กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 722.1 ป๋ายเหย่จากไป
อันดับแรกก็เป็นจื้อกุยมังกรแท้จริงที่เผยร่างจริง เป็นฝ่ายออกจากหอเติงหลง ออกมหาสมุทรไปเข่นฆ่า เปิดฉากการช่วงชิงระหว่างมังกรและงูที่มากพอจะเคลื่อนย้ายมหาสมุทรกับเฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่มหามรรคาขัดแย้งกัน ต่อมากระบี่บินสิบสองเล่มของป๋ายอวี้จิงในมือชุยฉานก็พากันมาเยือนสนามรบ ช่วยจื้อกุยคลายวงล้อม แต่จื้อกุยก็ยังโดนกระบองของหยวนโส่วฟาดใส่ศีรษะของมังกรที่แท้จริง จากนั้นหยวนโส่วยังฟาดกระบองใส่ค่ายกลขุนเขาสายน้ำของนครมังกรเฒ่าให้แหลกสลาย พลังอำนาจพุ่งเข้าหาจวนอ๋องเจ้าเมือง สุดท้ายถูกสวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่ชักกระบี่ออกจากฝักมาเกินครึ่ง ขัดขวางพลานุภาพอีกครึ่งหนึ่งจากกระบองของปีศาจใหญ่ยอดเขาหยวนโส่วเอาไว้ได้
สนามรบของนครมังกรเฒ่า กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยังคงเดินขึ้นฝั่งโจมตีเมืองอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปตายกันไปอย่างไม่หยุดพัก
หลังจากการเข่นฆ่าระหว่างบุคคลบนยอดเขาผ่านพ้นไป ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็พลันปูสะพานยาวและศิลาวิถีเทพสายใหม่ขึ้นมาอีก ยังมีผ้าแพรต่วนหลากสีขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกดึงมา ปีศาจใหญ่เคลื่อนย้ายขุนเขาที่ถูกหลอมให้มีขนาดเล็กมาจากใบถงทวีปหลายลูก พอทุ่มเข้าไปในมหาสมุทรแล้วก็ร่ายวิชาอภินิหาร ขุนเขาพลันตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ยอดเขาแทงทะลุกลางท้องมหาสมุทรบริเวณที่อยู่ใกล้กับแผ่นดินที่ตั้งนครมังกรเฒ่า ห้อยแขวนอยู่กลางอากาศ สร้างสนามรบบนมหาสมุทรที่ราบเรียบขึ้นมาแห่งแล้วแห่งเล่า ราวกับว่ามีทะเลเมฆที่กว้างขวางแผ่ปูอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทร ประหนึ่งเมฆขาวที่มาเติมเต็มอยู่ในหุบเขา
สภาพของเฟยเฟยดีกว่ามังกรแท้จริงวัยเยาว์ที่ได้แต่นอนพักรักษาบาดแผลอยู่บนแท่นเติงหลงตัวนั้นมากนัก นางได้รับคำสั่งหนึ่งมาจากกระโจมเจี่ยจื่อ หลังจากรอคอยอยู่ชั่วครู่ บนแนวเส้นจากตะวันออกไปตะวันตกเหนือมหาสมุทรที่นางยืนอยู่ก็มีแท่งน้ำแข็งขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมากลางอากาศแล้วโน้มเอียงชี้เข้าหานครมังกรเฒ่าที่ขวางทางมาเนิ่นนาน แท่งน้ำแข็งเรียงตัวเป็นกันแนวเส้น ประหนึ่งรถขว้างหินจำนวนมากนับหมื่นคัน
ในแท่งน้ำแข็งเหล่านี้มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลายสิบคนที่กำลังหลับคล้ายจำศีลอยู่ ถูกพันธนาการกักขังอยู่ในแท่งน้ำแข็ง เทพแห่งโรคระบาดมีอยู่เยอะมาก ส่วนกว้อเค่อมีอยู่สองคน
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอีกกลุ่มใหญ่ยืนอยู่เหนือแท่งน้ำแข็งที่กักขังเทพแห่งโรคระบาดและกว้อเค่อเอาไว้ ยอมทุ่มเงินของตัวเองอย่างไม่เสียดายเพื่อเอามาแกะสลักยันต์อย่างสุดชีวิต หลีกเลี่ยงไม่ให้เฟยเฟยที่มีนิสัยเจ้าอารมณ์ขี้โมโหแช่แข็งพวกมันให้ตายคาที่แล้วโยนเข้าไปในนครมังกรเฒ่าพร้อมกัน ผู้ครองลำคลองเหยาเย่สองคนก่อนและหลังของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พูดตามตรง ยังคงเป็นหย่างจื่อที่นิสัยอ่อนโยนกว่าหน่อย พวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เหล่านี้ ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็คงไม่ดีไปยังไง นอกเสียจากหลิวชาที่ชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจ มักจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้า กับอาจารย์โจวมหาสมุทรความรู้ที่ไม่ค่อยปรากฎตัวที่เป็นข้อยกเว้นที่สุด
เฟยเฟยพลันคลี่ยิ้มหวาน ใช้เสียงในใจเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าคุณชายอย่างอ่อนโยน
คนหนุ่มขี่กระบี่สวมชุดคลุมสีดำ รัดผ้าแพรต่วนสีขาวหิมะบนมวยผมคนหนึ่ง ซึ่งก็คืออวี่ซื่อผู้ฝึกกระบี่แห่งกระโจมเจี่ยเซิน ได้ขี่กระบี่มาถึงด้านหลังสนามรบอย่างรีบร้อน มาหาเฟยเฟย
ถึงอย่างไรอวี่ซื่อก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง ต่อให้นางจะเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ตาม
อวี่ซื่อถาม “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฟยเฟยส่ายหน้า “เจ้าเด็กน้อยนั่นอ่อนหัดนัก อาศัยว่ามีปราณของมังกรแท้จริงและโชคชะตาน้ำอันไพศาลปกป้องจึงพอมีเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานอยู่บ้าง แต่กลับไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายแม้แต่น้อย เวทน้ำแห่งชะตาชีวิตยังคงฝึกได้ไม่ถึงแก่น ต่อให้จะเดินลงน้ำประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังไม่ใช่แม้แต่ขอบเขตบินทะยาน ความสามารถมีไม่มาก แต่กลับเจ้าอารมณ์ไม่น้อย สงครามครั้งนี้ไม่มีทางมอบโอกาสให้เจ้าเด็กน้อยนั่นอีกแล้ว จะรีบฉวยโอกาสกินนางตัดหน้านางหยางจื่อผู้นั้นเสียเลย จากนั้นจะให้ข้าไปเดินเล่นริมมหาสมุทรของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นเพื่อนคุณชายก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
มีเพียงอยู่กับคุณชายอย่างอวี่ซื่อเท่านั้น เฟยเฟยถึงจะยินดีพูดมากหน่อย
ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋ง เมื่อศึกใหญ่ของใบถงทวีปปิดฉากลงได้ก็ได้เดินทางมาเยือนเกราะทองทวีปอย่างลับๆ
วิญญูชนจงขุยแห่งใบถงทวีป ก่อนหน้านี้ทำให้ป๋ายอิ๋งไร้ที่ให้แสดงฝีมือได้อย่างสิ้นเชิง และจงขุยผู้นี้กับเจียงซ่างเจินผู้นั้นต่างก็เป็นคนสองคนที่สมควรตายที่สุดแต่ดันไม่ตาย
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ได้รับคำสั่งลับจากอาจารย์โจวแล้ว หนึ่งเพราะนางที่มาร่วมศึกในนครมังกรเฒ่าปลีกตัวไปค่อนข้างยาก แล้วนับประสาอะไรกับที่นางเองก็ไม่ใคร่จะยินดีไปร่วมความครึกครื้นใหญ่เทียมฟ้าของที่นั่นด้วย
เพราะถึงอย่างไรครั้งนี้ใช้ตลอดทั้งฝูเหยาทวีปเป็นสนามล่าสัตว์ คนที่เตรียมการจะล้อมฆ่าก็คือป๋ายเหย่ที่ใช้สามกระบี่สังหารปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ แม้จะบอกว่าทุกวันนี้สถานการณ์พลิกกลับด้าน พวกเขาได้ครอบครองฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรป๋ายเหย่ก็คือป๋ายเหย่
อวี่ซื่อพูดพลางทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “มู่จีได้รับการประทานชื่อและแซ่จากอาจารย์โจวก่อนแล้ว โจวชิงเกา”
เฟยเฟยยิ้มเอ่ยปลอบใจเขา “เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์โจวก็ยังไม่มีสถานะสูงศักดิ์เท่าคุณชายอยู่ดี”
อวี่ซื่อส่ายหน้า เวลาพูดคุยกับนางมักจะคุยกันยากเช่นนี้เสมอ
เฟยเฟยรู้ดีว่าคุณชายของตนค่อนข้างให้ความสนใจกับทิศทางการดำเนินไปของสนามรบ จึงช่วยร่ายวิชาอภินิหารพิศขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออย่างเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี เป็นเหตุให้อวี่ซื่อสามารถมองเห็นการเข่นฆ่าบนสนามรบของนครมังกรเฒ่าได้อย่างชัดเจน
ทางฝั่งของนครมังกรเฒ่าได้ปล่อยให้ผู้ฝึกตนออกจากเมืองกระโจนเข้าสู่สนามรบเป็นครั้งแรกในรอบสิบวันนี้ พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ผู้ฝึกลมปราณมีมากถึงสามร้อยกว่าคน พวกเขาพากันพุ่งทะยานออกมาจากหนึ่งในสามประตูใหญ่ บุกเข้าเข่นฆ่าไปยังพื้นผิวมหาสมุทร
อวี่ซื่ออึ้งตะลึง “ต้าหลีชอบลงมืออย่างหวังผลที่เป็นรูปธรรม นี่ดูไม่เหมือนนิสัยของอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ผู้นั้นเลย ตามหลักแล้วเขาไม่ควรทำอะไรโดยใช้อารมณ์เช่นนี้”
ขอแค่ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปออกมาจากค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกจากพื้นดินลงมหาสมุทร ก็จะต้องสูญเสียการปกป้องจากค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งไป
เฟยเฟยอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เป็นวิชาแปลกประหลาดของใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว ล้วนเป็นคนกระดาษปลอมๆ เท่านั้น สรุปคือไม่มีพลังพิฆาตอะไร แค่มีไว้ข่มขู่คนเท่านั้นเอง”
อวี่ซื่อพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นวิชาอภินิหารเฉพาะของผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์แล้ว เพราะถึงอย่างไรแม้แต่ขุนเขาสายน้ำหลากหลายรูปแบบในโลกมนุษย์ก็ยังใช้พู่กันเขียนออกมาได้ แค่วาดผู้ฝึกลมปราณหลายร้อยคนมาสวมรอยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในกระโจมเจี่ยเซินเคยได้ยินหลิวป๋ายพูดถึงก็รู้สึกใคร่รู้อย่างมากแล้ว คิดว่าวันใดวันหนึ่งอยากจะไปเยือนพื้นที่มงคลกระดาษขาวด้วยตัวเองดูสักครั้ง แต่ว่าการกระทำเช่นนี้ของนครมังกรเฒ่าก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่อย่างเดียวเท่านั้น ซ่งมู่ผู้นั้นมีฝีมือในการดูแลปกครองบ้านเรือนจริงๆ มิน่าเล่าชุยฉานถึงกล้าเอาเขามาอยู่ที่นครมังกรเฒ่า”
เป็นอย่างที่อวี่ซื่อคิด ผู้ฝึกตนกระดาษขาวที่ออกจากเมืองมาเข่นฆ่านั้นก็คือเวทคาถาที่นครมังกรเฒ่าเอามาหลอกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ รวมไปถึงหลอกล่อสมบัติอาคมในการโจมตีบางอย่างที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ ต่อให้จะได้แค่เผาผลาญปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจไปเล็กน้อยก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี อีกเดี๋ยวจะมีผู้ฝึกตนต้าหลีที่รับผิดชอบตรวจตราการศึกและลาดตระเวนดูสถานการณ์การสู้รบมาคอยจดรายละเอียดต่างๆ ลงบันทึก บนสนามรบ นครมังกรเฒ่าจะไม่ปล่อยผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เท่าหัวแมลงวันใดๆ ไปเด็ดขาด
การกระทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ ทุกวันล้วนมีลูกเล่นแปลกใหม่มาผลัดเปลี่ยนเสมอ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเช่นนนี้
โจวมี่ไม่เคยต้องโยกย้ายกำลังพล ชี้ไม้ชี้มือสั่งการกระโจมทัพใหญ่แห่งต่างๆ บนสนามรบด้วยตัวเอง ชุยฉานเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เขายกอำนาจทั้งหมดให้ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองรับผิดชอบดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในนครมังกรเฒ่า
ส่วนเรื่องที่จะให้ลงสนามรบด้วยตัวเองนั้นก็อย่าเลยดีกว่า หากไม่ทันระวังขึ้นมา ก็อาจมีโอกาสตายได้จริงๆ
ส่วนการลงมือของโจวมี่กับชุยฉานที่มีน้อยครั้งนั้น เดิมทีก็เป็นการปกป้องมหามรรคาที่ใหญ่อย่างถึงที่สุดต่อพลังการสู้รบชั้นยอดของค่ายทัพแต่ละฝ่าย
อะไรที่บอกว่าพวกเราล้วนรบตาย อาศัยอะไรถึงมีเพียงบุคคลใหญ่เทียมฟ้าอย่างพวกเจ้าสองคนที่ตายไม่ได้ ใครกล้าพูดประโยคนี้ คาดว่าคงต้องตายแน่นอน
สตรีปีศาจใหญ่ที่คนหนึ่งเคยสะบัดคลี่ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำอยู่ในสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นว่าสนามรบของมังกรเฒ่าเต็มไปด้วยไอหมอกมลพิษจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นก็หัวเราะเสียงเย็น แล้วเรียกเอาภาพกลุ่มขุนเขาภาพหนึ่งออกมา ยอดเขาบนนั้นประหนึ่งกระบี่ที่รวมตัวกัน
ม้วนภาพเปล่งวูบแล้วหายไป อันดับแรกก็ฝ่าค่ายกลใหญ่ปกป้องนครมังกรเฒ่าออกไปก่อน แม้ว่าจะถูกกระบี่บินของเซียนกระบี่หลายท่านแทงทะลุไปเกินครึ่ง อีกทั้งยังถูกผู้ฝึกลมปราณคนที่เหลือใช้เวทคาถาทำลายไปส่วนหนึ่ง แต่ม้วนภาพกลุ่มขุนเขาที่ยังเหลืออีกครึ่งก็ยังคงคลี่กางอยู่เหนืออากาศของนครมังกรเฒ่า เบื้องล่างม้วนภาพ กลุ่มกระบี่พากันหล่นร่วงลงมาอย่างพร้อมเพรียงในชั่วพริบตา ราวกับว่ามีกระบี่บินเล่มใหญ่มหึมาหลายเล่มพากันทุ่มแทงเข้าใส่ค่ายกลแห่งที่สองที่ปกป้องจวนอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่า
ต้าหลีมีเรือกระบี่?
ยอดเขาหลายร้อยลูกประหนึ่งกระบี่บินยักษ์ ประหนึ่งฝนห่าใหญ่ที่ตกกระหน่ำซัดรัวลงบนใบบัวกลมเกลี้ยงใบเล็ก
หลังจากซ่งมู่รู้เรื่องนี้ในห้องประชุมแล้วก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ยังคงตั้งใจปรึกษารายละเอียดของสถานการณ์บนสนามรบกับแม่ทัพบู๊ในค่ายทัพต้าหลีและเลขาธิการบุ๋นบู๊อีกมากมายอยู่เช่นเดิม
ข้าคืออ๋องเจ้าเมืองต้าหลีคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอะไร ปกป้องนครมังกรเฒ่า จะอาศัยค่ายกลใหญ่ในการฝืนต้านรับไว้ก็ดี หรือทำตามสัญญาพันธมิตรส่วนตัวที่ให้เซียนเหรินคอยลงมือช่วยเหลือก็ช่าง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าซ่งมู่
เจินเหรินผู้ปลีกตัวอย่างสันโดษที่ใช้นามแฝงอยู่ในราชวงศ์ป๋ายซวงว่าเฉาหรงถอนหายใจหนึ่งที ตอนที่เห็นสตรีปีศาจใหญ่ผู้นั้นสะบัดคลี่ม้วนภาพ เขาเองก็หยิบเอาสมบัติก้นกรุที่เก็บรักษาอย่างดีมาเกินครึ่งชีวิตออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน เสียดาย เสียดายจริงๆ
คือสมุดภาพขุนเขาสายน้ำวิหคบุปผาเล่มหนึ่ง ในบรรดานั้นขุนเขาสายน้ำของสี่ฤดูกาลจะมีอย่างละแผ่น วิหคบุปผามีสี่แผ่น ล้วนเป็นภาพที่เขาวาดขึ้นด้วยตัวเอง ค่อนข้างจะภาคภูมิใจอยู่มาก
สมุดภาพนี้ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด แต่กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ภาพวาด แต่อยู่ที่ตราประทับซึ่งประทับลงไปหน้าละหนึ่งตรา
เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวก็ยังเคยประทับตราลงไป ราวกับว่าจะ ‘เหมาซื้อ’ ภาพของเกาเจินลัทธิเต๋าห้าขอบเขตบนที่ไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีปแต่กำเนิดผู้นี้
ส่วนเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่รับศิษย์แทนอาจารย์ก็เคยประทับตราคำว่า ‘เต้าจิงซือ’ (รัตนสามประการของลัทธิเต๋าอันหมายถึง เต๋า คัมภีร์และผู้ถ่ายทอดความรู้)
เจ้าลัทธิรอง หรือก็คืออาจารย์ลุงรองของเฉาหรง เต๋าเหล่าเอ้อผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงก็ยังหยิบเอาตราประทับส่วนตัวที่ไม่เคยประทับให้ใครง่ายๆ ออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ‘บุ๋นมีอันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง’
เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงลู่เฉิน ซึ่งก็คืออาจารย์ของเจินเหรินประทับตราคำว่า ‘แข็งแกร่งมั่นคงดุจหินผา’
อารามเสวียนตูใหญ่ เจ้าอารามผู้เฒ่าซุนไหวจงประทับคำว่า ‘ดอกท้อบานอีกครั้ง’
ภาพขุนเขาสายน้ำทั้งสี่แผ่นนี้ล้วนเป็นอาจารย์ลู่เฉินที่ช่วยขอมาให้
ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉิน อีกทั้งเฉาหรงเองก็ไม่ได้อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวมานานแล้ว ไหนเลยจะมีหน้าตาใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้ เจ้าลัทธิใหญ่ยังพูดง่าย บางทีถามแล้วก็อาจจะมอบให้เลย แต่อาจารย์ลุงรองที่หยิ่งทระนง กับเจ้าอารามผู้เฒ่าซุนที่ไม่ถูกกับป๋ายอวี้จิงที่สุด ก็อย่าได้หวังเลย
ภาพวิหคบุปผาอีกสี่ภาพที่เหลือกลับเป็นตราประทับที่เจินเหรินผู้เฒ่าไปขอให้คนอื่นมาประทับให้ด้วยตัวเอง
เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางประทับตราประทับอาคมส่วนตัวคำว่า ‘ลูกหงส์’
ลู่ฝูอวี๋เสวียนประทับคำว่า ‘เพียงร้องสร้างความตะลึง’ (เปรียบเปรยว่าคนที่ไม่มีชื่อเสียงมาก่อนหรือคนธรรมดา แต่พอได้ทำอะไรซักอย่างก็ดังทะลุฟ้า)
ทั้งสองท่านนี้ล้วนเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาที่เลื่อนสู่อันดับสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง มรรคกถาเลิศล้ำเป็นหนึ่ง
ตราประทับของฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เพราะเทพเซียนผู้เฒ่ายากจะปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้ และเนื่องจากข้างมือไม่มีตราประทับจึงสลักตราประทับขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ‘จ้อกแจ้กจอแจดังไม่หยุด’
แผ่นสุดท้ายเป็นตราประทับส่วนตัวของซิ่วหู่ชุยฉาน ‘ตาขาว’
เจินเหรินเฉาหรงทยอยฉีกภาพขุนเขาสายน้ำสี่ภาพออกมารวดเดียว คีบไว้แผ่นหนึ่งก็โยนออกไปแผ่นหนึ่ง แผ่นภาพแนบติดลงบนค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของจวนอ๋องเจ้าเมือง สุดท้ายสี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ประหนึ่งฟ้าดินขนาดเล็กของสถานที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่ง และฟ้าดินเล็กแห่งนี้ก็ไม่ถือว่าเล็กแล้วจริงๆ โดยเฉพาะตราประทับสี่ชิ้นที่อันเล็กสุดก็เล็กเท่าแค่นิ้วหัวแม่มือ อันใหญ่สุดก็ใหญ่แค่ฝ่ามือที่พลันขยายใหญ่ ประกายแสงระยิบระยับเปล่งวูบวาบ มรรคกถาไหลเวียนวน สามคำว่าเต้าจิงสือในนั้นให้ภาพบรรยากาศที่อบอุ่นอ่อนโยน สี่คำของเจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามเสวียนตูใหญ่กลับทำให้พื้นที่หนึ่งในฟ้าดินมีดอกท้อบานสะพรั่ง คล้ายจริงคล้ายไม่จริง ส่วนคำว่า ‘แข็งแกร่งมั่นคงดุจหินผา’ ของอาจารย์เฉาหรงก็มีภาพอันองอาจดั่งเสาหินกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรสีทองของเต๋าเหล่าเอ้ออาจารย์ลุงเฉาหรงที่พลังอำนาจดุดันน่าครั่นคร้าม ฉายประกายคมกริบไปทั่ว แล้วก็เป็นตราประทับตัวอักษรเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปโจมตีกระบี่บินยอดเขาของปีศาจใหญ่
เฉาหรงเก็บสมุดภาพขุนเขาสายน้ำวิหคบุปผาที่เหลือเพียงครึ่งเดียวกลับมาอย่างระมัดระวัง ยิ้มจืดเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้วจริงๆ”
ภิกษุเฒ่าเอ่ยสัพยอก “มองดูแล้วมีค่ามากนัก”
เฉาหรงยิ้มกล่าว “ในสายตาของคนออกบวชยังมีอะไรที่มีค่าไม่มีค่าอีกเล่า?”
ภิกษุเฒ่าตอบ “มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี มีก่อนหลังไม่มีแล้วยังต้องมีอีกมี ถึงจะไม่มีจริงๆ”
เฉาหรงเอ่ยชม “ช่างเป็นภาษาธรรมที่ดีจริงๆ”
ภิกษุเฒ่าเอ่ยอย่างจนใจ “นี่…ข้าผู้เป็นภิกษุไม่เหมาะจะเอ่ยปริศนาคำทายกับยอดฝีมือเลยจริงๆ มักจะแพ้มากกว่าชนะอยู่เสมอ”
ท่ามกลางม้วนภาพหนึ่งในขุนเขาสายน้ำสี่ฤดู ก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกเป็นช่องโพรง ราวกับว่ามีเทพหญิงงดงามผู้หนึ่งเดินออกมา หิมะใหญ่ขาวโพลนทั่วขอบฟ้า เศษหยกปลิวกระจายนับไม่ถ้วน
ภิกษุเฒ่ากล่าว “สมบัติล้ำค่าลี้ลับระดับนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าต้าหลีจะมีบันทึกไว้…”
พูดมาถึงตรงนี้ภิกษุเฒ่าก็พลันหลุดหัวเราะพรืด ซิ่วหู่ผู้นั้นคำนวณฟ้าคำนวณดินแล้วยังคำนวณใจคนได้ครอบคลุมด้วยหรือ นี่บอกได้ยากจริงๆ
ภิกษุเฒ่าย่อมไม่เคยได้เห็นตราประทับ ‘ตาขาว’ ที่ประทับอยู่บนภาพวิหคบุปผาภาพสุดท้ายมาก่อน เพียงแค่คาดเดาไปตามหลักความน่าจะเป็นทั่วไปเท่านั้น
เฉาหรงยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ครึ่งตัวของข้าคนนั้น ตอนนี้กำลังพูดคุยเรื่องในวันวานกับกุ้ยฮูหยินอยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าที่เป็นศิษย์น้องก็ไม่ควรจะหักหน้าศิษย์พี่ใหญ่”
——