน เจ้าของที่ดินขุนเขาเหนือท่านนี้มีสีหน้าเคร่งเครียด
เว่ยป้อยืนอยู่ข้างหลิวสือลิ่วที่ร่ายเวทอำพรางตา เมื่อหลายวันก่อนเคยมีคนถาม เว่ยป้อก็บอกกับคนนอกไปว่าเป็นสหายจากแผ่นดินกลางที่มาเยี่ยมเยือนภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน
ส่วนจะมีคนเชื่อหรือไม่ เว่ยป้อไม่ได้สนใจแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้บอกกับคนอื่นสักหน่อยว่าตนจะไม่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกแล้ว
เว่ยป้อถาม “ต้องการให้ผู้น้อยโคจรขุนเขาสายน้ำหรือไม่?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “เรื่องของวิชาอภินิหาร ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
เว่ยป้อบื้อใบ้พูดต่อไม่ถูก
หลิวสือลิ่วหัวเราะ ตาเฒ่าที่ในอดีตไม่ชอบหัวเราะพูดคุยผู้นี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งพูดเก่งแล้ว
อยู่โลกมนุษย์มาหมื่นปีนับว่าไม่เสียเวลาเปล่า
พริบตานั้นตลอดทั้งอาณาเขตของขุนเขาเหนือ เมื่อปรากฎในสายตาของผู้ฝึกตนก็ล้วนกลายเป็นหมอกขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ส่วนคนธรรมดากลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ
วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่หมื่นปียังไม่เคยมีปรากฎสักครั้ง
เพราะหยางเหล่าโถวที่เฝ้าอยู่ในโลกมนุษย์อย่างลำบากยากเข็ญมาหมื่นปี กำลังจะสืบต่อควันธูปให้แก่วิถีแห่งเทพแล้ว
ต้องการใช้ร่างจริงของชิงถงเทียนจวินแห่งยุคบรรพกาล เปิดหอบินทะยานในโลกมนุษย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ยังคงมองไม่เห็นว่าหยางเหล่าโถวโคจรวิชาอภินิหารอย่างไร ผู้ฝึกตนเซียนดินจากแต่ละสถานที่ที่รีบเร่งมารวมตัวกันในเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเงียบเชียบก็เหมือนเข้าไปอยู่บนหอสูงแห่งหนึ่งในเสี้ยววินาที
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด โอสถทองหลายคนหันมามองหน้ากันเอง แต่เพียงไม่นานก็สงบจิตใจได้ ครั้นจึงรีบสยบจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง
บนหอสูงมีผู้เฒ่าที่อยู่ในภูเขามานาน แล้วก็มีคนหนุ่มสาวบนภูเขาที่พรสวรรค์เลิศล้ำ
ผู้ฝึกตนเซียนดินก่อกำเนิดและโอสถทองของแจกันสมบัติทวีปกลุ่มนี้ ก่อนหน้านั้นได้รับคำสั่งลับจากกรมอาญาต้าหลี เนื้อความในคำสั่งชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ช่วงท้ายของจดหมายลับยังใช้ถ้อยคำที่เข้มงวดรุนแรงอย่างถึงที่สุด ไม่อนุญาตให้พวกเขาแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแม้แต่ครึ่งคำ แค่ต้องเดินทางมายังอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวต้าหลีอย่างลับๆ เท่านั้น
นักพรตของสำนักโองการเทพ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะ เจียงอวิ๋นบุตรอนุภรรยาสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสองคนของภูเขาตะวันเที่ยง แล้วก็มีเจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นที่เป็นคอขวดก่อกำเนิด…
ต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่แห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน เซี่ยหลิง ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองแห่งภูเขาลั่วพั่ว ไช่จินเจี่ยนผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งภูเขาเมฆาเรือง…
และยังมีผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าที่ได้กลับมาเยือนจังหวัดหลงโจวซึ่งเป็นสถานที่ที่ในอดีตเคยมาเยือนแล้วอย่าง หลิวป้าเฉียว
เจ้าสวนหวงเหอ ต่อให้ได้รับคำสั่งจากต้าหลี แต่กลับเลือกจะสละโชควาสนาบนมหามรรคานี้ไม่รับเอาไว้ แค่ให้หลิวป้าเฉียวออกเดินทางมาโดยไว เขาบอกกับศิษย์น้องคนนี้แค่ว่า ข้าหวงเหอชีวิตนี้ฝึกกระบี่ หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ เว้นจากอาจารย์แล้วจะไม่รับบุญคุณจากใครเด็ดขาด
หลิวป้าเฉียวโน้มน้าวอยู่หลายคำ สุดท้ายหวงเหอเอ่ยกับหลิวป้าเฉียวประโยคหนึ่งที่ ‘เป็นหลี่ถวนจิ่งอย่างมาก แล้วก็เป็นตัวเขาหวงเหอเองอย่างมาก’ คุณสมบัติของเจ้าด้อยกว่าข้า นับจากนี้ไปร้อยปีพันปี ข้าจะตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น หากเจ้าสวนคนใหม่อย่างเจ้าขอบเขตต่ำเกินไป ย่อมทำให้อาจารย์และสวนลมฟ้าอับอายขายหน้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมาต่อรองกับข้า ดังนั้นรีบไสหัวไปจังหวัดหลงโจวต้าหลีเดี๋ยวนี้
ก่อนหน้านี้หยวนป๋ายผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงได้ไปถามกระบี่ต่อหวงเหอเจ้าสวนลมฟ้า หยวนป๋ายเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตหยกหินออกมา ‘หยกหิน’ ที่มาจากประโยคว่าทั้งหยกและหินล้วนแหลกลาญ (เปรียบเปรยว่าพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย)
เป็นเหตุให้ถึงแม้หวงเหอจะยังไม่ถึงขั้นขอบเขตถดถอยไปยังโอสถทอง แต่มหามรรคาได้รับความเสียหายก็คือเรื่องจริงที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ขอแค่มายังจังหวัดหลงโจวต้าหลีก็จะมีหวังกลับไปเป็นก่อกำเนิดที่สมบูรณ์แบบได้อีกครั้ง ถึงขั้นพูดได้ว่าด้วยคุณสมบัติของหวงเหอ ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนในครานี้เลยก็เป็นได้
ทว่าหวงเหอกลับยังคงไม่ยินดีจะมาที่นี่
สำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ผู้ฝึกกระบี่ที่เพิ่งจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกร เมื่อรวมสุยโย่วเปียนเป็นหนึ่งในนั้นก็มีกันทั้งหมดสามคน
ในกลียุคอันวุ่นวายโกลาหล สรรพชีวิตจะต้องมอดม้วย ปวงประชามิอาจมีชีวิตอยู่รอด ขุนเขาสายน้ำจมดิ่ง
แต่กระนั้นก็จะมีวีรบุรุษผู้กล้า มีบุคคลผู้องอาจห้าวหาญจำนวนนับไม่ถ้วนลุกผงาดขึ้นมา เปิดเผยมาดของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป
ในเรือนด้านหลังของร้านยา หลิวสือลิ่วเอ่ยว่า “ข้าจะไปรอที่ม่านฟ้าก็แล้วกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลามือไม้พันกันพัลวัน กลายเป็นว่ารับรองแขกได้ไม่ดีพอ ต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูค่อนข้างจริงใจมากกว่า”
หร่วนซิ่วเพิ่งจะกินขนมเสร็จก็ปัดมือ เอ่ยว่า “เหตุผลเดียวกัน”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ
……
ราชครูต้าหลี ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุยฉาน ในมือถือประคองป๋ายอวี้จิง เป็นเทพนั่งนิ่งดุจศพอยู่บนฟ้า
ชุยฉานพ่นเสียงเบาๆ คำหนึ่งว่า
“พิฆาต”
ผืนแผ่นดินใหญ่ของหนึ่งทวีป จุดที่สายตาของชุยฉานมองไปเห็น แสงกระบี่ล้วนพุ่งไปถึง
พริบตานั้นก็บั่นศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งให้หลุดออกจากบ่า
ในอาณาเขตของห้าขุนเขา ภูเขาสายน้ำทั้งหมดใต้การปกครอง อำเภอ เมือง จังหวัดใต้อาณัติของต้าหลีทุกแห่งที่อยู่ห่างไกลจากไฟสงครามได้จัดวางกระถางธูปมากมายบูชาห้าขุนเขาอยู่ไกลๆ ขุนนางบุ๋นบู๊ประจำท้องถิ่นเป็นผู้นำพาราษฎรจุดธูปกราบไหว้ทั้งเช้าและเย็น เทพอภิบาลเมือง เสมียนผู้ช่วย วิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละพื้นที่ก็รับผิดชอบคอยตรวจตรา ชั่งน้ำหนักของควันธูปที่บริสุทธิ์แต่ละขุม เมื่อถึงเวลาที่กำหนดก็จะรายงานให้แก่ที่ว่าการกรมพิธีการของแต่ละแคว้นทราบ จากนั้นก็จะนำไปมอบให้กรมพิธีและสำนักศึกษาของต้าหลีรวบรวมไว้อีกที
ทันใดนั้นแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ก็พลันมีคำย่างเท้าบนความว่างเปล่า (แปลตามตัวจากคำว่าปู้ซวีสือ 步虚词 ซึ่งเป็นบทเพลงสรรเสริญของลัทธิเต๋า) บทกวีเซียนท่องเที่ยวซึ่งถูกขนานนามว่ากวีห้าขุนเขาผุดขึ้นมามากมาย สุดท้ายคัดเลือกเอาร้อยบทแรกมารวบรวมขึ้นเป็นเล่ม แจกจ่ายไปตามสำนักศึกษาน้อยใหญ่และโรงเรียนตามชนบทของหนึ่งแคว้น ใช้วิธีการขับร้องเป็นเพลงพื้นบ้านสอนให้พวกเด็กๆ ของแต่ละพื้นที่ขับร้องยามวิ่งเล่นกันไปตามถนน
จากนั้นซานจวินใหญ่ของห้าขุนเขาค่อยนำแก่นควันธูปบริสุทธิ์ที่ไหลกรูเข้าหาห้าขุนเขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายมา รั้งเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อใช้ในการประคับประคองกายธรรมร่างทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขา ที่เหลืออีกสองส่วนแบ่งมอบให้กับภูเขาทายาท อีกสามส่วนแจกจ่ายไปให้กับศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำภายใต้อาณาเขตการปกครองของตน ให้ย้อนกลับไปหล่อเลี้ยงโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของแคว้นใหญ่ใต้อาณัติแต่ละแห่ง เพิ่มพูนโชคชะตาแคว้น สืบทอดชะตาแคว้น สุดท้ายรวมกันเป็นกองกำลังของแคว้น จากนั้นก็ย้อนกลับไปหล่อเลี้ยงราชวงศ์ต้าหลีและสถานการณ์ใหญ่ของหนึ่งทวีปอีกที
ใบถงทวีปแห่งนั้นเป็นเพราะขนาดฮ่องเต้ก็ยังเผ่นหนี เซียนดินก็เอาตัวรอด
ทว่าแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ ตามถนนใหญ่ตรอกเล็ก ตามชนบทบ้านนอกที่ร้องเพลงซึ่งพวกเขาไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ก็ยังสามารถช่วยสร้างความมั่นคง ออกแรงให้กับสถานการณ์ของทวีปเงียบๆ ทีละหยาดทีละหยด สะสมกันจนกลายเป็นแม่น้ำลำคลอง สั่งสมจนกลายเป็นขุนเขา
ต้าหลีเปลี่ยนกฎหมายใหม่แล้ว อนุญาตให้แคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งเลือกวิญญาณวีรบุรุษสองหรือสี่ตนออกมา นับแต่เมืองหลวงไปถึงเมืองใหญ่จนไปถึงชนบทห่างไกล ให้แปะภาพเทพทวารบาลของ ‘บ้านตัวเอง’ ลงบนหน้าประตูเรือนทุกหลัง สร้างร่างทองขึ้นมาใหม่เพื่อปกป้องพื้นที่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าปีศาจที่กระจัดกระจายไปทั่วมารุกราน ร่วมมือกับผู้ฝึกตนเซียนดินของแต่ละพื้นที่ ผู้ถวายงานประจำแคว้น ระดมความคิดวางแผนรับมือ ป้องกันไม่ให้เผ่าปีศาจก่อกวนให้จิตใจชาวบ้านวุ่นวายจนกลายเป็นหายนะของพื้นที่หนึ่ง
ยอดเขาแห่งอื่นๆ ที่อยู่ไกลจากกายธรรมของชุยฉานซึ่งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป คนหลายสิบคนพร้อมใจกันหลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำ
คืออาจารย์ฟ่านที่เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสำนักการค้าที่นำพาเหล่าบรรพจารย์สำนักการค้าแต่ละยุคแต่ละสมัยกลุ่มหนึ่งทยอยกันเดินทางมาถึงแจกันสมบัติทวีป
หลังจากชุยฉานออกกระบี่แล้ว บรรพบุรุษสำนักการค้าที่รูปโฉมไม่แก่ชราก็ถอนสายตากลับคืน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น้ำไกลไปพบภูเขาไกล คนรู้จักทิ้งเรื่องราวเอาไว้”
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ทอดถอนใจกับวิถีทางโลกนี้ไปแล้ว ‘อาจารย์ฟ่าน’ ท่านนี้ก็เปลี่ยนมาพูดเข้าประเด็นสำคัญทันที เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกท่าน ต่างก็พูดกันว่าน้ำไหลรินรอบภูเขา เส้นสายน้ำของใต้หล้าไหลรินไปไม่แน่นอน มีเพียงภูเขาที่ตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ทว่ามีเพียงแค่น้ำไหลขุนเขาไม่ขยับเท่านั้นจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเขามานานหลายปียิ้มกล่าว “ก็แค่เงินไม่มากพอเท่านั้น”
คนผู้นี้ก็คือยอดฝีมือบนภูเขาที่เคยล้อมฆ่าอาเหลียงแต่กลับหนีรอดมาได้ แล้วยังตั้งฉายาให้ตัวเองอย่างชื่นมื่นว่า ‘สุดยอดครึ่งตัว’ อีกด้วย
ผู้เฒ่าสำนักการค้ากลุ่มนี้ล้วนเป็นคนร่ำรวยจนแม้แต่คลังแคว้นก็มิอาจทัดเทียมของเก้าทวีป พอได้ยินประโยคนี้ แต่ละคนก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ
ไม่ว่าอะไรพวกเขาก็มีไม่มากจริงๆ มีแต่เงินนี่แหละที่เยอะกว่าอะไร
ก่อนหน้านี้สำนักการค้าก็ออกเงินก้อนใหญ่ไปแล้วก้อนหนึ่ง โดยการย้ายเส้นสายภูเขาบนพื้นแผ่นดินไปยังเลียบมหาสมุทร สร้างขึ้นเป็นหน้าด่าน หรือไม่ก็เอาเทือกเขาเลียบทะเลบางส่วนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีรู้สึกว่าค่อนข้างเกะกะตาเข้าไปไว้ด้านในแผ่นดิน เพื่อให้เป็นเส้นแนวป้องกันอันยิ่งใหญ่ที่ ‘มองดูเหมือนเกิดจากธรรมชาติ ทว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือมนุษย์สร้างขึ้นมา’!
ต่อจากนี้ยังต้องออกเงินมากกว่าเดิม! เงินเทพเซียน เงินฝนธัญพืช!
เงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อย? แน่นอนว่าไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว ดูอัตคัดขัดสนเกินไปแล้ว!
สรุปก็คือสำนักการค้าต้องรับรองว่าจะสามารถทำให้กองกำลังของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายในแจกันสมบัติทวีปที่มีทัพทหารม้าไม่มากพอ สามารถปักหลักเฝ้าพิทักษ์หน้าด่านได้ต่อไป
และยังต้องแบ่งพื้นที่ออกมาให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญควบตะบึงไปบนพื้นที่ราบกว้างขวางได้อย่างกำเริบเสิบสาน
อาจารย์ฟ่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกท่าน ไปทำงานกันเถอะ เอาเงินไปโปรยให้ทั่วทวีป”
บรรพจารย์แต่ละท่านรับคำสั่งแล้วเรือนกายก็ลอยตามสายลมหายไปท่ามกลางฟ้าดิน
บนสนามรบของนครมังกรเฒ่า ก่อนหน้านี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายตนเยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์ด้วยพลังอำนาจที่มิอาจสกัดขวาง
หม่าขู่เสวียนผู้นั้นก็แค่กลับภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารที่แจกันสมบัติทวีปไปแค่รอบเดียว รอเขากลับมานครมังกรเฒ่าได้ไม่นานเท่าไรก็เจอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากนอกฟ้าผุดออกจากประตูใหญ่บนฟ้า พลิ้วกายลงมายังพื้นดินเป็นแขกไปทั่วทุกหนแห่งของแจกันสมบัติทวีปแล้ว
หม่าขู่เสวียนที่เป็นหนึ่งในสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ถึงขั้นออกคำสั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลหลายสิบตนให้โจมตีขึ้นไปบนฟ้า เป็นของขวัญมอบกลับคืน
แล้วยิ่งมีซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาใต้ ฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่เรียกกายธรรมร่างทองสูงพันจั้งออกมา ในมือของนางถือจิตวิญญาณดวงจันทร์ส่วนหนึ่งที่มาจาก ‘ร่างจริง’ ของดวงจันทร์ยุคบรรพกาลดวงหนึ่งเอาไว้ เป็นกุ้ยฮูหยินที่มอบให้นางลับๆ เมื่อมาอยู่ในมือฟ่านจวิ้นเม่า จันทร์เสี้ยวก็เหมือนคันธนูที่พอง้าวสายจนตึงก็เหมือนพระจันทร์เต็มดวง โดยเอาแสงของแก่นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาทำเป็นสายง้าวและลูกธนู
เมื่อลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งออกไป ไม่ว่าจะมุ่งเข้าสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลบนม่านฟ้า หรือพุ่งเข้าเข่นฆ่าปีศาจใหญ่บนมหาสมุทร ก็ล้วนมีพลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
บนแท่นเติงหลงแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับมหาสมุทรของนครมังกรเฒ่า มีสตรีผู้หนึ่งนามว่าจื้อกุย ดวงตาทั้งคู่ของนางที่เป็นสีทองจ้องเขม็งไปยังปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลบนมหาสมุทร
อีกฝ่ายเองก็กำลังจ้องมองจื้อกุยอยู่เหมือนกัน
จื้อกุยกระตุกมุมปาก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำท่าหักคอให้เฟยเฟยดู
……
ทะเลสาบซูเจี่ยน
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยกท่าทางสุภาพคนหนึ่งยืนอยู่ริมน้ำของเกาะแห่งหนึ่ง
จิตของเหวยอิ๋งเจ้าสำนักเจินจิ้งขยับไหว แต่กลับไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือไปลอบมองจุดที่ห่างไปไกล
วิญญาณวีรบุรุษลักษณะประหลาดหลายร้อยเกือบถึงพันตน ล้วนเป็นวิญญาณอาฆาตที่ต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปีก็ยังรักษาสติปัญญาที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ พวกมันพากันกรูขึ้นมาบนพื้นผิวทะเลสาบ เผยร่างจริงยังโลกมนุษย์อีกครั้ง
ตอนยังมีชีวิตอยู่พวกมันล้วนเป็นหนึ่งในคนมากมายที่ตายไปอย่างเฉียบพลันในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนสถานที่ที่มีผู้ฝึกตนอิสระมากมายดุจก้อนเมฆ เป็นสถานที่ที่ไร้ขื่อไร้แปแห่งนี้ หลังตายไปวิญญาณอาฆาตไม่แหลกสลาย บ้างก็เป็นพวกที่ตายไปอย่างไร้ความผิด บ้างก็เป็นพวกที่มีโทษสมควรตาย บ้างก็เป็นพวกที่มีโทษไม่ถึงขั้นตายแต่กลับต้องมาตายอย่างอยุติธรรมอยู่ที่นี่ จากนั้นวิญญาณแต่ละดวงก็มารวมตัวกันอยู่ข้างกายผู้เฒ่า เบิกตามองอาณาเขตโลกคนเป็นของทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เวลาจะผ่านไปกี่ปีจิตใจคนก็ยังเหมือนเดิม ความเป็นความตายยังคงไม่แน่นอนอยู่เหมือนเดิม ผู้แข็งแกร่งสังหารผู้อ่อนแออย่างกำแหง ผู้อ่อนแอตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความผิดของตนอยู่ที่ไหน คงหนีไม่พ้นรู้สึกว่าตบะของตนต่ำเกินไป เพียงแค่นี้เท่านั้นกระมัง
สุดท้ายวิญญาณหยินและผีร้ายทั้งหลายก็อดมีข้อสงสัยร่วมกันไม่ได้ว่า ใต้ทะเลสาบกับบนฝั่ง สรุปแล้วที่ใดคือโลกสว่าง ที่ใดคือโลกมืดกันแน่?
ท้ายที่สุดก็มีคนหนุ่มต่างถิ่นเรือนกายผอมแห้งแทบจะเหลือแต่กระดูกมาที่นี่ มาช่วยตอบคำถามในใจให้กับพวกวัตถุหยินวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายไปแล้วก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่เดิมไม่ไปผุดไปเกิดเหล่านี้
กู้ชานสังหารคนพร่ำเพื่อ เป็นความผิด ข้าไม่ฆ่ากู้ช่าน ก็เป็นความผิด ขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้ผ่านไปอีกพันปีหมื่นปีก็ยังคงผิด ความผิดของการทำเรื่องบางอย่าง กับความทุกข์ทรมานในใจ จะต้องทำให้คนทรมานไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน
เพราะระหว่างฟ้าดิน ผิด ก็คือผิด ดังนั้นความผิดบางอย่างจึงต้องแก้ไข แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ นี่ก็ถูกแล้วหรือ? หรือว่าจะต้องทำให้คนรุ่นหลังที่ผ่านไปอีกร้อยปีพันปีก็ยังต้องถามคำถามนี้อยู่เหมือนเดิม? แน่นอนว่าไม่ถูก แน่นอนว่าไม่ได้
——