กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 719.3 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง
เหวยเหวินหลงพูดประโยคเหล่านี้จบกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์จูบอก นี่คือถ้อยคำในใจของข้า เป็นความคิดในใจจริงๆ หากพวกท่านจะตำหนิว่าในสายตาของข้ามีแต่เงินทอง…”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ
บนภูเขาลั่วพั่วไม่กลัวคนพูดจากใจจริง แล้วก็ไม่กลัวว่าจะมีคนที่มีใจเห็นแก่ตัว แล้วนับประสาอะไรกับที่คำพูดประโยคนี้ของเหวยเหวินหลง แท้จริงแล้วทั้งไม่มีใจเห็นแก่ตัว แล้วยังไม่ผิด ตรงกันข้ามคือยังดีมากด้วยซ้ำ
หากเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนหนึ่งที่ดูแลเงินทองซึ่งเป็นดั่งกระแสน้ำไหลพรวดๆ ผ่านมือไม่เข้าใจจิตใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นจูเหลี่ยนก็คงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่า ในอนาคตวันใดวันหนึ่งเหวยเหวินหลงจะหลงเดินทางผิด ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจลืมเรื่องหนึ่งไป นั่นคือเขาในเวลานั้นมีหน้ามีตามากเท่าไร อยู่ตำแหน่งสูงแค่ไหนบนภูเขาของหนึ่งทวีป เหตุผลหลักแล้วเป็นเพราะตัวเขาอยู่ที่ใด เหยียบอยู่บนพื้นแห่งหนใด แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับความสามารถของเขาเหวยเหวินหลงเองด้วย แต่สาเหตุไม่ใช่เพียงแค่เพราะเขาเหวยเหวินหลงร้ายกาจเพียงใด บอกตามตรง ให้ข้าจูเหลี่ยนดูแลเงินทอง บางทีอาจไม่โดดเด่นเช่นเจ้าเหวยเหวินหลง แต่อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วยอมรับการที่ร้อยบุปผาประชันกันเบ่งบานได้มากที่สุด คุณชายเองก็คาดหวังให้เป็นเช่นนี้จากใจจริง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าอาจจะเป็นวิถีวรยุทธหรือวิถีกระบี่ก็ได้ ขอแค่ทำเท่าที่จะทำได้ ปกป้องจิตใจคนของพื้นที่หนึ่งให้อยู่ในร่มเงาเย็นสบาย ต่อให้เป็นดอกหญ้าที่ยังไม่เติบโตก็ยังไร้ทุกข์ไร้กังวล สามารถค่อยๆ เติบโตไปช้าๆ พออากาศอบอุ่นดอกไม้ก็ผลิบาน นั่นก็คือวสันตฤดูเฉกเดียวกัน
เว่ยป้อก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ
หมี่อวี้เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก “ถ้าอย่างนั้นดวงตาของใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่เห็นแต่เงินทองทุกวันหรอกหรือ? นี่มีอะไรเลวร้ายกัน? เหวินหลงอ่า ดูท่าเจ้าจะยังฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอนะ”
เหวยเหวินหลงเงยหน้าขึ้น กึ่งเชื่อกึ่งกังขา
หมี่อวี้เหลือกตามองบน เลียนแบบคำพูดของอิ่นกวานที่บางครั้งจะพูดตอนอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน “เจ้าโง่หรือไง?”
หาได้ยากนักที่หมี่อวี้จะมีสีหน้าจริงจังเช่นนี้ “ความตั้งใจเดิมคือหวังดีต่อผู้อื่น ขณะเดียวกันตัวข้าเองก็ได้เงิน ทั้งยังไม่ขัดแย้งกันเอง ภูตทั้งหลายที่อยู่ในแคว้นหู เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมานครลมเย็นจงใจสร้างบรรยากาศเช่นนั้นมาโดยตลอด ทำให้เผ่าพันธุ์ใหญ่ทั้งหลายจับกลุ่มกันเป็นกองกำลัง ต่างฝ่ายต่างมองกันเป็นศัตรูมานานแล้ว ทั้งยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฆ่าแกงกันเองก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่ละปียังมีจิ้งจอกเฒ่าที่ต้องสลัดขนทิ้ง ทำไม เหวินหลงที่เป็นนักบัญชีนั่งดีดลูกคิด คิดอยากจะวิ่งไปเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อไม่ใช่ เหตุใดพวกเราต้องรู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจจนทำให้ลงมือทำอะไรได้ไม่เต็มที่ด้วยเล่า”
ถึงอย่างไรเหวยเหวินหลงก็มีชาติกำเนิดมาจากเรือนชุนฟาน คือคนกันเองครึ่งตัวของคฤหาสน์หลบร้อน ไม่ว่าสิ่งที่หมี่อวี้พูดจะมีเหตุผลหรือไม่ แต่เขาก็คิดว่าตนเองควรพูดจาเป็นธรรมแทนเหวยเหวินหลงสักสองสามประโยค
หากทำให้พ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยนอาฆาตแค้นตั้งแต่พบเจอหน้ากันคราแรกด้วยสาเหตุนี้ หมี่อวี้ก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว
จูเหลี่ยนชูจอกเหล้าขึ้น “เหวินหลง เจ้าดูแคลนการมองคนได้กระจ่างแจ้งของเจ้าขุนเขาพวกเราเกินไปหน่อยแล้ว ข้าขอดื่มร่วมกับเจ้าหนึ่งจอก แล้วดื่มลงโทษตัวเองอีกจอก”
หนึ่งประโยคแฝงถึงสองความหมาย เหวยเหวินหลงดูถูกตัวเอง แล้วก็ดูถูกภูเขาลั่วพั่วด้วย
เว่ยป้อเตรียมจะยกชายแขนเสื้อขึ้น
เหวยเหวินหลงรีบเอ่ยทันที “เว่ยซานจวิน ในกาเหล้าข้ายังเหลือเหล้าอีกเยอะ”
จูเหลี่ยนด่าขำๆ “เจ้าเหวยเหวินหลงตัวดี เป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองของภูเขาลั่วพั่วได้อย่างไร? ยังจะต้องประหยัดเหล้าแทนซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาเหนือด้วยหรือ? นี่เป็นเพราะเจ้าดูแคลนภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวิน หรือว่าดูแคลนงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือกันแน่?!”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รบกวนช่วยปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป ได้หรือไม่ ตกลงไหม?”
หมี่อวี้แทะเมล็ดแตง เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเราคนบ้านเดียวกันตอบตกลงก็จริง ทว่านี่คืออาณาเขตของขุนเขาเหนือ มีเซียนซือและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำมากมายรอคอยงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเขาจะตอบตกลงนะ”
เว่ยป้อยกมือสองข้างขึ้นนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ
จูเหลี่ยนยกจอกเหล้าขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งยังลุกขึ้นยืนด้วย เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สักวันหนึ่งภูเขาลั่วพั่วของพวกเราจะต้องได้ปรากฎตัวต่อสายตาของคนบนโลกอย่างแท้จริง ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้น พวกเราสี่ห้าคนคงต้องลำบากกันสักหน่อยไปก่อน แต่ละคนต่างแสดงฝีมือของตัวเองออกมา เชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน รอกระทั่งพวกคนหนุ่มสาวในบ้านพากันเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ภูเขาลั่วพั่วจะต้องไม่…”
พูดมาถึงตรงนี้ จูเหลี่ยนก็หันไปมองหมี่อวี้
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืนยิ้มกล่าว “จะต้องไม่ทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานผิดหวังอย่างแน่นอน!”
เหวยเหวินหลงเองก็ลุกขึ้นชูจอกเหล้า “ภูเขาลั่วพั่วจะต้องมีเงินทองไหลมาเทมา”
เว่ยป้อลุกขึ้นเป็นคนสุดท้าย เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “พยายามให้ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีที่หลอกลวงคนอื่นอีกก็แล้วกัน”
ทุกคนกระดกดื่มเหล้าในจอกจนหมด
จากนั้นก็พากันนั่งลง มีเพียงเว่ยป้อที่ยังยืนอยู่ มองมายังจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนถาม “คุยธุระเสร็จแล้ว พี่เว่ยเชิญไปทำธุระของตัวเองเถอะ ในฐานะซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ ต้องมีกิจธุระรัดตัวอย่างแน่นอน ข้าคงไม่รั้งพี่เว่ยไว้อย่างไร้มโนธรรมแล้ว”
หมี่อวี้ยังไม่เข้าใจความหมายแฝงอันลึกล้ำ
เหวยเหวินหลงกลับตาดี สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนเก็บจอกเหล้าซึ่งเป็นของเลียนแบบจอกสิบสองเทพบุปผาใส่ไปในชายแขนเสื้อแล้ว
ดังนั้นเหวยเหวินลงจึงยื่นมือไปกุมจอกเหล้า ช่วยแสดงท่าทีแทนภูเขาลั่วพั่ว
เรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกจากอิ่นกวานเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่เรียนรู้ความหน้าหนาจากอิ่นกวานจะมีอะไรยากกัน
หมี่อวี้ที่รู้สึกตัวช้าคลี่ยิ้มพลางยื่นมือไปบังทับจอกเหล้า “หนึ่งคนดื่มเหล้าสองกา คืนนี้ดื่มได้เต็มคราบนัก ดื่มมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่”
เว่ยป้อถอนหายใจ ครั้นจึงวางจอกเหล้าในมือไว้บนโต๊ะไปด้วยกันเสียเลย ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไป กลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นอีกครั้ง
สามคนที่เหลือพากันหัวเราะเสียงดังลั่น
……
ก่อนหน้านี้สุยโย่วเปียนไปที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงมารอบหนึ่ง เล่าสถานการณ์เกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยนและสำนักเจินจิ้งให้กับตัวแทนเถ้าแก่อย่างสือโหรวฟังคร่าวๆ
ส่วนตบะของตัวนางเอง เพียงแค่บอกว่าเป็นคอขวดโอสถทองเท่านั้น
ส่วนหรงช่างผู้ฝึกกระบี่จากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ลูกศิษย์ใหญ่ของเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ก็ได้พาศิษย์น้องหญิงอย่างสุยจิ่งเฉิงไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองก็เคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี
ส่วนจ้งชิวกับเฉาฉิงหลางที่เดินทางจากเหนือลงใต้ก็กลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วตามหลังหรงช่างและสุยจิ่งเฉิงไม่นาน
ชุยเหวยที่ไปเยือนหอบินทะยานมารอบหนึ่ง พอเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้วก็ไปยังสนามรบของนครมังกรเฒ่า
ก่อนจะไปยังไม่ลืมไปหาเว่ยซานจวินขอให้ช่วยเหลือ โดยชุยเหวยใช้สถานะของผู้ถวายงานภูเขาทายาทของภูเขาพีอวิ๋น
ชุยเหวยคือผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับสามารถกลายเป็นสายลับที่ราชครูต้าหลีจัดวางไว้ที่นั่นได้ นิสัยและคุณสมบัติ แน่นอนว่ายังมีมันสมองที่ล้วนไม่แย่
หงเซี่ยเดินลงน้ำได้สำเร็จจึงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน หลังจากรักษาบาดแผลที่ถ้ำน้ำของแม่น้ำอวี้เย่เรียบร้อยก็ย้อนกลับมาทางเดิม แล้วยังต้องฝืนนิสัยตัวเองไปเยี่ยมเยือนเทพภูเขาเทพวารีตามรายทางเพื่อกล่าวขอบคุณตามคำสั่งในจดหมายลับที่ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนมอบให้ด้วย
สำหรับเรื่องนี้หงเซี่ยไม่ถึงขั้นอึดอัดเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรเจียวน้ำก่อกำเนิดตัวหนึ่ง หากอยู่บนภูเขาตระกูลเซียนแห่งอื่น ไม่แน่ว่าอาจถูกยกบูชาเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ ทว่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วนั้นก็ช่างเถิด หากเป็นเช่นนี้จริง หงเซี่ยกลับจะอกสั่นขวัญผวา สงสัยว่าภูเขาลั่วพั่ววางแผนคิดจะให้นางต่อสู้สุดชีวิตพาตัวไปตายบนภูเขาศัตรูลูกใดลูกหนึ่งเสียมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นทำให้น้ำท่วมแคว้นหูของนครลมเย็น หรือไม่ก็พุ่งชนภูเขาบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงให้แหลก?
แต่หงเซี่ยก็ยังต้องตกใจกับเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่ง
ครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายไปเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง หลังจากเลียบทางเดินภูเขาขึ้นเขาไปแล้วนางก็สังเกตเห็น ‘เพ่ยเซียง’ ผู้นั้น
ทั้งสองฝ่ายขอบเขตเท่ากัน เพ่ยเซียงที่เป็นผู้ปกครองแคว้นหู ไม่ว่าจะเวทคาถาตระกูลเซียน วิชาอภินิหารหรือจำนวนสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตี ล้วนต้องมีมากกว่าหงเซี่ยแน่นอน ทว่าหากพูดกันถึงพลังในการต่อสู้ คาดว่าเพ่ยเซียงหนึ่งคนครึ่งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชนะหงเซี่ยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต่อสู้ประชิดตัวกันขึ้นมา ไม่เพียงแต่เพ่ยเซียงต้องแพ้อย่างแน่นอน อาจยังต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ดังนั้นเมื่อเพ่ยเซียงได้เจอกับหงเซี่ยจริงๆ จึงรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งกว่ายามหงเซี่ยพบเจอนางเสียอีก
เพราะตอนนั้นเพ่ยเซียงกำลังเดินเล่นอยู่บนขั้นบันได จากนั้นก็มองเห็นหงเซี่ยกับภูตน้ำน้อยหนึ่งคนตัวใหญ่กับหนึ่งคนตัวเล็กเดินขึ้นเขามาด้วยกัน
แม่นางน้อยชุดดำยังคงเดินอาดๆ ด้วยท่า ‘เดินอย่างกำเริบเสิบสาน ภูตผีปีศาจล้วนหวาดผวา’ ที่เรียนรู้มาจากเผยเฉียน จากนั้นจึงถูกตัวเองเอามาพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่อีกที
นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เพ่ยเซียงเห็นมาจนชินนานแล้ว เรื่องประหลาดที่ใหญ่เทียมฟ้าก็คือเจียวน้ำก่อกำเนิดที่ทั่วร่างมีชะตาน้ำเข้มข้นจนเหมือนก่อตัวกลายเป็นน้ำกลับเดินอยู่ด้านหลังแม่นางน้อย อีกทั้งนี่ยังเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจอีกด้วย นางจงใจเดินเยื้องไปทางด้านหลังของ ‘ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้’ หนึ่งก้าว เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยตัวเตี้ย หงเซี่ยร่างสูงเพรียว เวลาที่คนทั้งสองพูดคุยกันถึงไม่ได้ดูสะดุดตาเกินไปนัก
แต่แม่นางน้อยกลับไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นเขา นำทางให้กับพี่หญิงหงเซี่ยที่มาเป็นแขกในบ้านตัวเองครั้งแรกอย่างดิบดี บางครั้งยังเล่าให้พี่หญิงหงเซี่ยฟังว่าต้นไม้ต้นนั้นเป็นเจ้าขุนเขาคนดีกับเผยเฉียนและห่านขาวใหญ่ร่วมกันปลูกในปีใด ดอกไม้ใบหญ้าต้นไหนที่ใครๆๆ ของสวนน้ำค้างวสันต์ส่งมาให้ พี่หญิงหน่วนซู่ดูแลอย่างดีมากๆ เลย แล้วยังบอกอีกว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่พี่หญิงหน่วนซู่ไม่ค่อยดีเท่าไร มักจะชอบห้ามไม่ให้ตนไปขอต้นไผ่มาจากเว่ยซานจวิน เฮ้อ ใช่ว่านางจะไม่ให้เมล็ดแตงเสียหน่อย ตนจะไม่ปลูกต้นไม้สักต้นไว้บนภูเขาคงไม่ได้กระมัง ใช่แล้ว พี่หญิงหงเซี่ย ท่านช่วยพูดให้หน่อยเถอะ หากสามารถเกลี้ยกล่อมพี่หญิงหน่วนซู่ได้ ถึงเวลานั้นข้าก็จะให้เผยเฉียนช่วยจดคุณความชอบให้ท่านข้อใหญ่เลยนะ…
เพ่ยเซียงถึงขั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังสำรวมตนของหงเซี่ยได้โดยตรง นั่นคือความเคารพยำเกรงของคนที่เดินเข้ามาในฟ้าดินเล็กอีกแห่งหนึ่ง
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง ยืนหลังงองุ้มอยู่ตรงทางแยกกึ่งกลางภูเขา ยิ้มตาหยีรอต้อนรับแขก
หงเซี่ยยอบตัวคารวะ
เพ่ยเซียงเองก็มาอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนพยักหน้าให้เจียวน้ำเบาๆ “แม่นางหงเซี่ย วันหน้าเจ้าก็สนิทสนมกับเพ่ยเซียงให้มากๆ เถอะ เจ้าน่าจะเดาออกแล้ว นางก็คือเจ้าแห่งแคว้นหู พวกเรามาพูดคุยเล่นกันสักสองสามคำเถอะ”
มาถึงประตูเรือนของจูเหลี่ยน หมี่ลี่น้อยไม่ต้องให้พ่อครัวเฒ่าเอ่ยบอก ตัวเองก็ไปยืนอยู่หน้าประตูเรือน ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “หมี่ลี่น้อย มาคุยด้วยกันเถอะ”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วมุ่นทันใด นางไม่ขยับเท้า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าคุยกันไปสิ ข้าไม่เข้าใจอะไรสักหน่อย ข้ายืนอยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว”
จูเหลี่ยนเอ่ยเรียกด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาภูเขาลั่วพั่ว”
สีหน้าของโจวหมี่ลี่กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด “รับคำสั่ง รับคำสั่ง!”
มาถึงด้านในเรือน โจวหมี่ลี่นั่งตัวตรง สองแขนกอดอก พยายามขึงหน้าให้ตึง แม้แต่เท้าก็ไม่แกว่งส่ายแล้ว
เดิมทีเพ่ยเซียงนึกว่าจูเหลี่ยนจะแค่ ‘คุยเล่น’ จริงๆ นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่จูเหลี่ยนพูดคุย แต่ละเรื่องกลับใหญ่ไม่แพ้กันเลย
อันดับแรกก็พูดถึงภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วทั้งหลายที่เตรียมไว้สำหรับการจัดวางแคว้นหู รวมไปถึงสถานการณ์ล่าสุดของพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้นคร่าวๆ ความหมายก็คือให้นางเลือกสถานที่ด้วยตัวเอง
จากนั้นจูเหลี่ยนก็บอกให้เพ่ยเซียงคิดพิจารณาดีๆ ไปก่อน ส่วนตัวเองหันไปคุยเรื่องของการสร้างจวนน้ำขึ้นที่ภูเขาหวงหู ภูเขาลั่วพั่วสามารถออกเงินเทพเซียนในการเปิดจวนให้นางได้มากน้อยแค่ไหน
ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าหมี่ลี่น้อยจะไม่เอ่ยอะไร แต่กลับรับฟังคำพูดของพ่อครัวเฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ได้ทำท่าเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจอีกแล้ว แต่เป็นมึนงงก็คือมึนงงจริงๆ
หลังจากทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจบ จูเหลี่ยนก็ยิ้มถามว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา มีความคิดของตัวเองที่ต้องการพูดหรือไม่?”
โจวหมี่ลี่ที่นั่งนิ่งไม่ขยับมานานยกมือเกาแก้ม “ไม่ต้องมีได้ไหม?”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ได้สิ”
โจวหมี่ลี่หัวเราะร่าทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มี”
ตอนนี้ในสมองของนางยังดังอื้ออึงอยู่เลยนะ
จากนั้นแม่นางน้อยก็พลันรู้สึกลำบากใจ ถามเบาๆ ว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พ่อครัวเฒ่าเจ้าไม่เรียกพี่หญิงหน่วนซู่มาด้วยหรือ? หากพี่หญิงหน่วนซู่รู้เข้าจะเสียใจหรือไม่”
จูเหลี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หน้าที่ของหน่วนซู่ใหญ่ยิ่งกว่านี้มากนัก ไหนเลยจะต้องมาคอยดูแลเรื่องพวกนี้ ดังนั้นวันนี้พวกเราคุยอะไรกันไปบ้าง เจ้าล้วนสามารถไปเล่าให้หน่วนซู่ฟังได้ จำไว้ว่าไม่ต้องจงใจปิดบังนาง”
โจวหมี่ลี่รีบหยิบคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าบนโต๊ะขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าไปลาดตระเวนบนภูเขาก่อนนะ อวี๋หมี่ยังรอข้าอยู่”
จูเหลี่ยนโบกมือ หลังจากนั้นก็พูดถึงรายละเอียดเรื่องการเลือกสถานที่และการเปิดจวนกับเพ่ยเซียงและหงเซี่ย
เพ่ยเซียงเลือกเอาแคว้นหูไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว ส่วนหงเซี่ยไม่ยินดีจะให้ภูเขาลั่วพั่วควักเงิน บอกว่าตัวเองพอจะมีทรัพย์สมบัติสะสมอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าในเรื่องของช่างบนภูเขาที่จะให้มาสร้างจวนคงต้องขอให้ภูเขาลั่วพั่วช่วยประสานงานให้
จากนั้นจูเหลี่ยนก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องให้ศาลบรรพจารย์จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว เพราะแม่นางหงเซี่ยคิดจะสร้างภูเขาเป็นของตัวเองงั้นหรือ? คิดจะแยกจวนน้ำปกครองตัวเองเป็นอิสระ ทำตัวเป็นราชาใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำที่รับบัญชาเฉพาะการศึก ไม่รับการตบรางวัลใดๆ หรือ?”
คำพูดนี้ดังออกจากปาก ทำเอาหงเซี่ยตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยอีกว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ล้อเล่นเท่านั้น แม่นางหงเซี่ยดีกว่าเจ้ามารผจญอวิ๋นจื่อที่ต้องขัดเกลานิสัยอีกหลายส่วนเยอะเลย”
หงเซี่ยไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
จูเหลี่ยนโบกมือ “จุดใดที่ควรต้องใช้เงิน ภูเขาลั่วพั่วไม่คิดจะประหยัด หงเซี่ย เจ้ามาที่นี่น้อยครั้ง กฎเกณฑ์หลายอย่างจึงไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้ก็จำกฎข้อหนึ่งไว้ให้ดีก่อนแล้วกัน น้ำใจคนที่อยู่ในกฎเกณฑ์ ถึงจะเรียกว่าน้ำใจคน ขนาดกฎเกณฑ์ยังไม่เข้าใจ แต่กลับพูดถึงน้ำใจคนอย่างเหลวไหล วันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วไม่ชดใช้น้ำใจสำหรับในใจของเจ้า เจ้าก็จะเกิดความไม่พอใจหรือไม่? ไม่มีเหตุผลเลยนะ ใช่หลักการเหตุผลเช่นนี้หรือไม่?”
หงเซี่ยลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะ พูดด้วยสีหน้าจริงใจ “หงเซี่ยน้อมรับคำสั่งสอน”