กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 719.7 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง
ฉางมิ่งคีบขนมชิ้นนั้นขึ้นมา ยกมือปิดปาก พอกินเข้าไปเรียบร้อยก็ใช้นิ้วโป้งเช็ดมุมปาก ใช้เสียงในใจถามกลั้วหัวเราะว่า “สือโหรว ปีนั้นเจ้าถูกหลิวหลีเซียนเวิงหลอมเป็นผีสาวโครงกระดูกที่สวมชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสก่อน ภายหลังมาติดตามเจ้าขุนเขาถึงได้รับโชคดีหลังจากเจอโชคร้าย อีกทั้งยังสวมคราบร่างเซียนนี้มานานหลายปี ดังนั้นเจ้าจึงลืมความเคยชินมากมายในอดีตไปแล้วใช่หรือไม่? ข้าพูดถึงความเคยชินเล็กๆ ที่เจ้ามีมาตั้งแต่เด็ก เป็นความเคยชินแบบที่ไม่สะดุดตาน่ะ ยกตัวอย่างเช่น…”
ยกตัวอย่างเช่นตอนเด็กเวลาตื่นเต้นเจ้ามักจะชอบกัดนิ้วมือ หรือยกตัวอย่างเช่นไม่กลัวอากาศร้อนแผดเผา มีเพียงอากาศที่หากหนาวเหน็บแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกยากทนทานขึ้นมาทันที หรือยกตัวอย่างเช่นเกิดมาก็ชอบเครื่องดนตรีโบราณจำพวกเครื่องตี สิ่งเหล่านี้ฉางมิ่งล้วนได้มาจากเอกสารบันทึกลับในภูเขาลั่วพั่วหลังจากได้รับการบอกเป็นนัยจากหยางเหล่าโถว หาไม่ยาก อาณาเขตสู่โบราณ ควันธูปบางเบา มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงเล็กน้อย…และลักษณะพิเศษที่ฉางมิ่งคิดไว้ในใจเหล่านี้ก็ไปสอดคล้องกับสาเหตุที่ทำให้เมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดสายหนึ่งสามารถเปิดสติปัญญาออกด้วยตัวเองเร็วมาก แต่กลับไม่สามารถฝึกมรรคกถาเต๋าได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่าฉางมิ่งไม่ได้ถามออกไป นางทำเพียงแค่ยิ้มมองสือโหรวเท่านั้น
สือโหรวพูดอย่างน่าสงสาร “ยกตัวอย่างอะไรหรือ? พี่หญิงฉางมิ่ง ท่านอย่าข่มขู่ข้าเลย”
ไม่ใช่ว่านางปกปิดอะไรจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางยังมีอะไรที่มีค่าพอให้ปิดบังอีกเล่า อีกอย่างมีชุยตงซานผู้นั้นอยู่ สือโหรวยังจะกล้าปิดบังอะไรอีกหรือ? นางเคยชินกับวันเวลาที่สงบสุขในตรอกฉีหลงทุกวันนี้แล้วจริงๆ ทุกๆ ค่ำคืนยังสามารถถอดคราบร่างนี้แล้วกลับคืนสู่รูปลักษณ์ของสตรีได้ชั่วครู่ เพราะถึงอย่างไรผีสาวก็คือสตรีนี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่นางหันมาตั้งใจฝึกตนอีกครั้งหนึ่งแล้ว สะสมไปทีละเล็กละน้อย ขยับขอบเขตขึ้นสูงด้วยก้าวย่างที่มั่นคง ไร้ทุกข์ไร้กังวล ถึงอย่างไรไม่ว่าใครก็ไม่มีทางยกเรื่องขอบเขตมาตำหนินาง สือโหรวไม่มีความคิดอื่นใดจริงๆ ได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขซึ่งแต่ละวันแทบไม่ต่างกันเช่นนี้ทำให้สือโหรวรู้สึกพึงพอใจมากเป็นพิเศษ
หากจะให้พูดถึงความลับในระบบเต๋าเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยถูกชุยตงซานพูดแฉมานานแล้ว สือโหรวก็ไม่อยากพูดอะไรมากจริงๆ จะให้คุยเรื่องพวกนี้กับพี่หญิงฉางมิ่งไปทำไม ถึงอย่างไรชุยตงซานรู้แล้วก็เท่ากับว่าภูเขาลั่วพั่วครึ่งหนึ่งรู้กันอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าไม่ใช่? คงไม่ใช่ว่าแม้แต่เจ้าขุนเขาก็ยังไม่รู้กระมัง? ปีนั้นสาเหตุเพราะบทเพลงพื้นบ้านของตนเพลงนั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของชุยตงซานบรรจุปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไว้มากน้อยแค่ไหนกันแน่ ถึงสามารถคว้าจับรากฐานระบบเต๋าของนางได้ทันที อ้าปากหุบปากก็พ่นประโยค ‘กากเดนสิ้นแคว้นของเมื่อหกร้อยปีก่อน’ ‘ขี้เถ้ายังมอดไม่สิ้นของสาขาแยกลัทธิเต๋า’ ยังบอกอีกว่านางรู้ ‘วิชาลับเฉพาะของบรรพจารย์ผู้กอบกู้’ แล้วยังจะ ‘ลบแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งเมล็ดพันธ์เต๋าของนางไปอย่างสิ้นซาก’ …
บอกตามตรง ตอนนั้นสือโหรวตกใจจนขวัญกระเจิงแล้วจริงๆ
กระทั่งถึงวันนี้ ใครคิดอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าสือโหรวก็เป็นตัวแทนเถ้าแก่ของร้านยาสุ้ย ทุกวันคอยช่วยภูเขาลั่วพั่ว ช่วยอาจารย์ของเจ้าชุยตงซานหาเงินด้วยความยากลำบาก ทุกคืนที่ฝึกตนนับว่าขยันขันแข็งไม่น้อย เจ้ายังจะเอาอย่างไรกับข้าอีก?! หากทำให้ข้าโมโหขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ของเจ้า! ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าคือชุยตงซานหรือห่านขาวใหญ่อะไรนั่น!
สหายฉางมิ่งจ้องมองสือโหรวเขม็ง ครู่หนึ่งต่อมาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชุยตงซานผู้นี้น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ แอบทำเรื่องดีโดยที่…ไม่ทิ้งชื่อเอาไว้? หากเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขา ซึ่งถือว่าเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้เต็มที่ ก็คงทำให้คนต้องเป็นกังวลจริงๆ แล้ว”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี “ดูท่าข้าคงจะเข้าใจเจ้าผิดไป คำพูดไร้สาระอย่างเช่นว่าน้องสือโหรวอย่าได้ถือสาอะไรนั่น ข้าคงไม่พูดแล้ว เจ้าสามารถถือสาได้ เพียงแต่ว่าทางที่ดีที่สุดอย่าทำให้ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าถือสามากๆ ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจแย่”
ริมฝีปากสือโหรวสั่นระริก ทั้งหวาดกลัวทั้งน้อยใจ เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “พี่หญิงฉางมิ่ง ท่านอย่าขู่ข้าสิ”
กว่าจะได้มีเพื่อนที่รู้ใจสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นอย่างนี้ได้นะ?
ฉางมิ่งถอนหายใจยาว “ข้าจะช่วยเจ้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สอบถามความเห็นจากชุยเซียนซือดูก่อน หากเป็นไปได้ก็จะได้ตกปลาตัวใหญ่ หากไม่เหมาะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นก็คงต้องวางลงไว้ก่อนชั่วคราว…”
พูดมาถึงตรงนี้ ฉางมิ่งก็ยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาดันไว้ตรงหว่างคิ้ว แสงสีทองจุดหนึ่งพลันเปล่งวาบขึ้น ฉางมิ่งยิ้มถาม “เจ้าลัทธิสาม ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
สือโหรวหมดสติไปแล้ว ทั่วทั้งร่างมีประกายแสงเจ็ดสีไหลริน
นอกประตูมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาก่อน หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา เขาปรบมือเบาๆ ยิ้มกว้างพูดว่า “พี่หญิงฉางมิ่งช่างมีความคิดดีนัก มีวิธีการที่ดี มีพลังที่ดี! อาจารย์ของข้าได้เจอกับคนที่เพียบพร้อมที่สุดแล้ว!”
ฉางมิ่งขมวดคิ้ว “ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจนานแล้ว ขอถามชุยเซียนซือสักหน่อยว่า เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เจ้าลัทธิลู่มองดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ มาจนถึงทุกวันนี้?”
ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยืดคอยาวออกไปมองสือโหรวที่นอนอยู่ด้านหลังโต๊ะ หันหลังให้ฉางมิ่ง ดีดนิ้วหนึ่งที ร่างของสือโหรวที่อยู่บนพื้นก็ดีดขึ้นสูง จากนั้นก็หล่นกระแทกลงพื้นอย่างแรง เขายิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ เจ้าลัทธิลู่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ แต่ไหนแต่ไรมากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้เสมอ ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขี้หมูราขี้หมาแห้งทั้งหลาย เขาดูแคลนจะยื่นมือมาวางแผนเล่นงานจริงๆ อย่างมากสุดหากอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ บางครั้งก็จะเหลือบมองมายังภาพเหตุการณ์ในตรอกฉีหลงบ้าง ทุกครั้งที่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือข้ามผ่านใต้หล้าสองแห่ง สิ่งที่ได้เห็นมีไม่มาก แต่สิ่งที่ต้องเผาผลาญไปกลับมากกว่า เดิมทีนี่ก็เป็นการมอบให้สือโหรวอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าสือโหรวโง่เกินไป จึงไม่รู้ตัวสักนิดก็เท่านั้น”
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ สองเท้าลอยพ้นพื้น หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่หญิงฉางมิ่งคงยังไม่รู้ว่าหากเจ้าลัทธิลู่เบื่อหน่ายขึ้นมา ข้าก็จะบันเทิงเริงใจอย่างมาก ทุกครั้งที่ขอบเขตข้าสูงขึ้นหนึ่งขั้น บนร่างของแม่นางสือโหรวผู้นี้ก็จะมีตราผนึกลับที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนมาเพิ่มขึ้นอีกชั้น นอกจากเจ้าพวกตะพาบเฒ่าบางคน และเว้นเสียจากว่าลู่เฉินมามองดูสือโหรวใกล้ๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็จะสัมผัสถึงอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องที่เจ้าลัทธิลู่มองเห็น ข้าล้วนรู้ทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าเรื่องบางเรื่องที่เขาเห็นยังเป็นเรื่องที่ข้าจงใจให้เจ้าลัทธิรู้ด้วยซ้ำ บางทีข้าพูดเช่นนี้ ฟังไปแล้วอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่พี่หญิงฉางมิ่ง เจ้าจะต้องเชื่อในสายตาการเลือกลูกศิษย์ของอาจารย์ข้านะ!”
ชุยตงซานพลันหมุนตัวพลิ้วกายลงยืนบนพื้น หันหน้าเข้าหาสหายฉางมิ่ง เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
สหายฉางมิ่งส่ายหน้า “ต่อให้เจ้าลัทธิลู่จะติดกับแผนการของเจ้า แต่เทพมีจิตแห่งสวรรค์ ครั้งหนึ่งคำนวณไม่ถึง หลายครั้งเข้าก็จะสามารถคำนวณถึงแผนการของเจ้าได้เอง”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “แล้วอย่างไรล่ะ? ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันหนึ่งใต้หล้า ต่อให้ร่างจริงเขามาที่นี่ ปีนั้นก็ถูกสยบขอบเขตไว้ที่บินทะยานเหมือนกัน บวกกับที่เพียงแค่ใช้ฝ่ามือพิศขุนเขาสายน้ำก็น่าจะใช้ขอบเขตเซียนเหริน หากคิดจะมาวางแผนเล่นงานข้า แต่จะชนะข้าได้หรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้จริงๆ”
ฉางมิ่งถึงได้พยักหน้ารับเบาๆ เพียงแต่กลับเอ่ยว่า “ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้นายท่านฟังอย่างไม่มีตกหล่น”
ชุยตงซานประสานมือคารวะ “อาจารย์มีผู้ช่วยเช่นนี้ ภาระบนบ่าของศิษย์ก็ถูกปลดเปลื้องไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว”
ฉางมิ่งรู้สึกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย
นางพลันถามว่า “เจ้าคำนวณได้ล่วงหน้าว่าวันนี้ข้าจะหยั่งเชิงสือโหรวหรือ?”
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะกว้างมากจริงๆ จึงหล่นลงมาโปะทับปิดใบหน้าของเขา ถูกเขาเป่าออก วางมือลง ยกมือตบอกเต็มแรง “ฟ้าดินเป็นพยาน ล้วนเสี่ยงดวงเอาทั้งนั้น!”
ฉางมิ่งเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
ชุยตงซานชี้ไปที่หัวของตัวเอง เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยโชคช่วยทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่หลี่ไหวนี่นะ บุคคลอันดับหนึ่งอย่างท่านมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะไม่สนใจไยดีได้หรือ แล้วท่านก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเว่ยป้อแจ้งข่าวให้ข้า นอกจากเว่ยซานจวินแล้ว ในเมืองเล็ก อันที่จริงท่านยังหาตัวสายลับที่ข้าจัดวางไว้ออกมาไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นข้าใช้การมีใจมาวางแผนกับคนไม่มีเจตนา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวก็เริ่มโคลงศีรษะ พูดอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “คำพูดไร้สาระอย่างเช่นว่าพี่หญิงฉางมิ่งอย่าได้ถือสาอะไรนั่น ข้าคงไม่พูดแล้ว ท่านสามารถถือสาได้ เพียงแต่ว่าทางที่ดีที่สุดอย่าทำให้ข้าสังเกตเห็นว่าท่านถือสามากๆ ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจแย่”
ฉางมิ่งหลุดหัวเราะพรืด เพียงแต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความวางใจ
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกลับสามารถอำพรางตัวอยู่ข้างกายตนได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้?
มิน่าเล่าถึงกล้าพูดว่าตัวเองวางแผนเล่นงานลู่เฉิน
ชุยตงซานกระโดดทิ้งตัวไปด้านหลัง พลิ้วกายลงด้านหลังโต๊ะคิดเงิน สองเท้าประกบติดกันเหยียบอยู่บนหน้าของสือโหรวพอดี เขาย่ำเท้าแรงๆ อยู่หลายทีพลางตะโกนเสียงดัง “ตื่นๆ เป็นผีสาว กลางวันแสกๆ นอนหลับแอบอู้ไม่หาเงิน ข้าก็อดทนพอแล้ว กลางดึกกลางดื่นยังไม่รีบออกมาหลอกให้คนตกใจกลัวอีก!”
ฉางมิ่งยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว
ชุยตงซานผู้นี้ เวลาอยู่กับนายท่านก็ทำตัวไร้สาระเช่นนี้หรือ?
ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง เพียงไม่นานก็มีเสียงตบบ้องหูดังขึ้น จากนั้นก็น่าจะเป็นเสียงสือโหรวที่ตื่นขึ้นมาแล้วตกใจจนไปชนเข้ากับโต๊ะ
ดูท่าสือโหรวจะกลัวเด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้เข้าไปถึงกระดูกจริงๆ
สุดท้ายชุยตงซานยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ สือโหรวยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ก้มหน้าหลุบตาต่ำ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ชุยตงซานเบี่ยงตัวหันมาด่าเสียงดังลั่น “เป็นเพราะว่าอาจารย์ของข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าก็เลยไม่ยอมกลับบ้านเกิดเสียทีใช่หรือไม่?! จะคนก็ไม่ใช่คน จะผีก็ไม่ใช่ผี ชายก็ไม่ชาย หญิงก็ไม่หญิง หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ท้องไส้คงพะอืดพะอมไม่ต่างกัน หากไม่ต้องเจอเจ้าได้ก็คงไม่มาเจอแล้ว…”
ฉางมิ่งขมวดคิ้ว “คำพูดประเภทนี้ ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าพูดอีกจะดีกว่า ข้ามั่นใจเลยว่าหากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่จะต้องไม่ยอมให้เจ้าพูดเช่นนี้แน่นอน!”
เรียกชื่อของเฉินผิงอันออกมาตรงๆ เป็นครั้งแรกที่ฉางมิ่งทำหลังจากมาอยู่ภูเขาลั่วพั่ว
นี่แสดงให้เห็นว่านางโกรธแล้ว
ฉางมิ่งเตรียมใจรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างการแตกหักกับชุยตงซานเอาไว้แล้ว
คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวจะหยุดพูดทันที ถอนหายใจหนึ่งครั้ง งอเข่าสองข้างลงน้อยๆ ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ยื่นออกมาแค่หัวอย่างเดียว “ขอแค่อาจารย์มาอยู่ที่นี่ได้ อย่าว่าแต่ให้อาจารย์ด่าเลย ต่อให้ถูกตีร้อยรอบก็ได้ทั้งนั้น”
ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ต้องกลับมาแน่”
ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อสองข้างปัดป่ายไปบนโต๊ะคิดเงิน ร้องคร่ำครวญไม่หยุด
จู่ๆ ชุยตงซานก็หยุดการกระทำลง ถามว่า “จั่วโย่วไปจากภูเขาแล้วหรือ?”
ฉางมิ่งพยักหน้า
ชุยตงซานเดินลงมาจากม้านั่งตัวเล็ก เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาแล้วเดินอาดๆ พร้อมเอ่ยว่า “อาจารย์ลุงคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย นึกจะมาก็มาไม่บอกกล่าว นึกจะไปก็ไปไม่ร่ำลา คราวหน้าหากเจอหน้ากันข้าจะต้องกระโดดต่อยแสกหน้าเขาสักหมัด!”
มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินตัวโยกออกจากร้าน ฉางมิ่งก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปม ผู้ฝึกตนที่สมองผิดปกติเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่คนที่อาการหนักขนาดนี้น่าจะมีน้อยกระมัง?
ชุยตงซานพลันยื่นหัวออกมาจากตรงประตู “พี่หญิงฉางมิ่ง วันหน้าท่านมาเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วดีไหม?”
ฉางมิ่งยิ้มกล่าว “เจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้”
ชุยตงซานเอ่ย “ท่านไม่รู้อะไร อาจารย์ลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์อย่างข้าจะตายไป พวกเผยเฉียน ฉิงหล่างนั่น รวมกันแล้วยังสู้ข้าไม่ได้สักคน”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยีเอ่ย “เชิญไสหัวไป”
ชุยตงซานจึงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไสหัวไปจริงๆ แล้วนะ?”
ฉางมิ่งยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง
ชุยตงซานจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังก้อง เขาที่เดินอยู่ในตรอกเดินเบี่ยงตัวหันข้างแล้วหมุนตัวไม่หยุด ชายแขนเสื้อโบกพลิ้วปลิวไสว น่ามองอย่างยิ่ง บอกว่าไสหัวไปก็คือไสหัวไปจริงๆ (ภาษาจีนคือคำว่ากุ่น แปลเป็นไทยได้ว่าไสหัวไป/ไปให้พ้น แต่หากแปลตรงตัวคือกลิ้งไป)
มาถึงภูเขาลั่วพั่ว เพราะชุยตงซานไม่ได้เดินผ่านประตูใหญ่ แต่ปีนหน้าผาขึ้นมา ดังนั้นจึงทำเอาหมี่ลี่น้อยที่กำลังแทะเมล็ดแตงตกใจสะดุ้งโหยง เห็นหัวที่โผล่มาจากขอบหน้าผา แม่นางน้อยก็อึ้งงันไปนาน
โจวหมี่ลี่วิ่งตะบึงออกไป ทรุดตัวลงนั่งยอง มองไปข้างล่างหันซ้ายหันขวา “ห่านขาวใหญ่ เผยเฉียนล่ะ? ทำไมไม่ได้กลับบ้านมาด้วยกัน? พวกเจ้าชอบไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ…”
ชุยตงซานปีนขึ้นมาถึงบนหน้าผา โจวหมี่ลี่เองก็ลุกขึ้นยืน ยื่นเมล็ดแตงกำมือหนึ่งให้ห่านขาวใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้โม้นะ เมื่อครู่เห็นเจ้า ข้าแค่ตกใจนิดๆ เอง”
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “หมี่ลี่น้อยใช้ได้นี่นา ตัวสูงขึ้นแล้ว”
โจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้า หัวเราะฮ่าๆ
ชุยตงซานลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ทอดสายตามองไปทางทิศไกล แล้วจู่ๆ ก็กระโดดลอยตัวขึ้น ตะเบ็งเสียงดังลั่น “ใต้หล้าไพศาล เจ้าจงฟังข้าให้ดี วันนี้ข้าทำให้หมี่ลี่น้อยตกใจสะดุ้งนิดๆ พออาจารย์กลับมาบ้านแล้ว จะต้องทำให้ใต้หล้าตกใจสะดุ้งโหยง! มารดามันเถอะ รวมถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้ามืดสลัวด้วย!”
——