กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 726.1 ป๋ายเหย่สมกับเป็นเทพเซียน ทว่าวิญญาณกระบี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 726.1 ป๋ายเหย่สมกับเป็นเทพเซียน ทว่าวิญญาณกระบี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
การเงื้อกระบี่ฟันครั้งแล้วครั้งเล่าของขอบเขตสิบสี่ทำให้ฝูลู่อวี๋เสวียนได้เปิดโลกกว้างแล้วจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่ของป๋ายเหย่ที่ฟันไปยังปีศาจบนบัลลังก์ทั้งหกล้วนไม่เคยฟันพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นี่ก็ยิ่งทำให้ฝูลู่อวี๋เสวียนเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
ปราณกระบี่ไพศาล ยิ่งใหญ่ตระการตา
เรื่องบางอย่างก็มีเพียงแค่ป๋ายเหย่เท่านั้นจริงๆ ที่ทำได้ อีกทั้งยังทำให้คนรู้สึกว่าเขามีกำลังพอเหลือแหล่ที่จะทำอีกด้วย
ฟันปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกราวกับผ่าแตงหั่นผัก ไม่ใช่ว่าพวกหย่างจื่อ ป๋ายอิ๋งไม่ใช่คนบนยอดเขาอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยที่สุดอวี๋เสวียนก็ไม่กล้าบอกว่าตัวเองสามารถสังหารหรือเอาชนะสัตว์เดรัจฉานบนบัลลังก์ตัวใดได้อย่างมั่นคง
ดังนั้นเหตุผลจึงมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือป๋ายเหย่ยามพกกระบี่ไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ
เพียงแต่พออวี๋เสวียนได้ยินว่าหลิวชาผู้นั้นกำลังเร่งรุดเดินทางมายังฝูเหยาทวีป เหตุการณ์นี้ไม่ต่างจากที่ตนคาดการณ์ไว้ก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ไม่เพียงแต่มีปีศาจบนบัลลังก์คนที่เจ็ด คนผู้นั้นยังเป็นหลิวชาอย่างไม่ต้องสงสัยอีกด้วย
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ผู้หนึ่งที่สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับอาเหลียงได้ เหมาะจะนำมาทำเป็นท่าไม้ตายที่สุดจริงๆ
ผู้ฝึกตนใหญ่ทุกคนของใต้หล้าไพศาลที่อยู่บนยอดเขา ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะได้เดินขึ้นฟ้า รายงานขุนเขาสายน้ำที่พวกเขาได้รับมาไว้ในมือ ส่วนใหญ่แล้วทุกฉบับมักจะมีน้ำหนักมากอย่างถึงที่สุด แตกต่างจากรายงานที่พวกเซียนซือสำนักอักษรจงทั่วไปเอามาใช้ฆ่าเวลาว่างอย่างสิ้นเชิง
เพียงไม่นานอวี๋เสวียนก็เก็บความคิดวุ่นวายกลับมา ใช้เสียงในใจเอ่ยกับป๋ายเหย่ว่า “ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด แต่ในเมื่อข้ามาแล้วเจ้าก็สามารถวางใจดูดดึงเอาปราณวิญญาณของฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้มาได้เลย ห่างไปไกลยิ่งกว่านั้นอย่าไปแตะต้องเด็ดขาด หากแตะโดนแม้แต่น้อย ภัยแฝงที่ตามมาจะมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด”
ตอนที่อวี๋เสวียนมาถึงได้ใช้วิถีแห่งยันต์ซึ่งเป็นความสามารถที่ตัวเองถนัดมาฝืนคลายตราผนึกฟ้าดินสามชั้นออก กว่าจะมาถึงสนามรบของป๋ายเหย่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่เสียแรงที่เป็นคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่เพียงแต่ฝ่าประตูผ่านเข้ามาติดๆ อวี๋เสวียนยังใช้ยันต์ล้ำค่าจำนวนมากนับไม่ถ้วนมาร่ายวิชาอภินิหาร ‘ยันกลางเขา’ (มาจากคำว่า 支山腰หมายถึงการเอากิ่งไม้ ท่อนไม้ไปค้ำยันไว้ระหว่างร่องหินภูเขาหรือใต้ก้อนหิน เป็นวิธีการขอพรอย่างหนึ่ง) อีกด้วย
จากภาคกลางทางตอนเหนือของเกราะทองทวีปลงมาทางทิศใต้ตลอดทาง จากนั้นก็ข้ามมหาสมุทรมาถึงม่านฟ้าของฝูเหยาทวีป ไม่ได้ทำให้อวี๋เสวียนเสียเวลาไปสักเท่าไร กลับกลายเป็นเรื่องการเปิดประตูที่เสียเวลาของอวี๋เสวียนไปถึงสามเค่อเต็มๆ นี่แสดงให้เห็นถึงความยืนหยัดหนักแน่นที่คิดจะล้อมสังหารป๋ายเหย่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ต้องรู้ว่าวิชาเปิดภูเขาบนโลก ฝูลู่อวี๋เสวียนเรียกตัวเองว่าที่สองก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่หนึ่ง
ลัทธิเต๋าที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลแบ่งออกเป็นสองสายใหญ่ๆ ได้แก่สายยันต์และสายกระถางโอสถ
และสายใหญ่ของลัทธิเต๋าอย่างสายยันต์นี้ เมื่อบวกกับสำนักลัทธิเต๋าอีกแห่งหนึ่งที่นอกเหนือจากป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว รวมกันแล้วก็มีคำเรียกว่าซานซานฝ่าทาน (สถานประกอบพิธีกรรมสามขุนเขา) สายยันต์ของอวี๋เสวียนยึดครองหนึ่งในนั้น
อวี๋เสวียนสามารถแย่งเอาคำว่า ‘ฝูลู่’ (ยันต์) มาจากมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ได้ วีรกรรมยิ่งใหญ่ระดับนี้แทบจะไม่เป็นรองการที่อุตรกุรุทวีปแย่งชิงเอาคำว่า ‘อุตร’ มาจากมือธวัลทวีปเลย
เล่าลือกันว่าไม่มีวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อชิ้นใดที่อวี๋เสวียนเปิดไม่ได้ ไม่มีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ฟ้าดินของอริยะ หรือแม้กระทั่งคำกล่าวที่ว่า ‘คนอื่นมีจักรวาลในชายแขนเสื้อ ข้ามีสถานที่ฝึกตนของข้า’ แห่งใดที่อวี๋เสวียนฝ่าไปไม่ได้ เขามักจะชอบแอบไปงีบหลับอยู่ในชายแขนเสื้อของสหายเก่าขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย อย่างเช่นฮว่อหลงเจินเหริน รวมไปถึงซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูที่ในอดีตเคยท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาลไปด้วยกัน ทุกครั้งที่ใครต้องข้ามทวีปก็มักจะเอ่ยประโยคหนึ่งว่าพาไปส่งหน่อย ปีนั้นฮว่อหลงเจินเหรินไปดักอยู่หน้าประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่ เพราะทำอะไรคฤหาสน์หลบร้อนของเทพวารียุคโบราณที่สตรีอ้วนท้วนผู้นั้นหล่อหลอมไม่ได้จริงๆ จึงใช้ยันต์กระบี่ส่งข่าวมาให้อวี๋เสวียน ต้องการให้ตาเฒ่ารีบมาช่วยเปิดประตูให้ หลังจบเรื่องสามารถปรึกษาเรื่องแบ่งของโจรกันได้ ตอนนั้นอวี๋เสวียนใช้ยันต์มังกรยาวเมฆาน้ำส่งข่าวกลับมายังหลุมน้ำลู่ บนจดหมายลับบอกว่าตนกำลังปิดด่านเป็นตาย ทุกวันชีวิตล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไหนเลยจะปลีกตัวมาได้
ตอนที่ยันต์มังกรตัวนั้นอยู่หน้าประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่ก็ได้เผาผลาญปราณวิญญาณหมดสิ้นพอดี จึงเผยให้เห็นร่างจริงคือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวที่วาดเต็มไปด้วยอักขระยันต์อันหนึ่ง หลังจากที่ฮว่อหลงเจินเหรินถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวออกมาจากหลุมน้ำลู่แล้ว ลองนับนิ้วคำนวณดูก็ให้รู้สึกว่าผิดปกติ เวลาไม่ถูกต้อง แล้วนับประสาอะไรกับที่การปิดด่านเป็นตายของขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง ไหนเลยจะมีเวลามารับจดหมายตอบจดหมายกลับ ฮว่อหลงเจินเหรินจึงเปลี่ยนความคิด ไม่ได้ตรงกลับไปที่อุตรกุรุทวีป รอให้ฮว่อหลงเจินเหรินกลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วถึงได้รู้ว่าตาเฒ่ากำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงของภูเขาชิงเสินที่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่
ครั้งนี้อวี๋เสวียนบุกเดี่ยวมายังฝูเหยาทวีป ไม่เพียงแต่ใช้ยันต์ดันเปิดตราผนึกฟ้าดินสามชั้น ยังสร้างประตูใหญ่ขึ้นมาอีกสามชั้นชั่วคราวด้วย แน่นอนว่าอวี๋เสวียนต้องการการรับรองก่อนว่าตัวเองจะไปมาได้อย่างอิสระ แล้วค่อยหาโอกาสดูว่าจะพาป๋ายเหย่ไปด้วยกันได้หรือไม่
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงสนามรบ ยันต์ทุกแผ่นก็แตกสลายพร้อมกัน ประตูใหญ่สามบานพังครืนลงมาทันที อวี๋เสวียนโอดครวญไม่หยุด แย่แล้วๆ กลับไม่ได้แล้ว
ป๋ายเหย่ยิ้มเอ่ย “ไม่เหมือนนิสัยที่ผ่านๆ มาของฝูลู่อวี๋เสวียนเลยนะ น้ำใจรับไว้แล้ว เรื่องของปราณวิญญาณไม่ใช่ปัญหา”
ฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางขึ้นชื่อเรื่องไม่ยินดีต่อสู้กับคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตายมากที่สุด ขอแค่ลงมือล้วนเป็นแค่การประลองมรรคกถาเท่านั้น เพราะอวี๋เสวียนจะต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเองต้องอยู่ในสถานะที่ไม่พ่ายแพ้ จากนั้นก็หนีไม่พ้นยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ศึกษาความรู้ด้านวิถียันต์จากผู้อื่นก็เท่านั้น หากเจอกับคนที่มรรคกถาสูงต่ำพอๆ กัน อวี๋เสวียนแทบไม่เคยใช้วิชาการโจมตีที่เผด็จการมากเกินไป ไม่แบ่งแยกเป็นตายก็จะไม่ทำลายความปรองดอง มรรคกถาไม่ได้เรื่อง ตายไปแล้ว จะยังมาทำลายความปรองดองกับอวี๋เสวียนอีกได้อย่างไร
อวี๋เสวียนเองก็ไม่รู้ถึงความลี้ลับในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเหย่เช่นกัน
จึงได้แต่พยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ช่วงชิงวิถียันต์ไปครอบครองคนเดียวในใต้หล้าผู้นี้ เวลานี้ตำแหน่งที่เขาลอยตัวอยู่อยู่ห่างจากป๋ายเหย่หนึ่งร้อยลี้พอดี ผู้เฒ่ายกสองมือขึ้นทำมุทรา บริเวณใกล้เคียงกับสองมือเหมือนมีตะวันจันทราดาราที่หมุนเวียนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เปลวแสงลากยาว ก่อเกิดเป็นภาพปรากฎการณ์ธรรมชาติ
หากอยู่ใกล้ป๋ายเหย่มากเกินไป อาจถ่วงรั้งการออกกระบี่ของป๋ายเหย่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ป๋ายเหย่คนเดียวรับมือกับศัตรูหกคน ใช้หนึ่งกระบี่ท้าทายหกบัลลังก์ การเข่นฆ่าบนยอดเขาเช่นนี้ ความต่างเพียงเสี้ยวก็คือต่างราวฟ้ากับเหว อวี๋เสวียนอุตส่าห์เดินทางข้ามทวีปมาถึงที่นี่ จะมาทำให้ป๋ายเหย่เดือดร้อนต้องคอยแบ่งสมาธิก็คงจะไม่ดี
แต่หากอยู่ห่างเกินไป อวี๋เสวียนก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีวิชาอภินิหารเลิศล้ำค้ำฟ้าอะไรที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้
ใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่าผมขาวชุดม่วงมีภาพไท่จี๋ปากว้าสองสีขาวดำลอยขึ้นมา เรือนกายของผู้เฒ่าหยุดนิ่ง ทว่าภาพไท่จี๋ใต้ฝ่าเท้ากลับหมุนช้าๆ บางครั้งมีแสงไฟเปล่งวูบขึ้นมาบ้างเล็กน้อยพร้อมเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวที่ยากจะสังเกตเห็น เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือวิชาลับของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่กลอุบายลึกล้ำผู้นั้น เขาแอบมาเล่นตุกติกกับปราณวิญญาณของขุนเขาสายน้ำในที่แห่งนี้ แต่ดันมาเจอกับภาพปากว้าของฝูลู่อวี๋เสวียนเข้าพอดี ถึงได้ถูกจับพิรุธได้
หยินหยางในฟ้าดิน สรรพสิ่งนับแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นตายเกิดดับ ล้วนปรากฎขึ้นมาบนภาพไท่จี๋หมดสิ้น
แน่นอนว่ามหามรรคาต้องไร้จุดด่างพร้อยยิ่งกว่าปราณวิญญาณฟ้าดินเหล่านั้น
เมื่อภาพนี้ปรากฏออกมา ก็ไม่ใช่ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ อะไรของอวี๋เสวียนแล้ว แต่เป็นความสามารถก้นกรุยิ่งกว่าวิชาอภินิหาร ‘ยันกลางเขา’ ของเขาเสียอีก
ทั้งไม่ถ่วงเวลาป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่ไท่ป๋ายฟันสังหารปีศาจ แล้วก็สามารถทำให้ป๋ายเหย่พอจะถอยออกมาได้สักสองสามก้าวแล้วก็สามารถดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้อย่างสบายใจ
ยามที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่ก็ยังมีใจมาเอ่ยกับอวี๋เสวียนว่า “จากไปตอนนี้ยังทันนะ”
ป๋ายเหย่มือหนึ่งถือกระบี่ไท่ป๋าย อีกมือหนึ่งถือฝักกระบี่ไว้ข้างหลัง
อวี๋เสวียนชำเลืองตามองฝักกระบี่แล้วเงยหน้ามองม่านฟ้าอีกที ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ช่างเถิดๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าจะลงมือไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ถ้าไม่สะบัดไม้สะบัดมือเสียบ้างเลยคงอัดอั้นมากจริงๆ เจ้าไม่ต้องแบ่งสมาธิมาสนใจข้า ความสามารถในการปกป้องตัวเองของฝูลู่อวี๋เสวียนนับว่ายังพอใช้ได้”
อันที่จริงเดิมทีเมื่อครู่นี้อวี๋เสวียนสามารถจากไปได้ เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ประตูใหญ่จากยันต์สามบานปริแตกไปเร็วมาก จึงพลาดโอกาสเดียวที่จะเบี่ยงตัวลอดผ่านประตูหนีไปไกลหมื่นลี้ไปแล้ว
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือป๋ายเหย่ต้องใช้กระบี่คุ้มกันเขาจากไป ไม่อย่างนั้นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกย่อมไม่มีทางปล่อยให้ฝูลู่อวี๋เสวียนนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้อย่างแน่นอน หากป๋ายเหย่ไม่ออกกระบี่คุ้มกันอีกฝ่าย เกรงว่าคงจะทำให้ฝูลู่อวี๋เสวียนที่ขึ้นชื่อเรื่องการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมขาดทุนแล้วขาดทุนอีก ถึงขั้นที่ว่าขอบเขตอาจถดถอยด้วยก็เป็นได้
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้มตาหยี ชมสถานการณ์การสู้รบต่อไป คิดว่าจะตั้งใจตามหารากฐานมหามรรคาของสัตว์เดรัจฉานบนบัลลังก์ทั้งหกตัวนั้นสักหน่อย
เห็นว่าป๋ายเหย่ออกกระบี่ไม่หยุด แต่ละครั้งทำเพียงแค่ยกกระบี่ขึ้นแล้วเอาลงก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งสาดแสงสว่างสะท้อนไปพันหมื่นลี้ ต่อให้เป็นอวี๋เสวียนก็ยังจิตวิญญาณแกว่งไกวไปหลายส่วน คำว่าหนึ่งกระบี่ฝ่าทลายหมื่นอาคมช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
น่าเสียดายที่ป๋ายเหย่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
เพียงแต่ว่าพออวี๋เสวียนคิดอีกที วิถีฟ้าเต็มไปด้วยข้อต้องห้าม ป๋ายเหย่ที่เป็นบัณฑิตเช่นนี้ก็มากพอที่ชื่อเสียงความสง่างามของเขาจะขจรไกลไปพันปีแล้ว
เห็นเพียงว่าป๋ายเหย่ส่งกระบี่หนึ่งออกไป ฟันให้หยวนโส่วที่เผยร่างจริงหมื่นจั้งถอยร่น กระบองยาวในมือของวานรเฒ่าถูกแสงกระบี่ที่ส่องประกายแสงเจิดจ้าอย่างถึงที่สุดฟันลงด้านบน สะเก็ดแสงไฟสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ ประหนึ่งแม่ทัพเทพของกรมอัคคีกำลังหลอมขึ้นรูปกระบี่ สะเก็ดไฟจึงแตกกระจายไปทั่ว เผาไหม้ภาพวาดขุนเขาสายน้ำที่เป็นลายเส้นขาวดำไปนับไม่ถ้วน
เรือนกายใหญ่โตมโหฬารของหยวนโส่วถอยกรูดออกไปหลายร้อยลี้ คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล เท้าเหยียบลงบนความว่างเปล่าก็เหมือนมีสายฟ้าแผดดัง ตรงจุดที่เท้าเหยียบริ้วคลื่นกระเพื่อมไปสี่ทิศ ถึงขั้นกระเทือนให้แม่น้ำแห่งกาลเวลามีสะเก็ดน้ำแตกออกมา หยวนโส่วฟาดกระบองผ่าออกไปไกลๆ พละกำลังเปี่ยมล้น เป็นเหตุให้กระบองยาวถึงกับงอเป็นเส้นโค้ง
ป๋ายเหย่ส่งกระบี่ไปอีกครั้ง ปั่นคว้านพายุลมกรดที่มาจากแรงฟาดผ่าของกระบองให้แหลกเละ ระหว่างฟ้าดินจึงเกิดพายุงวงช้างขึ้นหลายลูก
หยวนโส่วคลายมือออกเบาๆ แล้วค่อยกำกระบองยาวแน่นอีกครั้ง กระบองยาวปะทะกับแสงกระบี่ส่งเสียงดังอื้ออึง ลำพังเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนและริ้วกระเพื่อมที่กระบองยาวเหลือทิ้งไว้ก็มากพอจะทำให้สมบัติอาคมบนโลกในบริเวณใกล้เคียงแตกสลายได้แล้ว
หยวนโส่วก้มหน้าลงมอง ฝ่ามือมีแต่กระดูกขาวโพลน แม้ว่าเพียงชั่วพริบตาจะมีเนื้องอกขึ้นมาใหม่ แต่ถึงอย่างไรก็ชวนให้หงุดหงิดใจยิ่งนัก หยวนโส่วยามอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าเป็นที่สุด
การเข่นฆ่านับครั้งไม่ถ้วนตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ไหนเลยจะต้องอัดอั้นเท่าครั้งนี้ จนถึงตอนนี้หยวนโส่วก็ยังขยับเข้าใกล้ป๋ายเหย่อย่างแท้จริงไม่ได้เลย
มีจวนวารีตำหนักมังกรหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ปีศาจใหญ่หย่างจื่อเป็นผู้ควบคุม พริบตาเดียวก็ทะยานลมห่างไปไกลหมื่นลี้ ทุกที่ที่ผ่าน โชคชะตาน้ำล้นบ่า แสดงให้เห็นถึงแก่นน้ำของเซียนวารีที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้จำนวนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งมีภูตขบวนยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่คอยช่วยคุ้มกันให้
หย่างจื่ออาศัยวัตถุชิ้นนี้ เพียงชั่วพริบตาร่างก็ขยับเข้าใกล้ป๋ายเหย่ได้มากที่สุด จากนั้นก็ร่ายวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นให้ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กดทับมาเหนือศีรษะของป๋ายเหย่
อวี๋เสวียนขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองไป ทรัพย์สมบัติของสตรีผู้นี้มีไม่น้อยเลยนะ ไม่เสียแรงที่อยู่บนบัลลังก์ราชาขั้นสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่เคยขาดของดีเลยจริงๆ
วัตถุที่หย่างจื่อเรียกออกมามีลักษณะเหมือนอวี้กางเหม่า (หยกก้อนสีเหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ ตรงกลางมีรูให้ร้อยเชือกได้) ที่ป๋ายอวี้จิงในยุคหลังล้มเลิกการใช้ก่อนผู้ใดมาหลายพันปี สี่ด้านล้วนมีตราประทับ เผยให้เห็นแสงเจิดจ้าสี่สีได้แก่แดงเขียวขาวเหลือง ด้านหน้าสลักคำว่า ‘เดือนแรกกางเหม่า (กางเหม่าคือหยกพกติดตัวใช้เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย) อยู่ตรงกลาง’ ที่เหลือแบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘คมดาบกระบี่ไม่ได้ความ’ ‘สั่งภูตผีบัญชากุยหลงให้ควบคุมชะตาน้ำ’ ‘ความเล็กน้อยของวัตถุคือที่ตั้งของมหามรรคา’
เป็นทั้งหยกกางเหม่าที่ตกทอดมาจากยุคบรรพกาลชิ้นหนึ่ง แล้วก็เป็นทั้งตราประทับอาคมหกเต็มที่ถูกหย่างจื่อหลอมเติมให้เต็ม อักษรลงนามประทับคำว่า ‘นภากาศ’ ตรงก้นด้านล่างของตราประทับอาคมสลักคำว่า ‘น้ำพุเหลือง’
เมื่อตราประทับนี้ปรากฏออกมา อานุภาพสวรรค์แผ่ไพศาล
ตราประทับอาคมหยกขาวหมุนติ้วพลางร่วงลงมา มีพลังอำนาจราวกับทัณฑ์สวรรค์ที่มาเยือนยามเซียนเหรินจะฝ่าทะลุขอบเขต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าหนึ่งของตราประทับอาคมที่สลักคำว่า ‘คมดาบกระบี่ไม่ได้ความ’ ที่เกิดมาก็สยบผู้ฝึกกระบี่และกระบี่ได้แต่กำเนิด ตราประทับส่องประกายแสงเรืองรอง แสงศักดิ์สิทธิ์ของอักขระโบราณเปล่งวาบ กลายเป็นฟ้าอำนวยที่แหลกสลายไปสี่ทิศ
เป็นเหตุให้กระบี่ของป๋ายเหย่ไม่เพียงแต่ไม่สามารถผ่าตราประทับอาคมได้ ปราณกระบี่อันไพศาลกลับยังถูกตราประทับดูดดึงเอาไปหลายส่วน ทำให้พลังอำนาจของตราประทับยามที่ร่วงหล่นลงมาเพิ่มความยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม
ป๋ายเหย่เองก็ไม่ได้รบพัวพันกับตราประทับอาคมที่เป็นดั่งขุนเขากดลงมาบนศีรษะชิ้นนั้นเท่าใดนัก ปล่อยให้มันหล่นร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่อยู่ห่างกันไม่ถึงสามพันจั้ง ป๋ายเหย่ก็ทำเพียงแค่ปล่อยกระบี่ที่สองออกไปใส่หย่างจื่อเท่านั้น
กระบี่หนึ่งปาดไปเหนือมงกุฎจักพรรดิของหย่างจื่อที่มีหัวเป็นคนร่างเป็นงู มงกุฎจักรพรรดิมีพวงหยกที่ร้อยด้วยด้ายห้าสีสิบสองเส้น ไข่มุกที่ห้อยลงมาด้านหน้าดุจม่านถูกป๋ายเหย่ใช้กระบี่ฟันฉับ หย่างจื่อที่ถอยร่นไปด้านหลังยื่นมือไปชะลอการร่วงหล่นของไข่มุกและด้ายหลากสี พอจิตขยับ วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ก็กลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเพื่อชดเชยความเสียหายจากกระบี่นี้ของป๋ายเหย่ เฟยเทียน (นางฟ้า/อัปสร) จำนวนนับไม่ถ้วนจึงพากันไต่ลอดไปตามรอยแยกของชุดคลุมมังกรบนร่างเป็นพรืด แต่ละตนล้วนมีรูปโฉมงดงาม ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ละตนมีโชคชะตาน้ำที่ถูกกลั่นจนได้แก่นอันยอดเยี่ยมแฝงอยู่ เพียงแต่ว่าเพื่อชดเชยความเสียหายให้กับมงกุฎจักรพรรดิ ร่างจึงพลันแหลกสลายเป็นผุยผง มีมากนับร้อยตน
ปีศาจใหญ่หย่างจื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในน่านน้ำของลำคลองเย่ลั่วมานานหลายพันปี ช่วงเวลาระหว่างนี้ได้หลอมนักแสดงในท่านั่งสามร้อยกลุ่มด้วยความตั้งใจ แต่ละคนรูปโฉมงดงาม ท่วงท่าหลากหลายไม่ซ้ำกัน
นักแสดงในท่านั่ง หย่างจื่อหลอมไว้ทั้งสิ้นหนึ่งพันแปดร้อยตน เสื้อผ้าที่สวมใส่งดงามหรูหรา สีสันสดใสน่าชม ท่วงท่าอรชรอ้อนแอ้น เอวบางร่างน้อย ร้องรำทำเพลงเพราะพริ้ง
นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ในตำหนักวารีลำคลองเย่ลั่วอีกหนึ่งหมื่นหกพันตน ล้วนเป็นคนปะชุนและสาวทอผ้าให้กับชุดคลุมมังกรและมงกุฎจักรพรรดิของนาง
หย่างจื่อไม่ยินดีจะอยู่ห่างจากตราประทับอาคมที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตไกลเกินไปนัก แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถสังหารป๋ายเหย่ได้จริง ต่อให้ตราประทับอาคมที่ใหญ่โตราวขุนเขากับป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่ซึ่งตัวเล็กเท่าเมล็ดงาจะอยู่ห่างกันอีกแค่ไม่กี่ร้อยจั้งก็ตาม
กระนั้นก็ยังได้แต่เก็บตราประทับอาคมเอามาวางบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต ก่อนหน้านี้มีกระบี่หนึ่งของป๋ายเหย่ที่ฟันให้เกิดรอยปริแตกบนตัวอักขระเบื้องล่างตราประทับหกเต็ม เพียงแต่ว่าตราประทับชิ้นนี้สามารถหลอมปราณกระบี่ได้ตั้งแต่เกิด ไม่เพียงแต่สามารถชดเชยรอยแตกของตราประทับ หย่างจื่อยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอนุมานถึงต้นกำเนิดของการผสานมรรคาของป๋ายเหย่ได้ด้วย
ป๋ายเหย่ยิ้มเอ่ย “เผ่าพันธุ์ภูตผีเชี่ยวชาญการแตะต้องความลับสวรรค์ ระวังว่าจะจมอยู่ในนครเป่ยเฟิงเข้าล่ะ”
อวี๋เสวียนได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ลูบหนวดยิ้ม คำพูดประโยคนี้ของป๋ายเหย่ลี้ลับเกินจะบรรยาย
หย่างจื่อสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ยื่นมือไปกดจุดไท่หย่าง จากนั้นก็คว้าตราประทับมาไว้ในมือ ข้อมือสั่นสะท้านน้อยๆ กว่าจะจับวัตุแห่งชะตาชีวิตไว้ให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
นางแบมือออกดู ตราประทับด้านที่แกะสลักคำว่า ‘ดาบกระบี่’ นั้นปริแตกไม่เหลือชิ้นดี ถึงขั้นถูกปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ของป๋ายเหย่ทำร้ายไปถึงรากฐานของหยกกางเหม่าบรรพกาลชิ้นนี้ นี่หมายความว่านับแต่นี้ไปนางก็จะสูญเสียวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตไปบทหนึ่งแล้ว ไม่สามารถอาศัยวัตถุอาคมบรรพกาลชิ้นนี้มาสยบกำราบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่แห่งใต้หล้าไพศาลได้อีก โชคดีที่อีกห้าด้านที่เหลือยังสมบูรณ์แบบ
หย่างจื่อสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจเคียดแค้นอย่างหนัก และยิ่งรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่หลายส่วน ตนไม่ควรมา ‘ถามกระบี่’ กับป๋ายเหย่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ไม่ควรประมาทเช่นนี้
อวี๋เสวียนคล้ายจะกระจ่างแจ้งถึงอะไรบางอย่าง
ทุกครั้งที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่เหมือนจะจงใจไม่เอาแต่ใช้กระบี่ฟันปีศาจบนบัลลังก์อย่างเดียวเท่านั้น
นี่มีความนัยให้ขบคิดมากแล้ว